คนหาไม่ได้ใช้ - คนหาไม่ได้ใช้ นิยาย คนหาไม่ได้ใช้ : Dek-D.com - Writer

    คนหาไม่ได้ใช้

    ผมรู้จักเขา ตั้งแต่เพิ่งเริ่มมาทำงานใหม่ๆ ความขยัน ความทะเยอทยาน ทำให้เขามีฐานะค่อนข้างดีกว่าพี่น้องในครอบครัว อะไรที่เป็นช่องทางการได้เงิน เขาต้องรีบทำทันที แต่แล้ว .....

    ผู้เข้าชมรวม

    41

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    41

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  5 ก.พ. 67 / 11:56 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

                                                  คนหา(เงิน)ไม่ได้ใช้

      ประเดิมพันธ์ เป็นลูกชายผู้ใหญ่บ้านคนที่สี่  ผมรู้จักกับเขา ตั้งแต่ผมเข้ามาทำงานที่สถาบันแห่งนี้ใหม่ๆ  ช่วงที่ผมต้องตรวจเยี่ยมนักศึกษาที่พักตามหอพัก บ้านเช่าในละแวกนี้  ผมจำต้องรู้จักกับผู้นำหมู่บ้านคือพ่อหลวง(ผู้ใหญ่บ้าน) เสียก่อน พ่อหลวงวัฒนาคือผู้ใหญ่บ้านคนแรกที่ผมรู้จัก เวลานั้นผู้ใหญ่วัฒนามีอายุประมาณสี่สิบปีเศษๆบ้านพ่อหลวงอยู่เยื้อง ๆกับวัด  บ้านของพ่อหลวงเปิดโรงสีข้าวเอาไว้ให้บริการประชาชนในหมู่บ้านได้สีข้าวไว้กินเอง  เวลานั้น วัดแห่งนี้กำลังเริ่มก่อสร้างพระอุโบสถ จึงต้องการปัจจัย(เงิน) มาใช้ในการก่อสร้าง   เพียงแค่ผมได้เห็นโครงสร้างที่เริ่มต้น ….จึงคิดในใจว่า หากมีโอกาส คงจะขออาสาช่วยหาเงินมาสมทบทุนสนับสนุนอีกแรง

        คืนหนึ่ง………ที่ผมไปตรวจเยี่ยมนักศึกษา และได้พบกับพ่อหลวง ที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์กับลูกๆ  ผมจึงเข้าไปนั่งคุยและทำความรู้จักด้วย ลูกชายคนโต-จนถึงคนที่สามมีอาชีพเป็นครูทั้งหมด สองคนแรกบรรจุเป็นข้าราชการ ส่วนคนที่สามคืออาจารย์ประเดิมพันธ์ สอนโรงเรียนเอกชนสังกัดโรงเรียนคริสจักรเก่าแก่ของจังหวัด  คนรองสุดท้ายทำงานเป็นพัฒนากรประจำอำเภอ และคนสุดท้องเป็นหญิง 

      “ที่บ้านพ่อหลวง มีนักศึกษาที่พักด้วยกี่คนครับ ” ผมถามด้วยคำถามนำร่อง เพราะเป็นหน้าที่ที่รับผิดชอบ

     “15 คนครับ อาจารย์ ”

    “เยอะนะ ครับเนี่ยะ ”

    “ส่วนใหญ่เป็นคนเมืองผสมกันระหว่างจังหวัดพะเยากับเชียงราย ครับ”

    “มีปัญหา เรื่องความเกเร กับเด็กวัยรุ่นของชาวบ้านมั้ยครับ”

    “นิดหน่อย  ตามธรรมชาติของเด็กวัยรุ่น ก็มีบ้าง ผมปรามๆกับพ่อแม่ของเด็กๆในหมู่บ้านห้ามมีเรื่องโดยเด็ดขาด ”

    “ครับ ยังไงผมคงต้องดูแลเด็กของผมด้วย  ”

      ขณะนั่งคุย ผมเห็นอาจารย์ประเดิมพันธ์ ขยับเข้ามาใกล้กับผม จริงๆแล้ว..ผมเคยเห็นเขาที่ร้านก๋วยเตี๋ยวในซอยข้างโรงเรียนประจำหมู่บ้านบ่อยๆ

