ลูกไม้หล่นไกลต้น - ลูกไม้หล่นไกลต้น นิยาย ลูกไม้หล่นไกลต้น : Dek-D.com - Writer

    ลูกไม้หล่นไกลต้น

    พี่น้องคู่นี้ในวัยเด็กขี้อาย เรียนไม่ค่อยเก่ง พ่อกับแม่ได้ติดต่ออาจารย์พิเศษ เพื่อมาติวให้ลูกโดยเฉพาะ จากที่ผมมองว่าทั้งคู่คงไปได้ไม่ไกล ก็ผิดคาด เมื่อพ่อมีอำนาจ. จึงให้ลูกสาวรับราชการ

    ผู้เข้าชมรวม

    29

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    29

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  26 ก.ค. 67 / 06:19 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

                                                  ลูกไม้หล่นไกลต้น 

        หลังจากที่อาจารย์ชาญชัย ซึ่งได้ลาไปเรียนต่อ จนจบปริญญาตรีแล้ว ก็ได้กลับมารายงานตัวเข้ารับราชการเช่นเดิม ในเวลานี้ลูกพี่ของเขาได้มีตำแหน่งเป็นถึงรองอธิการบดีที่มีอำนาจในมือ ระหว่างการกลับมาของเขาอยู่ในช่วงปิดเทอมใหญ่พอดี และเป็นช่วงที่เกิดปัญหาเกือบถึงขั้นจราจลในสถาบัน เพราะปัญหาการรับน้องใหม่ที่เกิดความรุนแรงที่สุดตั้งแต่มีการตั้งสถานศึกษานี้มา   จึงเป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตัวผู้บริหารสถาบันแบบเร่งด่วน เพื่อให้มาปรามกิจกรรมการรับน้องโดยเด็ดขาด ทางกรมได้ส่งอาจารย์ฤทธา ซึ่งเวลานั้นมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการที่วิทยาเขตแห่งหนึ่งในภาคอีสาน  

      “อาจารย์ขลุ่ย ต้องไปกรุงเทพ เพื่อไปกองอาคารสถานที่ เพื่อเอาแบบแปลนอาคารเรียนสามชั้น ไปให้บุคลากรผู้เชี่ยวชาญอนุมัติ จะได้ของบประมาณการก่อสร้าง "ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายธุรการพูด

      เนื่องจากแบบแปลนนี้ จำเป็นจะต้องได้รับการแก้ไขโดยเร่งด่วน หากจะส่งทางพัสดุจะต้องกินเวลาเกือบสัปดาห์ และช่วงเวลานั้นไม่มีข้าราชการคนใดเลย ที่จะมาราชการที่กรุงเทพ ผมจึงเต็มใจที่จะมากรม เพราะได้ถือโอกาสเปิดหูเปิดตา ได้มาเยี่ยมพี่ชายกับอาจารย์หมอธเนศ ที่คลินิคสัตว์ย่านถนนอิสรภาพ เขตบางกอกใหญ่ที่ผมเคยพำนักในช่วงตกทุกข์ได้ยาก และยังถือโอกาสแวะหาคนรักที่กำลังสานสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่อง เมื่อแบบแปลนอาคารเรียนรวมได้ถูกแก้ไขเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมจึงได้นำเอากลับมาที่วิทยาลัย เพื่อทำเรื่องของบประมาณมาดำเนินการก่อสร้าง  ครั้นเมื่อลงจากรถไฟที่สถานีลำปางแล้ว จึงเหมารถยนต์โดยสารกลับบ้านพัก  

    “กลับมาจากกรุงเทพ แล้วเหรอ อาจารย์ขลุ่ย ” อาจารย์ ชาญชัยทักทาย

     “ครับ พี่ ”

     “ไปสัปดาห์นึง พอดีเลย  ”

     “ครับ ผมแวะไปหาซื้อหนังสือให้ห้องสมุดด้วย ครับ”

