ยอมติดคุกเพื่อพ่อ - ยอมติดคุกเพื่อพ่อ นิยาย ยอมติดคุกเพื่อพ่อ : Dek-D.com - Writer

    ยอมติดคุกเพื่อพ่อ

    เส้นแบ่งความกล้า ระหว่างความกตัญญูกับ ความเห็นแก่ตัว ของคนสองคนคือพ่อกับลูก เรื่องจริงที่เกิดขึ้นที่ผมไม่อยากเชื่อ ว่าพ่อ....เห็นตำแหน่งสำคัญกว่าลูก

    ผู้เข้าชมรวม

    34

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    34

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  9 ม.ค. 67 / 16:30 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

                                                  ยอมติดคุก เพื่อพ่อ

         ความขยันของสุทิน ลูกศิษย์..ที่ผมเคยสอนและเคยช่วยสนับสนุนให้เขา ในการทำกิจกรรมต่างๆ ตั้งแต่สมัยเรียน แต่ขาดความเฉลียว.. ทำให้ผมผิดหวังในตัวเขาไม่น้อย  ผมไม่เคยดูแคลนลูกศิษย์ของผมเลยสักนิด ในครั้งที่เขาได้สมัครเป็นนักการภารโรงของโรงเรียนแห่งหนึ่ง  เขาเต็มใจที่จะก้าวสู่วิชาชีพนี้เพราะไม่ต้องการใช้สติปัญญาใดๆ (อยากให้อ่านเรื่อง ขยันแต่ขาดความเฉลียวก่อนอ่านเรื่องนี้ ก่อน)

     ก่อนหน้านี้ ทั้งๆที่เขามีโอกาสที่จะสอบบรรจุเป็นเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร  จากกรมส่งเสริมการเกษตร ซึ่งหากสอบได้ อย่างน้อยเขาก็เป็นข้าราชการซีสอง  มีความมั่นคงและมีศักดิ์ศรีดีกว่าตำแหน่งนักการภารโรงมากมาย   จากความหวังดีที่ผมได้พยายาม ชักชวนให้เขามาสอบ แต่เขากลับได้ปฎิเสธเพราะเชื่อฟังภริยา ที่ต้องการให้เขาทำงานใกล้บ้าน 

    “ไม่อยากคิดเลยว่า ลูกศิษย์เราคนนี้ ใยจึงมีความคิดตื้นๆ ไม่ได้มองไกลๆ ถึงอนาคต ในแง่ความก้าวหน้า ความมั่นคงของชีวิตของครอบครัว พอเมียบอกไม่ให้ไปสมัครก็เชื่อฟังเมีย”  ผมคิด

    จากที่เคยสอนเขามาจึงพอมองออกว่าเขาเป็นคนที่ขาดความเป็นตัวของตัวเอง  หัวอ่อน ไม่มีความเป็นผู้นำ ซื่อจนเซ่อ น่าเสียดายความรู้ของเขาที่มี แต่กลับไม่นำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในแง่การประกอบวิชาชีพที่ได้เคยศึกษามา  แม้วุฒิ ปวส.จะไม่สูงนัก  แต่หากเข้าทำงานสักระยะ และมีโอกาสลาไปศึกษาต่อปริญญาตรี หรือเรียนในสถาบันการศึกษาในบางแห่งที่เปิดสอนวันเสาร์ อาทิตย์ ก็มีโอกาสคว้าปริญญาตรีได้ไม่ยากนักและสามารถมาใช้ปรับวุฒิเพื่อปรับตำแหน่งให้สูงขึ้น     มีคนหลายๆคนที่ผมรู้จัก ที่เขามีความทะเยอทะยาน อย่างนายสวัสดิ์  นักการภารโรง ขององค์การบริหารส่วนตำบลบุญนาคและนายบรรเจิดนักการภารโรง จากอบต.ตำบล บ้านเสด็จ ซึ่งก่อนหน้านี้ เขามีวุฒิเพียง ม.3   ได้พยายามศึกษาเล่าเรียนจนมีวุฒิ จบปริญญาตรี รัฐศาสตร์  พอย้อนกลับมามองที่สุทินที่จบระดับอนุปริญญาตรี กลับปล่อยโอกาสของตนให้หลุดลอย มาประกอบวิชาชีพเกษตรกรรมตามมีตามเกิด และช่วงเวลาดังกล่าวนี้ที่ผมเห็นเขาในหมู่บ้านจึงพยายามหางานให้เขาทำ จนเมื่อครั้งที่มีตำแหน่งงานของทางกรมฯได้ประกาศรับสมัคร ผมจึงพยายามชักชวนให้เขาไปสมัครสอบที่เชียงใหม่ อย่างไรสุทินก็ปฏิเสธท่าเดียว แต่…หลังจากนั้นมาอีกสองปี ..ที่โรงเรียนบ้านห้วยยางนาตำแหน่งนักการภารโรงได้เกษียณอายุตำแหน่งจึงว่างลงจากที่ผมคุ้นเคยกับอาจารย์โรงเรียนแห่งนี้จึงได้ช่วยกันพูดกับอาจารย์ใหญ่ ให้ช่วยรับสุทินเข้าบรรจุเป็นนักการฯและเขาก็ได้เข้าทำงานตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา 

