ไม่น่าคิดสั้นเลย - ไม่น่าคิดสั้นเลย นิยาย ไม่น่าคิดสั้นเลย : Dek-D.com - Writer

    ไม่น่าคิดสั้นเลย

    เธอเป็นเพื่อนเรียนร่วมชั้นเดียวกันกับผมตั้งแต่เรียนชั้นประถม ยันชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ตั้งแต่เรียนจบชั้นมัธยมต้น เป็นต้นมา ผมกับเธอก๋ไม่เคยะบกันอีกเลย มาทราบข่าวจากเพื่อนอีกคนว่า เธอ เสียชีวิตแล้ว..

    ผู้เข้าชมรวม

    32

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    32

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  3 ส.ค. 67 / 13:52 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

                                                        ไม่น่าคิดสั้นเลย

             เพื่อนร่วมชั้นเรียน ที่เป็นสตรีที่ผมจำได้แม่นยำมากที่สุดคนหนึ่ง คือเกื้อชื่อจริงของเธอ คือสุชาดา ลูกลุงเจือ ป้าจุ่น คนในตรอกบ้านมิตรสัมพันธ์ ที่อยู่ติดกับริมสระน้ำ ที่เทศบาลเก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉินเพื่อมาสูบไว้ใช้ดับเพลิง หากเกิดอัคคีภัย ในเทศบาลตำบลที่ผมเกิด เคยมีอัคคีภัยครั้งใหญ่ท่ี่สุดเพียงครั้งเดียวทำให้ห้องแถวกว่า15 ห้อง ต้องกลายเป็นทะเลเพลิง เพื่อนบ้านที่อยู่บนถนนสายสัมพันธ์ใกล้กับตลาดนอก (ถนนเจ้าพระยาบดินทร์ )ต้องไร้ที่อยู่อาศัย โชคดีว่ามีถนนบำรุงราษฎร์มาคั่นไม่ให้เพลิงรุกข้ามมายังห้องแถวอีกฝั่ง   เวลานั้น..ผมกำลังนั่งกินขนมหวานที่ตลาดหัวตะเข้ และบังเอิญที่ร้านพี่เทือง ได้เปิดโทรทัศน์ขาวดำอยู่พอดี ผมจึงทราบข่าวดังกล่าว

    “ขณะนี้ เพลิงกำลังลุกไหม้ที่ห้องแถวตลาดในบนถนนสายสัมพันธ์ ผู้คนแตกตื่นโกลาหล หน่วยบรรเทาสาธารณภัยจากเทศบาลได้นำรถดับเพลิง 6 คันรุดมายังที่เกิดเหตุ โดยระดมกำลังสกัดเพลิง พร้อมกันนี้ได้มีรถดับเพลิงจากอำเภอใกล้เคียงมาช่วยอีก 5 คัน ” ผู้ประกาศข่าว ช่องหนึ่งกำลังรายงานสด

    “ต้นเพลิง เกิดจากอะไร ??และที่ไหนกันแน่”  ผมคิด

     จิตใจของผมในเวลานั้น เลื่อนลอย ทั้งภาวนาว่า ขออย่าใช่ เป็นที่บ้านของตนก็แล้วกัน  ผมรู้สึกใจไม่ดีเลย เพราะในข่าวได้ระบุว่าเป็นถนนสายเดียวกันกับบ้านที่ผมอยู่ 

    “เพี้ยง  ขอให้ที่บ้านปลอดภัยด้วยเถิด  ”  ผมภาวนาในใจ 

     การเกิดอัคคีภัยครั้งใหญ่ ครั้งนี้ ทำให้ผมนึกถึง คำของแม่ ที่กำชับอยู่ตลอดเวลา 

    “เรื่องฟืนไฟ ต้องรอบคอบนะลูก หลังทำขนมเสร็จ ต้องดับไฟจากท่อนฟืนให้สนิท เพราะบางทีเราดับแล้วควันมันมอดก็จริง แต่ด้านภายในมันยังครุอยู่ อาจค่อยๆประทุลุกขึ้นมาได้อีก” แม่พูด

