ดีใจและเสียใจในคราเดียวกัน
ในหมู่บ้านแห่งนี้ เดิมมีร้านค้าที่ขายสินค้าเพียงร้านเดียว แต่เมื่อมีร้านขายสินค้าเปิดใหม่ที่ผมคุ้นเคย จึงได้ช่วยแนะนำให้เขาได้รู้จักการใช้กลยุทธ์การดึงลูกค้า นานวัน..วันเวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน
ผู้เข้าชมรวม
6
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
ดีใจและเสียใจไป ในคราเดียวกัน
ช่วงที่ผมย้ายมาอยู่ที่บ้านห้วยยางนาใหม่ๆ จะมีร้านขายสินค้าขายหลากหลายชนิดเพียงร้านของเสี่ยโรจน์ ซึ่งเป็นบ้านสองชั้นสองคูหา ลูกค้าของเขาส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านห้วยยางนาและหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียง เสี่ยโรจน์ เป็นคนไทยเชื้อสายจีนที่มีภูิลำเนาจากจังหวัดแห่งหนึ่งของภาคกลาง ก่อนที่เขากับภริยาจะมาเปิดร้านขายสินค้าเบ็ดเตล็ดนับแต่ ข้าวสาร น้ำตาล เกลือ น้ำปลา น้ำมันพืช เหล้า บุหรี่ ฯลฯเสี่ยโรจน์เคยเป็นผู้ค้าแรงงานในประเทศแถบตะวันออกกลางมาก่อน
“จะซื้ออะไรหรือ พ่อหนุ่ม” เจ้าของร้านถาม
“มีบุหรี่ ขายมั้ยครับ”ผมพูด
“ยี่ห้ออะไร ”
“กรุงทองสั้น ซองนึง ”
เขาหยิบบุหรี่ ยื่นมาให้.. ผมได้รับแล้วจึงเอามาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ สายตาของผมเหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ที่วางไว้บนโต๊ะหินอ่อน ผมจึงเดินไปหยิบหนังสือพิมพ์เพื่อคลี่ออกดูหัวข้อข่าวที่น่าสนใจ ณ. ที่บ้านห้วยยางนาแหล่งที่จะเป็นที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ได้ก่อนหน้ามีเพียงร้านขายกวยเตี๋ยวของแม่ค้าม่ายคนสวยเพียงแห่งเดียว และที่นี่ก็คงจะเป็นที่แห่งใหม่ที่ผมคงอาศัยได้มาอ่านหนังสือพิมพ์ในวันหน้า
“พี่..รับหนังสือพิมพ์มาอ่าน เป็นประจำหรือครับ วันหน้าหากผมมีโอกาส จะขอมานั่งอ่านข่าวบ้างนะครับ ” ผมบอกกับเจ้าของร้าน
ผมเพิ่งมาเป็นลูกค้าเขาเป็นครั้งแรก เขามิอาจทราบสถานะว่าผมเป็นใครมาจากไหน สถานที่ราชการที่อยู่ในบริเวณ นี้มีเพียงสามหน่วยงานคือสถาบันฯที่ผมทำงาน (วิทยาลัยเกษตร ฯ) กรมทางหลวงและโรงเรียนบ้านห้วยยางนา แม้ผมจะมีวัยเบญจเพสแล้วแต่บุคลิกและรูปร่างยังดูเหมือนเพิ่งจะสำเร็จการศึกษาในระดับวิชาชีพ
“ตามสบาย ถ้าผมอ่านอยู่ ก็ต้องรอนะ”เขาพูดห้วนๆ