    ความขยัน ความซื่อ ความอดทน ความว่านอนสอนง่าย  จึงทำให้เขาเป็นที่รักของครูในโรงเรียนทุกคน ทั้งๆที่วุฒิของครูในโรงเรียนบางคนยังน้อยกว่าสุทินเสียอีก การขาดแรงจูงใจนี้ จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ต่างกับนักการภารโรงสองคนที่อยู่ที่อยู่อบต.บ้านบุนนาคกับอบต.บ้านเสด็จ ที่เขาไต่เต้าจากนักการฯ สู่ตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานและรองปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล  หลังจากที่ผมผิดหวังในความหวังดีต่อเขาในหลายครั้งแล้ว  มีครั้งหลังสุด  .ก่อนที่ผมจะเลิกลาติดต่อสัมพันธ์กับเขาอย่างถาวร คือครั้งที่ตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านได้ครบวาระที่จะต้องเลือกตั้งใหม่

    “สุทิน .. อาจารย์ ว่าตอนนี้ตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านบ้านเราว่าง  อยากให้สุทินมาลงสมัครน่ะ วุฒิเราก็มี  ที่ทราบว่าคนจะลงสมัครคือลุงคำวุฒิ เขาจบแค่ชั้น ป.4 เอง ”

    “ไม่ลง..หรอกครับ  ผมไม่อยากรับผิดชอบอะไร และผมก็ไม่ใช่คนท้องถิ่นนี้ด้วย” สุทินพูด

    “อ้าว แล้วที.ผู้ใหญ่ทม ล่ะ เขาก็ไม่ใช่คนลำปางเสียหน่อย ยังลงสมัครเป็นผู้ใหญ่ได้เลย”

    “เมียผม เขาไม่ให้ลงครับ” สุทินพูด

    “ว่าแล้ว .ว่าต้องรอคำสั่งและเชื่อฟังเมีย พูดตรงๆออกมา ก็จบละ”  ผมคิดในใจ 

           ผม ไม่ได้โพล่งปาก พูดออกไป เพราะอย่างน้อยก็เป็นการถนอมน้ำใจลูกศิษย์

    “ตามใจ  จากนี้อาจารย์ จะไม่มาข้องแวะและมาขอร้องอะไรเราอีกแล้ว ล่ะ ”

    สุทินนิ่ง ตามบุคลิกของเขา….ผมผละจากไป คิดในใจว่าจากนี้เขากับผมต้องเดินไปตามเส้นขนาน 