    จริงดังที่แม่ว่า .หลายๆครั้ง ขนาดที่ว่าผมรดน้ำจนชุ่มแล้ว ฟืนบางดุ้นก็ยังลุกโชนขึ้นมาอีก จำต้องรีบตัดไฟต้นลมรดน้ำซำ้อีกครั้ง  ในห้องแถวถนนสายนี้ ชาวบ้านทุกคนค่อนข้างจะกลัวเรื่องอัคคีภัย อันน่าจะเกิดจากบ้านผม เพราะเป็นบ้านหลังเดียวที่ใช้ฟืนกับถ่านเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งอาจจะมีการพลาดพลั้ง เผลอเรอได้มากที่สุด  ช่วงที่ผมช่วยทำขนมกับแม่ ผมจะเป็นคนดับฟืนและถ่านกับมือของผมเอง  ผมมั่นใจและรับประกันว่า “จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆที่ชาวบ้านระแวงอย่างแน่นอน”

                                              *****************************

               สุชาดา .เป็นลูกคนที่ 6 จากพี่น้องทั้งหมด 8 คนของครอบครัว พ่อและแม่ของเธอจะมาขายของประเภทคบเคี้ยวอย่างเช่น ลูกอม หมากฝรั่ง เมล็ดกวยจี๊ ของขบเคี้ยวต่างๆและหนังสือพิมพ์  บริเวณสี่แยกฝั่งตรงข้ามกับสถานีขนส่ง บขส.(เดิม)  ครอบครัวนี้ นับเป็นครอบครัวที่ขยันทำมาหากินมาก ช่วงหลังลุงเจือได้ให้แม่บ้านของเขามาเป็นคนดูแลรถเข็นที่จอดไว้ตรงสี่แยก และตัวเขาเองได้ผันมาเป็นคนขายลอตเตอรี่จร  คือจะเดินไปตามห้องแถวต่างๆในเขตเทศบาลตำบล ในเมืองนี้ลุงเจือจะเป็นผู้ผูกขาดขายลอตเตอรี่เพียงเจ้าเดียว สมัยก่อนลอตเตอรี่จะมีการออกรางวัลทุกวันที่10-20 และ 30 ดังนั้นรายได้ลุงเจือจะได้เป็นกอบเป็นกำเพียงรายเดียว ช่วงวันเสาร์ อาทิตย์ ผมมักเห็นสุชาดามาช่วยแม่ของเธอขายของ หรือบางครั้งก็จะเห็นน้องสาวคนเล็กของเธอมาช่วยขายอีกคน 

           ผมสนิทกับสุชาดา ตั้งแต่เราเรียนชั้นป.3 จนถึงชั้นมศ.3  เพราะเราเรียนร่วมชั้นเรียนด้วยกันมาโดยตลอด สุชาดาเป็นคนหน้าตาดี ผิวดำแดง ร่างท้วม มีไฝเม็ดใหญ่ใต้คางด้านขวา นี่กระมัง ที่ทำให้เธอเป็นคนช่างพูด ช่างเจรจา เธอสนิทกับเพื่อนหญิงชื่อวัฒนา ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นที่เรียนเก่งมาก ในห้องเรียนที่เป็นคู่แข่งกับประจักษ์ ก็มีเพียงวัฒนาเพียงคนเดียวที่จะมาแย่งลำดับที่ 1  คนทั้งสองมักจะผลัดกันได้ที่ 1แต่ส่วนใหญ่ประจักษ์จะรักษาเก้าอี้แชมป์ได้มากกว่า

                                                  ************************** 

            นิสัยของสุชาดาที่เพื่อนๆในห้องเรียนทราบกันดี คือขี้น้อยใจ และเป็นคนชอบฟ้องคุณครู  เธอเป็นคนค่อนข้างเจ้าระเบียบ แต่งเนื้อแต่งตัวเรียบร้อย

    “คุณครูขา เด็กชายสมศักดิ์  เด็กชายบุญส่งและเด็กชายศิริ ไม่ยอมถอดรองเท้าวางไว้ให้เรียบร้อย พวกเขาเดินย่ำกับพื้นที่ลงเทียนจนเป็นรอยรองเท้า หนูต้องใช้ผ้ามาลบรอยออกจนหมด”สุชาดา ฟ้องครู 