ผมนั่งที่ม้าหินอ่อนอยู่ประมาณสิบนาที จึงลุกจากที่นั่งออกจากร้านค้าของเขาไป และจากนั้นมาผมจึงเป็นลูกค้าประจำของเขา วันเสารฺ์-อาทิตย์ หลังจากผมกินข้าวมื้อเช้าแล้ว คิดว่าหากได้มานั่งดื่มน้ำอัดลม พร้อมอ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วย มันจะช่วยฆ่าเวลาให้คลายความเหงาไปได้ไม่น้อย ผมจึงขี่จักรยานออกจากบ้านในวิทยาลัยฯ มาที่ร้านของนายโรจน์ซึ่งชาวบ้านมักเรียกชื่อเขาว่าเสี่ยโรจน์
ผมทราบข้อมูลจากชาวบ้านคุยให้ฟังว่า เสี่ยโรจน์ เคยเป็นช่างซ่อมรถยนต์มาก่อน ในช่วงหนึ่งที่ตลาดแรงงานทางตะวันออกกลางต้องการแรงงานแผนกช่างยนต์ เขาจึงสมัครไปทำงานและอยู่ทำงานเกือบ10 ปีจึงกลับประเทศไทย เขามีเงินเก็บเงินออมเป็นกอบเป็นกำ จึงมาเริ่มทำกิจการร้านค้าเป็นเจ้าแรกของหมู่บ้าน
***********************
ที่ร้านค้าของนายโรจน์
"-โคลา ขวดนึง น้ำแข็งเปล่า หนึ่งแก้ว ” ผมเอ่ยปากสั่งเครื่องดื่ม
เจ้าของร้านเดินไปยังตู้เย็นแล้วหยิบเครื่องดื่มพลางเปิดขวดพร้อมนำมาเสิร์ฟให้ลูกค้าหน้าใหม่ ผมนั่งอ่านข่าวที่สนใจ วันนี้… ผมได้เห็นคนในครอบครัวของเสี่ยโรจน์ครบทุกคนคือแม่บ้านและลูกสาววัยสิบขวบต้นๆสองคน หลังจากเขานำน้ำอัดลม-แก้วน้ำแข็ง มาเสิร์ฟให้ผมแล้ว จึงเข้าไปนั่งลอมวงที่โต๊ะอาหารเป็นคนสุดท้าย
ห้านาทีต่อมามีเด็กชายวัย 8 ขวบ ที่เป็นลูกชาวบ้านแถวๆนั้นเดินมายังที่ร้านแห่งนี้ เขาเดินมองหาสินค้าที่ต้องการ แต่ยังมองหาไม่พบกับสิ่งที่ต้องการเสียที
“เฮ้ยไอ้หนู จะซื้ออะไร ก็รีบซื้อสิวะ มายืนเก้ๆกังๆ ไปไป๊ ถ้าคงจะไม่มีตังค์หรอก ”เสี่ยโรจน์ พูดดุเด็กน้อย
ผมค่อนข้างไม่ค่อยจะสบอารมณ์กับเจ้าของร้านคนนี้นัก เพราะเขาใช้วาจาที่เหยียดกับเด็กน้อยทีี่ยังไม่ประสีประสา และเป็นการดูแคลนมนุษย์ด้วยกันที่มากเกินไป
“เป็นผู้ใหญ่คราวพ่อ คราวลุง ยังมามีพฤติกรรมแย่ๆอีก นี่มันเด็กเล็กเพียงระดับชั้นประถม ไม่น่าจะกระทำเช่นนี้เลย เขาต้องมีตังค์สิ จึงจะมาที่ร้าน ” ผมคิดในใจ
“ไปเลย ไอ้หนู …น่ารำคาญ "เจ้าของร้านเอะอะ พลางลุกขึ้นผายมือให้เด็กคนนั้นออกจากร้าน ผมมองด้วยความงุนงง จนต้องลุกจากเก้าอี้เพื่อเดินมาหาเด็กชายคนนั้น
“ซื้ออะไรหรือครับ หนู” ผมพูด
“ของเล่น ครับ” เด็กคนนั้นพูด
“เป็นแบบไหน เหรอ”
“โยว โย่วครับ น้า ”เด็กพูด
“ อ๋อ ”
เมื่อผมทราบข้อมูลจากเด็กแล้ว จึงเป็นธุระไปสอบถามเจ้าของร้านที่กำลังตาเขียวกับเด็ก
“เด็ก เขาอยากจะมาซื้อของเล่นที่เรียกว่าโยวโย่ว ครับ ที่ร้าน มีจำหน่ายมั้ย ครับ ”
“มี แต่หมดแล้ว ” เสี่ยโรจน์ ตอบห้วนๆ
