ใบ้กตัญญุ - ใบ้กตัญญุ นิยาย ใบ้กตัญญุ : Dek-D.com - Writer

    ใบ้กตัญญุ

    เขาเป็นชายพิการใบ้ มาแต่กำเนิด ร่างเล็ก แม้จะไม่ได้มีการศึกษา แต่ความมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี และเป็นคนขยัน เขาจึงมีงานทำ และมีรายได้เลี้ยงชีพ เลี้ยงครอบครัว ข้อดีของเขาคือความเป็นคนกตัญญูที่น่ายกย่อง

    ผู้เข้าชมรวม

    66

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    17

    ผู้เข้าชมรวม


    66

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  19 ม.ค. 67 / 08:48 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

                                                        ใบ้ กตัญญู

          ความกตัญญูเป็นศีลธรรมข้อสำคัญของสังคมโบราณของจีน ขงจื๊อสอนว่าความกตัญญู ถือเป็นศีลธรรมข้อแรกในบรรดาศีลธรรมทั้งหมด และในสังคมไทยก็มองว่าความกตัญญู เป็นเครื่องหมายของคนดี ที่ควรพึงปฎิบัติ ผมรู้จักกับเดี่ยวลูกชายคนโตของนายเดช -นางไว ซึ่งพิการเป็นใบ้มาตั้งแต่กำเนิด   ช่วงที่ผมทำงานในตำแหน่งหัวหน้าแผนกนันทนาการ-ชมรม และเป็นที่ปรึกษางานสโมสรนักศึกษา ได้มีนักศึกษาชื่อจำรูญและเพื่อนๆ ที่ทำกิจกรรมชมรมได้มาขอพักค้างที่บ้านทีี่ผมอยู่อาศัย

    “คืนนี้ ผมขอนอนค้างที่บ้านอาจารย์ นะครับ  เพราะดึกมากแล้ว ” จำรูญ เอ่ยปากขออนุญาต

    “ตามสบาย ไม่มีปัญหา” ผมพูด

       ก่อนหน้านี้ จำรูญได้เช่าอาศัยหอพัก ที่หัวมุมทางเข้าวัดประจำตำบล ซึ่งห่างจากสถาบันฯประมาณสองกิโลเมตร เพื่อสวัสดิภาพของนักศึกษาที่ทำกิจกรรมเพื่อส่วนรวม  ผมจึงไม่ปฎิเสธและยินดีจะให้ทุกคนทีี่ทำกิจกรรมได้พักค้าง  เป็นความโชคดีที่ผู้อำนวยการและผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายกิจการนักศึกษาที่เข้าใจในตัวผม จึงยินยอมที่จะให้สิทธิผมเข้าพักบ้านหลวงทั้งหลัง แม้บ้านจะเก่าไปบ้างและยังมีปลวกกัดแทะพื้นบ้าน ชั้นบนอยู่พอสมควรแต่ก็มิได้เป็นปัญหาสำหรับคนโสด  หลังจากจำรูญเข้ามาพักอาศัยอยู่กับผมอย่างถาวร ทั้งบางครั้ง ยังมีนักศึกษาคนอื่นๆ หมุนเวียนมานอนแบบชั่วครั้งชั่วคราวบ้าง 

      “รูญ หากเพื่อนๆมาปักหลักพักค้างที่บ้านเรา อย่าได้เดินผ่านบ้านผู้ช่วยเลยเชียว กลัวเขาจะตำหนิว่าอาจารย์ปล่อยปละ ให้นักศึกษาส่องสุมเล่นการพนัน มั่วสุมดี่มสุราเสพกัญชา” ผมเตือนลูกศิษย์คนสนิทที่เป็นกรรมการสโสรนักศึกษา  

     “ครับ ผมจะปฎิบัติตามคำแนะนำ ของอาจารย์”

     “อย่างไอ้ป้อง ไอ้x ไอ้ชา ไอ้ตี๋ เวลาเข้ามาในบ้านพัก ห้ามเอากัญชามาพี้ในบ้านโดยเด็ดขาดเชียวนะ รูญต้องเตือนเพื่อนๆพวกนี้ เพราะหากอาจารย์ฉนวนรู้ แกอาจไปฟ้องผู้อำนวยการ ” ผมพูด

    “รับประกัน จะไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น อย่างแน่นอน ด้วยเกียรติของลูกผู้ชาย ครับ ”

    “แน่ใจ   นะ"

