ปลาเน่าตัวเดียว - ปลาเน่าตัวเดียว นิยาย ปลาเน่าตัวเดียว : Dek-D.com - Writer

    ปลาเน่าตัวเดียว

    การออกค่ายอาสาพัฒนาชนบท เป็นกิจกรรมด้านการบำเพ๊ญประโยชน์แก่สาธารณะ ผมเคยนำนักศึกษาไปออกค่ายฯ กว่าสิบครั้ง สิ่งที่กลัวที่สุด คือปัญหาการผิดศีลธรรมของสมาชิกชาวค่ายบางคน และสิ่งนั้ก็เกิดขึ้นจนได้

    ผู้เข้าชมรวม

    34

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    34

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  7 ม.ค. 67 / 08:54 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

                                                      ปลาเน่าตัวเดียว

             ส่วนใหญ่การออกค่ายอาสาพัฒนาชนบท ที่ผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา มักจะเน้นให้นักศึกษาออกค่ายในอำเภอต่างๆในจังหวัดลำปาง เช่น อ.เมือง  งาว  แม่ทะ  แม่เมาะ เสริมงาม ฯลฯ ครั้งที่ผมมาเป็นอาจารย์นันทนาการและชมรมทั้งยังควบตำแหน่งหัวหน้าแผนกสวัสดิการฯและเป็นที่ปรึกษาสโมสรนักศึกษา  ได้มีประธานชมรมอาสาฯและกรรมการชมรม มาขอคำแนะนำการจะไปออกค่ายอาสาพัฒนาข้ามเขตจังหวัด   

      “ผมและและสมาชิกชมรมส่วนใหญ่ มีความเห็นว่า  พวกเราอยากจะออกไปทำกิจกรรมค่ายอาสาพัฒนาที่อำเภอปาย แม่ฮ่องสอนครับ ”จีรพันธ์ (ประธานชมรม) พูด

        จีรพันธ์  เป็นประธานชมรมอาสาพัฒนาชนบทคนแรก ที่มีบุคลิกดีเอาจริงเอาจังกับหน้าที่การงาน ในเวลานั้น วัยของผมกับเขาห่างกันไม่มากนัก เป็นเพราะผมเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีมาได้ไม่ถึง 5 ปีและเพิ่งผ่านประสบการณ์ชาวค่ายอาสาพัฒนาชนบทมาได้ไม่นานนัก จึงเห็นพร้องและอยากสนับสนุนให้คนหนุ่มสาวที่เป็นเหมือนน้องๆ ได้มีประสบการณ์   ชีวิตเช่นเดียวกับผม

       “มันไม่ง่ายนะ จี .การเดินทางจากลำปางไปจังหวัดแม่ฮ่องสอน ต้องลำบากมาก รถลาของเราก็ไม่ค่อยมี เสบียงอาหาร วัสดุเกี่ยวกับการพัฒนาเราต้องมีความพร้อม สมาชิกของเราไปกันเกือบร้อยคน นี่คง.ต้องมีค่าใช้เงินหลายหมื่นบาทเลย”ผมพูด  ในฐานะผู้มีประสบการณ์จริงและประสบการณ์ตรงมาก่อน 

     “ผมวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วครับ เหรัญญิกได้เก็บเงินรายเดือนของสมาชิกไว้ล่วงหน้าเดือนละร้อย พวกเราเก็บเงินล่วงหน้าไว้ตั้งแต่ต้นปีก่อนผมจะออกค่ายกันช่วงปลายเดือนธันวาปีนี้หากเก็บต่อหัวจะได้คนละ700บาทครับ” จีรพันธ์พูด

      “เอางี้.. หากพวกเรามีความตั้งใจและมุ่งมั่นจะไปที่อำเภอปายจริง ยังไง..ผมจะช่วยประสานงานไปยังพัฒนาการจังหวัดให้ หน่วยงานของเขาจะได้ช่วยเหลือและสนับสนุนให้เราได้บ้าง ในบางเรื่อง  โอเค มั้ย ” ผมพูด

      “ดีครับ นอกจากผมเก็บเงิน เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ค่าเช่าเหมารถไป-กลับแล้ว  ส่วนหนึ่งก็ยังใช้เป็นค่าซื้อข้าวสาร เสบียงอาหารเพื่อทำครัวด้วย ”จีรพันธ์ พูด