ผมได้รับคำตอบจากเจ้าของร้านแล้ว จึงเดินมาบอกกับเด็กชายคนนั้น ให้รู้ว่าที่ร้านขายหมดแล้ว คงต้องรอไปก่อน เขาจึงเดินผละจากร้านออกไป นี่เป็นครั้งแรก ที่ผมเห็นพฤติกรรมเจ้าของร้านคนนี้ และจากนั้นมาผมก็ได้เห็นท่าที ที่กักขฬะ หยิ่งยะโส ของเจ้าของร้านคนนี้ที่ได้ทำกับลูกค้าไม่ซ้ำหน้าไม่เว้น.กระทั่งผม ที่รับราชการที่มีตำแหน่งหน้าที่ ที่ช่วงหลังมาเป็นลูกค้าประจำของเขา ผมจำใจต้องเป็นลูกค้าของเขาด้วยความจำใจ เพราะสองหมู่บ้านที่ผมอยู่ใกล้ที่สุดไม่มีร้านค้่าที่มีสินค้าขายมากอย่างร้านของเขาเลย
*********************************
หลังจากที่ผมเข้ามาอาศัยในหมู่บ้านแห่งนี้ ได้รู้จักกับนายชาญกับเจ๊หมวยที่เป็นสามีภริยา ซึ่งมีฐานะดี ที่มีบ้านหลังใหญ่ที่อยู่เยื้องบ้านเสียโรจน์ นายชาญก็เพิ่งครบกำหนดสัญญาการทำงานในต่างประเทศ ได้บินกลับมาอยู่กับครอบครัวอย่างถาวร เขาได้รับเงินค่าแรงงานจากการทำงานมาหลายแสนบาท ได้ปรึกษาหารือกับภริยาเพื่อจะเปิดร้านขายของเหมือนกับบ้านซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม จริงๆก่อนหน้านี้ ผมรู้จักกับเจ๊หมวยอยู่บ้าง ในฐานะเพื่อนร่วมอาศัยในหมู่บ้านเดียวกัน เราพบกันก็ได้ทักทายกันบ้างตามประสา
“อาจารย์ ตอนนี้ที่บ้านของฉัน เปิดขายของแล้ว ยังไงไปช่วยอุดหนุนและซื้อสินค้าด้วยนะ” เจ๊หมวยพูด
“เปิดนานหรือ ยังครับ”
“เพิ่งเปิดได้สักสัปดาห์ที่ผ่านมา นี่เอง”
“มีบุหรี่ สุราขายมั้ย”
“มีค่ะ”
นับแต่นั้นมา .ผมก็เริ่มมาอุดหนุนซื้อสินค้าร้านเจ๊หมวย การที่ผมเป็นราชการชั้นผู้น้อย เงินเดือนในเวลานั้นได้รับยังไม่ถึงสามพันบาท บางเดือนค่าจับจ่ายใช้สอยอาจมีการขาดมืออยู่บ้างแม้ผมจะพยายามกู้เงินจากสหกรณ์แล้ว แต่ก็ยังไม่พอใช้อยู่ดี
“เจ๊หมวย เดือนนี้ผมขอแปะก่อนนะ ” ผมพูดกับเจ้าของร้านแห่งใหม่
“ได้เลย ค่ะ”เจ๊หมวยตอบ
เจ๊หมวยคงทราบถึงหัวอกของข้าราชการหนุ่มโสดอย่างผม ว่ายังไง?? คงไม่คิดที่จะเบี้ยวหนี้ ที่มาลงบัญชีจับจ่ายซื้อสินค้าร้านของเธอได้ เพราะสถานที่ทำงานไม่ไกลเกินกว่าจะติดตามทวงถามได้
เมื่อเธอให้เครดิตแก่ผมแล้ว ผมจึงมาอุดหนุนสินค้าอย่างเสมอต้นเสมอปลาย แม้ในที่ทำงานจะมีร้านสวัสดิการ ที่สามารถจะซื้อสินค้าได้หลากหลายบ้าง แต่สินค้าส่วนใหญ่ก็จะเป็นของพื้นๆธรรมดาๆอย่างเช่น ข้าวสาร ไข่ไก่ นมสด พืชผัก น้ำปลา น้ำตาล ครั้งหนึ่งกรรมการบริหารร้านค้าสวัสดิการ เคยสั่งสินค้าประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ มาจำหน่ายให้ข้าราชการ คนงาน แต่ก็มีเสียงทักท้วงจากอาจารย์ส่วนหนึ่งที่คัดค้านว่าไม่เหมาะสม เนื่องจากเป็นสถานศึกษา