                                      *************************************

       สุทิน..เป็นนักการภารโรงได้ 5 ปี ลูกของเขาโตวันโตคืน และยังกำลังเรียนชั้นมัธยมปลาย เสาวรีย์ที่เป็นลูกสาวคนโตสติปัญญาค่อนข้างดี แต่เนื่องจากพ่อกับแม่มีปัญหาทางการเงินจึงให้ลูกสาวเรียน ที่สถาบันที่พ่อเคยเรียน เสาวรีย์ เลือกเรียนสาขาบัญชี เพราะเธอมองว่า เป็นวิชาชีพที่ตลาดแรงงานกำลังต้องการ  เพราะที่นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือมีโรงงานอุตสาหกรรมค่อนข้างมาก บุตรคนเล็กของสุทินชื่อศิริ เมื่อจบม.6 ก็ได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยเทคนิคในเมือง เนื่องจากสภาพแวดล้อมและการคบหาเพื่อนๆเกเร เขาเรียนไม่จบ จึงอยู่กับบ้านเฉยๆ  เงินเดือนนักการภารโรง ณ.เวลานั้น สุทิน ได้รับเพียงห้าพันบาทเศษ  แม่บ้านที่ปลูกสับปะรดขายจะได้รับเงินเป็นกอบเป็นกำ เฉพาะช่วงฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิต  หักลบกลบหนี้ค่าปุ๋ย ค่าสารเคมี คงเหลือไม่มากนัก ครอบครัวของสุทินต้องทนอยู่ดังชาวบ้านทั่วๆไป เสารีย์เป็นเด็กเรียนดี เธอคือความหวังของครอบครัว เมื่อเรียนจบสาขาบัญชีจึงได้ไปทำงานในโรงงานดังปรารถนา  พันธนาการของสุทินจึงเบาบางลงบ้างแต่ที่ยังเป็นภาระอยู่ คือลูกชายคนเล็กที่มีบุคลิกดื้อเงียบ  ศิริ ..เป็นเด็กที่คนในหมู่บ้านเห็นเขาเหมือนคนใบ้ เพราไม่ค่อยพูดค่อยจากับใครๆเลยกระทั่งเพื่อนเรียนในชั้นเรียนตั้งแต่ประถมจนมาเรียนวิชาชีพทางสายช่าง  ระหว่างที่ศิริ เรียนในเมือง ตั้งแต่ชั้นปวช. 1 เขาก็เริ่มคบหาเพื่อนที่สูบบุหรี่ และเมื่อกลับเข้ามาในหมู่บ้านได้คบหาเพื่อนๆ ศิริจึงเริ่มติด กัญชา -ยาบ้าจนงอมแงม เกินการที่สุทิน ผู้พ่อจะดูแลได้ตลอดเวลา

     ศิริ..มักจะขอเงินพ่อกับแม่เนืองๆ อ้างว่าจะต้องซื้อของกินของใช้

    “พ่อขอสองร้อย ซิ ” ศิริพูด

    “ทำไม ขอมากจัง.  ลูก ”

    “ผมจะเข้าไปในเมือง เติมน้ำมันรถ และซื้อของกินด้วย ”

    สุทิน จำยอม ที่ต้องจ่ายเงินให้ลูกชาย ครอบครัวนี้ เท่าที่ใครๆมอง จะเห็นว่าพ่อกับแม่ ดูจะรักลูกคนเล็กมากกว่าลูกสาวคนโต เพราะหากศิริต้องการจะได้เงิน วัตถุ สิ่งของใดๆ พ่อกับแม่ต้องหามาให้หลังจากที่ผมห่างเหินจากสุทิน เป็นเพราะผมมองเขาว่า เขาขาดภาวะความเป็นผู้นำและหลายๆครั้ง ความหวังดีของผมที่มีต่อเขา อาจสร้างความไม่พอใจกับเขาและภริยาของเขาได้

    “อย่าไปยุ่งกับครอบครัวนี้ ดีกว่า  ทำดีก็เสมอตัว ทำไม่ดี เขาจะว่าลับหลังเอา”ผมคิด

    ทั้งๆที่ตัวของสุทินก็เคยผ่านชีวิตการเป็นวัยรุ่น มาก่อน แต่ผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่า  ทำไม??  เขาจึงไม่สามารถป้องปรามลูกให้อยู่ในลู่ในทางได้ ว่าไปแล้วเวลานั้นในหมู่บ้านห้วยยางนามียาบ้าขายกันประเจิดประเจ้อหลายแห่ง ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืนข่าวการจับกุมผู้เสพ ผู้ค้ายาบ้าของตำรวจมีไม่เว้นแต่ละวัน ยิ่งจับเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีปริมาณการจำหน่าย ราวกับเห็ดผลิดอกช่วงหน้าฝน ลูกศิษย์ลูกหาที่ผมเคยสอนในรุ่นหลังๆเด็กเยาวชนในหมู่บ้านและหมู่บ้านใกล้เคียงเป็นทาสยาเสพติดไม่น้อยกว่า 20 คน  สถานศึกษาฝ่ายป้องปราม ปราบปรามของหน่วยงานรัฐ ทำงานค่อนข้างไร้ประสิทธิภาพ ยิ่งจับ ยิ่งมีปริมาณยาเสพติดมากขึ้นๆ 

