ดีใจและเสียใจในคราเดียวกัน - ดีใจและเสียใจในคราเดียวกัน นิยาย ดีใจและเสียใจในคราเดียวกัน : Dek-D.com - Writer

    ดีใจและเสียใจในคราเดียวกัน

    ในหมู่บ้านแห่งนี้ เดิมมีร้านค้าที่ขายสินค้าเพียงร้านเดียว แต่เมื่อมีร้านขายสินค้าเปิดใหม่ที่ผมคุ้นเคย จึงได้ช่วยแนะนำให้เขาได้รู้จักการใช้กลยุทธ์การดึงลูกค้า นานวัน..วันเวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน

    ผู้เข้าชมรวม

    6

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    6

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  18 เม.ย. 67 / 16:00 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

                                          ดีใจและเสียใจไป ในคราเดียวกัน

      ช่วงที่ผมย้ายมาอยู่ที่บ้านห้วยยางนาใหม่ๆ จะมีร้านขายสินค้าขายหลากหลายชนิดเพียงร้านของเสี่ยโรจน์ ซึ่งเป็นบ้านสองชั้นสองคูหา   ลูกค้าของเขาส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านห้วยยางนาและหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียง เสี่ยโรจน์ เป็นคนไทยเชื้อสายจีนที่มีภูิลำเนาจากจังหวัดแห่งหนึ่งของภาคกลาง  ก่อนที่เขากับภริยาจะมาเปิดร้านขายสินค้าเบ็ดเตล็ดนับแต่ ข้าวสาร น้ำตาล เกลือ น้ำปลา น้ำมันพืช เหล้า บุหรี่  ฯลฯเสี่ยโรจน์เคยเป็นผู้ค้าแรงงานในประเทศแถบตะวันออกกลางมาก่อน 

       “จะซื้ออะไรหรือ พ่อหนุ่ม” เจ้าของร้านถาม

      “มีบุหรี่ ขายมั้ยครับ”ผมพูด

     “ยี่ห้ออะไร ”

     “กรุงทองสั้น  ซองนึง  ”

        เขาหยิบบุหรี่ ยื่นมาให้..  ผมได้รับแล้วจึงเอามาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ  สายตาของผมเหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ที่วางไว้บนโต๊ะหินอ่อน  ผมจึงเดินไปหยิบหนังสือพิมพ์เพื่อคลี่ออกดูหัวข้อข่าวที่น่าสนใจ  ณ. ที่บ้านห้วยยางนาแหล่งที่จะเป็นที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ได้ก่อนหน้ามีเพียงร้านขายกวยเตี๋ยวของแม่ค้าม่ายคนสวยเพียงแห่งเดียว  และที่นี่ก็คงจะเป็นที่แห่งใหม่ที่ผมคงอาศัยได้มาอ่านหนังสือพิมพ์ในวันหน้า

      “พี่..รับหนังสือพิมพ์มาอ่าน เป็นประจำหรือครับ วันหน้าหากผมมีโอกาส จะขอมานั่งอ่านข่าวบ้างนะครับ ”  ผมบอกกับเจ้าของร้าน

            ผมเพิ่งมาเป็นลูกค้าเขาเป็นครั้งแรก เขามิอาจทราบสถานะว่าผมเป็นใครมาจากไหน สถานที่ราชการที่อยู่ในบริเวณ นี้มีเพียงสามหน่วยงานคือสถาบันฯที่ผมทำงาน (วิทยาลัยเกษตร ฯ)  กรมทางหลวงและโรงเรียนบ้านห้วยยางนา แม้ผมจะมีวัยเบญจเพสแล้วแต่บุคลิกและรูปร่างยังดูเหมือนเพิ่งจะสำเร็จการศึกษาในระดับวิชาชีพ

    “ตามสบาย ถ้าผมอ่านอยู่ ก็ต้องรอนะ”เขาพูดห้วนๆ  

      ผมนั่งที่ม้าหินอ่อนอยู่ประมาณสิบนาที จึงลุกจากที่นั่งออกจากร้านค้าของเขาไป และจากนั้นมาผมจึงเป็นลูกค้าประจำของเขา วันเสารฺ์-อาทิตย์ หลังจากผมกินข้าวมื้อเช้าแล้ว คิดว่าหากได้มานั่งดื่มน้ำอัดลม พร้อมอ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วย มันจะช่วยฆ่าเวลาให้คลายความเหงาไปได้ไม่น้อย  ผมจึงขี่จักรยานออกจากบ้านในวิทยาลัยฯ มาที่ร้านของนายโรจน์ซึ่งชาวบ้านมักเรียกชื่อเขาว่าเสี่ยโรจน์ 