            ทุกๆวันสุชาดาจะได้รับคำชมจากคุณครู แต่เธอจะได้รับคำเหน็บแนมจากเพื่อนผู้ชายเพิ่มเติม บางครั้งคำฟ้องของเธอก็มีผลต่อนักเรียนในห้อง เพราะเมื่อพวกเราเล่นเกมโปลิสจับขโมย โดยจับสลากแบ่งข้างกันฝ่ายหนึ่งเป็นตำรวจอีกฝ่ายเป็นผู้ร้าย พอเริ่มสัญญาญการเล่น ฝ่ายขโมยก็จะต้องวิ่งหลบซ่อนไม่ให้ถูกเพื่อนที่เป็นฝ่ายตำรวจจับตัวและใช้ปืนที่ทำจากกระดาษยิง ทีนี้แหละ ..เก้าอี้ โต๊ะนักเรียนที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบ ก็จะแตกแถว เอียงซ้ายเอียงขวา  เพื่อนผู้หญิงที่นัั่งเล่นหมากเก็บ เล่นขายของ เล่นตุ๊กตากระดาษ เป็นไม่ต้องเล่นกัน เสียงอึกทึกโครมครามของฝ่ายทะโมน ทำให้นักเรียนหญิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ  สุชาดากับเพื่อนๆนักเรียนหญิงซึ่งกำลังเข้าได้เข้าเข็มกับการพากษ์ตุ๊กตากระดาษ พลันต้องเสียสมาธิ 

    “คอยดู.. ช่วงเข้าชั้นเรียน ตอนบ่าย เราจะฟ้องคุณครู ”สุชาดา พูด พร้อมชี้หน้ามาทางพวกเรา

    “เชิญตามสบายเลย ยัยขี้ฟ้อง  ” สมศักดิ์ พูด

    ไม่มีครั้งไหนที่เมื่อสุชาดานำกระดาษรายชื่อที่เธอบรรจงจด แล้วมายื่นให้คุณครูพร้อมเอ่ยปากฟ้องแล้ว พวกเราจะรอดจากการโดนเฆี่ยน

    “ฟังครูนะ จากนี้เมื่อครูอ่านรายชื่อแล้ว ให้คนที่มีชื่อเดินออกมายืนกลางห้องเรียน ”ครูไสว พูด

     นักเรียนชายที่เล่นโปลิสจับขโมยรู้ตัวดี เพียงแต่รอว่าครูจะขานชื่อ ใครจะเป็นคนลำดับที่เท่าไหร่นี่เป็นเรื่องจริงที่นักเรียน ชายไม่ค่อยชอบครูไสวมากนัก เพราะเขาลำเอียงและเลือกปฎิบัติ  ครูมักจะรับฟังแต่นักเรียนหญิงที่ฟ้อง การที่พวกเหล่าทะโมนจะปฎิเสธความผิดให้รอดพ้นจากการถูกลงโทษ นับเป็นเรื่องยากยิ่ง เพราะประจักษ์พยานคือโต๊ะเก้าอี้ยังไม่มีการจัดเข้าที่อย่างเป็นระเบียบ

      “สมศักดิ์ บุญส่ง ประเสริฐ  ศิริ  นำโชค อนันต์  ไพศาล”ครูไสวเรียกชื่อนักเรียน ที่สุชาดาจดรายชื่อให้

       และสุดท้ายรายชื่อที่ครูไสวขานก็คือผม เดิมที..นึกว่าสุชาดาจะใจดี ไม่เขียนชื่อของผมลงในกระดาษเสียอีก เป็นเพราะผมพยายามสร้างไมตรีที่ดีกับเธอตลอดมา พวกเราค่อยๆเดินไปที่หน้าชั้นแล้วไปยืนเรียงแถวหน้ากระดาน ทำตาปริบๆคนแรกยืนกอดอกยอมรับผิดโดยดุษฎี เพราะประจักษ์พยานชัดเจนคือเก้าอี้บางตัวยังล้มเค้เก้ อยุู่หลายตัว