********************
ร้านเจ๊หมวย เริ่มโตวันโตคืนกลายเป็นคู่แข่งขันกับร้านเสี่ยโรจน์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมแวะเข้าไปทั้งสองร้าน แต่จะแวะไปที่ร้านเสี่ยโรจน์ เพื่อมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์เป็นหลัก หลายๆครั้งดูท่าทีของเสี่ยโรจน์ ไม่ค่อยพึงพอใจที่ผมมานั่งในร้านของแกโดยไม่สั่งเครื่องดื่มดังที่เคยสั่ง
“ไม่สั่งอะไรกินเหรอวันนี้ ” เสี่ยโรจน์ทวงถาม
“เพิ่งกินมาน่ะ ยังอิ่มอยู่เลยครับ ” ผมพูด
“ไปนั่งร้านโน้นสิ เขาก็รับหนังสือพิมพ์มาเหมือนกัน ” เสี่ยโรจน์พูด
คำพูดคำจาของเสี่ยโรจน์ ดูจะไม่ให้เกียรติลูกค้าเลย ขนาดผมรับราชการมียศมีตำหน่ง สมัยที่เจ๊หมวยยังไม่เปิดร้านขายของ เขาเคยสั่งให้ผมต้องรอเพื่อให้กินข้าวเสร็จก่อนจึงจะมาหยิบสินค้าให้
“นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ไปก่อน รอได้มั้ย รอไม่ได้ ก็กลับไปก่อน” เสี่ยโรจน์พูด
แรกๆ ผมก็พอจะรัับได้ เพราะไม่มีร้านค้าใดที่จะหาซื้อสิ่งของมาสนองความต้องการได จึงจำต้องรอเจ้าของร้านทำภารกิจให้เสร็จก่อน แต่เมื่อเสี่ยโรจน์ไม่แคร์ลูกค้า และใช้วาจาที่มิสู้สุภาพกับผมและลูกค้าคนอื่นๆ ต่อมาร้านค้าของเขาก็ร้างจากลูกค้า ทุกคนพากันมาอุดหนุนร้า่นเจ๊หมวย ผมผ่านมาพบเสี่ยโรจน์นั่งหาวนอนหาว ในร้านก็รู้สึกสงสาร
* **********************************
ผมเป็นลูกค้าประจำเจ๊หมวย ตั้งแต่เธอเปิดร้านค้าใหม่ๆ การที่ลูกค้าหันพากันมาอุดหนุนที่ร้านเจ๊หมวยล้นหลามเป็นเพราะการใช้คำพูดคำจาที่สุภาพ สนใจ เอาใจลูกค้า การยืดหยุ่น หลักการนี้ผมแนะนำให้เธอเอง
“ช่วงลูกค้ามาซื้อของ เมื่อคิดยอดเงินรวม หากมีเศษส่วนเงิน ยอมยกให้ลูกค้าไปเลย เท่านี้ก็จะทำให้เขาประทับใจ คำพูดคำจานี่ก็สำคัญ ใบหน้าต้องยิ้มแย้มตลอดเวลา คงไม่เกินความสามารถของเจ๊ได้อย่างแน่นอน” ผมแนะนำ
“ขอบคุณค่ะอาจารย์ ”เจ๊หมวยพูด
ใจลึกๆแล้ว ผมก็รู้สึกสงสารเสี่ยโรจน์อยู่บ้าง หลายครั้งที่ผมไปนั่งสั่งเครื่องดื่ม เพื่อสังเกตอากัปกิริยาแก เหมือนว่าแกจะมีความรู้สึกสำนึกผิด แต่มันก็สายไปเสียแล้ว ท่าทางแกกลัดกลุ้มจากที่ไม่เคยดื่มสุราเลย ก็หันมาดื่มจนเกิดเรื่องเศร้าเมื่อเสี่ยโรจน์ข้ามถนนหลวงเพื่อจะมารับแม่ยายที่มีบ้านอยู่ฝั่งตรงข้าม ความมึนเมาทำให้ไม่สามารถเดินหลบรถที่มาอย่างรวดเร็วได้รถยนต์จึงบดขยี้ร่างแกจนสิ้นชีวิตคาที่