      “ยินดีที่ได้รู้จักกับอาจารย์ครับ  ” เขาเอ่ยปากทักทายกับผมก่อน  ผมยื่นมือขวาออกไปให้เขา เขายื่นมือขวาออกมา เราจับมือกันและกันแล้วเขย่าเบาๆจากนั้นจึงคลายมือออกแค่ได้คุยกันไม่มีกี่ประโยคก็รู้สึกเหมือนรู้จักกันมานานแล้ว 

     “เช่นกันครับ ผมชื่อขลุ่ย ครับ” ผมบอกชื่อไป

     “ผม..ประเดิมพันธ์หรือพันธ์ครับ” เขาตอบ

    “มีอะไร .จะให้ผมช่วยเหลืองานในหมู่บ้านได้ เชิญไปพบผมได้ที่ห้องทำงาน หรือที่บ้านพักติดริมสระน้ำ เยื้องๆป้อมยามของสถาบันได้เลยครับ”ผมพูด

    “หมู่บ้านกับโรงเรียน กำลังจะจัดผ้าป่าสามัคคี เพื่อสมทบทุนสร้างพระอุโบสถให้กับทางวัด  ไหนๆเมื่อผมได้พบอาจารย์แล้ว จึงขอบอกบุญ ให้อาจารย์ได้จัดองค์ผ้าป่าให้สักหนึ่งกอง ”อาจารย์ประเดิมพันธ์พูด

      “ยินดีครับ ยังไง.. ผมจะกลับไปหารือกับกรรมการสโมสรและนายกฯ ได้ช่วย”ผมพูด

        ผมนั่งคุยกับผู้ใหญ่บ้านและอาจารย์ประเดิมพันธ์ จนเกือบสามทุ่ม จึงขอตัวกลับบ้านพักผ่อน ….

                                         ***************************

    งานผ้าป่าครั้งนี้ กรรมการหมู่บ้านและชาวบ้าน ได้มีมติ ให้โรงเรียนของหมู่บ้านแห่งนี้ เป็นศูนย์รวมตั้งองค์ผ้าป่า   เพื่อจะแห่ไปถวายให้ทางวัด ชาวบ้านที่เป็นชายส่วนใหญ่ อยู่ในวัยสี่สิบปีขึ้นไป พวกเขายืนเป็นกลุ่ม  ทั้งยังมีเชือกห้อยกลองยาวบริเวณคอ  ทุกคนช่วยกันตีกลองสร้างบรรยากาศให้งานครึกครื้น  สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับงานบุญงานกุศลของสังคมชนบทจะต้องมีเครื่องมึนเมาดื่มกิน ช่วยทำให้หัวใจสูบฉีดกระชุ่มกระชวย  ผมมาร่วมงานผ้าป่าสามัคคี ตั้งแต่บ่ายๆ ฝ่ายผู้หญิงส่วนใหญ่จะอยู่ในในโรงครัวเพื่อทำอาหารไว้เลี้ยงแขกนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาพบกับชาวบ้าน   

    “สวัสดีครับ ครู”ผมทักทายกับอาจารย์ประเดิมพันธ์ เขารับไหว้ แลัวพาผมไปพบครูใหญ่และครูที่สอนในโรงเรียนแห่งนี้ ผมได้รู้จักกับครูใหญ่และครูผู้สอนในโรงเรียนทุกคน โรงเรียนแห่งนี้ มีครู 7 คนเป็นชาย 2 คน คือครูใหญ่และครูผู้หญิงอีก 5 คนทั้งหมดมีอายุไล่เลี่ยกัน 

    “ผมชื่อรัตนะ ” ครูใหญ่แนะนำตัวเอง  

    “ครับ” ผมตอบ

    “ผมคงต้องพึ่งพาให้อาจารย์มาช่วยเหลืองานกิจกรรมในโรงเรียนกับหมู่บ้านแห่งนี้” ครูใหญ่พูด