     เวลานั้นอาจารย์ชาญชัยเพิ่งจบจากการศึกษา(ลาศึกษาต่อ) มาพอดีบ้านพักของเขาอยู่บริเวณทางแยกของหมู่บ้านสภาพบ้านพักหลังนี้ดูแล้วค่อนข้างจะเก่า ในบ้านพักหลังนี้พักกันเพียงสี่คน คือพ่อแม่และลูกคนโตเป็นชายชื่อเฟิร์ส และคนเล็กเป็นหญิงชื่อเฟิร์น ภริยาของอาจารย์ชาญชัยชื่อวจี ทำงานที่ศูนย์สิ่งแวดล้อม ข้างวัดแห่งหนึ่งในเมือง บ้านพักของผมอยู่ลึกเข้าไปอีกสามหลัง เป็นหลังที่ติดอยู่กับแนวรั้วของวิทยาลัย เวลานั้นนักศึกษาได้ปลูกเพิงกระท่อมข้างๆบ้านพักของผมเกือบสิบหลัง  ด้านหลังบ้านของผมเป็นป่าสะแก ส่วนด้านขวามือของบ้านของผม จะมีต้นกล้วยตานียืนต้นเกือบสิบต้น  เมื่อลมพัดแรงๆช่วงกลางคืนใบกล้วยเสียดสีกันดูน่ากลัว

       การพักอยู่คนเดียวและเมื่อมาระแคะระคายว่า ก่อนหน้าที่ผมจะมาพักทีบ้านหลังนี้ มีอาจารย์รุ่นพี่ ที่เคยมาพักที่นี่ได้กินยาฆ่าแมลงจนเสียชีวืต เพราะผิดหวังกับความรัก จึงทำให้ผมค่อนข้างจะต้องกังวลว่าสักคืนหนึ่ง คงอาจจะต้องเจอการปรากฎกายของวิญญาญของผู้ล่วงลับ ว่าไปจริงๆที่บ้านที่ผมพักค่อนข้างอึมครึม ขนาดว่าผมได้พยายามตกแต่งให้มีสีสันฉูดฉาดขึ้น  เมื่อก่อนที่ผมจะมาอยู่ที่บ้านพักหลังนี้เคยมีอาจารย์ 4 ครอบครัวมาอาศัยอยู่แล้ว แต่อยู่ได้ไม่เกิน 1ปี ต้องทำเรื่องไปขออยู่บ้านหลังใหม่เสียทุกราย เมื่อผมเข้ามาพักที่บ้านหลังนี้ได้สามเดือน วิทยาลัยจึงได้เงินงบประมาณมาสร้างบ้านพักให้ข้าราชการจำนวน 5 หลัง  

                                                      ********************

         หลังจากที่บ้านพักข้าราชการสร้่างเสร็จแล้ว กลิ่นสีของบ้านยังไม่ทันจางดี ก็มีข้าราชการเกือบ 10 รายที่เคยพักบ้านหลังเก่าๆ ก็ได้ยื่นหนังสือถึงผู้อำนวยการ เพื่อให้พิจารณาเข้าพักอาศ้ย  1 ในจำนวนสิบรายนี้ มีอาจารย์ชาญชัย ซึ่งมีความอาวุโสและมีเส้นสายสนิทสนมกับรองอธิการบดีในกรม ซึ่งเป็นที่รู้กันภายในวิทยาลัยดี จึงได้รับการพิจารณาเป็นคนแรก เขาได้เลือกบ้านพักหลังที่สร้างใหมที่ไม่ห่างจากบ้านหลังเดิม การที่ผมกับเขาพักในหมู่บ้านเดียวกันเมื่อมีการย้ายบ้านจึงต้องแสดงน้ำใจไปช่วย นอกจากผมแล้ว ยังเพื่อนอาจารย์ที่สนิทคนอื่นๆ ก็ได้มาช่วยกันคนละไม้ละมือ