                                          ****************************

         หลังจากมีการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านในหมู่บ้านแล้ว  ลุงคำไร้คู่แข่งจึงได้เป็นผู้ใหญ่บ้านไปโดยปริยาย  ซึ่งผมมองว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่ง ที่สุทินน่าจะอาสามาช่วยงานด้านการพัฒนาท้องถิ่นที่ตนอาศัย  หลังจากการเลือกผู้ใหญ่บ้านผ่านไปได้เพียงปีเศษ เป็นจังหวะที่องค์การบริหารส่วนตำบล ได้ประกาศรับสมัครบุคคล เพื่อลงแข่งขันการเลือกตั้งเป็นนายกองค์การฯและสมาชิกอบต.สุทินจึงตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนักการภารโรงของโรงเรียนเพื่อลงสมัครเป็นสมาชิก อบต. และเขาก็ได้เป็น สมาชิกอบต..  เมื่อครบวาระ 4 ปี เขาก็ยังลงเลือกตั้งและก็ได้เป็นสมาชิกตลอดเรื่อยมาถึง 4 สมัย ช่วงที่เขาเป็นนักการภารโรงเ ขายังสมัครเป็นสมาชิกอส.ม (อาสาสมัครสาธารณสุข) ที่มีเงินค่าตอบแทนให้แม้จะไม่มากนัก แต่มันก็ช่วยทำให้ครอบครัวเขามีเงินเป็นค่าน้ำ ค่าไฟและอื่นๆได้อีกส่วนหนึ่ง 

      สมัยที่ 3 ที่เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกอบต.   จากที่เขามีความอาวุโสและมีความรู้ในระดับหนึ่ง เมื่อมีการเลือกประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล เขาจึงได้เลือกเป็นประธานสภาตามคาด สุทินคนเดิม ที่มีนิสัยเรียบง่ายติดดิน เริ่มใจฟู เหลิงในตำแหน่ง เนื่องจากในชนบทตำแหน่งนายกฯองค์การจะได้รับการยกย่องสูงสุดรองลงมาก็คือ ประธานสภา และรองลงมาก็เป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้อำนวยการโรงเรียนในตำบลนั้นๆหรืออาจารย์หรือข้าราชการอื่นๆ ที่รู้จักมักคุ้น จากสถานะชาวบ้านธรรมดาที่เป็นเกษตรกรไต่เต้าสู่การเป็นนักการภารโรง สู่สมาชิก อบต. และเป็นประธานสภาองค์การบริหาร  ก่อนหน้าเขายังเป็นกรรมการหมู่บ้านมาก่อน ..การที่เขามีความรู้มากกว่าชาวบ้าน จึงได้รับโอกาสให้เป็นคนคิดคนเขียนโครงการต่างๆ ไม่ว่าโครงการอะไรที่เขาคิด ไม่เคยประสบความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน อาทิ -โครงการส่งเสริมการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดจัดส่งอุปกรณ์มาให้ ใช้ได้ไม่นานนัก ก็เสื่อมสภาพและชำรุด จนหมดสิ้น โครงการสร้างหอประชุมหมู่บ้านขึ้นได้เพียงโครงสร้าง และก็สิ้นสุดลง กว่า7 ปี ก็ไม่ได้รับงบประมาณมาก่อสร้างเพิ่มเติม  โครงการก่อสร้างประปาหมู่บ้านที่เขาเป็นคนรับผิดชอบ สามวันดีสี่วันเสียโครงการสร้างสถานีเติมน้ำมันในหมู่บ้านสร้างเสร็จ แต่ก็ใช้การไม่ได้อีกจึงขาดทุนย่อยยับปล่อยทิ้งร้างไปอย่างน่าเสียดาย

