หลับให้สบายนะ - หลับให้สบายนะ นิยาย หลับให้สบายนะ : Dek-D.com - Writer

    หลับให้สบายนะ

    เธอเป็นรุ่นน้องผมหนึ่งปี เราเริ่มคุ้นเคย เพราะบ้านอยู่ใกล้กัน เราเริ่มสนิทกันมาก เมื่อช่วงที่ผมมาทำงานที่สหกรณ์ และเธอมาเรียนอาชีวศึกษา ผมต้องโกรธ กระทั่งตัดขาดกัน จนเพิ่งมาทราบข่าวว่าเธอเสียชีวิต

    ผู้เข้าชมรวม

    35

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    35

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  16 ม.ค. 67 / 18:58 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

                                                    หลับให้สบายนะ..  

              พร..เป็นรุ่นน้องของผม ช่วงสมัยเรียนระดับมัธยมต้นที่โรงเรียนประจำอำเภอ  พร…เป็นน้องสาวของฟ้าซึ่งเป็นนักเรียนรุ่นเดียวกันกับผม    ครอบครัวนี้เป็นคนจากจังหวัดฉะเชิงเทรา  ช่วงที่ยายใหม่เมียของนายโซ้ยตี๋เสียชีวิตจากการคลอดตายทั้งกลมแล้ว ห้องเช่าห้องนี้ ก็ได้ว่างลงไปกว่าสองปีจนไม่มีคนกล้ามาเช่าอยู่ต่อ  แต่… หลังจากนั้นอีกสักพัก ก็มีคนต่างถิ่นเป็นชายร่างใหญ่ชื่อนายชอบได้มาขอติดต่อขอเช่าอาศัย แรกๆที่นายชอบมาเช่า เขาได้มาอยู่ลำพังเพียงคนเดียว เพื่อประกอบอาชีพค้าขายผลไม้ และพันธุ์ไม้ชนิดต่างๆในตลาดสด ซึ่งนับว่าขายดีมาก เมื่อเขาอยู่ได้หนึ่งปี จึงได้ไปรับเอาบุตรชายคนโตมาอยู่และให้เรียนหนังสือในระดับมัธยมด้วย  ถัดมาอีกหนึ่งปี.. ครอบครัวของเขาจึงย้ายมาอยู่กันครบถ้วน ครอบครัวของนายชอบมีบุตร 4 คน พวกเขาไม่ค่อยจะสุงสิงกับคนในห้องแถวมากนัก เป็นเพราะอาจยังไม่คุ้นกับคนอยู่ดั้งเดิม เขามีลูกชายคนโตและคนเล็กเป็นผู้ชายส่วนคนที่ 2และ3 เป็นผู้หญิง  ลูกสาวของเขาแต่ละคนสูง แต่ตรงกันข้ามที่ลูกชายของเขาไม่สูงเหมือนพ่อเลยสักคน 

           หากจะพูดถึงวัยของลูกๆของนายชอบกับพวกเราที่เป็นเด็กๆในห้องแถว(ตลาดใน )อายุก็อยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน โดยปกติเด็กๆในห้องแถวจะรวมตัวกันเล่นเกมต่างๆอาทิเล่นรีรีข้าวสาร เตย เล่นตี่จับ ปลาหมอตกคลัก ขี่ม้าส่งเมือง หลังจากที่กินอาหารมื้อเย็นกันแล้ว บริเวณที่พวกเราจะเล่นเกมต่างๆมักจะอยู่กึ่งกลางห้องแถวพอดีและตรงจุดกึ่งกลางนี้ มีเสาหม้อ แปลงจ่ายไฟฟ้าบ้านน้าพิกุลอยู่พอดี  

        “วันนี้สมาชิกมาพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว เอาไงดีวะ ไอ้เฮี้ยง  ”ผมเอ่ยปากพูดก่อน