    “แน่เสียยิ่งกว่าแน่ อีกครับ”

    “ดีมาก ”ผมพูดสั้นๆ     

      โดยปกติช่วงหลังเลิกงาน มักจะมีเพื่อนที่พักในเมืองซึ่งทำงานราชการและรัฐวิสาหกิจที่คุ้นเคยกันมารับผมเข้าไปในเมืองเพื่อนั่งดื่มเกือบทุกวัน ที่บ้านหลังนี้ ..ผมจึงปล่อยให้จำรูญเป็นผู้ดูแลทำความสะอาดบ้าน  สำหรับเสื้อผ้าที่ผมใส่ทำงานได้จ้างภริยาพนักงานขับรถเป็นรายเดือน การท่องราตรี.เป็นธรรมดาของคนหนุ่มที่ยังโสด หากผมมาดื่มสุรากับเพื่อน  แน่นอนว่ากว่าจะเลิกดื่มก็คงไม่ต่ำกว่าสองยาม เวลานั้นในจังหวัดลำปางมีเศรษฐกิจค่อนข้างดี ในเมืองกิจการร้านค้า ขายสินค้าดีทุกประเภท นับแต่เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องใช้ไฟฟ้า  ทุกๆร้านได้ให้เครดิตกับข้าราชการและพนักงานการไฟฟ้าเต็มที่ .นี่จึงเป็นอานิสงส์ที่ผมได้รับไปด้วย 

     เย็นวันศุกร์ หลังจากเพื่อนต่างหน่วยงานในวัยเดียวกัน มารับผมจากบ้านพัก เพื่อไปผ่อนคลายดื่มสุรา-ฟังเพลงกันตามประสา  

    “รูญ .อาจารย์ รบกวนฝากดูแลบ้านด้วยนะ  วันอาทิตย์ อาจารย์จึงจะกลับเข้ามาบ้านนะ  สิ่งสำคัญคือเรื่องฟืนไฟ  ยังไงก่อนจะออกจากบ้าน ต้องตรวจสอบให้ดีก่อนด้วยนะ เพราะหากเกิดผิดพลาดขึ้นมา อาจารย์ต้องแย่แน่ ”

    “ครับ” 

         เพื่อตรวจสอบลูกศิษย์ว่า เป็นคนอย่างไร  ผมจึงผิดคำพูด โดยการกลับเข้ามาบ้านก่อนกำหนด   

                                          ********************************

       เช้าวันเสาร์. ยามสาย ผมมาขึ้นรถสองแถวที่คิวรถข้างศาลากลางกับศาลจังหวัดมาลงปากทางเข้าสถาบัน แล้วค่อยๆเดินเข้ามาในบ้าน เมื่อมาถึงบ้านเห็นว่าประตูบ้านยังปิดอยู จึงคาดเดาว่าจำรูญคงนอนดึก  ผมยังอยู่นอกบ้านได้เดินสำรวจข้างๆบ้านเพื่อดูแปลงผักที่ปลูกไว้กินเอง  สิบนาทีต่อมาผมจึงตัดสินใจเรียกจำรูญ

       “รูญ ๆๆ” ผมเรียกลูกศิษย์ เพื่อให้เขาเปิดบ้านให้ 

       "จารย์.เหรอครับ รอเดี๋ยวครับ " เสียงตอบออกมา

       ภายในบ้านมีเสียงงึมงำที่ชั้นบน เสียงกระซิบกระทราบซึ่งผมไม่สามารถจับใจความได้ แต่พอจะทราบว่าภายในบ้านคงจะมีเพื่อนๆของจำรููญมาค้างคืนด้วย  

       “ มีเพื่อนๆ มาค้างคืนด้วยครับ ขอโทษครับอาจารย์ พอดีมันแวะมาหา ผมจึงไม่กล้าปฎิเสธ ”

        “สวัสดีครับอาจารย์”ลูกศิษย์ ที่เป็นเพื่อนจำรูญที่มาพักค้างทักทาย พวกเขามีสีหน้าเจี๋ยมเจี้ยม เกรงกลัว

        ผมรับไหว้ นิ่งเฉยไม่ได้ติติงใดๆ พวกเขาค่อยๆเดินผ่าน แล้วกลับหอพักของตนเอง ผมเข้าไปในบ้านอาบน้ำ รองท้องดื่มกาแฟ ขนมปัง ไข่ดาวแล้วเปิดทีวีดูข่าว