                              ******************************************** 

     ช่วงโรคโควิดระบาดหนักเมื่อหลายปีก่อน สุทิน ในฐานะอาสาสมัครสาธารณสุข ซึ่งได้รับมอบหมายจากทางโรงพยาบาลตำบลให้สื่อสารมายังชาวบ้านในหมู่บ้าน เพื่อไปตรวจและฉีดวัคซีน เขากลับมอบหมายให้ภริยามาทำหน้าที่แทน และภริยาของเขาก็มิได้นำเอาเอกสารมาแจ้งให้ผมเพื่อทราบข่าวการพบแพทย์ผมจึงไปสอบถามอาสาสมัครคนอื่นๆ

    “ขอถามหน่อยสิว่า หมอที่อนามัย ได้มีเอกสารแจ้งผมให้ ไปฉีดวัคซีนหรือไม่” ผมถามอสม.หญิงคนหนึ่ง

    “มีค่ะ ..ประธานสุทินเป็นคนรับผิดชอบ ที่จะประสานกับอาจารย์ขลุ่ย ค่ะ”

    “อ้าว คนข้างๆบ้านผม ได้รับเอกสารทุกคน แล้วทำไม ผมจึงไม่ได้รับล่ะ ”ผมพูด

    “เดี๋ยวหนู จะถามให้ค่ะ”

     โดยปกติ อสม. คนอื่นๆ ที่จะมาประสานเรื่องราวต่าวๆ เกี่ยวกับสุขภาพอนามัยหรือนัดให้ผมต้องไปโรงพยาบาล มักจะนำหนังสือสื่อสารให้กับผมโดยตรง แต่หลังจากที่อสม.ได้แบ่งหน้าที่กันใหม่และให้ผมต้องอยู่ในการดูแลประสานงาน กับสุทินโดยตรงจึงเกิดปัญหาขึ้น   

      “ทำไม ?? หมอนัดอาจารย์ขลุ่ย ให้มาตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีนแล้ว จึงไม่มาล่ะคะ” เจ้าหน้าที่พูด เมื่อเธอโทรศัพท์มาบอก

    “อ้าว ก็ไม่มี อสม. คนใดเลยมาแจ้งให้ทราบเลย นี่ครับ”ผมตอบ

    “งั้น..วันอังคารหน้า อาจารย์มาที่อนามัยเลยค่ะ วันนี้มีการนัดฉีดวัคซีนให้ชาวบ้าน” พยาบาลพูด

                                        **********************************

        ผมค่อนข้างอึดอัดใจกับสุทินลูกศิษย์ ที่เคยสร้างเขามากับมือ แต่มาวันนี้. หลายสิ่งหลายอย่างเขาเปลี่ยนไป เป็นคนละคนบุคลิกท่าดีทีเหลวเด่นชัดมากขึ้นๆ กอรปกับวันนี้เขามียศตำแหน่งเป็นถึงประธานสภา คนนับหน้าถือตาออกงานออกการสังคม แต่งชุดประดับยศเต็มบ่า ดังกิ้งก่าได้ทอง และ… ในวันหนึ่ง ผมได้พบกับท่านประธานสภาในงานศพของชาวบ้านในหมู่บ้าน เราทักทายกันเป็นปกติตามมารยาททางสังคม ทั้งยังพูดคุยแลกเปลี่ยนด้วยบรรยากาศที่ดี เหมือนทุกครั้งที่เคยเจอ 

                                                  จนช่วงหนึ่ง………….

    “ โทษทีนะ สุทิน อาจารย์ อยากถามหน่อยว่า ช่วงที่หมอนัดฉีดวัคซีน ทำไมสุทินไม่เอาหนังสือนัดหมายมาให้”

    “ให้แล้วนี่ครับ  ”สุทินตอบ

    “ให้แล้วทำไม อาจารย์ไม่เห็นเอกสารเลย  ถามแม่บ้านแล้ว เขาก็บอกไม่มีหนังสือมา” ผมพูด

    “ผมมาเรียก อาจารย์ที่บ้า่นแล้ว ไม่มีเสียงขานรับ ผมเลยสอดเอกสารใส่ไว้ในตู้จดหมาย” สุทินตอบ

    “เป็นเช่นนี้ นี่เอง…ก็รอพบกันตอนค่ำไม่ได้เหรอ ผมก็อยู่บ้านทุกวันแหละ ”

