คู่ชีวิต ที่เลือกผิด - คู่ชีวิต ที่เลือกผิด นิยาย คู่ชีวิต ที่เลือกผิด : Dek-D.com - Writer

    คู่ชีวิต ที่เลือกผิด

    ช่วงที่เขาชอบฝ่ายหญิง พยายามตามตื้อ อดทน นั่งรอครั้งละหลายๆชั่วโมง ฝ่ายชายเป็นคนเรียนเก่ง และได้ทำงานจนมีตำแหน่ง เขากับเธอได้แต่งงานร่วมชีวิต แต่....อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้

    ผู้เข้าชมรวม

    27

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    15

    ผู้เข้าชมรวม


    27

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  22 มี.ค. 67 / 15:00 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

                                                          คู่ชีวิต ที่เลือกผิด

              สุภาษิตเก่ากล่าวไว้ว่า “มีผัวผิด คิดจนวันตาย” นี่คงหมายถึง การที่คู่บ่าวสาว ชาย - หญิง ที่มีความพออกพอใจซึ่งกันและกันประสงค์และปรารถนาจะใช้ชีวิตคู่ โดยเมื่อแต่งงานกันแล้ว ก็อาจทำให้ชีวิตคู่ สมรส ล้มครืนหรือต้องผิดหวังลงได้

           เรื่องราวชีวิตคู่ของรุ่นน้องของผม ที่เรียนที่เดียวกันมาที่ลาดกระบังที่ตรงกับสุภาษิตว่าไว้ไม่มีผิด สมโภชน์เป็นรุ่นน้องของผมเพียงหนึ่งรุ่น  จริงๆแล้วอายุของเขากับผมอยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน  สมัยนั้น ฃสถานศึกษาที่พวกเราเรียน เป็นเพียงแค่วิทยาลัย ตั้งแต่รุ่นแรกถึงรุ่นของผมเพิ่งเปิดมาได้เพียง 5 รุ่น  นักศึกษาที่มาเรียนในยุคนั้นก็เป็นสุภาพบุรุษล้วนๆและยุคนั้นผู้เข้าศึกษาจะต้องพักภายในหอพักของวิทยาลัยเท่านั้น เนื่องจากเราต้องมีการฝึกงานทั้งภาคเช้าและเย็น จากที่พวกเราเคยพักหอพักและต้องถูกให้ออกมาพักภายนอกมันมีอรรถรสที่แตกต่างกันมาก ว่าไปแล้ว.การพักหอพักภายใน พวกเรามีความสะดวกสบายทุกอย่าง นับแต่มีที่นอนหมอน มุ้ง(ลวด) มีที่เก็บเสื้อผ้า สบู่ ขันน้ำ แปรง ยาสีฟัน แปรงซักผ้า ผงซักฟอก  ฯลฯ 

       อาหารมีให้รับประทานทั้งสามมื้อคือ มื้อเช้า ,มื้อกลางวันและมื้อเย็น  รสชาติของอาหารที่ปรุงจากฝีมือนักการภารโรงไม่ได้ด้อยไปจากร้านค้าที่ขายในละแวกนั้นเลยสักนิด  ทุกๆวันพฤหัสฯทางแม่ครัวพ่อครัวจะมีขนมหวานให้กินอีกต่างหาก หลังจากที่พวกเราลงงานประจำหมวดงานต่างๆ เสร็จแล้ว  อาหารมื้อเช้าทุกวัน(มีข้าวต้มกุ๊ยกับ กับข้าวยืนพื้นทุกวันคือถั่วลิสงคั่วบวกกับข้าวอีกหนึ่งอย่างอาทิ ผัดผักกาดดองใส่ไข่ หัวไชโป๊ผัดใส่ไข่  ผักดอง  ไข่เค็ม กุนเชียงทอด  ปลาเค็มทอด  ยำกุ้งแห้งฯลฯ ) เวลาที่เรากินข้าวต้มมื้อเช้าคือเวลา 08.00 น. สัญญาณที่เคาะจากด้ามจอบที่แขวนแทนระฆังก็จะถูกตี จากโรงอาหาร ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องต่างทยอยเดินออกจากหอพักมายังโรงอาหาร แล้วเข้าไปนั่งประจำที่ที่เคยนั่ง  สิ่งที่ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องต้องมีติดตัวไว้เสมอคือช้อนตักข้าว  