        “กูว่า เรามาเล่นโป้งแปะ(ซ่อนหา)ก่อนดีกว่ามั้ย กติกาคือห้ามซ่อนเกินหัวมุมทั้งสองด้าน ห้ามแอบซ่อนในบ้านนะ”ไอ้เล็กพูด

          โป้งแปะหรือซ่อนหา ถือเป็นเกมการละเล่นของเด็กในยุคอดีตและคิดว่าในปัจจุบัน คงน่าจะยังมีการละเล่นอยู่ กติกาที่สำคัญคือการกำหนดอาณาเขต(บริเวณที่เล่น)โดยกติกาก็คือคนที่เป็น“ผู้หาต้องปิดตาและให้เพื่อน ๆ ไปหลบหาที่ซ่อน โดยอาจจะนับเลขก็ได้ ส่วน“ผู้ซ่อน”ในสมัยก่อนจะต้องร้องว่า“ปิดตาไม่มิด สาระพิษเข้าตา พ่อแม่ทำนาได้ข้าวเม็ดเดียว” แล้วแยกย้ายกันไปซ่อน  เมื่อ “ผู้หา” คาดคะเนว่าทุกคนซ่อนตัวหมดแล้ว จะร้องถามว่า “เอาหรือยัง” ซึ่งเมื่อ “ผู้ซ่อน” ตอบว่า “เอาละ”“ผู้หา”ก็จะเปิดตาและหาเพื่อน ๆตามจุดต่างๆ เมื่อหาพบจะพูดว่า “โป้ง..(ตามด้วยชื่อผู้ที่พบ)” ซึ่งสามารถ“โป้ง” คนที่เห็นในระยะไกลได้

    จากนั้น“ผู้หา”จะหาไปเรื่อยๆ จนครบผู้ที่ถูกหาพบคนแรกจะต้องมาเปลี่ยนมาเป็น “ผู้หา” แทน แต่หากใครซ่อนเก่ง“ผู้หา” หาอย่างไรก็ไม่เจอสักที “ผู้ซ่อน” คนที่ยังไม่ถูกพบสามารถเข้ามาแตะตัว “ผู้หา” พร้อมกับร้องว่า “แปะ” เพื่อให้ “ผู้หา”เป็นต่ออีกรอบหนึ่งได้

     สมาชิกประจำที่รวมตัวกันมาเล่นเป็นผู้ชายทั้งหมดมีผม ไอ้เฮี้ยง ไอ้เล็ก ไอ้เปี๊ยก  ไอ้แหลม  ไอ้ลาภ ไอ้ปุ๋ย  ไอ้แกะ  ไอ้พลไอ้ยุทธ เมื่อได้เริ่มเล่น..คนแรกของการเป็นผู้ต้องหาคือไอ้แหลม

    “ไอ้แหลมปิดตา. นับด้วย”ไอ้เล็กพูด

    “นับเท่าไหร่ ”แหลมพูด

     "50"  ผู้หลบซ่อนตอบพร้อมกัน  

       ไอ้แหลมก้มหน้าพิงตรงเสาไฟฟ้าพวกเราที่เป็นผู้หลบซ่อน ต่างหาที่หลบซ่อนตามที่เล็งเอาไว้ พร้อมพูดไปด่้วย

     “ปิดตาไม่มิด สาระพิษเข้าตา พ่อแม่ทำนาได้ข้าวเม็ดเดียว” 

      ทุกคนพยายามปิดปากและหาที่ซ่อน หลังจากไอ้แหลมนับเลขครบ 50  เขายังตะโกนถามสมาชิกว่า

    “เอายัง”

    “เอาได้” 

