หลงผัวใหม่ - หลงผัวใหม่ นิยาย หลงผัวใหม่ : Dek-D.com - Writer

    หลงผัวใหม่

    รักที่เคยว่าหวานกลับขม โดยไม่ทราบสาเหตุ ขนาดสามีกลับมาเยี่ยมบ้าน เธอยังแอบไปหาชายชู้

    ผู้เข้าชมรวม

    149

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    149

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  28 ม.ค. 67 / 04:04 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

     

                                                   หลงผัวใหม่..มากกว่าลูก

          สอางค์เป็นลูกสาวคนเดียว ของนายบุญเปล่งนางอารมณ์  เธอเป็นลูกศิษย์ที่ผมเคยสอน เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว ในสายตาของผม มองว่าเธอเป็นเด็กสาวหน้าตาสวยน่ารัก หุ่นดี ทั้งยังสุภาพ เรียบร้อย บ้านของบิดามารดาของเธอ อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันกับผมอาศัยอยู่ เมื่อเธอเรียนจบระดับปริญญาแล้ว บังเอิญตำแหน่งงานในสถาบันที่เธอเรียนว่างลง  เธอจึงสมัครสอบและได้เข้าทำงานเรื่อยมาจนปัจจุบัน สอางค์ได้พบรักกับเพื่อนชายในหมู่บ้านเดียวกัน และได้ร่วมชีวิตเป็นครอบครัวเดียวกัน 

       ไพโรจน์ สามีของสอางค์ เรียนจบทางสายช่างก่อสร้าง ทั้งคู่รู้จักกันตั้งแต่ยังเรียนชั้นประถม-มัธยมต้น ทั้งคู่บ่มเพาะความรัก มายาวนานสิบกว่าปี     

         “คู่นี้ ช่างเหมาะสมกันจริงๆ  เลย” เสียงจากชาวบ้านกล่าวถึง 

       ชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้าน ต่างมีความเห็นพ้อง ไปในทิศทางเดียวกัน  ผมเห็นสอางค์มาตั้งแต่เธอเรียนชั้นประถม หน้าตา- ท่าทาง นิสัยของเธอไม่เคยเปลี่ยน บ้านของหนุ่มสาวคู่นี้ห่างกันไม่ถึง 250 เมตร เพียงแค่มีคลองชลประทานขวางกั้น ก่อนหน้าที่จะมีสะพานข้ามการสัญจรไปมาหาสู่ต้องใช้เวลาในการเดินทางไกลกว่า10 นาที  ช่วงที่สอางค์มาเข้าเรียนที่สถาบันแห่งนี้  เธอมาเรียนในสาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจในรุ่นที่สาม ผลการเรียนของเธออยู่ในเกณฑ์ดี จากนั้นจึงสอบเข้าเรียนในระดับปริญญาตรีต่อเนื่องอีกสองปี จึงจบหลักสูตร 

       เป็นความโชคดีที่แผนกทะเบียนกำลังขยายงาน เนื่องจากมีนักศึกษาเพิ่มขึ้น จากนั้นมาสอางค์ จึงได้เริ่มต้นในงานแผนกทะเบียนเรื่อยมาจนปัจจุบัน  ไพโรจน์เรียนจบเพียงวุฒิ ปวส. จริงๆแล้วเด็กหนุ่มคนนี้มีหน้าตาหล่อไม่แพ้ศิลปินเลย แม่ของไพโรจน์เป็นคนทรงเจ้าในหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงดังติดอันดับของจังหวัด  รายได้จากการเป็นคนทรงเจ้าค่อนข้างดี วันๆมีคนมาขอคิวเพื่อรอการทำนายการทรงกว่า 30 คิวแม่ของไพโรจน์จัดเป็นคนสวยมีวัยเดียวกันกับผม พ่อของไพโรจน์ทำงานที่สำนักงานป่าไม้ ช่วงไพโรจน์เรียนจบใหม่ๆเขาได้สอบเป็นพนักงานกรมที่ดินในตำแหน่งช่างรังวัดได้ 

     “อาจารย์ เจ้า  ข้าเจ้า..อยากขอรบกวนหื้อ อาจารย์ ช่วยเป็นคนค้ำประกันให้ลูกจาย ข้าเจ้า..จิ่ม  ”คนทรงเจ้า ที่เป็นมารดาของไพโรจน์  ขี่รถจักรยานมาหาผม พร้อมพูดขอร้องให้ช่วยเป็นคนเซ็นค้ำประกัน เพื่อจะได้ให้ลูกชายของเธอได้เข้าทำงาน

         ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ เป็นลูกชาวบ้านในหมู่บ้านเดียวกันหรือต่างหมู่บ้าน ที่สมัครสอบเข้าทำงานราชการหรือตำแหน่งลูกจ้าง พนักงานเอกชน ที่จะต้องมีข้าราชการเซ็นค้ำประกัน ไม่วายที่ผมต้องแบกรับในภาวะจำยอม เสียทุกราย เป็นเพราะหากผมไม่เซ็นค้ำประกัน พวกเขาต้องหมดโอกาสที่จะเข้าทำงาน และอาจเสียเวลากับการที่จะสอบเข้าทำงานที่แห่งใหม่อีก ซึ่งมิอาจคาดเดาว่าจะได้หรือไม่ ผมมิอาจปฎิเสธกับคนทรงเจ้าคนนี้ไปได้เลย เป็นเพราะเราอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน หนำซ้ำก่อนหน้านี้สอางค์ยังได้มาขอร้องบอกให้ผมช่วยแฟนเธออีกด้วย 

     “เซ็นก็เซ็น เอาเอกสารมาเลย ครับ “   ผมพูด 

      ในใจจริงๆแล้ว ตัวของผมเอง ไม่อยากมีภาระการ ถูกมัดมือชกแบบนี้เลย  คงเป็นเรื่องอึดอัดใจไม่น้อย  การที่ผมเคยผ่านร้อนหนาวมาก่อน ย่อมรู้ซึ้งความทุกข์ใจของบุคคลที่อยู่ในภาวะการณ์เช่นนี้ หากพวกเขาขาดคนที่จะเซ็นเอกสารค้ำประกันให้หน้าที่การงานที่จะได้ทำก็ต้องสะดุดลง สรุปว่างานนี้ผมต้องค้ำประกันให้ไพโรจน์ ให้ได้เข้าทำงานที่สำนักงานที่ดิน  เป็นเพราะด้วยความเกรงใจมารดาของเขาที่สู้อุตส่าห์มาขอร้องผมด้วยตนเอง

           คู่รักคู่นี้ได้เข้าสู่ห้วงการตั้งตัว แม้คนทั้งสองจะยังไม่ได้มีงานที่มั่นคง แต่ก็ยังดีกว่ายังไม่ได้งานทำ อัตราลูกจ้างรายเดือนที่มีรายได้ตามวุฒิก็มิได้เลวนัก ฝ่ายชายทำงานในเมืองซึ่งอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 15 กิโลเมตรเท่านั้น  สำหรับสอางค์ขี่จักรยานยนต์จากบ้านไปสถาบัน ใช้เวลาประมาณ ห้านาทีก็ถึง การเริ่มต้นชีวิตคู่ ของคู่รักคู่นี้ หวานชื่นเป็นเนื้อเดียวกัน จนน่าอิจฉา ในหมู่บ้านที่พวกเราอยู่ไม่มีคู่รักหนุ่มสาวที่จะหวานเทียบเท่าคู่รักคู่นี้  สามี-ภริยา มองตาก็รู้ใจไปเสียหมด 

    แม่ของไพโรจน์ ซึ่งเป็นคนทรงเจ้าตั้งแต่ยังสาว สามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ เธอมีบุตรชายและหญิงอย่างละคน หากเปรียบเทียบกับครอบครัวเด็กๆในหมู่บ้านด้วยกัน ครอบครัวของไพโรจน์ สามารถส่งลูกไปเรียนในตัวจังหวัด ของโรงเรียนเอกชนในราคาแพงๆ แรกๆที่ผมเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านห้วยยางนา แค่เคยเห็นหน้าคนทรงเจ้า  แต่ไม่ทราบว่า  เธอคือคนทรงเจ้า บุคลิกที่ผมเห็นเธอครั้งแรกดูน่าเกรงขาม ทั้งๆที่เธอเป็นแค่สามัญชน  