        ม้ายาว เพื่อไว้สำหรับนั่งกินข้าวจะนั่งได้ฝั่งละสี่คนโรงอาหาร.จะกำหนดให้รุ่นพี่-รุ่นน้องแยกนั่งจากกันสำหรับนักศึกษา  ใหม่ จะนั่งตามเลขที่ ตามห้องเรียน  ผมเรียนชั้นปี 1 ห้อง3 ทุกคนจะนั่งเรียงตามลำดับจากอักษร ก -ฮ   สำหรับกลุ่มของผมมี 8 คน เริ่มจากสมนึก สมโภชน์  สัมพันธ์  สุธี   สุรินทร์  สุรพล สุรชัย  หัตถชัยและอนุชา  พวกเรามีโอกาสได้พักหอพักของสถาบันเพียงสองปีเท่านั้น เนื่องจากอาคารเรียนไม่เพียงพอ  ทางสถาบันจึงต้องยุบหอพัก เพื่อมาปรับปรุงเป็นอาคารเรียนแทน  และ…นักศึกษาที่เป็นรุ่นน้องของผม ตั้งแต่รุ่นถัดมานี้ จึงไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับบรรยากาศการได้พักหอพักประจำ ที่มีอรรถรสมากมายเกินจะบรรยาย

                                                   *****************************

          รุ่นน้องของผมหนึ่งรุ่น  ที่เป็นเด็กจากจังหวัดสุพรรณบุรีที่มาเรียนที่เกษตรเจ้าคุณทหาร มีเกือบ 10 คน ทุกคนมาเช่าบ้านริมน้ำเยื้องคณะสถาปัตยกรรมระหว่างการรับน้องใหม่ ในฐานะที่ผมเป็นรุ่นพี่ จึงไปเยี่ยมรุ่นน้องๆ และถือโอกาสทำ ความรู้จักเพื่อสร้างคุ้นเคยสนิทสนม  จากที่สอบถามทุกคนมาจากอำเภอต่างๆในจังหวัดสุพรรณบุรีอาทิ  อำเภอสามชุก ดอนเจดีย์  บางปลาม้าและ ศรีประจันต์  สี่คนที่มาจากจังหวัดสุพรรณ ที่มีความกล้าและสามารถโต้ตอบกับรุ่นพี่ได้ มีสมบูรณ์ สมโภชน์ ปรีชา และศักดา สมโภชน์มีบุคลิกที่สะดุดตากว่าใครๆ เพราะเป็นคนผิวคล้ำ เตี้ย ใบหน้ามีสิวมาก เขาเป็นเด็กขยันเรียนและหัวดีกว่าเพื่อนๆทุกคน โดยเรียนได้เกรดมากกว่า 3.5 ทุกเทอม                                                                                        ******************* ***********                       

    ช่วงที่ผมเรียนปวช.จบแล้ว ได้สมัครสอบเข้าเรียนในระดับปวส.  แต่ไม่มีรายชื่อว่าสอบเข้าเรียนในระดับ ปวส.ได้   ซึ่งทำให้ผมค่อนข้างผิดหวังทั้งๆที่ผมไม่ได้มีความประพฤติเกเร นี่จึงทำให้ผมต้องเสียเวลาไปหนึ่งปีเพื่อไปทำงานสหกรณ์ฯ จึงเป็นที่มาว่า ผมต้องมาเรียนกับรุ่น(น้อง) รุ่นของสมบูรณ์และสมโภชน์  ในปีแรกที่นักศึกษาเรียนในระดับปวส. จะยังไม่มีการแยกสาขาเป็นสาขาพืชศาสตร์และสัตวศาสตร์ จนกว่าจะขึ้นปี 2 จึงเปิดโอกาสให้นักศึกษาเลือกเรียนตามความสมัครใจ  ระหว่างการเรียนปีแรก ผมจำต้องพึ่งพารุ่นน้องทั้งสองคนคือ สมบูรณ์กับสมโภชน์โดยเวลามีการสอบเก็บคะแนนย่อย เวลาสอบกลางภาค ปลายภาค  ผมจะนั่งกลางโดยมีรุ่นน้องทั้งสองคนนั่งทั้งด้านซ้ายและขวามือของผม  หลังจากที่ผมได้รับบทเรียนที่โดนอาจารย์ประจำวิชาใช้กลลวงหลอกผม  จากนั้นมา..ผมจึงต้องพึ่งพาตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งรุ่นน้องอีกต่อไป