          ผมทราบข้อมูลจากชาวบ้านคุยให้ฟังว่า เสี่ยโรจน์ เคยเป็นช่างซ่อมรถยนต์มาก่อน  ในช่วงหนึ่งที่ตลาดแรงงานทางตะวันออกกลางต้องการแรงงานแผนกช่างยนต์ เขาจึงสมัครไปทำงานและอยู่ทำงานเกือบ10 ปีจึงกลับประเทศไทย เขามีเงินเก็บเงินออมเป็นกอบเป็นกำ จึงมาเริ่มทำกิจการร้านค้าเป็นเจ้าแรกของหมู่บ้าน   

                                                  ***********************

                                                   ที่ร้านค้าของนายโรจน์  

      "-โคลา ขวดนึง  น้ำแข็งเปล่า หนึ่งแก้ว ”  ผมเอ่ยปากสั่งเครื่องดื่ม

       เจ้าของร้านเดินไปยังตู้เย็นแล้วหยิบเครื่องดื่มพลางเปิดขวดพร้อมนำมาเสิร์ฟให้ลูกค้าหน้าใหม่  ผมนั่งอ่านข่าวที่สนใจ  วันนี้… ผมได้เห็นคนในครอบครัวของเสี่ยโรจน์ครบทุกคนคือแม่บ้านและลูกสาววัยสิบขวบต้นๆสองคน  หลังจากเขานำน้ำอัดลม-แก้วน้ำแข็ง มาเสิร์ฟให้ผมแล้ว จึงเข้าไปนั่งลอมวงที่โต๊ะอาหารเป็นคนสุดท้าย

        ห้านาทีต่อมามีเด็กชายวัย 8 ขวบ ที่เป็นลูกชาวบ้านแถวๆนั้นเดินมายังที่ร้านแห่งนี้  เขาเดินมองหาสินค้าที่ต้องการ แต่ยังมองหาไม่พบกับสิ่งที่ต้องการเสียที

    “เฮ้ยไอ้หนู จะซื้ออะไร ก็รีบซื้อสิวะ มายืนเก้ๆกังๆ ไปไป๊ ถ้าคงจะไม่มีตังค์หรอก ”เสี่ยโรจน์ พูดดุเด็กน้อย

         ผมค่อนข้างไม่ค่อยจะสบอารมณ์กับเจ้าของร้านคนนี้นัก เพราะเขาใช้วาจาที่เหยียดกับเด็กน้อยทีี่ยังไม่ประสีประสา และเป็นการดูแคลนมนุษย์ด้วยกันที่มากเกินไป  

      “เป็นผู้ใหญ่คราวพ่อ คราวลุง ยังมามีพฤติกรรมแย่ๆอีก นี่มันเด็กเล็กเพียงระดับชั้นประถม ไม่น่าจะกระทำเช่นนี้เลย   เขาต้องมีตังค์สิ จึงจะมาที่ร้าน ” ผมคิดในใจ 

       “ไปเลย ไอ้หนู …น่ารำคาญ "เจ้าของร้านเอะอะ พลางลุกขึ้นผายมือให้เด็กคนนั้นออกจากร้าน  ผมมองด้วยความงุนงง จนต้องลุกจากเก้าอี้เพื่อเดินมาหาเด็กชายคนนั้น  

      “ซื้ออะไรหรือครับ หนู”  ผมพูด  

      “ของเล่น ครับ” เด็กคนนั้นพูด

     “เป็นแบบไหน เหรอ”

     “โยว โย่วครับ น้า ”เด็กพูด

     “ อ๋อ  ”

       เมื่อผมทราบข้อมูลจากเด็กแล้ว จึงเป็นธุระไปสอบถามเจ้าของร้านที่กำลังตาเขียวกับเด็ก  