     ไอ้แหลมเดินจากจุดที่เขายืน ซึ่งอยู่กลางห้องแถวพอดี หากเขาเดินมาตรงหัวมุมบ้านปลัดเจริญจะมีถนนบำรุงราษฎร์ คั่นตามยาวไปสุดหน้าบ้านนายอำเภอและหากเดินมาที่หัวมุมร้านกาแฟแปะซงจะมีถนนราษฎร์อุทิศคั่น มุมที่พวกเรามักไปแอบซ่อนจะอยู่ตรงซอกเล็กๆที่ติดกับบ้านน้าชอบที่เป็นพ่อของพร 

    “ตรงนี้..ไอ้แหลม คงไม่เห็นแน่”  ผมพูดกับไอ้ปุ๋ย ลูกครูสังข์

     “มืดมาก เลยว่ะ น่ากลัวมาก” ไอ้ปุ๋ยพูด

     เมื่อไอ้ปุ๋ยพูดถึงความมืด ทำให้ผมจินตนาการนึกย้อนหลังไปก่อนหน้าสัก 5 ปี ครั้งที่น้าใหม่คลอดตายทั้งกลม เรื่องนี้คนทั้งอรัญประเทศต่างรู้ถึงอิทธิฤทธิ์ของน้าใหม่ที่หลอกหลอนคนทั้งตำบล

    “เปลี่ยนที่ไม่ทันแล้วล่ะ ไอ้ปุ๋ย กูชักกลัวผีแล้ว  ”ผมพูด

    “ไอ้ห่า… มาพูดเรื่องผีตอนนี้  แม่กูบอกว่า เวลาเล่นซ่อนหาอย่าพูดถึงเรื่องผี เพราะผีจะจับตัวไปซ่อน ” ไอ้ปุ๋ยพูด

     “แม่กู  .ก็พูดอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน” ผมพูดย้ำ

    “นิ่งก่อน ..ไอ้แหลมกำลังจะเดินมาโป้ง” ไอ้ปุ๋ย กระซิบอย่างเงียบที่สุด  

     เราทั้งสองคน ต่างนิ่งเงียบอยู่ในภวังค์ความกลัว สายตาล่อกแล่ก  คงจะมีแสงไฟจากบ้านน้าชอบลอดเข้ามาในซอกได้บ้างก็ยังดีกว่าไม่มีเลย 

      “ออกข้างนอกดีกว่าว่ะ ไอ้ปุ๋ย ยอมให้แหลมมันโป้งดีกว่าแล้วแต่ดวงว่า มันจะขานชื่อโป้งใครก่อน ” ผมกระซิบบอกไอ้ปุ๋ย 

      ไม่กี่วินาที .ขณะที่ไอ้แหลมกำลังเดินหาคนซ่อนตัว ก็ต้องตกใจ เพราะผมกับไอ้ปุ๋ยโผล่พรวดแต่มิได้หวังแปะเพื่อให้เขา ต้องมาเป็นผู้ปิดตาหาผู้ซ่อนแอบอีกครั้ง เขาถอยหลังและเบี่ยงตัว พร้อมใช้นิ้วโป้งชี้และขานชื่อ

     “โป้งไอ้แหลม โป้งไอ้ขลุ่ย ”  ไอ้แหลมขานชื่อโป้ง 

      คนที่ถูกโป้งคนแรกคือไอ้ปุ๋ย นี่หากคนที่เหลือแปะไอ้แหลมไม่ได้  ไอ้ปุ๋ยก็ต้องกลายเป็นผู้จะต้องปิดตาและป็นคนหาคนซ่อนแอบในรอบต่อไป  ผมรู้สึกสบายใจที่ถูกขานชื่อเป็นคนที่สอง เกมนี้กว่าจะหาคนครบได้ก็ปาเข้าไปเกือบ 15 นาทีพวกเราเล่นกันได้สักสามรอบ พ่อของไอ้แหลมได้ให้หนูนิดน้องสาวไอ้แหลมมาตามกลับบ้าน 