    ช่วงหลังที่กระทรวงศึกษามีนโยบายที่จะงดรับสมัครนักศึกษาระดับปวช.  แต่มาเพิ่มการเปิดรับระดับปวส. ให้มีจำนวนมากขึ้นอีกเท่าตัวนักศึกษาในรุ่นที่ผมมาเรียนกับน้องๆจึงมีจำนวนเกือบ 200 คน นักศึกษาหญิงในรุ่นนี้มีประมาณ 30 คนที่เหลือเป็นชา  อัตราส่วนชาย15 คนต่อสตรี 1 คนด้วยที่พวกเราอยู่ในวัยหนุ่มสาวที่ต้องมีความสนใจและมีความเสน่หากับเพศตรงข้ามจึงทำให้เพื่อนร่วมรุ่นเดียวกันหลายสิบคู่เทียวไปเทียวมาเพื่อตามจีบกัน ดังเช่นคู่ของ สมโภชน์ กับวารี  

    วารี เป็นรุ่นน้องที่จบปวช. มาจากวิทยาลัยเกษตรกรรมแห่งหนึ่ง ในจังหวัดภาคกลางใกล้กับกรุงเทพมหานคร  เธอมีรูปร่างสมส่วน เพรียวดังกับนางแบบ ตาคมเข้มเหมือนคนจากปักษ์ใต้ แต่มิได้มีถิ่นฐานที่นั่นแต่ประการใด ในปีแรกที่ผมเรียนกับรุ่นน้องกลุ่มนี้ ในฐานะที่เป็นทั้งรุ่นพี่ และเพื่อนร่วมรุ่นในการเรียนด้วย จึงมีความสนิทกันได้อย่างรวดเร็ว   วารี เป็นคนสุภาพ  เรียบร้อย  ยิ้มง่ายพักที่หอพักสตรีที่ได้มาตรฐานที่อยู่ใกล้สถาบัน เธอมีจักรยานประจำตัว เพื่อขี่มาเรียนที่อาคารเรียนที่มีระยะทางห่างจากหอพัก 350 เมตร 

     ระหว่างที่ผมเป็นผู้ริเริ่มเปิดชมรมดนตรีไทย ได้ประกาศรับสมัครผู้สนใจและรับสมัครสมาชิกที่จะเล่นดนตรีไทย วารีเป็นหนึ่งในสามสิบคนที่ได้มาสมัครเข้าเป็นสมาชิกชมรมดนตรีไทย

    “หมดเขตรับสมัคร สมาชิกแล้วหรือยังคะ พี่ ”  วารีถาม

    ณ เวลานั้นวารี ได้เดินมาหาผมที่ห้องเรียนรวม ซึ่งเธอก็ต้องเข้ามานั่งเรียนด้วย 

    “สิ้นเดือน น่ะ  ” ผมตอบ

    “หนูขอร่วมลงชื่อและสมัครเป็นสมาชิกด้วยคนนึง นะคะ” วารีพูด

    “ไว้เดี๋ยว พี่เอาใบสมัครมาให้วันพรุ่งนี้นะ  ”

    “ค่ะ พี่”

    “ดีเลย  ปกติทุกวันอังคารและวันศุกร์ คณะอาจารย์จะมาร่วมซ้อมดนตรีที่ห้องชมรม  หากวารีจะมาร่วมเล่นด้วยกันเลยก็ได้”