      “เด็ก เขาอยากจะมาซื้อของเล่นที่เรียกว่าโยวโย่ว ครับ ที่ร้าน มีจำหน่ายมั้ย ครับ  ”

     “มี แต่หมดแล้ว ” เสี่ยโรจน์ ตอบห้วนๆ 

          ผมได้รับคำตอบจากเจ้าของร้านแล้ว จึงเดินมาบอกกับเด็กชายคนนั้น ให้รู้ว่าที่ร้านขายหมดแล้ว คงต้องรอไปก่อน   เขาจึงเดินผละจากร้านออกไป  นี่เป็นครั้งแรก ที่ผมเห็นพฤติกรรมเจ้าของร้านคนนี้  และจากนั้นมาผมก็ได้เห็นท่าที ที่กักขฬะ หยิ่งยะโส ของเจ้าของร้านคนนี้ที่ได้ทำกับลูกค้าไม่ซ้ำหน้าไม่เว้น.กระทั่งผม ที่รับราชการที่มีตำแหน่งหน้าที่  ที่ช่วงหลังมาเป็นลูกค้าประจำของเขา ผมจำใจต้องเป็นลูกค้าของเขาด้วยความจำใจ เพราะสองหมู่บ้านที่ผมอยู่ใกล้ที่สุดไม่มีร้านค้่าที่มีสินค้าขายมากอย่างร้านของเขาเลย    

                                          *********************************

          หลังจากที่ผมเข้ามาอาศัยในหมู่บ้านแห่งนี้ ได้รู้จักกับนายชาญกับเจ๊หมวยที่เป็นสามีภริยา ซึ่งมีฐานะดี ที่มีบ้านหลังใหญ่ที่อยู่เยื้องบ้านเสียโรจน์ นายชาญก็เพิ่งครบกำหนดสัญญาการทำงานในต่างประเทศ ได้บินกลับมาอยู่กับครอบครัวอย่างถาวร เขาได้รับเงินค่าแรงงานจากการทำงานมาหลายแสนบาท ได้ปรึกษาหารือกับภริยาเพื่อจะเปิดร้านขายของเหมือนกับบ้านซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม  จริงๆก่อนหน้านี้ ผมรู้จักกับเจ๊หมวยอยู่บ้าง ในฐานะเพื่อนร่วมอาศัยในหมู่บ้านเดียวกัน  เราพบกันก็ได้ทักทายกันบ้างตามประสา 

    “อาจารย์  ตอนนี้ที่บ้านของฉัน เปิดขายของแล้ว ยังไงไปช่วยอุดหนุนและซื้อสินค้าด้วยนะ” เจ๊หมวยพูด

    “เปิดนานหรือ ยังครับ”

    “เพิ่งเปิดได้สักสัปดาห์ที่ผ่านมา นี่เอง”

    “มีบุหรี่  สุราขายมั้ย” 

     “มีค่ะ”

       นับแต่นั้นมา .ผมก็เริ่มมาอุดหนุนซื้อสินค้าร้านเจ๊หมวย การที่ผมเป็นราชการชั้นผู้น้อย เงินเดือนในเวลานั้นได้รับยังไม่ถึงสามพันบาท บางเดือนค่าจับจ่ายใช้สอยอาจมีการขาดมืออยู่บ้างแม้ผมจะพยายามกู้เงินจากสหกรณ์แล้ว แต่ก็ยังไม่พอใช้อยู่ดี

     “เจ๊หมวย เดือนนี้ผมขอแปะก่อนนะ ” ผมพูดกับเจ้าของร้านแห่งใหม่ 

    “ได้เลย ค่ะ”เจ๊หมวยตอบ 

       เจ๊หมวยคงทราบถึงหัวอกของข้าราชการหนุ่มโสดอย่างผม ว่ายังไง?? คงไม่คิดที่จะเบี้ยวหนี้ ที่มาลงบัญชีจับจ่ายซื้อสินค้าร้านของเธอได้ เพราะสถานที่ทำงานไม่ไกลเกินกว่าจะติดตามทวงถามได้