       “ควั่บๆๆ” ไม้เรียวหวดลงที่ก้นของสมศักดิ์สามครั้ง เขากอดอกอย่างหลวมๆทั้งยังเอียงคอมองด้านหลัง ก่อนที่ไม้เรียวจะลง

      “อูยๆ ”เขาเผยอปากร้องเบาๆพร้อมเดินเข้าไปยังที่นั่ง

       ลำดับถัดมาก็เป็นคิวของบุญส่ง ประเสริฐ  ศิริ นำโชค อนันต์ ไพศาลและคนสุดท้ายก็คือผม  

       ความหนักเบา ที่ครูไสวหวดลงก้นของนักเรียนไม่เท่ากัน เพราะฟังจากน้ำเสียงที่กระทบกับกางเกง นักเรียนหญิงที่เห็นครูลงโทษเพื่อนชายที่เล่นโปลิสจับขโมยล้วนสะใจ พากันยิ้มเย้ยเยาะ อย่างมีความสุข

      “สมน้ำหน้าพวกเธอ เข็ดกันมั๊ยล่ะ” สุชาดา พูด

       “คนที่ถูกลงโทษ มาจัดโต๊ะเก้าอี้ให้เข้าที่เข้าทาง เดี๋ยวนี้เลย ครูจะสอนแล้ว ”ครูไสวพูด

       ครูไสวสอนวิชาภาษาไทย นักเรียนชายส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบเขานัก เพราะดูมีท่าทีลำเอียง รักแต่เหล่านักเรียนหญิง  มีหลายครั้งที่เขาเรียกให้นักเรียนไปช่วยบีบนวดไหล่ขณะตรวจสมุด ความใจดีของเขาก็มีอยู่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอารมณ์บ่อยๆครั้งที่เขาให้ทำงานคัดไทยในชั้นเรียน เมื่อทุกคนทำเสร็จเขาก็จะให้อิสระ ใครใคร่เล่นอะไรก็เล่น แต่ห้ามอึกทึกโครมคราม จนเพื่อนข้างห้องเดือดร้อน หากครูยังนั่งที่โต๊ะ พวกเราก็จะเล่นกันแบบเงียบๆ เล่นไประแวงไป แต่ก็ยังดีกว่าที่จะเรียนเต็มเวลา

                                                     *********************

        “พวกเรา  ต้องหาวิธีแกล้ง ยัยสุชาดาและพวก เวลาที่คุณครูให้พักไปดื่มน้ำ ไปปัสสาวะที่ห้องน้ำ”อนันต์ เริ่มต้นความคิด            

         “กู.ก็คิดไว้แล้ว  ”ประเสริฐพูด  

         “คิดไง??ว่ามา สิ”อนันต์ พูด

         “ค้นกระเป๋าของพวกเธอ จากนั้น ก็เปิดสมุด หาตุ๊กตากระดาษเอาไปซ่อน”ประเสริฐเสนอแนะ

         “จัดการทำลายฉีกคอให้ขาด แล้วทิ้งลงในถังขยะ ชำระความแค้นให้สาสมใจ ที่ชอบขี้ฟ้องดีนัก”อนันต์พูด

          กลุ่มเพื่อนชายที่ถูกครูไสวลงโทษระดมสมองกันอย่างรีบด่วน เพราะหากพวกเธอกลับมาจากการไปห้องสุขา แผนชำระแค้นคงจะไม่สำเร็จ  

          “ไอ้ส่ง ดูต้นทางตรงทางขึ้นบันได ไอ้ศิริยืนรับช่วงต่อ คอยส่งสัญญาญว่าพวกเธอใกล้จะมาถึงห้องหรือยัง”  อนันต์พูด

         เมื่อกลุ่มช่างฟ้อง เดินออกจากห้องเรียนแล้ว หน่วยปฎิบัติการชำระแค้น ก็เริ่มทำทันที เกือบ10 นาทีที่พวกเธอไป -กลับมาจากห้องสุขาพวกเราก็จัดการจนแล้วเสร็จและนั่งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้   