    “ ยินดีครับ ระยะทางจากโรงเรียนกับสถาบันมิใช่ไกล ผมมาทานก๋วยเตี๋ยวข้างๆโรงเรียนบ่อยๆ หากมีอะไรเร่งด่วนก็ฝากจดหมายไว้ที่แม่ค้าไว้ครับ”  ผมพูด

    “ต้นเดือนธันวา ของทุกๆปี โรงเรียนของเราจัดจะงานประเพณี เพื่อหารายได้มาพัฒนาโรงเรียนครับ”ครุูใหญ่พูด

    “มีมหรสพ ประเภทใดบ้าง ครับ”

    “หนังกลางแปลง มวย รำวง ครับ”  ครูใหญ่พูด

    “ดีจังครับ ครูใหญ่ ปีๆนึงมีรายได้เข้าโรงเรียนมากน้อย แค่ไหนครับ”

    “ผมเพียงให้เขาเช่าสถานที่ เพื่อจัดงานครับ ผู้จัดเขาแค่แบ่งเปอร์เซ็นต์ให้ทางโรงเรียนเท่านั้นเองครับ”  ครูใหญ่ พูด

    “อ้อ.. ครับ” ผมพูด

    “รายได้ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับคนมาดูงาน ถ้ามาชมกันมากเปอร์เซ็นต์ได้ก็มากตาม  สิ่งที่ผมวิตกคือนักศึกษาในสถาบัน ที่มาเที่ยวงาน ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะซื้อตั๋วเข้าชมงานน่ะครับ” ครุูใหญ่ พูด

    “น่าเห็นใจครับ ไว้เวลาผมเข้าชั้นสอน พวกเขาจะบอกและขอความร่วมมือให้พวกเขาช่วยซื้อตั๋วเข้าชมงาน” ผมพูด

    “ขอบคุณครับ”

     เสียงกลองจากกลองยาวเคล้ากับเสียงเพลงจากคอสุราที่มีดีกรีมากขึ้น  ดวงอาทิตย์เริ่มผ่อนคลายส่องแสงลงบ้าง ทำให้ไม่ร้อนจนเกินไปนัก เมื่อได้ฤกษ์ ที่จะนำองค์ผ้าป่าเข้าสู่ศาลาเพื่อทอดถวาย ขบวนกลองยาวจึงนำหน้าพาชาวบ้านทั้งจากภายในหมู่บ้าน- ศรัทธาจากต่างหมู่บ้าน เพื่อวนสามรอบก่อนสู่ขั้นตอนถวายองค์ผ้าป่า  งานถวายผ้าสำเร็จลงภายในเวลาครึ่งชั่วโมง  ชาวบ้านกว่าสองร้อยคนต่างอิ่มบุญ และได้มาร่วมรับประทานอาหารที่โรงเรียนที่ห่างจากวัดเพียง 250 เมตร ผมเป็นคนแปลกหน้าที่ชาวบ้าน ไม่ค่อยคุ้นหน้าทั้งหน้าตายังเยาว์เสมือนเด็กหนุ่มวัยรุ่น 

      “เปิ๋นเป๋นอาจ๋าน เพิ่งมาบรรจุ น่ะ  หมู่เฮา” อาจารย์ ประเดิมพันธ์ พูดบอกกับชาวบ้าน 

       ผมยิ้มให้ทุกคนเพื่อการสร้างมิตร การที่ผมมีประสบการณ์มาโชกโชน ไม่ว่าจะเคยออกค่ายอาสาพัฒนาชนบท และเคยทำงานที่สหกรณ์การเกษตร ในฐานะพนักงานส่งเสริมการเกษตรมาปีเต็มๆ เพียงไม่ถึงห้านาที ผมก็สามารถเข้ากับชาวบ้านส่วนใหญ่ได้ ผมรับแก้วเหล้าจากชาวบ้าน คนแล้วคนเล่า นั่งคุยกับเขาอย่างเป็นกันเองจนตะวันตกดินจึงขอตัวกลับที่พัก  