    “คนๆนี้  คือใครหรือครับ แม่ค้า” ผมถามแม่ค้าในตลาด 

    “ คนทรงเจ้า น่ะ. อาจารย์”แม่ค้าตอบ 

     หญิงสาวคนนี้ผิวขาว หน้าตาสวย จมูกงุ้มดังเหยี่ยว ผอม ผมยาวเคลียไหล่ ทุกๆเช้าผมจะเห็นเธอมาซื้อขนม พืชผัก ไปทำกับข้าว  ตลอดเวลาที่ผมพบเจอไม่เคยได้คุยกับเธอเลย  เว้นแต่จะทักทายประโยคสั้นๆ “สวัสดีเจ้า”  “อาจารย์ซื้ออะไร เจ้า”แค่นั้น การที่คนไทยมีความเชื่อการดูหมอ คำทักทายของคนทรง เวทมนต์คาถา   ที่บ้านคนทรงเจ้า จึงหนาแน่นด้วยชาวบ้านจากทั้งในจังหวัดและต่างจังหวัด โดยเฉพาะวันเสาร์ -อาทิตย์ จะมีรถจอดหนาแน่น ตรงปากทางเข้าบ้านคนทรง  

                                                   **********************

           แม่.ของไพโรจน์ได้ซื้อที่ดินกว่าสองไร่ในละแวกนั้น และได้ปลูกเรือนหอให้ลูกชายกับสะใภ้อยู่ บ้านหลังใหญ่ดังกับคฤหาสน์ มีทุกอย่างในบ้านครบครัน มีเฟอร์นิเจอร์หรู มีเครื่องอำนวยความสะดวก อาทิ เครื่องซักผ้า แอร์ ทีวี เครื่องเสียง รถจักรยานยนต์คันใหม่และรถยนต์  สามปีต่อมาไพโรจน์กับสอางค์ก็ได้บุตรสาว เป็นเพราะทั้งคู่ตกลงกันว่าจะขอมีบุตรเพียงคนเดียวเท่านั้น หลานสาวคนเดียวของปู่ย่าและตายาย พวกเขาได้หลงรักกับหลานสาวคนเดียวและคนแรกอย่างมาก จึงทำให้ไพโรจน์และสอางค์ไม่ต้องเหนื่อยในการดูแลมากนัก  

         ตลอดที่อยู่กินด้วยกันมา ทั้งคู่ไม่เคยที่จะมีปากเสียงกันเลยสักนิด เห็นนกเป็นนก เห็นไม้เป็นไม้ ผมมองลูกศิษย์คนนี้ นับแต่ที่เธอเข้ามาทำงานที่แผนกทะเบียน ฝ่ายวิชาการ เพื่อนๆร่วมงานส่วนใหญ่ต่างรักใคร่ เป็นเพราะเธอหน้าตาสะสวย  ว่านอนสอนง่าย มีน้ำใจ  อ่อนน้อม  มีกิริยามารยาทดี  สี่ปีต่อมา ทางแผนกทะเบียนได้ขอตำแหน่งให้เธอได้เป็นพนักงานของรัฐ บ่อยครั้งๆผมต้องพึ่งพาลูกศิษย์หลายๆคนที่เคยสอนมา เพราะวิทยาการสมัยใหม่ จำต้องพึ่งพาเทคโนโลยี สารสนเทศในการสอน  การทำสื่อการสอนการประเมินผลการเรียน การส่งรายงานให้หน่วยงานกลางของสถาบัน  หลายๆคนที่ผมเคยไปไหว้วาน อาจมีภาระยุ่งๆ ผมจึงขอให้สอางค์ช่วยเหลือบ้าง 

      “รบกวน ช่วยแนะนำวิธีการทำงานให้อาจารย์ด้วยนะ  ”  ผมพูดกับเธอ

     “ได้ค่ะอาจารย์ ”สอางค์พูดพร้อมอธิบายวิธีการทำงานให้ดูและสอนถึงขั้นตอนต่างๆ ระยะหลังๆ ผมจึงต้องพึ่งพาเธอบ่อยๆ แม้บางครั้งเธอกำลังยุ่งกับภารกิจของแผนกทะเบียน ก็ยังสู้อุตส่าห์ละทิ้งงานมาช่วยให้ผมก่อน

      “ขอบคุณมาก ” ผมพูด

      “มีอะไร จะให้หนูช่วยได้ ก็มาหาเลยค่ะ  ไม่ต้องเกรงใจนะคะ  “สอางค์พูด พร้อมมีรอยยิ้ม