       “เย็นนี้  เดี๋ยวขอเชิญทุกคน มากินข้าวเย็นด้วยกันนะ  ” อาจารย์ชาญชัย พูด

                                        *****************************

    ทีี่ม้าหินอ่อนที่บ้านพักหลังใหม่ของอาจารย์ชาญชัย  อาหารมื้อค่ำที่แม่บ้านของอาจารย์ชาญชัย ได้โชว์ฝีมือการปรุงอาหารสุดฝีมือ บนโต๊ะมีผัดเผ็ดหมูป่าที่อาจารย์ก้านแวะซื้อหมูป่าจากตลาดทุ่งเกวียนมาฝากให้  มีต้มยำไก่เมือง  ลาบเนื้อควาย ที่ขาดไม่ได้คือถั่วทอดเคล้าเกลือกับต้นหอมกับพริกขี้หนู จากที่ผมเข้าทำงานมาได้ในระยะหนึ่ง ย่อมพอจะทราบถึงการแบ่งพรรคแบ่งพวกของคนที่เป็นผู้บริหาร  เวลานั้นคนที่มีอิทธิพลและมีทั้งอำนาจและบารมี คือผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ เพราะเขาคือคนที่สามารถเสนอความดี ความชอบให้กับอาจารย์ได้  ทุกคนและคนที่เขาเสนอเพื่อขึ้นเงินเดือนให้สองขั้นไม่เคยพลาดสักราย  นี่จึงเป็นที่มาว่า อาจารย์ทุกคนเต็มใจและยินดีเป็นสมัครพรรคพวกกับเขา

    “อาจารย์ ขลุ่ย ไม่ต้องเกรงใจนะ กับข้าวกับปลามีมากมาย ดื่มสุราไปก่อน และก่อนจะกลับเข้าบ้าน จึงค่อยกินข้าวทีหลัง” อาจารย์ชาญชัยพูด

       ในวงสุราที่นี่ มีคนร่วมวงดื่มด้วยกัน 5 คนเป็นอาจารย์จากคณะวิชาช่างยนต์1 คนคืออาจารย์อัสพงษ์ อาจารย์จากสาขาเศรษฐศาสตร์ 2 คน คือผมกับอาจารย์ก้านและผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายบริการซึ่งจบวุฒิปริญญาโทจากอเมริกา ด้วยวัยของอาจารย์ชาญชัยในเวลานั้นนับว่ามีความอาวุโสในลำดับต้นๆของหมู่อาจารย์ด้วยกัน เมื่อเขาได้วุฒิปริญญาตรีกลับมา นั่นก็ทำให้ความหวังในการจะมาเป็นผู้บริหารในตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการมีสูงกว่าแต่ก่อน ที่เขามีวุฒิเพียงระดับปวส .

       การหาสมัครพรรคพวกจึงเป็นเรื่องสำคัญ หลังเกิดเหตุการณ์นักศึกษาก่อการจราจลแล้ว  เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงผู้อำนวยการคนใหม่ รองอธิการบดีที่ดูแลงานกองเกษตรกรรมทั่วประเทศ จึงส่งอาจารย์ฤทธาให้มารักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการไปก่อน ทั้งยังกำชับให้แต่งตั้งลูกน้องเก่าของเก่าของเขาให้เป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการ ในที่สุดอาจารย์ชาญชัยจึงได้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยฯฝ่ายกิจการนักศึกษา แม้อาจารย์ชาญชัยจะเคยมีประสบการณ์ในวัยหนุ่มอย่างโชกโชนมามาก  แต่การมาทำงานเพื่อป้องปรามนักศึกษาและควบคุมให้นักศึกษาเกือบหนึ่งพัน ให้เชื่อฟังและปฎิบัติตาม นับว่าไม่ง่ายเลย การใช้ไม้แข็งอย่างเดียวเพื่อปราบนักศึกษามีแต่จะกลายเป็นความรุนแรงมากขึ้นๆ  ผู้อำนวยการซึ่งเพิ่งมาใหม่ๆจำเป็นต้องหาคนมาช่วยทำงาน ด้วยบุคลิกของเขาเป็นคนกร้าว เด็ดขาด พูดจาขวานผ่าซาก ทำให้อาจารย์กลุ่มของผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ พากันแอนตี้ ไม่ค่อยให้ความร่วมมือในการทำงานกับเขา 