***********************
ร้านเจ๊หมวยกับสามี ต้องขยายห้องเพิ่ม สินค้าในร้านมีเกือบครบทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นวัสดุก่อสร้าง ไฟฟ้า ประปา ระยะหลังผมสนิทกับครอบครัวนี้มากขึ้น จนเมื่อตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านห้วยยางนาว่างลง การที่ผมได้คลุกคลีกับชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งนี้มานาน พอจะมองออกว่าผู้ใดมีความเหมาะสมที่จะเป็นผู้ใหญ่บ้านแทนคนเดิม และเมื่อวันหนึ่งที่ผมมาซื้อสินค้าได้พบกับสามีเจ๊หมวยคือนายชาญ ผมจึงได้ทาบทามให้เขาลงสมัครเพื่อชิงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน
“ผมมองว่าพี่ชาญมีความพร้อม และมีความเหมาะสมที่จะลงชิงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน นะ”
“ขอคิดดูก่อน คงขอปรึกษากับภริยาผมก่อนดีกว่า” พี่ชาญพูด
“งั้นก็ได้ครับ ” ผมพูด
เหตุที่ผมมองว่านายชาญมีความเหมาะสมกับตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน เพราะเขามีการศึกษาสูงกว่าชั้นประถมปีที่ 4 ฐานะทางบ้าน เหนือกว่าชาวบ้านคนอื่นๆ เมื่อถึงวันปีดรับสมัครตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านแล้ว จึงทราบว่านายชาญไม่พร้อมที่จะลงสมัคร นับว่าเสียดายที่จะได้คนมีความรู้ ความสามารถมาเป็นผู้นำหมู่บ้าน
**************************
ส่วนใหญ่เด็กในวัยเรียนของสังคมที่ห่างตัวเมือง ผู้ปกครองมักจะให้เด็กเรียนจบเพียงชั้นประถมปลายแล้วไปช่วยเหลือ งานของครอบครัวในภาคเกษตรกรรม พี่ชาญกับเจ๊หมวย ถือเป็นครอบครัวที่ตระหนักกับการให้การศึกษาบุตร เขามีบุตรสาวสองคนที่มีวัยห่างกันสามปี แป๋วเป็นคนโตในเวลานั้นกำลังเรียนชั้นม.4 ส่วนเปิลกำลังเรียนอยู่ชั้น ม.2 ลูกของเจ๊หมวย เป็นเด็กที่อยู่ในโอวาทของพ่อแม่และเป็นเด็กที่ตั้งใจเรียนมาก น้อยครั้งที่ผมจะได้เห็นเด็กสาวทั้งสองมาช่วยขายของ
“โชคดีจังเลย นะเจ๊ ที่ได้ลูกสาวเป็นคนตั้งใจเรียน และมีมารยาทดี ทั้งยังเชื่อฟังพ่อแม่” ผมพูดกับเธอ
“ปีนี้แป๋วกำลังจะเอนทรานซ์ เจ๊..กลัวจะพลาดเหมือนกัน " เจ๊หมวยปรารภ
“ผมคิดว่า ไม่น่าพลาดหรอก เธอขยันออกอย่างดี ”ผมพูดให้กำลังใจ
ครั้นเมื่อมหาวิทยาลัยประกาศผลสอบแป๋ว ก็พลาดการสอบเอนทรานซ์ จึงไม่สามารถมีที่เรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐ ผมรู้สึกเห็นใจเด็ก เพราะเท่าที่เคยสัมผัสแป๋วเป็นเด็กที่มีมารยาทดี มีผลการเรียนในโรงเรียนของจังหวัด ได้เกรดระดับ ดี - ดีมาก มีใบหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลา เธออาจมีความผิดพลาดในการเลือกคณะเรียนอาจเพราะประสบการณ์ อีกใจหนึ่งผมคิดว่าคนอย่างเจ๊หมวย คงไม่สิ้นไร้ไม้ตอกกับการจะส่งเสียให้ลูกสาวเรียนในมหาวิทยาลัยเอกชน