        ในสถาบันแห่งนี้ มีลูกศิษย์ที่ผมสอนเขามากกว่าสิบคน ที่ได้เข้ามาทำงานในสถาบันที่เขาเคยศึกษามาก่อน บางคนได้เข้ามาทำงานเพราะเส้นสาย บางคนเข้ามาเพราะการวิ่งเต้นเสียเงิน  เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ผมทั้งรับได้และรับไม่ได้ เป็นเพระผมเคยสอนพวกเขาในวิชาการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ที่เน้นการรับคนดี  พัฒนาคนดีให้มีคุณภาพยิ่งๆขึ้นไป และต้องรักษาคนเหล่านี้ให้อยู่ในองค์กรอย่างยาวนานที่สุด

         ลูกศิษย์ที่ผมสอน..น้อยคนนัก ที่จะยึดตามแนวทางที่ผมสอน เกือบทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ ตอนเข้ามาทำงานใหม่ๆ ดูจะจริงจัง ทุ่มเทกับหน้าที่การงาน ขยัน มีอุดมการณ์  แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้ไม่นานนัก สังคมอุปถัมภ์ ก็จะส่งอิทธิพลให้พวกเขาได้ถูกซึมซับไปทีละเล็กละน้อย  ดังนั้น.ความคาดหวังของผมที่อยากจะเห็นองค์กรแห่งนี้ เป็นองค์กรที่มีการพัฒนามีความเจริญจะต้องมีน้ำสะอาดจากคนรุ่นใหม่ มาล้างหรือเจือจางน้ำสกปรก ให้หมดสิ้นไป จึงเป็นแค่ฝันกลางวัน

                                                   *******************

       ไพโรจน์กับสอางค์จัดเป็นคู่รักที่เป็นแบบอย่างของเด็กรุ่นใหม่ ทั้งสองคนครองรัก ครองเรือนมาด้วยดี ไม่เคยมีปากเสียงกันเลยสักนิดทั้งคู่ฟูมฟักเลี้ยงดูบุตรสาวอย่างดิบดี  ไพโรจน์ มีโอกาสสอบบรรจุใหม่และได้ไปอยู่ที่กรมที่ดินที่กรุงเทพ ช่วงนี้สองสามี -ภริยาจะได้พบกันเพียงเดือนละครั้ง  ความรักของครอบครัวนี้ ไม่มีทีท่าว่าจะมีตำหนิหรือปริร้าวเลยสักนิด  ทุกครั้งที่ไพโรจน์กลับจากกรุงเทพมาหาภริยาและลูก เขามักจะทำเซอร์ไพร์ส ซื้อทอง กระเป๋าแบรนด์เนมมาฝากภริยาเสมอ  ส่วนลูกก็จะได้โทรศัพท์เครื่องใหม่ เสื้อผ้าสวยๆของเล่นราคาแพง 

        “น่าอิจฉา ครอบครัวนี้จัง ”เสียงซุบซิบ จากเพื่อนร่วมงานในที่ทำงานของผมกล่าวถึงครอบครัวของสอางค์ 

       “สามีของสอางค์ นี่ยังกับพ่อพระเลย รักเมียรักลูก เสมอต้นเสมอปลาย เค้าเห็น.พ่อแม่ลูก ไปชอปปิ้ง ที่ห้างใหญ่ในเวียงบ่อยๆเวลาที่เขากลับมาบ้าน”เพื่อนร่วมงานอีกคนพูด

      ผมมีความรู้สึกยินดี และสบายใจที่เห็นครอบครัวของเด็กคู่นี้ เดินบนเส้นทางของกลีบกุหลาบ เมื่อใดที่เห็นไพโรจน์ขับรถพาครอบครัวเข้าในเมืองและต้องผ่านหน้าบ้านก็พลอยมีความสุขไปด้วย 

      “คู่รักคู่นี้ ดีจังเลย ฉันไม่เคยเห็นเขามีความทุกข์ เลยเนี่ยะ” แม่บ้านของผมพูด

      “ใช่  ของเราก็ไม่เคยทุกข์ ” ผมพูดพลางหัวเราะ   แม่บ้านหันมามอง  ผมทำหน้าปูเลี่ยนๆ แค่พูดเล่น สีหน้าของเธอกับซีเรียส 