     “อาจารย์ขลุ่ย  มาช่วยผมทำงานนะ ”ผู้อำนวยการพูด เมื่อวันหนึ่งที่เขาเดินเข้ามาในห้องทำงานในแผนกพัสดุ  ในเวลานั้นผมยังรับงานด้านการขายผลผลิตอยู่  ทั้งยังต้องทำงานบัญชีและรายงานผลการทำฟาร์มส่งกรมทุกๆเดือน

    “ให้ผมช่วยงานด้านไหน ..ครับ  ” ผมถาม

     “มาช่วยงานอาจารย์ ชาญชัยในฝ่ายกิจการนักศึกษานะ  ผมมองหน่วยก้านคุณ และเคยสังเกตเห็นว่านักศึกษาในวิทยาลัยมักจะมาหาคุณเสมอๆ  ดังนั้นคุณจึงเหมาะที่จะมาช่วยงานในฝ่ายกิจการนักศึกษา ”  ผู้อำนวยการพูด

    “ให้ผมเริ่มงาน  เมื่อไหร่ครับ”

    “ต้นเดือนเลย แล้วจากนี้ไป งานพัสดุคุณไม่ต้องมาทำแล้วส่วนงานบัญชี เร็วๆนี้จะมีอาจารย์หญิงที่จบบัญชีโดยตรงมาบรรจุ ผมจะได้มอบหมายให้เขาทำหน้าที่นี้” ผู้อำนวยการพูด

     มันช่างเป็นความสุขที่สุด ที่ผมได้ยกภูเขาออกจากอก เพราะงานบัญชีที่ผมทำอยู่นี้เป็นงานที่ละเอียด ผิดพลาดไม่ได้เลย หลายๆครั้งที่ผมส่งรายงานบัญชีไปแล้ว เกิดความผิดพลาด เพียงแค่บวกลบเลขผิดเพียงแค่สตางค์เดียว ผมก็ต้องกลับมารื้อค้นหาที่มาที่ไปของความผิดพลาด ซึ่งต้องใช้เวลาสาม-สี่วัน  จำต้องให้นักศึกษาเป็นสิบๆคนมาช่วยเอาเครื่องคิดเลข เพื่อตรวจสอบ ข้อสำคัญคือเจ้าหน้าที่การเงินในฝ่ายธุรการซึ่งเป็นบริวารของผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ ไม่ค่อยจะให้ความร่วมมือในการทำงานกับผมเลย

    “จากนี้ไป เราจะได้สบายใจเสียที อยู่กับตัวเลข ตลอดเวลามึนหัวและเครียด ”ผมคิด

    อาจารยฺ์ชาญชัย ได้รับตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายกิจการนักศึกษาเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา   แม้เขาจะผ่านชีวิตวัยรุ่นมาอย่างโชกโชน แต่มันไม่ง่ายนักที่จะทำงานปกครองกับเยาวชนเกือบพันคนซึ่งส่วนใหญ่กว่า 90 เปอร์เซ็นต์เป็นผู้ชายที่มีอายุตั้งแต่17 ปีขึ้นไป ทั้งผู้อำนวยการและอาจารยฺ์ชาญชัยต่างเห็นว่าควรดึงผมมาช่วยทำงาน และผมก็คิดว่า มันเป็นโอกาสดี ที่ผมจะได้แสดงความสามารถให้พวกเขาทั้งวิทยาลัยได้เห็น งานที่เขามอบหมายให้ผมทำก็ไม่เคยพลาด และทำให้เขาผิดหวัง  การถึงลูกถึงคน ความกันเอง ติดดิน รับฟังและช่วยแก้ไขให้พวกเขาได้ ไม่ตระบัดสัตย์ จึงทำให้ผมสามารถครองใจนักศึกษาที่เป็นแกนนำและนักศึกษาทั่วไป