                                            **************************

    ทุกครั้งที่ผมมาตรวจหอพักของบิดาอาจารย์ประเดิมพันธฺ์ จะเห็นเขาคอยบริการให้ชาวบ้านในการสีข้าว บุรุษผิวค่อนข้างขาว ร่างเล็ก ที่มีใบหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลา

    “อาจารย์ มาเยี่ยมนักศึกษา หรือครับ”

     ใช่ครับ ขยันจังครับ " ผมพูด

    “ช่วงนี้ พ่อของผมหัวเข่าเสื่อม เดินไม่ค่อยได้ ผมจึงต้องมารับผิดชอบแทนท่าน ครับ” 

    “ทำกิจการโรงสีอย่างนี้ มีรายได้ทางไหนบ้างหรือครับ”ผมถาม ด้วยความอยากรู้

    “ อ้อ.ทางเราจะคิดค่าสีข้าวเป็นกระสอบปุ๋ย กระสอบละ 1 บาทครับ ”อาจารย์ประเดิมพันธ์พูด  (ค่าของเงินในอดีตจะมีค่ามากกว่าปัจจุบัน) 

    กว่าจะสีข้าวของชาวบ้านเสร็จ บางวันก็เกือบจะหนึ่งทุ่ม อาจารย์ประเดิมพันธ์ ที่ผมเห็น จัดว่าเป็นคนขยันมีมนุษย สัมพันธ์ดีเยี่ยม จากการแลกเปลี่ยนพูดคุยกัน ทำให้ผมทราบว่าเขาเรียบจบมาทางสายการศึกษาด้านภาษาอังกฤษ จึงรับบทบาทเป็นครูสอนภาษาของโรงเรียนเอกชนเก่าแก่ เวลานั้นสถานะเขายังโสดและกำลังตามจีบครูสาวสวยรุ่นน้อง  ลูกสล่าคำ (ที่เป็นช่างทำเฟอร์นิเจอร์) ฝีมือดีที่อยู่บ้านเยื้องๆ กัน 

    สองปีต่อมา อาจารย์ประเดิมพันธ์ได้สมรสกับครูดาวเรือง ซึ่งสอนในโรงเรียนของรัฐถิ่นทุรกันดาร ทั้งคู่ได้ออกเรือนมาสร้างบ้านอาศัยในพื้นที่ใกล้กับบ้านของบิดาทั้งคู่ได้บุตรชายทั้งสองคน  คนโตกับคนเล็กมีอายุห่างกันสามปี อาจารย์ประเดิมพันธ์เป็นครูในโรงเรียนเอกชน ซึ่งหากว่าไปแล้วชีวิตความมั่นคงของเขาค่อนข้างจะสุ่มเสี่ยงอยู่บ้าง  เนื่องจากโรงเรียนเอกชนในจังหวัดมีเกือบ10 แห่ง เขาจึงจำเป็นต้องหาอาชีพเสริมอื่นๆ เบื้องต้นเขาอาสาทำงานส่งข่าวประชา- สัมพันธ์และส่งข่าวให้สำนักงานพิมพฺ์หนังสือพิมพ์ในจังหวัดเชียงใหม่ แม้รายได้จะไม่มาก แต่อย่างน้อยก็เป็นใบเบิกทางให้เขาก้าวเข้าสู่การเป็นนักข่าวและนักสื่อสารมวลชน เขาได้ไต่เต้า ขยับมาเป็นคอลัมนิสต์และเป็นนักข่าวให้กับหนังสือพิมพ์หลายฉบับ 

    “อาจารย์.. เขียนข่าวให้หนังสือพิมพ์ของจังหวัดเชียงใหม่ มีรายได้หรือไม่”ผมถาม  เมื่อวันหนึ่งผมได้นามบัตรที่เขาให้ผมไว้ เพื่อแสดงตนว่า เขาทำงานสื่อมวลชน 