                                         ************************ 

      “อาจารย์เจ้า  หนูขอรบกวน ให้อาจารย์ ช่วยเซ็นค้ำให้หน่อย พอดีธนาคารออมสินเปิ้นฮื้อให้เจ้าหน้าที่ใช้สิทธิ์กู้เงินได้หนึ่งล้านบาท จึงอยากจะกู้เอามาซื้อรถยนต์คันใหม่ไว้ใช้งานเอง และที่เหลือจะแปลงรั้วใหม่ ”สอางค์ พูด   

        เธอ แวะมาหาผมที่บ้าน ในช่วงเลิกงานของวันศุกร์ ..วันหนึ่ง

      “เอาอีกแล้ว ทำไม /?ไม่พ้นเวร- พ้นกรรมกับการเป็นผู้ค้ำประกันเสียที นี่เราเซ็นค้ำเงิน กบข .ให้นักศึกษาเป็นพันๆรายเลยเนี่ยะ หากมีปัญหาเกิดขึ้น เราต้องเสร็จแน่ๆ ” ผมคิด

         ผมเหม่อลอย ไปชั่วขณะ

      “อาจารย์เจ้า ช่วยเซ็นเอกสารค้ำประกันกู้เงินธนาคารออมสินให้หนูที” สอางค์ พูดอีกครั้ง

     “ให้อาจารย์คนอื่นๆไม่ได้เหรอ ”

     “ไม่มีใครยอมเซ็น ให้เลยเจ้า”

    “งานงอก อีกแล้วกู  ถ้าเราไม่เซ็น สอางค์ก็ไม่มีสิทธิ์ได้กู้เงิน ” ผมคิด  

     แววตาและสีหน้าของเธอวิงวอน เพราะหากผมไม่เซ็น ก็คงไม่มีใครเซ็นให้ ผมจึงจำต้องกัดฟันเซ็นเหมือนรายอื่นๆ 

    “ขอบคุณเจ้า อาจารย์ ”สอางค์พูด แล้วก็ขอตัวกลับไป 

    ทางธนาคารออมสินได้อนุมัติเงินล้านบาทให้ โดยไม่ยากเย็น เพราะมีข้าราชการมาค้ำประกันให้ ทั้งสองคนได้เงินมา และนำมาใช้ซื้อรถเก๋งและทำรั้วบ้านจนเสร็จตามความมุ่งหมาย ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ความรักอาจจืดจางลงไป ฝ่ายชายอยู่กรุงเทพ ได้พบความงามจากสตรีเมืองกรุง จะอย่างไรไพโรจน์ก็มิได้นึกคิดนอกใจภริยาเลย  แต่กลับกันสอางค์กลับส่งสายตายั่วยวน เพื่อนร่วมงานในองค์กรที่เป็นอาจารย์และเจ้าหน้าที่ชาย  หลังๆมาที่ผมไปที่แผนกทะเบียน ลูกศิษย์คนนี้ก็ไม่วายที่จะส่งแววตายั่วยว ผมไม่เคยคิดอะไรมากกว่าความเป็นลูกศิษย์เลย  พ่อและแม่ของเธอก็มีวัยที่ใกล้เคียงกับผม อีกอย่างผมก็มองว่าไพโรจน์มีความเป็นสุภาพบุรุษและเป็นคนดีมากคนหนึ่ง 

       มีข่าวภายในที่ทำงานลือว่า ..ช่วงที่ไพโรจน์ไม่ได้กลับจากกรุงเทพ มีคนพบเห็นสอางค์ไปนอนค้างที่บ้านอาจารย์คนหนึ่ง ถัดมาอีกเวลาหนึ่ง  สอางค์ได้ออกไปกินข้าวกลางวันกับพรชัย หัวหน้างานที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งใหม่ๆ แบบไม่แคร์สายตาใครๆ จนภริยาของพรชัยทราบข่าว จึงมาอาละวาดสามี  และจากนั้นมาใครๆในที่ทำงานก็เห็น สอางค์ไป นอนค้างกับชาตรีที่เพิ่งหย่าจากภริยาที่เรียนจบมาด้วยกันและยังทำงานที่เดียวกัน     

     รักอลเวง ดังนิยายน้ำเน่า สอางค์กระทำได้ อย่างไร้ความปรานีกับรุ่นพี่ของเธอ ทั้งๆที่ทุกคนก็ทำงานในที่เดียวกัน เคยมีความรู้สึกดีๆให้กันมาช้านาน  ในฐานะที่ผมเป็นอาจารย์ที่เคยสอนกับบุคคลทั้งสามมา ย่อมรู้สึกเห็นใจฝ่ายหญิงที่เป็นภริยาของชาตรี 