      “พี่แหลม พ่อบอกให้กลับบ้านเลย จะสองทุ่มครึ่งแล้ว ”หนูนิด พูด

      “กลับไปก่อน เดี๋ยวจะตามไป” แหลมพูด

     “ถ้าไม่กลับพ่อจะมาตามเอง แล้วคอยดู แกต้องเจ็บตัวแน่”  หนูนิดพูด

       ส่วนใหญ่เด็กในห้องแถว จะอยู่ในวัยซุกซนคือมีอายุเฉลี่ยไม่เกินสิบขวบ  หลังทำการบ้านกินข้าวจนย่อยอาหารแล้ว เรามักจะมารวมตัวกันเล่นเกมต่างๆโดยมิได้นัดหมาย  

                                         *********************************

                 ช่วง…ผมเรียนชั้นมศ.2  พรสวรรค์หรือพร เพิ่งมาเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมประจำอำเภอ พี่สาวของพรเรียนอยู่ห้อง 3  ส่วนผมเรียนอยู่ห้อง 1 คนเรียนดีเปอร์เซ็นต์สูงมักจะอยู่ห้องที่มีตัวเลขน้อยกว่า ทั้งพี่สาวน้องสาวคู่นี้นับว่าเป็นคนค่อนข้างสูง น้ำฟ้าพี่สาวของพรสวรรค์ เป็นคนเรียนไม่ค่อยเก่งนัก ช่วงเรียนมศ.2 เธอต้องสอบตกซ้ำชั้น จนต้องมาเรียนรุ่นเดียวกันกับน้องสาว  การที่เราอยู่ห้องแถวเดียวกัน ย่อมต้องพบกันบ้างในช่วงใดช่วงหนึ่ง ที่บ้านของพร มีอาชีพขายผลไมประเภทมันแกว มะม่วง ชมพู่ สับปะรด แตงโม ระกำ องุ่นดังนั้นทุกๆเย็นสองสาวพี่น้องคู่นี้จะต้องมาเตรียมการปอกผลไม้ ไว้ล่วงหน้า เพื่อเตรียมขายช่วงสายๆในวันต่อมา  ทุกครั้งเวลาผมไปส่งขนมที่บ้านป้าต้องผ่านหน้าบ้านน้าชอบ  การที่เรากำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่นที่เริ่มแสวงหาความชอบความรักกับเพศตรงข้ามจึงเกิดขึ้น แน่นอนว่าผมคงมองข้ามฟ้า ไปอย่างแน่นอนเพราะเธอสูงกว่าผมมาก แต่.สำหรับพรสวรรค์ แม้จะสูงกว่าผมบ้าง. แต่ก็ดูไม่น่าเกลียดจนเกินไป  

      “เราคิดว่าพรคงน่าจะ มีใจให้กับเราบ้าง ”  ผมคิดเข้าข้างตนเอง เนื่องจากเวลาผมเดินผ่านที่หน้าผ่านเธอ มักจะเห็นสายตาของเธอมองมาเหมือนต้องการผูกมิตรให้ได้เชื่อมสัมพันธ์กันและกัน 

       “เราจะต้องรวบรวมความกล้า เข้าหาเธอให้ได้  ”ผมคิดในใจและพยายาม หาวิธีการที่จะเข้าไปพบกับเธอตัวต่อตัว เวลานั้นผมเห็นพรกับไอ้เฮี้ยงมีความใกล้ชิดกันและกัทั้งสองคนเคยยืนคุยกันบ่อยๆ จนผมคิดว่าคนทั้งสองเป็นแฟนกันแล้ว แต่คิดไปคิดมา….เราจำต้องพิสูจน์ว่า เราก็มีดีเช่นกัน