                                                *************************

     เวลานั้น.ลูกชายกับลูกสาวของอาจารย์ชาญชัยกำลังเรียนชั้นมัธยมเฟิร์สเรียนชั้น ม.2   ส่วนเฟิร์นเรียนชั้น.ม.1 หลายๆครั้งที่ผมเข้าไปในเมืองเพื่อติดต่อราชการ ผู้ช่วยชาญชัยจะฝากให้ผมช่วยไปรับลูกของเขาที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง  ปกติที่วิทยาลัยจะมีรถรับส่งนักเรียนอยู่แล้วแต่หากเด็กๆจะรอกลับพร้อมๆกันกว่าจะถึงบ้านก็ 5 โมงเย็น ลูกๆของอาจารย์เข้าไปเรียนหนังสือในเมืองเกือบ 10 โรงเรียน  

       “ขอบคุณครับ(ค่ะ) อา ขลุ่ย” สองพี่น้องกล่าวขอบคุณ 

       เวลานั้น.ผมยังไม่มีโทรทัศน์ชม ภริยาของผู้ช่วยฯจึงชักชวนว่าหากเหงาๆจะมาดูข่าวที่บ้านนี้ก็ยินดี  จากที่ผมทำงานกับผู้ช่วยชาญชัยในระยะสองปีแรก ดูเขาจะเป็นคนจริงใจ ใจกว้าง ยุติธรรม แต่ต่อมาพวกอาจารย์นกรู้ ที่พอจะวิเคราะห์ว่า ในไม่ช้าอาจารย์ชาญชัยจะได้เป็นผู้อำนวยการตัวจริงเสียงจริง ต่างพากันมาสอพลอทั้งที่ห้องทำงาน และที่บ้านจนหัวกระไดไม่แห้ง  แรกๆที่ห้องฝ่ายกิจการนักศึกษา มีผมกับอาจารย์ชาญชัยนั่งกันเพียงสองคน ส่วนอาจารย์ฝ่ายกีฬาซึ่งจบจากพละศึกษาอาจมานั่งบ้าง ส่วนใหญ่เขาจะสอนนักศึกษาในสนามกีฬา  

                                           ****************************

       “อาจารย์ขลุ่ย ช่วยสอนการบ้านให้เด็กๆ หน่อยนะ”  อาจารย์ชาญชัยพูด

       หลังเลิกเรียนและกลับเข้ามาถึงบ้านแล้วทั้งเฟิร์สและเฟิร์น สองพี่น้อง จะนั่งทำการบ้าน เวลาเดียวกันนั้นผมก็ไปนั่งดูข่าวภาคเย็น-ค่ำ จึงถือโอกาสสอนหนังสือให้เด็กๆซึ่งเสมือนหลานของตน ช่วงที่เฟิร์สเรียนชั้น ม.2- ม.3 เขาไม่มีความชอบและถนัดในวิชาการคำนวณเลยสักนิด  

       “ยากจัง อา  วิชาคณิตศาสตร์  เฟิร์สไม่ชอบเลย  ”

       ผมมองดูเด็กทั้งสองแล้ว คงไม่น่าจะมีโอกาสเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยได้ค่อนข้างแน่ เพราะจากที่ดูความถนัดของเขา วิชาคณิตตศาสตร์ถือเป็นวิชาสำคัญในการสอบแข่งขัน   ทั้งอาจารย์ชาญชัยและภริยามิได้คาดหวังอะไรกับลูกทั้งสองคน ในใจเขายังคิดว่าหากลูกชายจะมาเรียนทางวิทยาลัยเทคนิคก็ไม่ขัดข้อง เอาตามที่ลูกอยากจะเรียน  ช่วงที่ผมสนิทกับผู้ช่วยชาญชัยเขามักจะชวนผมเข้าไปดื่มสุราในเมืองและพาท่องเที่ยวยามราตรี กว่าจะกลับเข้าบ้านก็เกือบสองยาม แต่แม่บ้านของเขาก็มิเคยปริปากตำหนิสามีเลย