        เมื่อเธอให้เครดิตแก่ผมแล้ว ผมจึงมาอุดหนุนสินค้าอย่างเสมอต้นเสมอปลาย แม้ในที่ทำงานจะมีร้านสวัสดิการ ที่สามารถจะซื้อสินค้าได้หลากหลายบ้าง แต่สินค้าส่วนใหญ่ก็จะเป็นของพื้นๆธรรมดาๆอย่างเช่น ข้าวสาร  ไข่ไก่ นมสด พืชผัก น้ำปลา น้ำตาล  ครั้งหนึ่งกรรมการบริหารร้านค้าสวัสดิการ เคยสั่งสินค้าประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  บุหรี่ มาจำหน่ายให้ข้าราชการ คนงาน แต่ก็มีเสียงทักท้วงจากอาจารย์ส่วนหนึ่งที่คัดค้านว่าไม่เหมาะสม เนื่องจากเป็นสถานศึกษา

                                                                    ******************** 

         ร้านเจ๊หมวย เริ่มโตวันโตคืนกลายเป็นคู่แข่งขันกับร้านเสี่ยโรจน์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ผมแวะเข้าไปทั้งสองร้าน แต่จะแวะไปที่ร้านเสี่ยโรจน์ เพื่อมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์เป็นหลัก หลายๆครั้งดูท่าทีของเสี่ยโรจน์ ไม่ค่อยพึงพอใจที่ผมมานั่งในร้านของแกโดยไม่สั่งเครื่องดื่มดังที่เคยสั่ง

       “ไม่สั่งอะไรกินเหรอวันนี้  ” เสี่ยโรจน์ทวงถาม

       “เพิ่งกินมาน่ะ ยังอิ่มอยู่เลยครับ ” ผมพูด

      “ไปนั่งร้านโน้นสิ เขาก็รับหนังสือพิมพ์มาเหมือนกัน ” เสี่ยโรจน์พูด

       คำพูดคำจาของเสี่ยโรจน์ ดูจะไม่ให้เกียรติลูกค้าเลย ขนาดผมรับราชการมียศมีตำหน่ง สมัยที่เจ๊หมวยยังไม่เปิดร้านขายของ เขาเคยสั่งให้ผมต้องรอเพื่อให้กินข้าวเสร็จก่อนจึงจะมาหยิบสินค้าให้

      “นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ไปก่อน  รอได้มั้ย รอไม่ได้ ก็กลับไปก่อน” เสี่ยโรจน์พูด

       แรกๆ ผมก็พอจะรัับได้ เพราะไม่มีร้านค้าใดที่จะหาซื้อสิ่งของมาสนองความต้องการได จึงจำต้องรอเจ้าของร้านทำภารกิจให้เสร็จก่อน  แต่เมื่อเสี่ยโรจน์ไม่แคร์ลูกค้า และใช้วาจาที่มิสู้สุภาพกับผมและลูกค้าคนอื่นๆ ต่อมาร้านค้าของเขาก็ร้างจากลูกค้า ทุกคนพากันมาอุดหนุนร้า่นเจ๊หมวย ผมผ่านมาพบเสี่ยโรจน์นั่งหาวนอนหาว ในร้านก็รู้สึกสงสาร  

                                          *   **********************************

             ผมเป็นลูกค้าประจำเจ๊หมวย ตั้งแต่เธอเปิดร้านค้าใหม่ๆ การที่ลูกค้าหันพากันมาอุดหนุนที่ร้านเจ๊หมวยล้นหลามเป็นเพราะการใช้คำพูดคำจาที่สุภาพ สนใจ เอาใจลูกค้า การยืดหยุ่น หลักการนี้ผมแนะนำให้เธอเอง

    “ช่วงลูกค้ามาซื้อของ เมื่อคิดยอดเงินรวม หากมีเศษส่วนเงิน ยอมยกให้ลูกค้าไปเลย เท่านี้ก็จะทำให้เขาประทับใจ คำพูดคำจานี่ก็สำคัญ ใบหน้าต้องยิ้มแย้มตลอดเวลา คงไม่เกินความสามารถของเจ๊ได้อย่างแน่นอน” ผมแนะนำ