    “พี่ขลุ่ยเล่น ดนตรี ชิ้นไหนหรือคะ”

    “จะเข้ น่ะ ช่วงที่ทำงาน แปดริ้ว  ได้ไปเรียนเล่นจะเข้ หกเดือนกว่า พอเล่นได้ สักประมาณสิบกว่า เพลงเอง

    ”หนูก็ประมาณนั้น ค่ะ"

                                                      ******************

    ทุกวันอังคารและวันศุกร์  เมื่อมีการซ้อมเล่นดนตรีไทย ผมจะเห็นสมโภชน์ มายืนรอชมการฝึกซ้อมของวารี เป็นเพราะเขามีชื่นชอบเพื่อนร่วมรุ่นนั่นเอง  การฝึกซ้อมดนตรีไทยมีอาจารย์ พนักงานและนักการภารโรงที่ชื่นชอบดนตรีแนวนี้มาร่วมฝีกซ้อมร่วมวงอย่างจริงจัง ตั้งแต่เวลา 18.00 น.จนถึงสามทุ่ม

      “วารี  มีคนมาให้กำลังใจทุกวันเลย เหรอเนี่ย  ” ผมหยอกเอิน ผู้ร่วมซ้อมดนตรีที่เป็นรุ่นน้อง 

      “หนูไม่ทราบ เข้าใจว่า เขาคงมาดูอาจารย์ ฝึกซ้อมดนตรีมากกว่านะ ” สารีตอบ

     “สายตา เขาจ้องมอง มาที่วารีตลอดเวลา  เลยนี่  ”ผมพูด

       วารี เขินๆ พร้อมก้มหน้าลง พร้อมขยับมือกดที่เส้นซอให้เป็นเพลง หลังจากฝึกซ้อมจนจบเพลงสุดท้าย  ผมเก็บเครื่องเล่นดนตรีเข้าตู้เหล็ก พลางสังเกต หนุ่มผิวคล้ำ ศีรษะเถิก ร่างเตี้ยคนนี้ กำลังคุยกับวารี  ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่ผมคาดเดาน่าจะเป็นความจริง สมโภชน์คงต้องชอบวารีอย่างแน่นอน  หากจะเปรียบเทียบคนทั้งสอง คงไม่ต่างจากจรกากับบุษบาไม่มีผิด 

    “เดี๋ยวเราเดินไปส่งเธอที่หอพักนะ  ” สมโภชน์ พูด

     “ไม่เป็นไร  เรากลับเองได้” วารีพูด

     คนทั้งสอง พูดไม่ห่างจากผมมากนัก จึงได้ยินทุกถ้อยคำ เดิมทีเดียวแล้ววารีก็อยู่ในสายตาของผมเช่นกัน เพราะผมชอบนิสัยคนที่เรียบร้อย และยิ่งมามีรสนิยมตรงกันในการเล่นดนตรีไทยอีก แต่เมื่อเห็นสมโภชน์ ซึ่งรุ่นน้อง ที่เคยมีน้ำใจแก่ผมในช่วงระหว่างการสอบ จึงไม่อยากให้เขาต้องมาเป็นทุกข์ใจที่จะต้องมีคู่แข่งขันในสนามความรัก  ในใจจึงอยากสนับสนุนให้คนทั้งสองมีความรักกันอย่างแท้จริง

      “ไม่รู้ไอ้โภชน์ จะเป็นเสมือนหมาเห่าเครื่องบินหรือเปล่าก็ไม่รู้ สิ ”  เสียงซุบซิบจากเพื่อนๆ ร่วมรุ่น  

      “ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก โว้ยไอ้โภชน์  ” เพื่อนสนิท ให้ข้อแนะนำ