    “ได้ค่าน้ำหมึกบ้าง นิดหน่อยครับ ไม่ได้มากมายอะไรเลย ”อาจารย์ประเดิมพันธ์ ตอบ 

    ด้วยความตั้งใจของผมตั้งแต่วัยเด็กว่า หากมีโอกาสจะได้ก้าวเข้ามาสู่วงการหนังสือพิมพ์ได้ ก็คงจะมิรอช้าให้โอกาสผ่านไป จากที่ผมได้รับคำตอบจากเขามาว่า การที่เขาทำหนังสือพิมพ์  แล้วไม่มีรายได้ มากมาย แต่เขาก็ยังทำ  นั่นคงเป็นเพราะเขาน่าจะมีจุดยืนและมีอุดมการณ์   นี่จึงทำให้ผมต้องรบกวน ต้องพึ่งพาให้เขาช่วยแนะนำให้ผมมีโอกาสได้เข้าไปในวงการนี้บ้าง

    “ผมอยากจะลอง ส่งบทความไปให้หนังสือพิมพ์ที่จังหวัดเชียงใหม่ ได้พิจารณาตีพิมพ์บ้าง  อาจารย์มีความคิดเห็นอย่างไร” ผมพูด

    “ ลองดูครับ ยังไง ฝากผ่านผมมาก็ได้นะ เวลาผมส่งข่าวไปจะได้ส่งไปพร้อมๆกัน”อาจารย์ประเดิมพันธ์พูด

    “ครับ”

      หลังจากผมเขียนบทความเสร็จแล้ว จึงได้ฝากให้อาจารย์ประเดิมพันธ์ช่วยส่งต่อให้สำนักพิมพ์ สัปดาห์ต่อมาผมรอลุ้นด้วยใจระทึกว่าทางสำนักพิมพ์จะตีพิมพ์ให้ หรือไม่..

      “โห .สุดยอดเลย หนังสือพิมพ์ลงบทความให้เราด้วย " ผมพูดคนเดียวเบาๆ  

       ผมเริ่มมีกำลังใจ เพราะบทความชิ้นนี้เป็นบทความชิ้นแรกที่ผมส่งไปและได้ถูกตีพิมพ์ในจังหวัดเชียงใหม่ ที่ผลิตขายใน 8 จังหวัดภาคเหนือ และจากนั้นผมจึงส่งไปให้ที่นี่เป็นระยะๆ นี่ผมจึงถือว่าอาจารย์ประเดิมพันธ์ คือคนแรกที่ให้โอกาสผมเข้าสู่วงการหนังสือพิมพ์ ผมยังพบกับเขาประปราย เมื่อโรงสีข้าวเสื่อมชำรุดลงตามกาลเวลา เขาได้เปลี่ยนแปลงพื้นที่ทำเป็นโรงน้ำแข็งขนาดเล็กเพื่อส่งน้ำแข็งหลอดไปยังลูกค้าละแวกนั้นซึ่งมีประมาณ 20 ร้าน รถกระบะเก่าๆ จะบรรจุน้ำแข็งใส่ถุงๆละ 20 กก. เตรียมลงให้ลูกค้า ขณะที่ผมขี่จักรยานออกกำลังกายจะขี่รถสวนทางกับอาจารย์ประเดิมพันธ์เกือบทุกวัน เขามักจะโบกมือหรือบีบแตร ทักทายพร้อมรอยยิ้มที่เปิดกว้างบ่งบอกถึงความจริงใจ  

            นอกจากอาจารย์ประเดิมพันธ์ จะเขียนข่าวให้ นสพ.ของจังหวัดเชียงใหม่แล้ว ยังเป็นคอลัมนิสต์ในหนังสือพิมพ์ของจังหวัดลำปางอีกสองฉบับ เขายังได้แนะนำผมให้ไปพบกับบรรณาธิการบริหาร และผมก็ได้รับโอกาสจากหนังสือพิมพ์ให้เป็นคอลัมนิสต์ประจำคอลัมน์ “คลื่นใต้น้ำ” โดยใช้นามปากกาว่า “ศรนารายณ์” และต่อมาผมได้เปลี่ยนชื่อคอลัมน์ เป็น แทงใจดำ โดยใช้นามปากกาว่า ขลุ่ย บ้านข่อยตลอดมา การที่เขาอยู่ในวงการสื่อมาช้านาน จึงถูกเชิญชวนให้ทำสื่อวิทยุและโทรทัศน์ เขาจึงมีรายได้จากการเป็นผู้ดำเนินรายการวิทยุจากสปอนเซอร์เป็นเงินหลายหมื่นบาทต่อเดือน 