     “เอาเป็นว่า ทั้งจีรพันธ์และกรรมการทุกคนที่เป็นแม่งาน มานัดวางแผนแบ่งหน้าที่กันทำงานที่ห้องทำงานของอาจารย์นะ  งานหลักๆตอนนี้ คืออยากให้ทุกคนต้องช่วยกันหาทุนเข้าชมรมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการทำกิจกรรม เงิน.ถือเป็นปัจจัยเรื่องใหญ่ที่จำเป็นอย่างยิ่ง ” ผมพูด

                                       ********************************

          ที่ห้องทำงานแผนกนันทนาการและชมรม ที่อาคารอำนวยการ ผมได้นัดประธานชมรมและคณะกรรมการฯ มาพูดคุยตกลงแบ่งงานกันทำ งานที่คุยกันหลักๆ คือการหาทุน (เงิน) โดยเน้นการหาสปอนเซอร์ ทำของที่ระลึกจำหน่าย เช่นทำส.ค.ส  พวงกุญแจ สติ๊กเกอร์และจัดฉายภาพยนตร์ ผมต้องให้สารบรรณของสถาบัน ทำหนังสือราชการไปยังหน่วยงานราชการ บริษัทห้างร้าน โดยได้ถือหนังสือไปเองและฝึกให้คณะกรรมการชมรม ได้ไปร่วมพูดคุยและฝึกทำไปด้วย ผลสรุปจากการทุ่มเทตลอดหลายเดือนก่อนการออกค่ายฯได้เงินมาจำนวนหนึ่ งซึ่งพอที่จะนำไปซื้อวัสดุในการทำกิจกรรมได้ 

                                  ปลายเดือนธันวาคม ..วันนัดหมายการออกค่ายฯมาถึง 

        สมาชิกเกือบร้อยคน มาพร้อมกันที่หน้าอาคารอำนวยการเพื่อเดินทางไปทำกิจกรรม.. โดยมีรถบัสจ้างเหมาสองคัน ขนสิ่งของและเสบียงต่างๆ ไปยังจังหวัดแดนไกล และนี่คือเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของชมรมค่ายอาสาของสถาบันแห่งนี้ 

       “เอ้าอาจารย์ขลุ่ย  ไม่ได้ไปกับพวกผมหรือ ” จีรพันธ์ พูด ขณะที่เขากำลังเดินกำกับและดูแลเพื่อนๆสมาชิกในชมรม และเห็นผมมายืนให้กำลังใจ

      “ขอโทษด้วยนะ จี  ผู้อำนวยการให้ผมเข้ากรมฯโดยด่วน พอดีมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการต้องไปชี้แจงเรื่องงบประ -มาณในการสร้างอาคารเรียนรวม ที่เราได้รับงบประมาณมา  หากผมไม่ไปแก้ไขแบบแปลนอาคาร เราอาจต้องชวดไม่ได้อาคารเรียนรวมเลย  ไม่ว่ากันนะ  .. ” ผมพูดอธิบายถึงข้อดี ว่ามันเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องไปกรม   

      “ครับ เข้าใจครับ ไม่เป็นไรครับ มีอาจารย์เก้ากับอาจารย์ประชันมาช่วย ทั้งสองท่านนี่ ก็โอเคครับ”  จีรพันธ์ พูด

      “อาจารย์สองคนนี้ ดีน่ะ ท่านเข้าใจพวกเรา  ไว้โอกาสหน้านะ ยังไงทำหน้าที่ของพวกเราให้ดีที่สุด เพื่อเป็นเครดิตให้รุ่นน้องๆต่อไป  ” ผมพูด

     “ครับ ผมจะไม่ให้ เสียชื่อเสียงแน่นอน  แหม .เสียดายมากเลยครับ ที่อาจารย์ไม่ได้ไปร่วมด้วย   ”

     “น่า .วันพระไม่ได้มีแค่ครั้งเดียว  ”