       ทั้งคู่เริ่มมีความใกล้ชิดกันมากขึ้น ทุกครั้งที่วารีมาฝึกซ้อมดนตรี สมโภชน์จะไปนั่งเฝ้าตลอด จนใครๆ ก็ทราบว่าคู่นี้เริ่มจะมีแนวโน้มที่จะเป็นคู่รักกันแล้ว  ผมได้คุยกับวารีว่าจะลองทดสอบว่าสมโภชน์มีความชื่นชอบมีความรักกับวารีมากน้อยแค่ไหน  ค่ำวันหนึ่งก่อนที่สมโภชน์จะมารับ ผมได้เดินมาส่งวารีที่หอ แต่เดินมาได้ไม่ถึง 30 เมตร สมโภชน์ก็มาพบผมกับวารี ที่กำลังคุยและหัวเราะกันอย่างมีความสุขทำให้สมโภชน์แสดงอาการหึงอย่างชัดเจน

      “พี่ขลุ่ย ทำอย่างนี้ได้ไง วารีกับผมเป็นแฟนกัน พี่ก็ทราบอยู่นี่” สมโภชน์พูด

       “ไม่มีอะไรกัน นะ ก็นึกว่าโภชน์ไม่ว่างวันนี้ ก็เลยชวนวารีเดินมาพลางๆก่อนไง”

       “ผมรู้หน้าที่ผม น่ะพี่  บังเอิญรถยางแบน ผมมัวเติมลมอยู่ เลยมาช้า” สมโภชน์ พูด

      คำพูดของเขาขึงขึงและเอาจริงเอาจังจนวารีก็งุนงงไปเช่นกัน  

      “ขึ้นรถ เร็ว” สมโภชน์ พูดดัง เขาเรียกให้วารีขั้นรถจักรยาน  ครู่ต่อมา รถจักรยานคันนั้นก็บึ่งลับตาไป

      นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา สมโภชน์ ค่อนข้างจะเคืองและไม่ชอบขี้หน้าผม สิ่งที่เขาเคยช่วยเหลือผมเรื่องการติว เรื่องการให้ดูข้อสอบในห้องสอบ จึงต้องถูกตัดสิทธิลงอย่างถาวร  ผมกับเขาจึงเป็นขมิ้นกับปูนและเดินไปในแนวทางเส้นขนานตลอดมา

                                         ******************************* 

       หลังจากวารีเรียนจบปวส.แล้ว เธอโชคดีที่สถาบันฯเปิดรับสมัครงานในตำแหน่ง ครู และอาจารย์ที่เป็นกรรมการ รับสมัครสอบซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักดนตรีไทยยินดีรับเธอเข้ามาเป็นครู สำหรับสมโภชน์ได้เรียนต่อในระดับปริญญาตรีหลักสูตรสองปี เมื่อเรียบจบได้เกียรตินิยมอันดับ 1 ก็ได้เป็นอาจารย์สอนที่เดียวกันกับวารี ต่อมาทั้งคู่จึงสมรสและมีบุตรด้วยกันสองคน คือเป็นชายหนึ่ง และหญิงหนึ่ง  ทั้งคู่เป็นครอบครัวที่ค่อนข้างอบอุ่นในระยะแรกๆ หลังจากเขาบรรจุเป็นอาจารย์สอนได้ในระยะหนึ่ง ก็ได้ลาไปศึกษาต่อจนจบปริญญาโทและเอก  

         ช่วงที่ผมมาบรรจุเป็นอาจารย์สอนที่ลำปาง ได้ติดตามข่าวสาร ของสมโภชน์ ทราบข่าวว่า เขาเป็นดาวรุ่งดวงใหม่  ที่มีอาจารย์ในคณะหนุนและสนับสนุนให้เขาได้รับโอกาสเป็นคณบดี  ในฐานะผมเป็นรุ่นพี่และเป็นศิษย์เก่าที่เคยเรียนร่วมกับเขามา ย่อมต้องการเห็นเขามีโอกาสมีตำแหน่งทางการบริหารในคณะที่เขาเคยร่ำเรียนมาตั้งแต่ปีแรกจนจบปริญญาตรี ซึ่งเขาน่าจะเห็นข้อดี -ข้อด้อย ที่จะนำมาใช้วางแผนและพัฒนาสถานศึกษาของเขาเองให้พัฒนาทัดเทียมกับคณะต่างๆ ของสถาบัน