    “ขอบคุณค่ะอาจารย์ ”เจ๊หมวยพูด

      ใจลึกๆแล้ว ผมก็รู้สึกสงสารเสี่ยโรจน์อยู่บ้าง หลายครั้งที่ผมไปนั่งสั่งเครื่องดื่ม เพื่อสังเกตอากัปกิริยาแก เหมือนว่าแกจะมีความรู้สึกสำนึกผิด แต่มันก็สายไปเสียแล้ว ท่าทางแกกลัดกลุ้มจากที่ไม่เคยดื่มสุราเลย ก็หันมาดื่มจนเกิดเรื่องเศร้าเมื่อเสี่ยโรจน์ข้ามถนนหลวงเพื่อจะมารับแม่ยายที่มีบ้านอยู่ฝั่งตรงข้าม ความมึนเมาทำให้ไม่สามารถเดินหลบรถที่มาอย่างรวดเร็วได้รถยนต์จึงบดขยี้ร่างแกจนสิ้นชีวิตคาที่ 

                                                                 ***********************

              ร้านเจ๊หมวยกับสามี ต้องขยายห้องเพิ่ม สินค้าในร้านมีเกือบครบทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นวัสดุก่อสร้าง  ไฟฟ้า ประปา ระยะหลังผมสนิทกับครอบครัวนี้มากขึ้น จนเมื่อตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านห้วยยางนาว่างลง  การที่ผมได้คลุกคลีกับชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งนี้มานาน พอจะมองออกว่าผู้ใดมีความเหมาะสมที่จะเป็นผู้ใหญ่บ้านแทนคนเดิม  และเมื่อวันหนึ่งที่ผมมาซื้อสินค้าได้พบกับสามีเจ๊หมวยคือนายชาญ ผมจึงได้ทาบทามให้เขาลงสมัครเพื่อชิงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน 

      “ผมมองว่าพี่ชาญมีความพร้อม และมีความเหมาะสมที่จะลงชิงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน นะ”

      “ขอคิดดูก่อน คงขอปรึกษากับภริยาผมก่อนดีกว่า” พี่ชาญพูด

     “งั้นก็ได้ครับ  ” ผมพูด

       เหตุที่ผมมองว่านายชาญมีความเหมาะสมกับตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน เพราะเขามีการศึกษาสูงกว่าชั้นประถมปีที่ 4 ฐานะทางบ้าน เหนือกว่าชาวบ้านคนอื่นๆ  เมื่อถึงวันปีดรับสมัครตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านแล้ว จึงทราบว่านายชาญไม่พร้อมที่จะลงสมัคร นับว่าเสียดายที่จะได้คนมีความรู้ ความสามารถมาเป็นผู้นำหมู่บ้าน

                                                        **************************

         ส่วนใหญ่เด็กในวัยเรียนของสังคมที่ห่างตัวเมือง ผู้ปกครองมักจะให้เด็กเรียนจบเพียงชั้นประถมปลายแล้วไปช่วยเหลือ งานของครอบครัวในภาคเกษตรกรรม พี่ชาญกับเจ๊หมวย ถือเป็นครอบครัวที่ตระหนักกับการให้การศึกษาบุตร เขามีบุตรสาวสองคนที่มีวัยห่างกันสามปี แป๋วเป็นคนโตในเวลานั้นกำลังเรียนชั้นม.4 ส่วนเปิลกำลังเรียนอยู่ชั้น ม.2 ลูกของเจ๊หมวย เป็นเด็กที่อยู่ในโอวาทของพ่อแม่และเป็นเด็กที่ตั้งใจเรียนมาก น้อยครั้งที่ผมจะได้เห็นเด็กสาวทั้งสองมาช่วยขายของ

    “โชคดีจังเลย นะเจ๊ ที่ได้ลูกสาวเป็นคนตั้งใจเรียน และมีมารยาทดี ทั้งยังเชื่อฟังพ่อแม่” ผมพูดกับเธอ

    “ปีนี้แป๋วกำลังจะเอนทรานซ์ เจ๊..กลัวจะพลาดเหมือนกัน " เจ๊หมวยปรารภ

    “ผมคิดว่า ไม่น่าพลาดหรอก เธอขยันออกอย่างดี ”ผมพูดให้กำลังใจ

          ครั้นเมื่อมหาวิทยาลัยประกาศผลสอบแป๋ว ก็พลาดการสอบเอนทรานซ์ จึงไม่สามารถมีที่เรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐ ผมรู้สึกเห็นใจเด็ก เพราะเท่าที่เคยสัมผัสแป๋วเป็นเด็กที่มีมารยาทดี  มีผลการเรียนในโรงเรียนของจังหวัด ได้เกรดระดับ ดี - ดีมาก มีใบหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลา เธออาจมีความผิดพลาดในการเลือกคณะเรียนอาจเพราะประสบการณ์ อีกใจหนึ่งผมคิดว่าคนอย่างเจ๊หมวย คงไม่สิ้นไร้ไม้ตอกกับการจะส่งเสียให้ลูกสาวเรียนในมหาวิทยาลัยเอกชน 