“นี่ ..เจ๊ว่า จะให้แป๋วไปเรียน ที่มหาวิทยาลัยเอกชนในกรุงเทพ แต่แป๋วอยากเรียนใกล้บ้าน เจ๊เลยไปติดต่ออาจารย์อาทร ให้ช่วยวิ่งเต้นให้ลุูกสาวได้เข้าเรียนในสถาบันที่อาจารย์สอน ไม่รู้จะได้หรือไม่ เขาไม่รับปาก”
***********************
เวลานั้นสถาบันที่ผมสอน มีสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร กำลังได้รับความนิยมสูงสุด แต่ละปีมีนักเรียนมาสมัครสอบในอัตราหนึ่งต่อ- ยี่สิบ สถาบันได้เริ่มเปิดสอนมาแล้วประมาณสองสัปดาห์ วันหนึ่งขณะผมอยู่ที่ร้านสวัสดิการได้มีเด็กสาวแต่งชุดนักศึกษาของสถาบันได้เข้ามาทักทาย
“สวัสดีค่ะ อาจารย์ ”
“อ้าว แป๋ว มาเรียน ที่นี่//เหรอ ก็ไหนแม่ของเรา บอกว่า จะให้แป๋วไปเรียนที่กรุงเทพ ”
“หนูไม่อยากไป เพราะไม่คุ้นและต้องอยู่คนเดียวตามลำพังค่ะ”
ความรู้สึกของผม ณ เวลานั้นทั้งดีใจและเสียใจไปในคราเดียวกัน ที่ดีใจคือมีเด็กสาวนิสัยดี ความประพฤติดี ผลการเรียนดี ได้เข้ามาศึกษาในสถานศึกษาแห่งนี้ แต่ที่เสียใจคือเธอไม่ได้เข้ามาสอบแข่งขันพร้อมๆกับคนอื่นๆด้วยกติกาแบบเดียวกัน
“ ทำไง// ได้เล่า สังคมไทยก็เป็นแบบนี้ ” ผมคิด
ผมทราบภายหลังว่า เจ๊หมวยต้องจ่ายเงินให้กับผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ เพื่อแลกเก้าอี้นั่ง ในห้องเรียนในสาขา ที่เยาวชนอยากเรียนมากที่สุด ของสถานศึกษาแห่งนี้
ผมจำต้องฝืนและต้องปิดปากเงียบแม้จะไม่สบายใจอย่างมาก เป็นเพราะ มันไร้ความยุติธรรมแก่เด็กนักเรียนคนอื่นๆ อีกมากที่มาสมัครสอบต้องพลาดโอกาสได้เรียน แต่กับแป๋วไม่ได้มาสมัครสอบ กลับมีโอกาสได้มาเรียนแบบไม่ต้องแข่งขันกับใครๆ เพียงจ่ายเงินสดหมื่นบาทให้กับผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มหนึ่ง แป๋วเข้าเรียนในสถานศึกษา 4 ปีจนจบปริญญาตรี ได้เกียรตินิยม อันดับ 2 จากนั้นเธอได้ไปสมัครสอบเรียนต่อที่พระจอมเกล้า ลาดกระบังในสาขาเดิม และสำเร็จการศึกษาได้เกียรตินิยมอันดับ 1 สำหรับน้องสาวของแป๋ว ได้เข้าเรียนในคณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้เกียรตินิยมอันดับ 1เช่นกัน