           ครั้งที่ผมลงไปเยี่ยมบ้านที่กรุงเทพ ได้พบกับเพื่อนโดยบังเอิญที่สถานีรถไฟหัวลำโพง จึงได้คุยกันถึงเรื่องความเคลื่อนไหวของสถานศึกษาที่เคยเรียน

    “ครั้งนี้ไอ้โภชน์   มันสมัครตำแหน่งคณบดี ลงแข่งกับอาจารย์สุนทร  ด้วย” ไอ้ม้า พูด 

       ม้า เรียนรุ่นเดียวกับผมและเป็นรุ่นพี่ของสมโภชน์หนึ่งปี ทั้งคู่จบได้เกียรตินิยม จึงได้รับโอกาสเป็นอาจารย์สอนที่นี่  เมื่อทั้งคู่เป็นข้าราชการในที่เดียวกัน จึงต้องกลายมาเป็นคู่แข่งขันช่วงชิงตำแหน่งบริหารของคณะ  เวลานั้นไอ้ม้า อยู่ในทีมผู้ลงสมัครแข่งขันในทีมของอาจารย์สุนทร และหลังจากมีการเลือกตั้งแล้ว ทีมของสมโภชน์ก็ชนะทีมของอาจารย์สุนทร ซึ่งเคยเป็นอาจารย์ที่เคยสอนเขามา

          นี่คือการเริ่มต้นของนักบริหารของคนรุ่นใหม่ ที่ชื่อรองศาสตราจารย์สมโภชน์  เมื่อเขารับตำแหน่งคณบดีแล้ว หัวโขนที่สวมลงบนศีรษะก็ทำให้เขาเหลิงในอำนาจ  จากที่เคยเป็นคนสุภาพก็เปลี่ยนเป็นคนลุแก่อำนาจ พูดจาก้าวร้าวกับเพื่อนร่วมงานกับอาจารย์ที่เคยสอนเขามา ภายในคณะมีความขัดแย้งและตกต่ำอย่างที่ไม่เคยปรากฎ  ผมทราบข่าวนี้จากอาจารย์ท่านหนึ่งที่มาตรวจเยี่ยมการฝึกงานของนักศึกษาที่จังหวัดลำปาง

    “ไม่ไหวเลย รุ่นน้องของเธอ ช่างบ้าอำนาจ  ไม่เห็นหัวเห็นเงา ครูบาอาจารย์ที่เคยสอนมา” อาจารย์ มยุรี พูด

    “ผมพอจะทราบข่าวจากไอ้ม้า ครับ  เขาเคยพูดให้ผมฟัง”  ผมพูด 

    อาจารย์มยุรี เป็นอาจารย์สอนผมและสมโภชน์  ในวิชาภาษาไทย ท่านเป็นคนธรรมะธรรมโม และใฝ่ทางด้านศาสนาอย่างจริงจัง ท่านคงน่าจะเหลืออดที่จะเห็นลูกศิษย์กระทำเช่นนั้นไม่ได้

    “นี่เขายังเที่ยวหึงหวง  ถึงกับเตะต่อยทุบตีภริยา จนเป็นแผลไปทั้งกาย ครูรู้สึกสงสารวารีมาก  ” อาจารย์มยุรี พูด

     “สมโภชน์ ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนันนี่ครับ เขาเป็นคนดี ที่ผมเคยชื่นชมอย่างมาก สมัยเรียน”

    “ใช่  แต่ครูก็ไม่ทราบว่า เขาหึงหวงภริยาได้อย่างไร  นี่ไม่ได้ทำแค่ครั้งเดียวนะ คราใด ที่เขาหงุดหงิดจากงาน แล้ววารีพูดไม่เข้าหู วารีก็จะกลายเป็นกระสอบทรายเสมอ” อาจารย์มยุรีพูด

    “ผมสงสารรุ่นน้อง คนนี้มากเลย  ” ผมพูด

    “เมื่อก่อนตอนซ้อมดนตรีไทยที่ ครูไปซ้อมด้วย เห็นขลุ่ยมองๆ วารีนี่”