      “ไอ้พร มันชอบไอ้เฮี้ยงนะ .ไอ้ขลุ่ย” ไอ้เล็ก บอกเล่าให้ผมทราบ

      “อย่างนี้ กูคงหมดสิทธิ์  แล้วล่ะสิ  ไอ้เล็ก” ผมพูด

      “ไอ้เฮี้ยง มันไม่ได้ชอบ ไอ้พรหรอก มันก็คุยด้วยไปงั้นๆ ”ไอ้เล็กพูด

        เมื่อได้ยินเพื่อนสนิทพูดเช่นนี้ มันทำให้ผมต้องเอาชนะใจพรสวรรค์ให้ได้ และผมก็ได้วางแผนแกล้งไปหาพี่สาวของพร คือฟ้าเป็นบันไดขั้นแรก

      “พร  พี่สาวเธอ อยู่หรือเปล่า”

      “มีธุระ อะไรเหรอ  ”

     “พอดีว่า.. จะมาขอจดการบ้านกับฟ้าหน่อย เพราะวันนี้เรา ไม่ได้จดการบ้านมา”

      “ยังไม่กลับจากตลาด” พรพูด

      “งั้นเดี๋ยวเรา มาอีกรอบก็ได้” 

       จริงๆแล้ว โจทย์การบ้านผมได้ลอกบนกระดานจากโรงเรียนมาแล้วแต่นี่คือ แผนการที่อยากจะได้มาคุยกับพร  และนี่คือขั้นตอนที่ได้เริ่มกระทำ  เมื่อผมกลับเข้ามาบ้านได้ชั่วครู่  สักชั่วโมงต่อม าผมจึงได้เดินไปที่บ้านของพรอีกครั้ง …และได้พบกับฟ้า  นิสัยของฟ้าคือเป็นคนพูดน้อยต่างกับน้องสาวที่พูดเก่งและออกจะแก่นอยู่บ้าง ความสวยของทั้งพี่และน้องไม่ต่างกัน  วันแรกที่ได้มาถ้ำเสือ ได้พบแม่ของฟ้าและพร เธอมีสีหน้าออกจะเรียบเฉย หน้าบอกบุญไม่รับ ทั้งๆที่ผมก็ไม่เคยไปทำอะไร ให้เธอต้องเดือดร้อนเลย เว้นแต่พวกเราเด็กๆที่อาจจะไปเล่นใกล้ๆบ้านของเธอ  ซึ่งอาจสร้างความรำคาญ หนวกหู ตามประสาเด็ก 

     “ฟ้า เราขอลอกโจทย์การบ้าน หน่อยสิ พอดี วันนี้ ..เราไม่ได้เอาสมุดจดการบ้านไป ”ผมพูด

    “รอเดี๋ยวนะ ” ฟ้าพูด เธอเดินไปที่กระเป๋านักเรียน พลางค้นสมุดจด แล้วยื่นส่งมาให้ นี่คงทำให้ฟ้าประหลาดใจอยู่บ้างว่าจู่ๆเพื่อนชายนักเรียนต่างห้องเรียนคนนี้ที่ไม่เคยทักทายกันมาก่อนมาผูกมิตรด้วยเล่ห์กลแอบแฝงอันใด  หรือไม่

    “ขอบใจนะฟ้า ”ผมตอบ หลังจากได้ลอกโจทย์การบ้านเสร็จ สายตายังสอดส่ายเพื่อมองหาคนที่ต้องการผูกมิตรถาวร