ลูกสาวของเจ๊หมว ยต่างประสบความสำเร็จในชีวิตการเรียนและหน้าท่ี่การงาน ในกรุเทพฯ สำหรับสองคนสามีภริยา คงยังเปิดกิจการร้านค้าตามปกติ แต่ท่าทีของคนทั้งสองเปลี่ยนแปลงไป เป็นคนละคนกับคนที่ผมเคยรู้จัก นายชาญ มีท่าทีเหลิงและหยิ่่งเป็นเพราะฐานะเขาดีมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ทำให้หน่วยงานของรัฐอย่างสถานศึกษา สถานีตำรวจ วัดวาอาราม ต้องมาพึ่งพาขอปัจจัยและวัตถุสิ่งของในร้านของเขาเสมอๆ ทั้งสองคนมักได้รับเกียรติเป็นกรรมการ และประธานในกิจกรรมงานในท้องถิ่น ทั้งนายชาญยังได้รับการคัดเเลือกให้เป็นกรรมการการบริหารงานของสถานีตำรวจ จากอดีต ที่ผมเคยเห็นว่าเสี่ยโรจน์ ยะโสกับลูกค้า แต่มาภายหลัง นายชาญกับมีความโอหังกับลูกค้ามากกว่า ถึงขนาดเขาเคยใช้อาวุธปืนข่มขู่ลูกค้า ด้วยการยิงขึ้นฟ้า จนเกิดเกิดฟ้องร้องฐานพยายามฆ่า
“ผมจะไม่ยอมความกับนายชาญ เด็ดขาด ” ลูกค้าที่เป็นคู่ความพูด
แม้นายชาญจะเป็นกรรมการบริหารกิจการของสถานีตำรวจในท้องที่ เมื่อเกิดคดีความอาญาที่ยอมความไม่ได้ เขาจึงต้องใช้เงินเพื่อปิดคดีหลายแสนบาทเพื่อทำให้คดีหนักเป็นเบา สำหรับเจ๊หมวยเมื่อลูกๆสำเร็จการศึกษาในระดับมหาบัญฑิตทั้งสองคน เธอก็เปลี่ยนแปลงเป็นคนละคนที่เคยมีวาจาอ่อนหวาน ก็เป็นหยาบกระด้าง ไม่แคร์กับลูกค้า ขายสินค้าแพงและเอารัดเอาเปรียบคนซื้อ
ผมกลับมาทบทวนความหลังแล้ว รู้สึกผิดหวังของเจ๊หมวย ครั้งที่แป๋ว ทำผิดกติกาเข้าเรียนในสถานศึกษา หากผมเอาเรื่องนี้แจ้งไปยังหน่วยงานในกระทรวงฯ ผู้บริหารย่อมต้องมีความผิดและแป๋วก็ต้องไร้ที่เรียน นี่เพราะเห็นแก่อนาคตเด็กคนหนึ่งที่เป็นคนดี แม้กระทั่งปัจจุบัน เธอก็ยังเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย ความลับเรื่องนี้มีผมคนเดียวที่รู้ลึกถึงเรื่องการซื้อที่นั่งเรียนให้ลูกสาวได้เรียนของเจ๊หมวย
เวลามันก็ผ่านมานานแล้ว เมื่อได้เห็นอนาคตของลูกหลานเดินไปข้างหน้า สำหรับนายชาญ เจ๊หมวย คงต้องรอให้เวลาได้สั่งสอนได้เป็นบทเรียนเหมือนเสี่ยโรจน์และมันก็จริง ที่วันนี้มีร้านค้าที่เปิดใหม่ ได้ดึงลูกค้าจากร้านของเธอไปจนเกือบหมด หนำซ้ำวันนี้เจ๊หมวยได้ป่วยด้วยโรคร้ายเธอผ่ายผอมลงไปมาก ส่วนนายชาญคนที่เคยดี ก็แอบทรยศคนรักซ่อนเงินไปให้ภริยาใหม่ใช้ ร้านค้าที่เคยคึกคัก กลับเงียบเหงา..เส้นทางการค้าคงจะยุติลงในไม่ช้านี้
กรรมดีอย่ากลัว กรรมชั่วอย่าทำ
กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง
ลูกค้าหดหายไป ไม่ใช่เพราะใคร ..เจ๊หมวย และนายชาญ คงทราบเอง
ขลุ่ย บ้านข่อย
๑๘ -๔- ๖๗
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ความคิดเห็น