    “ครับ ผมชอบที่วารีเป็นคนเรียบร้อย แต่พอเห็นสมโภชน์ตามจีบ ผมจึงยอมสละสิทธิ เพราะมองเห็นว่าคู่นี้เขามีความเหมาะสมกว่าผมมาก  ผมครบเครื่องเรื่องอบายมุข รู้ตัวดีครับ”

    “แต่เธอก็ไม่ได้เลวร้าย เกเร กับใครนี่ ทั้งยังช่วยงานร้านสวัสดิการ งานส่วนรวมของสถาบัน ครูก็เห็นมาตลอด”

    “ผมรับไม่ได้เลยครับ อาจารย์นายสมโภชน์ ว่าไป..ก็สงสารวารีครับ  ผมไม่คิดเลยว่า ไอ้โภชน์จะเป็นคนสันดานดิบเช่นนี้”

    “จะเอาแน่อะไรล่ะ กับคน”  

    หลังจากคุยกับอาจารย์ มยุรี ในการพบปะทานอาหารมิ้อเย็นในคืนนั้น  ผมจึงได้รับข้อมูลจริง ที่สอดคล้องกับลูกศิษย์ของผมที่เคยเรียนกับสมโภชน์มาก่อน

    “ไม่อยากเชื่อเลย ว่าไอ้โภชน์ จะเป็นคนเช่นนี้  ”ผมคิด

                                       *****************************

      งานสถาปนาคณะเทคโนโลยี ในอดีต. ผมมีโอกาสกลับไปร่วมพบปะกับรุ่นพี่ เพื่อนๆและรุ่นน้อง  ผมพบสมโภชน์กับวารี ที่เดินมาร่วมงานวางพวงมาลาที่อนุสาวรีย์ 

    “สวัสดีค่ะพี่ขลุ่ย  ”วารียกมือไหว้ ทักทายผมแต่สมโภชน์กลับนิ่งเงียบ ไม่พูดจาใดๆ เขามองผมดังกับคนไม่รู้จักกัน  เวลานั้น เขาไม่มีตำแหน่งใดๆแล้ว เพราะพฤติกรรมที่เขาเคยกระทำกับเพื่อนร่วมงานไว้   

         วารีที่เคยมีใบหน้า ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ครั้งนี้เธอมีสีหน้าแผงความเศร้า รอยยิ้มที่เห็น ที่มีอยู่เป็นการกลบเกลื่อนอะไรในใจอย่างแน่นอน   ในสมองผมครุ่นคิดภาพเก่าๆที่สมโภชน์ มารอมานั่งเฝ้าการซ้อมดนตรีอย่างอดทน จนอาจารย์ที่เห็นเขา เห็นใจและอยากให้ลูกศิษย์ทั้งคู่ เป็นคู่รักกันชั่วนิรันดร์ ผมมิได้โกรธสมโภชน์ ในใจยังนึกว่า สักวันเขาคงสำนึกในความดีของภริยาที่อยู่เคียงข้างเขามาตลอดเวลา ไม่ว่ายามเหนื่อย  ยามทุกข์ใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเจอสองสามีภริยา หลังจากที่เราต่างมีหน้าที่การงานแล้ว      

      “ไอ้โภชน์ นิสัย เปลี่ยนแปลง จากหน้ามือเป็นหลังมือเลย   ” 