      “นี่  ..เจ๊ว่า จะให้แป๋วไปเรียน ที่มหาวิทยาลัยเอกชนในกรุงเทพ  แต่แป๋วอยากเรียนใกล้บ้าน เจ๊เลยไปติดต่ออาจารย์อาทร ให้ช่วยวิ่งเต้นให้ลุูกสาวได้เข้าเรียนในสถาบันที่อาจารย์สอน ไม่รู้จะได้หรือไม่ เขาไม่รับปาก”

                                                        ***********************

              เวลานั้นสถาบันที่ผมสอน มีสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร กำลังได้รับความนิยมสูงสุด แต่ละปีมีนักเรียนมาสมัครสอบในอัตราหนึ่งต่อ- ยี่สิบ  สถาบันได้เริ่มเปิดสอนมาแล้วประมาณสองสัปดาห์ วันหนึ่งขณะผมอยู่ที่ร้านสวัสดิการได้มีเด็กสาวแต่งชุดนักศึกษาของสถาบันได้เข้ามาทักทาย

    “สวัสดีค่ะ อาจารย์  ”

    “อ้าว  แป๋ว มาเรียน ที่นี่//เหรอ ก็ไหนแม่ของเรา บอกว่า จะให้แป๋วไปเรียนที่กรุงเทพ ”

    “หนูไม่อยากไป เพราะไม่คุ้นและต้องอยู่คนเดียวตามลำพังค่ะ”

        ความรู้สึกของผม ณ เวลานั้นทั้งดีใจและเสียใจไปในคราเดียวกัน ที่ดีใจคือมีเด็กสาวนิสัยดี ความประพฤติดี ผลการเรียนดี ได้เข้ามาศึกษาในสถานศึกษาแห่งนี้ แต่ที่เสียใจคือเธอไม่ได้เข้ามาสอบแข่งขันพร้อมๆกับคนอื่นๆด้วยกติกาแบบเดียวกัน  

       “ ทำไง// ได้เล่า สังคมไทยก็เป็นแบบนี้ ” ผมคิด

       ผมทราบภายหลังว่า เจ๊หมวยต้องจ่ายเงินให้กับผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ เพื่อแลกเก้าอี้นั่ง ในห้องเรียนในสาขา ที่เยาวชนอยากเรียนมากที่สุด ของสถานศึกษาแห่งนี้  

          ผมจำต้องฝืนและต้องปิดปากเงียบแม้จะไม่สบายใจอย่างมาก เป็นเพราะ มันไร้ความยุติธรรมแก่เด็กนักเรียนคนอื่นๆ อีกมากที่มาสมัครสอบต้องพลาดโอกาสได้เรียน แต่กับแป๋วไม่ได้มาสมัครสอบ กลับมีโอกาสได้มาเรียนแบบไม่ต้องแข่งขันกับใครๆ เพียงจ่ายเงินสดหมื่นบาทให้กับผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มหนึ่ง แป๋วเข้าเรียนในสถานศึกษา 4 ปีจนจบปริญญาตรี ได้เกียรตินิยม อันดับ 2  จากนั้นเธอได้ไปสมัครสอบเรียนต่อที่พระจอมเกล้า ลาดกระบังในสาขาเดิม และสำเร็จการศึกษาได้เกียรตินิยมอันดับ 1  สำหรับน้องสาวของแป๋ว ได้เข้าเรียนในคณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  ได้เกียรตินิยมอันดับ 1เช่นกัน 