                                               ****************************

        เมื่อเฟิร์สเรียนจบม.ต้น ผู้ช่วยชาญชัยได้ฝากลูกชายเข้าเรียนในโรงเรียนของรัฐ ในชั้นม.ปลายท่ามกลางความงง ของผม ในใจผมถึงกับสบประมาทว่าหลานคนนี้ถ้าจะไปไม่รอดแน่ เพราะจากที่ผมเคยสอนการบ้านเขาย่อมรู้ถึงสติปัญญาของเขาได้ 

       “เป็นไง?? เฟิร์ส เรียน ม.4 โปรแกรมอะไร  ” ผมถาม 

       “โปรแกรมวิทย์-คณิต ยากครับอาขลุ่ย” เฟิร์สตอบ

       “โฺอ้โห" (จะรอดมั้ยนี่หลานชาย)  ผมคิด

       “ผมต้องไปติววิชาคณิต กับครูสอนพิเศษเฉพาะที่แม่ติดต่อให้” เฟิร์สพูด

        “อดทนนะ ยากหน่อย อาขอเอาใจช่วย สมัยอาเรียนอาเรียนศิลป์ภาษา” ผมพูด

       “วันเสาร์ ผมอยากให้อาไปเป็นเพื่อนซื้อกีตาร์ให้หน่อย” เฟิร์สพูด

      “ได้สิ  เดี๋ยวเราไปเลือกด้วยกัน”

        ผมกับเฟิร์ส พากันไปเลือกกีตาร์ ยี่ห้อไม่ดังเป็นเพราะเฟิร์สบอกว่า อยากซื้อมาฝึกก่อน หากเล่นชำนาญแล้วจึงจะซื้อยี่ห้อมีชื่อ  เหตุผลที่เฟิร์สชวนให้ผมไปเป็นเพื่อน เพราะเขาทราบว่า ผมเป็นคนคุมวงดนตรีของวิทยาลัยในเวลานั้น สำหรับเฟิร์น เธอมาเรียนสายวิชาชีพทางด้านบริหารธุรกิจ ค่อยๆไต่ระดับจากปวช. -ปวส- และจนจบปริญญาตรี   สำหรับเฟิร์สกับผมในช่วงหลังไม่ค่อยพบกัน เป็นเพราะช่วงหลังอาจารย์ชาญชัยได้ย้ายจากบ้านพักไปปลูกบ้านในเมือง และช่วงหลังผมกับอาจารย์ชาญชัยก็เป็นขมิ้นกับปูน 7-8 ปีที่เขารับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการ เรามีความขัดแย้งกันเนืองๆ เพราะความคิดเห็นไม่ตรงกันและมีบ่าง ที่อยู่รอบตัวเขาสร้างเรื่อง และเอาเรื่องที่ผมวิพากษ์วิจารณ์ตัวเขาไปฟ้อง ผมถูกอาจารย์ชาญชัยเรียกไปตำหนิ หลายครั้ง จะอย่างไรเขาก็คงให้ผมช่วยงานต่อไป

                                                    ********************

                                   เปิดเรียนเทอมแรก ปีการศึกษาหนึ่ง  .

       “สวัสดีค่ะ อาขลุ่ย ” อาจารย์สาวทักทาย 

        ผมหันหลังไปดู เพราะเสียงที่ได้ยินนี้ เหมือนจะคุ้นๆมาก่อน

      “อ้าวเฟิร์น มาทำอะไร?? ที่นี่”  ผมถาม

      “มาสอน ในสาขาการจัดการ ค่ะอา”เฟิร์นตอบ

     เพียงได้ยินเท่านี้ ผมก็ปะติดปะต่อเรื่องราวได้ โดยไม่ยากเย็น  ใช่สิ ??เขาเป็นถึงลูกสาวผู้อำนวยการ เรื่องแบบนี้สังคมไทย มันหนีไม่พ้นเรื่องเส้นสาย ใจหนึ่งก็เห็นใจ ใจหนึ่งก็รับไม่ได้   ผมพยายามทำใจ ที่จะไม่ทำให้บัวช้ำและน้ำขุ่น  เป็นเพราะความหวังดีของพ่อ ที่อยากให้ลูกสาวมีความมั่นคงในชีวิต