         “เหมือนกระเป๋านักเรียนของเรา มีใครมาเปิดค้นเอาของแน่ๆ  ”วัฒนา พูด

        “ของเราก็เหมือนกัน นะเธอ”สุชาดาพูด

         เพื่อนหญิงสองคนซุบซิบคุยกัน พลางกวาดสายตามายังเพื่อนนักเรียนชายที่เพิ่งโดนครูไสวเฆี่ยน ไม่กี่วันที่ผ่านมา    

          “นี่….พวกเธอมาค้นกระเป๋า พวกเราหรือเปล่า  ” สุชาดา พูด สายตาจับจ้องอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ 

          “มีอะไร?? เหรอเธอ ”สมศักดิ์แกล้งทำไขสือ

          “อย่ามาทำไก๋ เลย  ท่าทางทุกคนดูมีพิรุธ”สุชาดาพูดต่อ 

          “อะไร มาใส่ความกันชัดๆ จริงมั๊ยพวกเรา” สมศักดิ์ พูด 

             วัฒนา เพื่อนหญิงที่เรียนเก่งที่สุดในห้อง เอาสมุดที่อยู่ในกระเป๋านักเรียนมาพลิก เพื่อหาตุ๊กตาตัวโปรดที่เธอพยายามบรรจงวาดและลงสีอย่างสวยงาม

            “ตุ๊กตาตัวโปรดและชุดเสื้อผ้าของเราหายเกลี้ยงเลย สุชาดา”วัฒนาบอกเพื่อนสนิท

            “เราจะดูของเราบ้าง ”สุชาดาพูด พลางรีบหยิบสมุดที่เธอเอาตุ๊กตาสอดไว้มาดู

             “ของเรา ก็ไม่เหลือ สักตัวเดียว  ”  สุชาดา พูด

             “เราแน่ใจเลย ว่าพวกเธอต้องแกล้งเอาไปทิ้งอย่างแน่นอน  ” เพื่อนหญิงทั้งสองคนพูด

              “อย่ามาปรักปรำ พวกเรานะ ทำอะไรต้องมีหลักฐาน อย่ามาพูดมั่วๆ   ”สมศักดิ์ พูด

             การถูกกลั่นแกล้งครั้งนี้  วัฒนาและสุชาดาจับมือใครดมไม่ได้ พวกเธอจึงจำต้องฝืนทน รับกับสภาพอย่างเจ็บปวด

             “วันพระ มิใช่มี แค่วันเดียว  “ สุชาดา พูดทิ้งท้ายด้วยใบหน้าที่โกรธจัด ก่อนที่จะเข้าเรียนตามปกติ

                                               *********************** 

              ตามประสาของเด็กที่เหมือนลิ้นกับฟัน นานๆสักครั้งผมกับสุชาดาจึงจะมีความขัดแย้งกัน ทั้งวัฒนากับ สุชาดากับผมจะเรียนในชั้นเดียวกันมาตลอด หลังเรียนจบป.7 แล้ว พวกเราก็มาสอบเรียนต่ออีกในระดับชั้นมัธยมของโรงเรียนประจำอำเภอ ช่วงมศ.1 ผมกับสุชาดาและวัฒนายังคงเรียนอยู่ห้องเดียวกัน ช่วงนี้เด็กผู้หญิงเริ่มสู่วัยสา  จนมาถึง ชั้นมศ. 2 ผมจึงเริ่มจะรู้ตัวแล้วว่าเป็นวัยรุ่น เพราะเสียงเริ่มแตกหนวดเริ่มขึ้น สิิวเริ่มมีประปรายบนหน้าผากจากที่เคยเล่นหัวกับเพื่อนหญิงดังชั้นประถมน้อยลง  เราเริ่มคบหากับเฉพาะเพื่อนชาย  กลุ่มเพื่อนหญิงเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ รักสวยรักงามมากขึ้นพวกเธอดูสงวนตัว แต่พวกเราผู้ชายคงยังมีเล่นหยอกล้อแบบไร้เดียงสา