             เสียงลือ จากเพื่อนๆ และรุ่นน้องๆของผมที่กล่าวถึงเขา

                                            ********************************

      หลังจากที่ สมโภชน์ได้ไปศึกษาต่อต่างประเทศจนมีวุฒิ Ph.D  และได้มีโอกาสลงสมัครแข่งขันตำแหน่งคณบดีอีกครั้ง ครั้งนี้เขาได้คะแนนการหยั่งเสียงเหนือกว่าคู่แข่งมากมายแต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรเมื่อนายกฯสภาและคณะกรรมการ สภากลับมิได้นำชื่อเขาพิจารณาเป็นคณบดี  จึงเกิดการฟ้องร้องไปยังศาลไม่ทันที่จะได้ทราบผล เขาก็มาล้มป่วยด้วยเส้นโลหิตในสมอง ต้องทำการรักษา วารีได้ดูแล สามีอย่างดียิ่ง จนเธอผ่ายผอม สมโภชน์ คงทราบชะตากรรมของตนดี ว่าคงจะอยู่มีชีวิตได้อีกไม่นาน  เมื่อต้นปีที่ผ่านมา พวกเราศิษย์เก่าได้จัดงานมุทิตาจิตให้อาจารย์ที่มีอายุสูงวัยที่สวนอาหารแห่งหนึ่งที่จังหวัดนครราชสีมา ผมได้พบกับสมโภชน์ วันนี้ เขามาในสภาพต้องนั่งรถล้อเข็น มีเพื่อนร่วมรุ่นช่วยกันเข็นล้อให้ มีภริยาเคียงข้างไม่ห่าง 

      “สวัสดีครับพี่ขลุ่ย ” สมโภชน์ ทักทายผมเป็นครั้งแรก ซึ่งทำให้ผมงุนงงอยู่บ้าง จริงๆ แล้วผมมิเคยเคืองโกรธเขาเลย ยิ่งมาเห็นเขาอยู่ในสภาพเจ็บป่วยเช่นนี้ จึงนึกเห็นใจ ที่เขายังอุตส่าห์ เดินทางมาร่วมงานครั้งนี้

      “ดีขึ้นบ้าง แล้วนะ ” ผมสอบถามอาการ

      “ครับพี่  พี่ทำงานที่ไหนเหรอ ”

      “อยุู่ลำปาง  มีโอกาสมาเที่ยวทางเหนือ บ้างนะ พี่ยินดีต้อนรับเสมอ ”

      “ขอบคุณครับพี่  คงมีโอกาสครับ”

         ผมยืนคุยกับเขา สักห้านาทีแล้วขอตัวมาเป็นช่างภาพ ช่วงงานภาคค่ำ ตั้งใจจะไปนั่งคุยกับเขาเพื่อปรับความเข้าใจกันในบางเรื่องที่มีมาแต่ครั้งในอดีต แต่ด้วยต้องมีภาระหน้าที่เป็นพิธีกรและจัดคิวการแสดงบนเวที  โอกาสที่จะไปนั่งคุยกับเขาจึงพลาดโอกาสไป   หลังจากเสร็จจากงานมุทิตาผ่านพ้นไปสามเดือน จึงทราบข่าวว่าสมโภชน์ได้เสียชีวิตลงแล้ว 

      “พี่ ขอแสดงความเสียใจด้วยนะ วารี  หมดเวรหมดกรรมเสียที ”  ผมพูดทางโทรศัพท์ บอกวารี

      “ค่ะ”  

      “พี่คงไม่ได้มาร่วมงานในครั้งนี้  เป็นเพราะระยะทาง และการเดินทางค่อนข้างยากลำบาก” ผมพูด

    “ ไม่เป็นไร ค่ะ พี่”

     “สู้ๆ นะ  ”

      ผมนึกภาพ อีกครั้ง…สาวสวยตาคม ที่มีจิตใจเยือกเย็น ที่ต้องเป็นทั้งพ่อและแม่ ในเวลาต่อมา …คิดว่าคงไม่ยากเกินความสามารถของเธอไปได้  ภาพที่ผมจินตนาการที่วารี ถูกสามีซ้อม มันช่างเป็นภาพที่บาดตา บาดใจยิ่ง  

    “ เสียดาย คนอย่างมึงว่ะไอ้โภชน์ ที่มีความรู้ มีตำแหน่ง แต่ใจมึงนี่ แม่ง ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเลยสักนิด”   ผมพูดคนเดียว

      ผลจากการเลือกคู่ชีวิตผิด มันทำให้วารี ต้องทนทุกข์ทรมานไปจนกว่าอีกฝ่ายต้องจากไป 

                                         สิ้นเคราะห์ เสียที น้องสาวร่วมสถาบัน

                                                   ขลุ่ย  บ้านข่อย

                                                    (๒๒-๓-๖๗ )

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×