                                        ********************************** 

      เมื่อคุ้นเคยกับพรมาได้ระยะหนึ่ง ไอ้เฮี้ยงหรือสมคิดน้องชายบุญธรรมเจ๊หมวย ลูกเลี้ยงของแป๊ะโค๊ว ก็ต้องไปเรียนที่วัดธาตุทอง ด้วยพี่ชายของไอ้เฮี้ยงคือเฮียเปี่ยง อยากเห็นความก้าวหน้าของน้องชายจึงรับไปอยู่ด้วย  พรกับเฮี้ยงจึงห่างเหินกันไปโดยปริยาย ผมจึงมีโอกาสได้จีบพรจริงๆจังๆ  แม้ช่วงไปโรงเรียน เราจะเรียนโรงเรียนเดียวกัน แต่ส่วนใหญ่เราแทบจะไม่เจอกันเลย การที่แม่ของพรหวงและห่วงลูกสาว เธอจึงมักจะกีดกัน ทุกๆเย็นเวลาผมจะต้องเดินผ่านบ้านเธอ วันละหลายรอบ เพราะต้องไปซื้อวัตถุดิบ เพื่อทำขนมขายอาทิ แป้ง น้ำตาล ยีส ไข่ ฯลฯ ทั้งยังต้องไปส่งขนมที่บ้านป้า  แน่นอนว่าความรักที่เพิ่งผลิของคนหนุ่มสาว สายตา..จึงเป็นสิ่งที่จะแสดงออกให้เห็นมากกว่าคำพูด  

    “ว่าไปแล้ว พร ดูก็น่ารักนะ..สำหรับต้อย ลูกสาวของปลัดเทศบาล มันคงเป็นความฝันที่เราจะจีบ มันไม่อาจจะเป็นจริงไปได้เลย ดังนั้นเราต้องจีบพรให้สำเร็จ ก่อนจะจบ มศ. 3”  ผมคิด

       พรกับต้อยเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกัน บ้านของคนทั้งสองห่างกันไม่มากนัก ต้อยเป็นลูกปลัดเทศบาล ที่มีบ้านพักราชการโดยเฉพาะต้อยอยู่ในกรอบและระเบียบมาก แม้ผมจะเคยผ่านบ้านปลัด แต่น้อยครั้งเหลือเกินที่จะได้เห็นต้อย  .ทุกๆวันก่อนนอนผมมักจะชะเง้อโบกมือให้พรและส่งจูบแบบทะเล้นๆให้   ผมคิดว่า แม่และพี่สาวของพรคงรู้ว่าผมกับพร เริ่มมีความรู้สึกชอบกันและกันแล้ว ฟ้ามิได้กีดกัน..แต่อุปสรรคของผมคือแม่ของพร ที่มักจะปิดกั้น ถ้าผมยืนที่หน้าบ้านคราใด แม่ของพรมักจะไล่ให้ลูกสาวเข้าไปในบ้าน  

    “พร เข้าไปในบ้านเลย ”แม่ของพรพูดดุ ลูกสาว 

                                                  ****************************

      หลังจากจบชั้นมัธยมต้น ผมจึงมาเรียนต่อมัธยมปลายที่กรุงเทพปิดเทอมจึงได้พบพร ความรู้สึกที่เคยมีกับเธอ อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เพราะเราเพียงเขียนจดหมายสื่อสารกัน ความห่างเหินด้วยเพราะเรา อยู่ห่างในระยะทางที่ไกลๆ อาจแปลเปลี่ยนได้ ดังคำโคลงโลกนิติ ที่ว่าไว้คือ

                                            เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม                                ดนตรี

                                   อักขระห้าวันหนี                                  เนิ่นช้า

                                   สามวันจากนารี                                    เป็นอื่น

                                  วันหนึ่งเว้นล้างหน้า                               อับเศร้า  หมองศรี

       โคลงบทนี้ สอนว่าถ้าเราเว้นช่วงการฝึกซ้อมดนตรีเกิน 7 วัน เว้นการอ่านเขียนเรียนหนังสือเกิน 5 วัน เว้นการไปพบปะสนทนากับคู่รักเกิน 3 วันและเว้นจากการล้างหน้าชำระกายเกิน 1 วัน จะทำให้ความรู้ความชำนาญความรัก และสง่าราศีของเราเสื่อมไปตามลำดับ และทุกอย่างก็เป็นความจริงคือผมกับพรได้ห่างเหินไม่เหมือนดังก่อน  . จนเมื่อครั้งหนึ่งที่พรมาเรียนหนังสือที่จังหวัดบ้านเกิดของเธอที่อำเภอเมืองฉะเชิงเทราและบังเอิญผมมาทำงานที่สหกรณ์การเกษตรจึงได้พบกับพรโดยบังเอิญที่ป้ายรถเมล์ 