      “นี่นายแดง เราจะฟ้องคุณครู ว่าเธอเอาหมามุ่ยไปโรยที่โต๊ะนั่งครู" สุพัตรา  พูด

     “อย่า ป.ม  เรื่องของเรา ” แดง ตอบ

     การที่แดงเอาหมามุ่ยไปโรยลงบนโต๊ะเพียงหวังว่า เมื่อครูประจำชั้นของพวกเรา เอามือเท้าบนโต๊ะนั่ง ละอองของขนหมามุ่ยก็จะกระจายถูกบริเวณหลังแขน ซึ่งจะทำให้เกิดอาการคันโดยทันที หลายครั้งที่แดงแกล้งครูหลายคนแล้ว

    “บอกมาเดี๋ยวนี้ ว่าใครเอาหมามุ่ยมาแกล้งครู” ครูวารุณีพูด 

                                              ทุกคนในชั้นเงียบ

     “หากไม่มีใครรู้ และยอมรับผิด ครูจะตียกชั้น ไม่เว้นผู้หญิง”  ครูวารุณีพูดอีก

                 เพียงเอ่ยปากมาเพียงนี้ นักเรียนหญิง ต่างยกมือที่จะบอกครูกันสลอน

    “นายแดงกับนายพีระ ค่ะ คุณครู” สุชาดา พูด

       ขาดคำที่สุชาดาบอกครู หัวโจกของห้องก็พร้อมถูกลงทัณฑ์ เขามิเคยพรั่นพรึงกับไม้เรียวอย่างหนาขนาดนิ้วโป้ง 

    “ออกมาเดี๋ยวนี้  ” ครูวารุณี พูด

              ทั้งสองคนเคยชินกับการถูกลงโทษ เมื่อมายืนที่หน้าห้อง ก็ยืนกอดอกแล้วมองไปยังหลังห้อง 

    “ควับๆๆๆ ” เสียงไม้เรียวหวดก้นของ แดงกับพี่ระคนละ 6 ครั้งเขาเดินกลับเข้าที่นั่งแบบชิวๆ พร้อมมีใบหน้ายิ้มแย้มที่ได้เสพไม้เรียวของครูที่เป็นคู่กัดของเขา

                                                   **********************

      ระหว่างช่วงการเรียน มศ.2- 3 ทางโรงเรียนมีนโยบายให้จัดห้องเรียนโดยแยกเพศเฉพาะชาย- หญิง  แต่โรงเรียนก็ยังเป็นโรงเรียนแบบสหศึกษา ระหว่างสองปีนี้ ผมกับสุชาดาและวัฒนาจึงแยกเรียนกันคนละห้อง ความห่างเหินจึงมากขึ้น หลังเรียนจบมศ.3  สุชาดากับวัฒนาเลือกที่จะเรียนสายวิชาชีพ เธอทั้งสองไปเรียนที่วิทยาลัยครู สุชาดาเรียนที่จันทเกษม วัฒนาที่เรียนที่วิทยาลัยครูฉะเชิงเทรา ส่วนผมมาเรียนที่เกษตรเจ้าคุณฯ นับแต่จบมัธยมศึกษาตอนต้นเป็นต้นมา  ผมไม่เคยพบกับเพื่อนๆส่วนใหญ่เลย เว้นแต่สมศักดิ์ สุชาติ พินิจและสันติชัย ที่เรียนจบวิทยาลัยครู แล้วมาเป็นครูสอนที่บ้านเกิดเมืองนอน

      “ไอ้สัน  มึงเจอสุชาดาบ้างมั้ยวะ ” ผมถามเพื่อนสนิทที่เคยนั่งเรียนติดกันมาหนึ่งปี

      “บรรจุครู ที่โรงเรียนหนองปรือว่ะ คิดถึงเขาเหรอ”สันติชัย กระเซ้า

     “ไม่หรอก อยากถาม อยากคุยเรื่องเก่าๆเท่านั้นแหละ” ผมพูด

      “ เธอเพิ่งแต่งงาน กับสิบตำรวจโทหนุ่ม” สันติชัยพูด

      “ยังสวย และปากแจ๋ว เหมือนเดิมหรือเปล่า”