       “กลิ่นกัญชา คลุ้งเลยนะ ”ผมพูด

       “ครับ  ผมขอโทษครับ ”

      “ไหนรับปากแล้วว่า จะไม่ชวนเพื่อนๆ มาทำสิ่งไม่ดีในบ้านพัก ”

      “ผมไม่แก้ตัวครับ ต้องขอโทษจริงๆ ครับ  ผมสัญญาว่า จะไม่มีอีกเด็ดขาด หากผิดพลาดอีก ผมจะขออัปเปหิตัวผมเองครับ”

     “เค.. เรื่องมันผ่านไปแล้ว   ”

     และจากนั้นมา .จำรูญ ก็ปรับปรุงพฤติกรรม ที่ไม่ทำให้ผมต้องไม่สบายใจอีก และวันหนึ่งในวันหยุด เขาได้มากับชายพิการ(เป็นใบ้)จากบ้านห้วยยางนา จำรูญสนิทกับคนพิการ คนนี้ได้อย่างไร ผมมิอาจทราบได้ อายุของคนทั้งสองอยู่ในวัยเดียวกัน  

      “แบ๊ะๆๆๆๆ”จำรูญเลียนเสียงภาษาคนใบ้ สื่อสารบอกชายคนนั้น ทั้งยังส่งภาษามือบอกให้ชายพิการว่า ผมคืออาจารย์ที่สอนหนังสือในสถาบันแห่งนี้ ชายพิการใบ้ยกมือไหว้ผม จำรูญชวนชายใบ้ให้นั่งที่โต๊ะรับแขก  

      “เขาเป็นใบ้ครับ ผมเจอที่ตลาดบ่อยๆ คนที่ตลาดบอกว่าเขาชื่อเดี่ยว ผมรู้จักกับเดี่ยว ตั้งแต่ตอนที่ผมเช่าหอพักที่ปากทางเข้าวัด ”

        เดี่ยวนั่งที่เก้าอี้ สายตาของเขาเหลือบมองสิ่งต่างๆภายในบ้าน  เมื่อเขามองเห็นกีต้าร์ตัวหนึ่ง ที่พิงอยู่มุมหนึ่งในบ้าน จึงเดินไปหยิบขึ้นมาแล้วดีดรวมทั้งจับคอร์ด เสมือนคนเล่นเป็นและรู้จริง พร้อมกันนั้นเขายังร้องเพลงออกมา ซึ่งเมื่อพวกเราได้ฟังแล้วฟังไม่ได้ศัพท์ ก็ปล่อยให้เขาแสดงออก เมื่อเขาเล่นและร้องได้สักพัก ผมก็ยกนิ้วโป้งแสดงสัญลักษณ์ว่าเขาเล่นและร้องเพลงได้สุดยอด "

      “แบ๊ะๆๆ” ผมพูด พร้อมยกนิ้วโป้งให้เขาเห็น เขายิ้มพลางชื่นชอบอย่างเห็นได้ชัดสักครู่จำรูญ จึงบอกกับผมว่าจะขี่จักรยานไปส่งเพื่อนที่เป็นชาวบ้านที่ริมคลองชลประทาน  

     “เดี๋ยวผมไปส่งไอ้เดี่ยวที่บ้าน ตรงหัวมุมด้านคลองชลประทานก่อนจะเข้าตลาดหน่อยนะครับ”

     “ตามสบาย”

      จำเริญ กับเดี่ยวชายพิการเป็นใบ้ คุ้นเคยกันดังกับเพื่อนคนปกติ เวลาทั้งสองพูดคุยกันดูแล้วเพลิดเพลิน เดี่ยวมักจะแวะมาหาจำรูญยามที่เขาว่าง  

      หลังจากที่ผมจีบกับสาวบ้านห้วยยางนาจนกลายเป็นคนรักแล้ว จึงทราบว่าบ้านของเดี่ยวอยู่ติดกับบ้านของคนรักของผม นั่นจึงทำให้ผมรู้ลึกเกี่ยวกับครอบครัวของเขา  เดี่ยว เป็นลูกของนายเดชและนางไว ก่อนที่นางไวจะได้นายเดชเป็นสามี เธอเคยมีลูกชายติดมาด้วย1 คน เดี่ยวเป็นลูกชายคนโตของนายเดชกับนางไว สองสามีภริยาคู่นี้ มีลูก 4 คน สองคนแรกเป็นชายส่วนสองคนหลังเป็นหญิงการที่เดี่ยวเป็นคนพิการ จึงไม่ได้เข้าศึกษาเล่าเรียนเหมือนพี่น้องคนอื่นๆ แรกๆที่ผมรู้จักกับเดี่ยว เขาน่าจะมีอายุประมาณ 20 ปี ที่จำได้เพราะเพื่อนในรุ่นเขาอย่างทวี ณรงค์ บุญธรรม ทนง และประสิทธิ์ ต้องไปเกณฑ์ทหารในปีถัดมา 