     “ชายก็ชั่วหญิงก็เลว พอๆกัน”เสียงนินทา แว่วมา แต่..คนทั้งสองหาได้หวั่นไหวกับจริยธรรมความดีงามไม่  สังคมแห่งนี้มันช่างไร้คุณธรรมันเหลวแหลก ผู้บริหารกับเป็นใบ้ ไม่รู้สึกรู้สาช่วงที่ไพโรจน์ทำงานกรุงเทพ สอางค์ต้องอยู่กับลูกสาวที่บ้านเพียงสองคนเท่านั้น เธอมักตื่นยามดึกมาหลับนอนกับชู้ใหม่เสมอ พอถึงเวลาเช้า จึงค่อยกลับเข้ามาบ้าน จนลูกสาวนำเรื่องไปเล่าให้ปู่-ย่าฟัง ว่าแม่มีพฤติกรรม ไม่ซื่อสัตย์ต่อพ่อ เรื่องจึงแดงขึ้นเรื่อยๆ  เวลานั้นลูกสาวของไพโรจน์ กับสอางค์เรียนชั้น ม.5 แล้ว  นับเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเด็กสาวที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัย  และ..เป็นความโชคดีที่เด็กเป็นคนสมัยใหม่ เธอจึงจะเข้าใจพ่อแม่ของเธอดี จึงไม่มีปมด้อยกับเรื่องพฤติกรรมเช่นนั้นและเมื่อจบ ม.ปลาย จึงสอบเข้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ดังตั้งใจ

       ไพโรจน์กับสอางค์จำต้องไปยื่นหย่าขาดจากกัน หลังจากนั้นไม่นานมารดาของสอางค์ได้เสียชีวิตลง ขณะเดียวกันนั้นชาตรี ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองผู้อำนวยการและได้มาร่วมงานศพมารดาของสอางค์  คืนดังกล่าวผมได้ไปร่วมงานศพด้วย ก่อนที่พระสงฆ์จะสวดพระอภิธรรมพิธีกรงานได้ประกาศว่า

      “ขอเรียนเชิญ คุณชาตรี รองผู้อำนวยการ มาเป็นประธานจุดธูปเทียนบูชา พระรัตนตรัย”  พิธีกรพูด

       ชาวบ้าน.ที่มาร่วมงาน ได้เห็นเทพบุตรคนใหม่ของสอางค์ตัวเป็นๆ เธอกล้าที่จะเปิดตัวคนรักใหม่ให้ชาวบ้านได้รู้ได้เห็นแล้ว  สอางค์ได้มรดกจากแม่ คือที่ดินหลายไร่ เธอได้นำไปจำนองธนาคารได้เงินมากว่าสองล้าน เพื่อมาปลูกเรือนหอใหม่ เพื่ออยู่กินกับชาตรี  สอางค์หลงใหลในรูปของคนรักใหม่อย่างมาก ถึงขั้นหึงหวงกับเพื่อนร่วมงาน และคนรักเก่าของชาตรีที่เคยเป็นเจ้าของมาก่อน  

             เพื่อนๆ ในที่ทำงาน ต่างคิดว่า สอางค์ไม่น่าจะเป็นคนเช่นนี้เลย

      “ข้าเจ้า บ่ออยากเจื่อว่า สะใภ้ของ ข้าเจ้า จะเลวทรามขนาดทิ้งลูกทิ้งผัว ไปมั่วกับชู้ ได้ คาหนังคาเขา”   คนทรงเจ้าปรารภให้ผมฟัง  

     “ความหลง  นี่มันให้โทษเสมอ หากน้ำตาไม่เช็ดหัวเข่า คงจะไม่ได้รับรู้ว่ามันเจ็บปวดเพียงไหน “อดีตแม่สามี พูดด้วยเคียดแค้นแทนลูกชาย

          สักวัน  … สอางค์ คงจะได้รับบทเรียนอย่างแน่นอน  ไม่ช้า ..ก็เร็ว 

                                                 ขลุ่ย   บ้านข่อย 

                                             (๒๘ มกราคม  ๒๕๖๗  )

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×