       “จริงๆหนูไม่อยากมาเป็นอาจารย์ สอนที่นี่เลย เพราะกลัวใครๆเขาจะว่า มาจากเส้นพ่อ “  เฟิร์นพูด

      “อา.เข้าใจ พ่อเขาคงหวังดีกับเฟิร์น แต่คงไม่เข้าใจกับความเป็นคนรุ่นใหม่ที่เฟิร์นยึดหลักระบบคุณธรรม” ผมพูด

      ตั้งแต่วันแรกที่เฟิร์นมาทักทายผม และมาทำหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้สอน เธอไม่เคยอวดตัวและทำตนเหนือกว่าใครๆ ไม่ทำตนเป็นอภิสิทธิ์ชนและเวลาเดียวกันนี้ เธอได้พบรักกับหนุ่มไทยที่เป็นเชฟมีชื่อเสียงในรัฐแคลิฟอเนีย สหรัฐ อเมริกา และได้ผมได้ข่าวว่าในไม่ช้านี้ทั้งคู่จะจัดงานมงคลสมรสขึ้น   

    “อาขลุ่ย ต้องมางานแต่งเฟิร์น ใ้ห้ได้นะคะ หนูรู้เรื่องราว ระหว่างพ่อกัยอาขลุ่ย ตลอดมา เพราะพ่อมาคุยกับแม่” เฟิร์น พูด    

    “อา ก็งงกับพ่อเฟิร์นที่เป็นคนหูเบา อาก็เป็นคนตรงๆ  รักก็รักชอบก็บอกชอบ สอพลอคนไม่เป็น เมื่อความคิดเราไม่ตรงกันก็ต่างคนต่างเดิน ” ผมพูด

     “เฟิร์นทราบและมองอาขลุ่ยออก เฟิร์นมีปากเสียงกับพ่อเหมือนกัน ยอมรับว่าทำงานด้วยกับพ่อแล้วอึดอัด เฟิร์นคิดว่าเฟิร์นอยากทำงานอิสระมากกว่า ไม่จำเป็นต้องรับราชการก็ได้” 

      "มีแต่คน อยากรับราชการมากมายนะ คิดให้ดีเสียก่อน”

      “คิดดี แล้วค่ะอา “

     “อ้าว  แล้วแม่ของเฟิร์นว่าไง  “

     “แล้วแต่ลูก บรรลุนิติภาวะแล้ว”

       เฟิร์นทำงานต่อมาอีกไม่ถึงปี. ก็ลาออก จากนั้นก็ไปอยู่กับครอบครัวของสามีที่อเมริกา -จนปัจจุบัน สำหรับงานแต่งของเธอ ผมมิได้ไปร่วมเพราะจัดงานที่กรุงเทพ ฯ เพียงแต่โทรศัพท์ไปอวยพรให้

     “ขอบคุณค่ะ อา .เฟิร์นสบายใจขึ้นมากเลย ตอนนี้พี่เฟิร์สบวชที่วัดป่าแห่งหนึ่ง คาดว่าคงบวชไม่สึกแล้ว”

                       มันเกิดอะไรขึ้นหรือ??  ทำไมครอบครัวนี้ จึงมีแนวคิดแตกต่างกันมาก ระหว่างพ่อกับลูก

                         ผมย้อนกลับไปมองเด็กทั้งสอง เมื่อครั้งที่ผมมาทำงานใหม่ๆ  ทั้งคู่ซื่อสดใส บริสุทธิ์

                       ความคิด และจุดยืนของเธอทั้งสอง ช่างน่าศรัทธาเสียจริง  คนรุ่นใหม่น้อยคนนัก ..

                                              ที่ไม่ยึดติด กับวัตถุ เงินตราและตำแหน่ง 

                                   นี่น่าจะเป็นครอบครัวแรก ที่ลูกไม้อยู่ไกลต้น อย่างมาก

                                                           ขลุ่ย  บ้านข่อย 

                                                              (๒๖/๗/๖๗)

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×