       ช่วงที่ผมมีครอบครัวแล้ว ได้มาอาศัยที่บ้านของพ่อกับแม่ภริยา บังเอิญบ้านของนายเดช หรือน้าเดช ที่ผมเรียกขานเขามีบ้านอยู่ใกล้กัน ความสัมพันธ์ของเพื่อนบ้านในสังคมชนบท จึงต้องแวะเวียนไปมาหาสู่กันเกือบทุกวัน บางครั้งน้าเดชไปหาของป่าเพื่อไปยิงนก ยิงกระรอก อีเห็น เมื่อได้ก็จะมาแบ่งปันทำกินกัน 

       “อาจารย์ วันนี้ ผมได้อีเห็นมาสองตัว เดี๋ยวผมจะทำแกงแค ให้ชิม  ”

       “อีเห็น ตัวเป็นแบบไหนหรือครับ ”

      “เหมือน ชะมด น่ะครับ”

      “ผมรู้จักแต่ ชะมด  ”  

     “น้า ไม่แน่ใจว่ามันเป็นสัตว์ชนิดเดียวกันหรือเปล่า ”

       น้าเดชเป็นคนต่างอำเภอ อาชีพหลักของแกดั้งเดิม คือเป็นช่างไม้ในหมู่บ้าน ช่วงหนึ่งที่ประเทศทางแถบตะวัน ออกกลาง อย่าง ซาอุดิอาระเบีย อิรัก  บาห์เรน  คูเวต กาตารฺ์ ต้องการคนงานไทยไปทำงาน น้าเดชคือหนึ่งในจำนวนผู้ค้าแรงงาน บ่อยๆครั้งน้าเดชจะเข้ามานั่งดื่มสุรากับพ่อตาของผมและเขามักจะเรียกให้ผมเข้าไปนั่งร่วมวง   เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยน 

       น้าเดช เป็นคนร่างใหญ่ เสียงดัง ไว้หนวดที่ริมฝีปากผิวดำแดง สักยันต์ที่หน้าอกและที่ขา เวลานั้นเขายังทำหน้าที่เป็น อสม.ของหมู่บ้าน จากความคุ้นเคยนี้จึงทำให้ผมได้เข้ามามีส่วนช่วยเหลือหาทุนให้กับหมู่บ้าน ในการหาทุนสร้างอาคารเล็กๆ สำหรับเป็นที่ทำงานของสาธารณะสุขหมู่บ้าน  

      “น้าว่า..น้าจะไปทำงานที่บาห์เรน สักสองปี อาจารย์ว่าไง”

     “ดีครับ ค่าจ้างค่าแรงงาน คงคุ้มทุนกับค่าบินไป-กลับ  ”ผมพูด

        ตลอดเวลาของการเป็นเพื่อนบ้านต่อกัน ผมมองว่าชายคนนี้ เป็นคนที่ชอบคุยโว อวดความเก่งกล้าของตน รู้ไปทุกเรื่อง บ้านของแกที่สร้างมากว่าปีซึ่งมีสมาชิกในครัวเรือน 10 คน จนป่านนี้ก็ยังสร้างไม่เสร็จสิ้นเสียที ช่วงฤดูฝนทุกคน ในบ้านต้องโดนละอองฝนสาดจนอยู่อาศัยไม่ได้ น่าเห็นใจ ลูกสาวสองคนยังเรียนเพียงชั้นประถมต้องอยู่กันตามมีตามเกิด น้าเดชต้องเอาที่โฉนดดินที่บ้านไปจำนองธนาคาร เพื่อเปลี่ยนเป็นเงิน เป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำงานที่ประเทศบาห์เรนซึ่งสัญญาที่กำหนดไว้คือสองปี  ค่าแรงงานที่ได้เวลานั้นคือเดือนละ12,000 บาท นับว่าเป็นรายได้ที่งดงามสำหรับคนที่มีการศึกษาชั้นประถม4  เวลานั้นคนไทยทั้งประเทศต่างนิยมที่จะยอมเสี่ยงไปขุดทองในต่างแดนโดยเฉพาะที่ประเทศ ซาอุฯ มีคนไทยไปทำงานเป็นจำนวนหลักหมื่นหลักแสนคน 