            ครอบครัวของอาจารย์ประดิมพันธ์กับภริยาและลูกนับเป็นครอบครัวที่อบอุ่น  อาจารย์ประเดิมพันธ์จัดเป็นนักสู่้ชีวิต เมื่อรัฐบาลมีนโยบายเปิดกว้างให้บุคคล- ชุมชน สามารถทำสื่อวิทยุได้เขายอมลงทุนขอยื่นขอจดทะเบียนเป็นเจ้าของสถานี และทำหน้าที่ดำเนินการบริหาร เขาเคยชวนผมไปร่วมงานด้วยแ ต่ผมได้ปฎิเสธไปเพราะได้ทำหน้าที่อยู่ในมหา -วิทยาลัยอยู่ก่อนแล้ว 

                                              และ….วันหนึ่ง เขาได้มาพบผมที่บ้าน

    “อาจารย์ขลุ่ยครับ ที่สถาบันของอาจารย์มีเปิดรับสมัครอัตราอาจารย์สอนภาษาอังกฤษหรือเปล่า ผมได้ยินข่าวว่ามีการเปิดรับสมัคร”

    “อาจารย์..มาสายไปแล้วล่ะ เขาเพิ่งปิดรับสมัครไปไม่นานมานี้นี่เอง”ผมพูด

    “งั้นหากเมื่อไหร่ สถาบัน เปิดรับอัตราสอนวิชาภาษาอังกฤษ ขออาจารย์ช่วยบอกผมด้วย”

    “ได้ ครับ”

           ผมมาทราบภายหลังว่าโรงเรียนที่อาจารย์ประเดิมพันธ์ กำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ เนื่องจากนักเรียนลดลง  และฝ่ายบริหารต้องลดอัตราครูลง  เขาเป็นผู้หนึ่งที่จะถูกให้ออกจึงพยายามดิ้นรนหางานสอนหนังสือ เพื่อความมั่นคง  ผมรู้สึกเห็นใจเขาอย่างมาก ว่าไปแล้ว ฐานะเขาและครอบครัว ใช่จะเดือดร้อนมากนัก เพราะภริยาก็รับราชการมีสิทธิและสวัสดิการของรัฐครบถ้วน  

            ผมรู้สึกศรัทธาในตัวเขาในด้านความขยัน ความเสียสละจนครัั้งหนึ่ง เขาได้ลงสมัครเป็นสมาชิก อบต .ในพื้นที่ และได้รับเลือกถึงสองสมัย จากนั้นเขาจึงขยับตัวเพื่อลงในตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบล

    “ผมมาขอปรึกษาอาจารย์ขลุ่ยหน่อยครับ คือผมจะลงสมัครแข่งนายกฯชิงกับคุณดารุณี นายกฯคนเก่า ”อาจารย์ประเดิมพันธ์พูด

    “อาจารย์ประเดิมพันธ์ ต้องประเมินผลคะแนน ที่คาดว่าจะได้ ต้องรู้ว่าหมู่บ้านใดที่เรามีจุดอ่อนเพื่อจะได้หาเสียงให้มากกว่าปกติถึงสิบเท่า ”

    “ครับ ผมพอทราบและจะต้องแก้ไขตามคำแนะนำ”อาจารย์ ประเดิมพันธ์พูด

                                             ********************************

            หลังจากมีการประกาศผลคะแนนเขาแพ้อดีตนายกฯหญิงแชมป์เก่า ไปเพียง 40 คะแนน นับว่าน่าเสียดาย แต่จะอย่างไร ผมก็ให้กำลังใจเขาเสมอ ผมมีข้อกังขาอย่างมากคือ คะแนนเสียงในหมู่บ้านของเขาเอง กลับพ่ายแพ้ให้คนต่างถิ่นไปด้วยคะแนนเกือบครึ่งของผู้ใช้สิทธิ  ผมมาทราบว่าเหตุผลที่คนในหมู่บ้านของเขาเลือกเขาน้อย  เพราะมีข่าวว่าเขามีส่วนเกี่ยวพันกับเรื่องการทุจริต ระบบประปาในหมู่บ้าน ที่กำลังมีเรื่องฟ้องร้องกันในศาล จากที่ผมฟังชาวบ้าน จึงเชื่อได้ว่าเขาทุจริตจริง ผมจึงเริ่มหมดความศรัทธาแต่เราก็ยังคุยกันตามปกติ