       เขานิ่ง ท่าทีดูจะโกรธ ที่ผมพูดออกไป ทั้งๆที่ก่อนหน้าคนนำหนังสือนัดมาให้ผม ไม่เคยมีปัญหาแม้แต่คนเดียว ครั้งนี้ดูเขาออกฤทธิ์โต้เถียง คำไม่ตกฟากแบบไม่เคยเป็นมาก่อน

    “งานผมยุ่ง มาหาก็ไม่เจอ ผมก็ไม่อยากจะติดตาม” สุทินพูด

    “คุณกินเงินเดือน อส.ม. หรือเปล่า” 

    “แล้วมันเกี่ยวอะไร ด้วยล่ะครับ”

    “คุณอาสา มาทำงาน ไม่มีใครบังคับนะ ถ้าไม่เต็มใจ ก็ลาออกไปสิ”

    “ผมไม่ลาออก ใครจะทำไม ”

    “ใช่สิ เดี๋ยวนี้ ใหญ่โตคับฟ้าแล้ว”

                                          *******************************

      นับวันผมกับเขา ดูจะเป็นขมิ้นกับปูน เจอกันครั้งใด ..หน้าเขาผมไม่อยากมอง สภาพความเป็นอยู่ของเขาดีขึ้นมา เพราะลูกสาวก็มีหน้าที่การงานแล้วเว้นแต่ลูกชายที่ยังคงหมกมุ่นกับยาเสพติด  แต่แล้วเช้าวันหนึ่ง เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าไปตรวจค้นที่บ้านเขาและสามารถพบยาเสพติดกว่า 20 เม็ด ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่เด็กเยาวชนจะสามารถมีไว้ในความครอบครองได้ ระหว่างการตรวจค้นเพิ่มเติมบุตรชายของเขาได้เดินมา บอกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

    “ของกลางทั้งหมด เป็นของผมเอง ครับ ” ศิริ  ยอมรับว่ายาเสพติดเป็นของเขาทั้งหมด

    สุทินยืนนิ่ง .งง …และตะลึงสักพัก…ศิริ  ส่งสายตาสื่อสารบอกพ่อ ในทำนองว่า พ่ออยู่เฉยๆ ทุกอย่างเป็นหน้าที่ของเขาเอง

     “ไปโรงพัก ครับ  ”เจ้าหน้าทีตำรวจบอก พ่อกับลูก

     รถตำรวจ.รับคนทั้งสอง ไปสอบสวนที่สถานีตำรวจ  หนึ่งชั่วโมงต่อมา..สุทินกลับมาบ้านเพียงผู้เดียว  ศิริบุตรชายต้องถูกกักขังในตารางบนโรงพัก ตำรวจทำสำนวนส่งอัยการฟ้องศาล บทสรุปคือศาลพิพากษาจำคุก 10 ปี  ศิริต้องอยู่ในเรือนจำ หลังจากอยู่ในเรือนจำได้สามปี จึงได้รับการผ่อนผันและลดโทษจนได้ออกจากเรือนจำ  

      “ผมจะบวช ให้บุตรชายผมครับ”  สุทิน นำการ์ดเชิญมาให้

      “ได้  ครับ ผมจะไปร่วมงาน ”

        ผมไปร่วมงานบวชของบุตรชายของสุทิน ท่ามกลางญาติมิตรไม่มากนัก  ณ .วันนี้  ศิริ ยังบวชอยู่ในวัดแห่งหนึ่ง ว่าไป  ..วันนี้สุทินเหมือนยกภูเขาออกจากอก ลูกชายที่เคยติดยามาอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์  ศิริได้ทำหน้าที่ของบุตรที่ยอมเสียสละเพื่อพ่อทั้งยังได้ทดแทนบุญคุณ ด้วยการบวชที่คาดว่าน่าจะอยู่ในวงการสงฆ์ตลอดไป  

       น่ายกย่องความกตัญญูของด็กคนนี้ เสียเหลือเกิน เสียงชื่นชมจากชาวบ้านที่กล้ารับผิด แทนพ่อของเขาได้ .

                                                    ขลุ่ย   บ้านข่อย  

                                                   (๙ มค  ๒๕๖๗ )

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×