      เมื่อพ่อที่เป็นหลักของครอบครัวต้องไปอยู่ต่างแดน หลายๆเดือนจึงจะส่งเงินมาให้ทางบ้าน  น้าไว -ที่เป็นแม่บ้านจึงต้องทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ในคราวเดียวกัน ว่าไปแล้วก็น่าเห็นใจครอบครัวของเพื่อนบ้าน .. ลูกชายสองคน ที่พอจะช่วยแม่ได้คือลูกต่างบิดาคือพล ลูกที่มิได้เกิดจากน้าเดชต้องไปเป็นคนรับจ้างรายวัน ขนดินหินทรายในเมือง ได้ค่าแรงวันละร้อยกว่าบาท อีกคนคือเดี่ยวซึ่งพิการตั้งแต่เกิด ทุกคนที่อยู่ในพื้นที่นี้ จะรู้จักชายพิการใบ้คนนี้ดี เพราะเขาเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี แม้จะพูดไม่ได้ แต่เขาก็ได้พยายามที่จะสื่อสารด้วยปากและภาษามือ  เดี่ยวเป็นคนที่มีสน่ห์ เป็นคนมีน้ำใจ มักจะเข้าช่วยเหลือกิจกรรมของส่วนรวมในหมู่บ้านและต่างหมู่บ้านเสมอ อย่างเช่น งานศพ งานบุญต่างๆ เขาจะช่วยยกเต็นท์ โต๊ะ เก้าอี้  เดินสายไฟฟ้า ต่อประปา หุงหาอาหาร เสิร์ฟ ฯลฯ นี่จึงทำให้เขาเป็นคนใบ้ที่มีคนรักมากกว่าคนปกติส่วนใหญ่เสียอีก แม้เขาจะฟังไม่ได้ยิน พูดไม่ได้แต่เขาสามารถรู้ถึง ความเคลื่อนไหวของข่าวสารต่างๆได้อย่างรวดเร็ว 

    เหตุนี้.. นี่เอง ที่ใครๆรู้จักเขา ต่างเห็นใจสงสาร อยากให้เขามีรายได้เป็นของตนเอง และสามารถนำเงินที่หามาจากหยาดเหงื่อ มาให้มารดาที่ไม่มีอาชีพเลย เดี่ยวมีงานทำและมีรายได้มาจุนเจือครอบครัวทุกวัน มากน้อยขึ้นอยู่กับงานที่ทำ เดี่ยวได้รับการติดต่อจากคนในหมู่บ้านให้เป็นผู้ช่วยพนักงานขับรถน้ำมัน รถซุง  เดี่ยวมิได้เป็นคนขับรถเองแต่เขาได้รับหน้าที่ให้ช่วยล้างรถ ขนของ เป็นเพื่อนร่วมเดินทาง  นานๆเข้า เขาจึงหัดขับรถและสามารถขับรถยนต์ได้   เดี่ยวเคยขี้นเวทีมวยในงานประเพณีที่วัด เพราะต้องการหาประสบการณ์และเงิน เพียงแค่เขาขึ้นเวทีมวยครั้งแรกก็ถูกคู่ต่อสู้ ถลุงจนหมอบเพียงแค่ยกแรก จึงไม่หวนกลับไปไปขึ้นเวทีอีกเลย 

        “แบ๊ะๆๆ ”เขาพูดกับแม่เสียยืดยาว พร้อมส่งเงินให้แม่ด้วยเงินหลายพันบาท เขาสื่อสารบอกกับแม่ว่า นายกองค์การบริหารส่วนตำบล ได้จ้างให้เขาไปปลูกสัปปะรด ตัดสัปปะรดและนี่คือค่าจ้างที่ได้รับมา  เดี่ยวรับทำงานได้ทุกรูปแบบโดยไม่เกี่ยงงอน นี่จึงทำให้เขามีรายได้ตลอดเวลา