      “อ้าวพร  จะไปไหนเหรอ ” ผมทักทายคนรักเก่า ที่เคยจีบกันมาก่อน

      “แล้วเธอมาทำอะไร ที่นี่”  พรย้อนถาม แต่ยังไม่ได้ตอบคำถาม ที่ผมถามเธอไป เมื่อครู่

      “เรามาทำงานที่แปดริ้ว แล้วพรละ ”

      “มาเรียนที่โรงเรียนอาชีวศึกษา แปดริ้ว ” พรตอบ 

      “พรพักที่ไหน ขอไปเที่ยวที่บ้านได้มั้ย ช่วงวันหยุด”

      “พักในซอย 3 เข้าไปสัก 20 เมตรก็เห็นบ้าน เค้าพักกับพี่ชายคนโต ” พรพูด

     “โห พี่ชายพร ..นี่ หวงน้องสาวน่าดู  ”ผมพูด

      “ต้องเอาชนะใจ พี่ชายเค้่าสิ  ”

     “ก็ได้  นี่เป็นโอกาสอีกครั้ง ที่เราจะจีบพร อีกครั้ง และเราคาดหวังว่าเราอาจจะตกลงใจแต่งงานกับเธอด้วย”

      “ดูใจกันก่อน อย่าเพิ่งใจร้อน ว่าแต่เธอแน่ใจแล้วเหรอ ว่าจะผ่านด่านแม่ของเค้าได้”

     “จะพยายาม  คิดว่าผ่านได้ ”

      นับแต่นั้นเป็นต้นมา ในวันหยุด..  ผมจะแวะไปหาพรที่บ้านพี่ชายของเธอ เฉลี่ยสองสัปดาห์ต่อครั้ง ความรักของเรากลับมาหวานและดีวันดีคืน จนนัดไปทานข้าว ดูหนังกันหลายครั้ง  

     “สอบเสร็จ จะกลับไปอรัญ .มีอะไรจะฝากไปให้แม่เธอมั้ย”  พรพูด

     “จดหมาย กับเงินสด 500 ”ผมพูด

     ผมเตรียมจดหมายและเงินสด ฝากพร ไปให้แม่ของผม ผมมาส่งพรที่สถานีรถไฟแปดริ้ว   การคบหากับพรยังเป็นปกติ จนมีวันหยุดหลายวัน ผมจึงแวะกลับมาเยี่ยมแม่ ที่อรัญประเทศ ผมได้มาพักผ่อนอยู่สองคืน ก่อนจะกลับมาทำงานได้สอบถามกับแม่

     “แม่.ผมฝากให้พร เอาจดหมายกับเงิน500 บาท มาให้แม่  แม่ได้รับหรือเปล่า ”

     “ได้รับแต่จดหมายแต่ไม่มีเงินสักแดงเดียว ”

     “อ้าว .ทำไม พรจึงไม่เอาเงินให้แม่ เดี๋ยวผมจะไปสอบถามเธอดู ”

      “แม่ว่า เลิกคบกับพรนะ  แม่ว่าเขาเป็นคนไม่ซื่อ  ” แม่พูด

     “ผมก็ไม่ชอบคนนิสัยแบนนี้  นี่ถ้าแต่งงานกันแล้วมีนิสัยแบบนี้เราคงอยู่ด้วยกันไม่ได้แน่   ”

     นี่คือฟางเส้นสุดท้ายที่ผมกับพร ต้องตัดไมตรีและเลิกคบกันอย่างเด็ดขาด เงิน 500 บาทก้อนนี้ซึ่งมีค่ามากสำหรับผม เพราะเป็นเงินเดือนที่ตั้งใจให้แม่ จากน้ำพักน้ำแรงของตน จากความรักกลายเป็นความแค้น แต่ก็ยังยอมให้อภัย หลายครั้งที่พบกันที่อรัญ ผมไม่เคยทักพรเลยสักครั้งดูเหมือนเธอจะมีความสำนึกผิดกับการกระทำ