                                                          **************************

                                                               ในวันหนึ่ง…  ต่อมา

     “ผมมาขอปรึกษากับอาจารย์ คือลูกชายของผมเรียนปีสองคณะวิศวะ ที่เกษตรศาสตร์ เขาได้เกรดเฉลี่ย 1.6 นี่จะถูกรีไทร์มั้ยครับ”อาจารย์ประเดิมพันธ์พูด สีหน้าเขาแสดงออกถึงความหวั่นวิตก

    “โดยปกติในมหาวิทยาลัย ปีสองหากเกรดไม่ต่ำกว่า 1.5  คงยังสามารถเรียนได้อยู่ แต่อยู่ในขั้นเตือนว่า ผู้เรียนจะต้องพยายามทำเกรดให้สูงกว่านี้อีก” ผมพูดบอกเขา

    “อาจารย์ ช่วยวางแผนการเรียนให้ลูกชาย ผมหน่อยครับ”

    “เอาเป็นว่า ตอนปิดเทอม ให้ลูกชายอาจารย์มาบ้านก่อน  ผมจะคุยกับเขาเอง”

      ดูเขาสบายใจขึ้นและผมก็ได้วางแผนการเรียนให้ลูกชายคนโตของเขาได้จบการศึกษาในเวลาที่กำหนด ส่วนคนเล็กเรียนจบรัฐศาสตร์ทั้งคู่ได้เข้าทำงานราชการ ระยะหลังผมเห็นอาจารย์ประเดิมพันธ์ซูบผอมกว่าปกติ  แต่ผมก็มิเคยได้สอบถามอาการเขา เวลาผ่านไปอีกหนี่งปี .ข่าวของเขาเงียบไป ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติทั้งสถานีวิทยุที่เขาเคยจัดรายการก็เงียบลงด้วย

    “มันเกิดอะไรเนี่ยะ ปกติทุกเช้าเราจะเห็นเขาขับรถมาส่งน้ำแข็งข้างบ้านที่ร้านขายก๋วยเตี๋ยว” ผมคิด

    “แม่ค้าๆ เดี๋ยวนี้อาจารย์ประเดิมพันธ์ ไม่มาส่งน้ำแข็งหลอดให้ แล้วหรือ”

    “เขาเสียชีวิตไปหกเดือนแล้ว ล่ะ”แม่ค้าพูด

     “หา ว่าไงนะ  ”ผมพูด

     “เสียแล้ว ค่ะ”

      ผมนิ่งและรู้สึกตกใจ….ไม่น่าเชื่อเลยว่า ชีวิตเขาจะสั้น  พูดก็พูดเถอะ ผมไม่เคยเห็นใครขยันเท่ากับเขาเลย  บ้า่นช่อง ร้านค้า สถานีวิทยุ โรงน้ำแข็ง หอพักเขาลงทุนสร้างมาด้วยหยาดเหงื่อของเขาเองทั้งสิ้น  ผู้อยู่ข้างหลังที่ยังมีชีวิต มีความสุขสบาย บนกองเงินกองทองที่เขาหามา 

                                           นี่แหละหนาที่มีคำกล่าวไว้ว่า “คนหา ไม่ได้ใช้  คนใช้ไม่ได้หา

                    ชีวิตของคนเราก็เท่านี้  สมบัติที่หาได้ในยามมีชีวิต  ครั้นสิ้นลง. บาทเดียวก็นำติดตัวไปไม่ได้

                                                              ขลุ่ย   บ้านข่อย 

                                                        ( ๕  กุมภาพันธ์   ๒๕๖๗ )

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×