      “ดีมากลูก ”น้าไวพูดพร้อมยกนิ้วให้ลูกชาย

       หลังจากน้าเดชกลับมาเมืองไทย เขาอยู่กับครอบครัวได้อีก 5 ปี ก็สิ้นชีวิตเพราะโรคหัวใจ  จากนั้นพี่ชายต่างบิดาของเดี่ยวก็เสียชีวิตเพราะเป็นเอดส์ ในวันนี้เดี่ยว จึงมีภาระงานหนักแทนพ่อซึ่งเสียชีวิต เดี่ยวมีรูปร่างเล็กผอม ตาเหล่เล็กน้อยแต่เสียงจะดังมากขณะที่พูด จากที่ผมได้สัมผัสกับชายพิการคนนี้ตั้งแต่เขาเคยมาเที่ยวที่บ้านพักช่วงที่จำรูญมาเรียนเมื่อ 40  ปีก่อน เห็นได้ชัดว่า ชายพิการคนนี้ขยันขันแข็ง หนักเอาเบาสู้ ยามว่างที่ไม่ได้ไปรับจ้างหรือไม่มีคนจ้างไปทำงานเขาจะเข้าป่าไปล่าสัตว์หาของป่า มาให้แม่ไว้ทำอาหาร หน้าน้ำหลากหรือบางครั้งที่ชลประทานระบายน้ำออก เขาจะนำแหไปทอดหาปู -ปลา มาหาแม่และหลานๆ ได้กิน  

     เดี่ยวต้องอยู่ในสถานะคนโสด แม้เขาจะขยันทำกินมีรายได้ ความพิการจึงเป็นอุปสรรคที่จะทำให้เขามีครอบครัวได้ เดี่ยวได้ส่งเสียให้น้องสาวทั้งสองเรียนจนจบชั้น ม.ปลาย และมีครอบครัวจนมีบุตรที่ต้องตกเป็นภาระให้ยายต้องมาเลี้ยงดู ถึงสี่คน แต่ภาระนี้ยังต้องตกมาให้ลุงที่เป็นใบ้ ที่ต้องหารายได้มาเลี้ยงครอบครัวที่ขยายตัวใหญ่ขึ้น  คนในหมู่บ้านนี้ต่างเห็น ต่างทราบว่า บ้านนี้หากขาดเดี่ยวเสียเพียงคนเดียว ทุกคนจะต้องอดอยากปากแห้ง หรือถึงขั้นไม่มีอาหารจะกิน   น้อยคนนักที่เป็นคนพิการ แต่ได้ทำหน้าที่แสดงออกถึงความรักแม่ รักครอบครัวโดยสมบูรณ์ ทั้งแสดงออกถึงความกตัญญู แม้เดี่ยวจะดื่มสุราบ้าง เพราะมีความเครียดเหมือนคนปกติ แต่เขาก็ไม่เคยทำร้ายหลานๆเลยสักคน  หนำซ้ำยังสั่งสอนให้หลานๆ ตั้งใจเล่าเรียน เพื่ออนาคตที่ดี หลายครั้ง..ที่ผมเคยเห็นเดี่ยวสั่งสอนอบรมหลานและให้เงินหลานไปโรงเรียน 

     “แบ๊ะๆๆๆๆ ”เดี่ยวพูด พร้อมออกท่าทางสิ่อความหมาย 

     ภาพเหล่านี้ ผมเห็นบ่อยๆ เดี่ยวเคยส่งเสียงดังลั่นบ้าน เพราะหลานไปเที่ยวและกลับบ้านค่ำ ด้วยเพราะห่วงใย ยายของหลานจึงสำทับเพิ่มเติม

    “นี่…เห็นหรือยังว่าลุงเขาเป็นห่วง กลัวเราจะเสียคน” ยายไว พูดกับหลาน 

     ตั้งแต่วัยรุ่น จนวันนี้ที่นายเดี่ยว มีอายุใกล้เกษียณ ลุงของหลานๆ ได้้เป็นแบบอย่างที่ดี ได้ทำหน้าที่ลูกกตัญญูได้อย่างไร้ที่ติดีกว่าคนมีการศึกษาอีกจำนวนมากในสังคมไทย ที่มีข่าวในหน้าสื่อที่ทำร้ายฆ่าบุพการีรายวัน นับเป็นเรื่องน่าละอาย

     อนาคต.ข้างหน้า หากเดี่ยวไร้กำลังวังชา หรืออาจเจ็บป่วย ยายไว..  สิ้นบุญ ใครเล่าจะเป็นเสาหลักของครอบครัวนี้ นี่คือสิ่งที่น่าเป็นห่วง..

                                                       ขลุ่ย   บ้านข่อย 

                                                    (๑๙ มกราคม  ๒๕๖๗)

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×