      “พรไม่ต้องเอาเงินมาคืนให้เราหรอก แล้วก็แล้วกันไป อย่าไปทำกับใคร  อีกนะ ”

                              ********************************************* 

       หลังงานศพของพ่อ เพื่อนๆร่วมรุ่นของผม ได้จัดพบปะสังสรรค์เป็นครั้งแรก พรเข้ามาร่วมงานด้วย จนผมและเพื่อนๆส่วนใหญ่ก็แปลกใจ

      “พร.. เขาเป็นรุ่นน้องเรานี่ ใครเชิญมาเหรอ ” เสียงเพื่อนๆ พูด

       ผมพบกับพรในงานเลี้ยง  แต่เหมือนกับเราไม่เคยรู้จักกัน เพราะแรงแค้นผมยังฝังใจ  เธอคงจะไม่น่าจะสนุกกับบรรยากาศที่พบกับผม และจากคืนนั้นเป็นต้นมา ผมไม่พบกับพร และไม่ได้ข่าวของเธออีกเลย ………..

       จนเมื่อ..ต้นเดือนธันวาคม ที่ผ่านมา..  ผมมีโอกาสไปงานพบปะสังสรรค์รุ่นของพร ที่ผมไปโดยบังเอิญ ในช่วงการสนทนาช่วงหนึ่ง ผมจึงถามแต๋วเพื่อนหญิงในรุ่นของพร

      “แต๋ว สนิทกับพรสวรรค์มั้ย  ”ผมถาม

      “สนิท มาก”

     "แล้ววันนี้เธอ ไม่มาร่วมงานสังสรรค์ ด้วยเหรอ"ผมถาม

     “พร เพิ่งเสีย ก่อนหน้าจัดงาน สองสัปดาห์เอง  ”

      “เกิดอะไรขึ้น เล่าให้ฟังหน่อย ”

     “เธอขี่รถพ่วงขายผลไม้ รถเกิดไถลลื่นชนเสาไฟฟ้า จนเสียชีวิตคาที่ ”

     “น่าเห็นใจ จัง อโหสิด้วยนะพร ”  ผมพูด

     “รู้จักกับพร เหรอ ”

     “เคยสนิทกัน มาก่อน”

    “ชีวิตพร เป็นไงบ้าง อยากรู้”

    “น่าสงสารมัน. ชีวิตก็ลำบาก ได้สามีเป็นทหาร นี่..ก็เพิ่งเสียชีวิตก่อนหน้าเพราะตับแข็งตาย นี่ลูกชายของพร จะอยู่กับใครไม่รู้ น่าสงสาร พวกเราเพิ่งไปช่วยงานศพและช่วยบริจาค 4 หมื่น ”แต๋ว พูด

     เสียงเพลง…เสียงร้องเพลงในงานเลี้ยที่ดัง ไม่สามารถกลบเกลื่อนความเศร้าของผมไปได้  น้ำตาตกใน… แม้จะเคยโกรธและเกลียดพร แต่วันนี้ .

            “ขออโหสิกรรมให้ด้วย นะพร  ”

                             นี่. เรา  ไม่รู้ข่าว..ว่าพรเสีย มิฉนั้นแล้วจะต้องมาร่วมงานศพของเธอ  แน่นอน 

                                                ขอจงหลับให้สบายนะพร อดีตคนที่เคยสนิทกัน 

                                                    ขอจงสู่สุขคติ นะ.  .น้องสาว   

                                                          ขลุ่ย   บ้านข่อย  

                                                     (๑๖ มกราคม  ๒๕๖๗)

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×