      “ไม่เปลี่ยนเลย แต่งงานกับตำรวจคนนี้ กูว่า อยู่ไม่ยืดว่ะ”

       “ทำไมวะ ”

      “คนละสไตล์เลย ไอ้หมอนั่น เอาแต่ใจ  กูเคยสัมผัสมา”

       แม้ผมจะกลับไปเยี่ยมแม่ ช่วงที่ยังเรียนที่เกษตรเจ้าคุณทหาร ก็ไม่พบกับสุชาดาเลยสักครั้ง ว่าไปแล้ว แม้เธอจะเป็นคนขี้ฟ้อง ช่างพูด แต่ก็เป็นคนมีน้ำใจช่วยเหลือเพื่อนๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมประทับใจไม่ลืม  เมื่อผมเรียนจบปริญญาตรีแล้วได้มาทำงานที่จังหวัดลำปาง ก็ยังเทียวไปมาที่บ้านเกิดเมืองนอน ได้พบกาญจนาเพื่อนสนิทของสุชาดาที่เธอเคยนั่งร่วมโต๊ะเดียวกันช่วงมศ. 1

        “กาญจนา เราอยากทราบข่าว สุชาดาน่ะ ว่าไปทำอะไร ที่ไหน  ” ผมถามเพื่อนหญิงที่เคยเรียนร่วมชั้น

        “เสียชีวิตแล้วล่ะ เมื่อไม่นานมานี้เอง”กาญจนา ตอบ

       “อ้าวเป็นไร ล่ะ เห็นไอ้สันบอกเพิ่ง แต่งงานกันได้ไม่ถึงสามเดือน”  ผมพูด

       “ผูกคอตาย น่ะ น่าสงสารเพื่อนจังเลยน่ะ ไม่น่าจะอายุสั้นเลย”  กาญจนาพูด

               ผมรับฟังข่าวจากเพื่อนที่เล่าให้ฟังมา แล้วรู้สึกเห็นใจ จึงถามสาเหตุของการเสียชีวิตเพิ่มเติม

       “มันเกิดอะไรขึ้น  ” ผมถาม

       “เรื่องของเรื่อง คือมันน้อยใจสามีน่ะ ทั้งๆที่ฝ่ายชายนัดว่า จะพาไอ้สุ ออกไปทานข้าวเย็นนอกบ้าน แล้วฝ่ายชายเป็นฝ่ายผิดนัด ไม่รักษาสัญญาที่พูดไว้ หนำซ้ำยังขับรถออกจากบ้านไปเล่นสนุ๊กเกอร์ โดยไม่สนใจเมีย”กาญจนาพูด

        “ก็เลยเป็นสาเหตุ ให้ผูกคอตาย ”ผมพูด

       “ใช่ .ไม่น่าเลย เพื่อนเรา อายุยังเพิ่งเบญจเพสเอง นับเป็นโศกนาฎกรรมความรัก นะ”

                                            ********************************* 

      สองสามปี ที่ผ่านมาที่ผมมีโอกาสมางานเลี้ยงรุ่นที่เพื่อนๆจัด ผมพยายามมองหาเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันมาตั้งแต่สมัยประถม กว่าหกสิบเปอร์เซ็นต์ล้มหายตายจาก ห้าสิบกว่าปีที่ผมจบชั้นมศ.3 ไม่เคยพบกับสุชาดาและวัฒนาเลยสักครั้งเดียว  ทราบว่าวัฒนายังมีชีวิตอยู่แต่สุชาดาได้จากไปตั้งแต่อายุ 25 ปี   หากวันนี้เธอยังมีชีวิต  และได้มาร่วมงานพบปะสังสรรค์ประจำปี     

                                            ผมอยากจะถามกับเธอว่า

                “ยัยสุ… เธอยังติดใจเรื่องตุ๊กตา ที่พวกเราเอาไปทิ้งขยะหรือเปล่าตอนชั้น ป.4 น่ะ"

                                               “ยังโกรธ  เราหรือเปล่า   ”

                                                    ขลุ่ย  บ้านข่อย  

                                                      (๓ -๘-๖๗)

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×