        ลูกสาวของเจ๊หมว ยต่างประสบความสำเร็จในชีวิตการเรียนและหน้าท่ี่การงาน ในกรุเทพฯ สำหรับสองคนสามีภริยา คงยังเปิดกิจการร้านค้าตามปกติ แต่ท่าทีของคนทั้งสองเปลี่ยนแปลงไป เป็นคนละคนกับคนที่ผมเคยรู้จัก นายชาญ มีท่าทีเหลิงและหยิ่่งเป็นเพราะฐานะเขาดีมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ทำให้หน่วยงานของรัฐอย่างสถานศึกษา สถานีตำรวจ วัดวาอาราม ต้องมาพึ่งพาขอปัจจัยและวัตถุสิ่งของในร้านของเขาเสมอๆ  ทั้งสองคนมักได้รับเกียรติเป็นกรรมการ และประธานในกิจกรรมงานในท้องถิ่น ทั้งนายชาญยังได้รับการคัดเเลือกให้เป็นกรรมการการบริหารงานของสถานีตำรวจ  จากอดีต   ที่ผมเคยเห็นว่าเสี่ยโรจน์ ยะโสกับลูกค้า แต่มาภายหลัง นายชาญกับมีความโอหังกับลูกค้ามากกว่า  ถึงขนาดเขาเคยใช้อาวุธปืนข่มขู่ลูกค้า ด้วยการยิงขึ้นฟ้า จนเกิดเกิดฟ้องร้องฐานพยายามฆ่า

    “ผมจะไม่ยอมความกับนายชาญ เด็ดขาด  ”  ลูกค้าที่เป็นคู่ความพูด

      แม้นายชาญจะเป็นกรรมการบริหารกิจการของสถานีตำรวจในท้องที่ เมื่อเกิดคดีความอาญาที่ยอมความไม่ได้  เขาจึงต้องใช้เงินเพื่อปิดคดีหลายแสนบาทเพื่อทำให้คดีหนักเป็นเบา   สำหรับเจ๊หมวยเมื่อลูกๆสำเร็จการศึกษาในระดับมหาบัญฑิตทั้งสองคน เธอก็เปลี่ยนแปลงเป็นคนละคนที่เคยมีวาจาอ่อนหวาน ก็เป็นหยาบกระด้าง ไม่แคร์กับลูกค้า ขายสินค้าแพงและเอารัดเอาเปรียบคนซื้อ   

      ผมกลับมาทบทวนความหลังแล้ว รู้สึกผิดหวังของเจ๊หมวย ครั้งที่แป๋ว ทำผิดกติกาเข้าเรียนในสถานศึกษา หากผมเอาเรื่องนี้แจ้งไปยังหน่วยงานในกระทรวงฯ ผู้บริหารย่อมต้องมีความผิดและแป๋วก็ต้องไร้ที่เรียน  นี่เพราะเห็นแก่อนาคตเด็กคนหนึ่งที่เป็นคนดี แม้กระทั่งปัจจุบัน เธอก็ยังเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย  ความลับเรื่องนี้มีผมคนเดียวที่รู้ลึกถึงเรื่องการซื้อที่นั่งเรียนให้ลูกสาวได้เรียนของเจ๊หมวย  

         เวลามันก็ผ่านมานานแล้ว เมื่อได้เห็นอนาคตของลูกหลานเดินไปข้างหน้า  สำหรับนายชาญ เจ๊หมวย คงต้องรอให้เวลาได้สั่งสอนได้เป็นบทเรียนเหมือนเสี่ยโรจน์และมันก็จริง  ที่วันนี้มีร้านค้าที่เปิดใหม่ ได้ดึงลูกค้าจากร้านของเธอไปจนเกือบหมด  หนำซ้ำวันนี้เจ๊หมวยได้ป่วยด้วยโรคร้ายเธอผ่ายผอมลงไปมาก  ส่วนนายชาญคนที่เคยดี ก็แอบทรยศคนรักซ่อนเงินไปให้ภริยาใหม่ใช้ ร้านค้าที่เคยคึกคัก กลับเงียบเหงา..เส้นทางการค้าคงจะยุติลงในไม่ช้านี้

                                        กรรมดีอย่ากลัว  กรรมชั่วอย่าทำ

                                        กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง   

                        ลูกค้าหดหายไป ไม่ใช่เพราะใคร  ..เจ๊หมวย  และนายชาญ คงทราบเอง

                                                      ขลุ่ย  บ้านข่อย 

                                                       ๑๘ -๔-  ๖๗

      

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×