      เมื่อสมาชิกครบแล้ว รถบัส จึงเริ่มออกเดินทางสู่เมืองปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน การออกค่ายครั้งแรกที่แม่ฮ่องสอนับเป็นศึกหนักจริงๆ เพราะพวกเราต้องไปทำกิจกรรมในต่างจังหวัดที่ไกลหลายร้อยกิโลเมตร หลังจากออกค่ายอาสาครั้งที่ 1 ผ่านไป   ผู้บริหารจึงเสนอว่า  ควรงดให้นักศึกษาออกไปทำกิจกรรมภายนอกจังหวัด  นี่.จึงทำให้ผมค่อนข้างเบาใจขึ้นมาบ้าง  ใคร?? ไม่เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาและเป็นคนทุ่มเทในการสร้างเยาวชนจริงๆ คงคิดว่างานลักษณะแบบนี้ คงพอๆ กับการปอกกล้วยเข้าปาก ..

     สมัยที่ผมยังเรียนที่เกษตรเจ้าคุณทหาร ผมเองได้มีประสบการณ์การออกค่ายที่อำเภอเมืองสรวงร้อยเอ็ด กว่าครึ่งเดือน การออกค่ายอาสาฯครั้งนี้ ผมได้รับรู้สภาพความเป็นอยู่ทุกรูปแบบ  ความเป็นอยู่แบบนอนกลางดินกินกลางทรายนอนในป่าช้า โรงหมอลำศาลาวัด โรงเรียนอยู่กับสภาพอากาศที่ค่อนข้างหนาว พวกเราต้องเดินตะลอนๆเพื่อเข้าไปพัฒนา ทุกๆหมู่บ้าน  หมู่บ้านละสองถึงสามวัน บางครั้งต้องมีตำรวจตชด. คอยคุ้มกันระหว่างการเดินทางช่วงกลางคืน     การที่อาจารย์หมอธเนศ มองว่า..ผมคงช่วยงานท่านได้อาจารย์จึงดึงผมเข้ามาร่วมทำงาน  ผมจึงมิได้ทำให้ท่านผิดหวังเลยสักนิด 

                                                  ******************* 

        ผมนำนักศึกษาไปทำกิจกรรมอาสาพัฒนาชนบท นับครั้งไม่ถ้วน ปัญหาหลักๆคือ การไม่ได้รับความร่วมมือจากอาจารย์ด้วยกันที่ไม่ค่อยให้การสนับสนุนให้นักศึกษาไปเข้าร่วม ผมสันนิษฐานว่า ..ช่วงสมัยที่พวกเขาเรียนในมหาวิทยาลัย เขาคงไม่ได้สัมผัสกับกิจกรรมชมรม จึงไม่เห็นคุณค่าหรือให้ความสำคัญว่าการทำกิจกรรมนั้นจะช่วยเสริมสร้างคุณภาพ     ทรัพยากรมนุษย์  ครั้งนี้ …ผมกับประธานชมรมและคณะกรรมการได้นำสมาชิกชมรม 85 คน มาเข้าค่ายที่อำเภอแจ้ห่ม   4 คืน 5 วันการออกค่ายคงทุลักทุเลเหมือนครั้งก่อนๆ ตลอดเส้นทางไปโรงเรียนเป้าหมายเป็นทางขึ้นเขาที่ชันมากหลายๆ ครั้ง พวกเราต้องลงจากรถ เพื่อเดินขึ้นดอยกันเป็นช่วงๆ เมื่อมาถึงโรงเรียนบนดอยสูงแล้ว ทุกคนได้ช่วยกันขนเอาเสบียงวัสดุอุปกรณ์ลงเก็บในห้องเรียน ภูมิประเทศของหมู่บ้านแห่งนี้ ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ป่าและภูเขาล้อมรอบ  อาหารมื้อแรกที่มาถึงค่ำนี้ง่ายที่สุดคือทำต้มยำปลากระป๋องกับน้ำพริกกะปิกับลวกผัก ผู้นำหมู่บ้านคือพ่อหลวงชาวเย้าหรือเมี่ยนวัย 30  กว่าๆ ในขณะนั้น ได้มาให้การต้อนรับ หลังจากกินอาหารมื้อค่ำแล้ว ทุกคนได้อาบน้ำชำระร่างกาย และเมื่อถึงเวลาสองทุ่มพวกเราจึงนัดประชุมชี้แจง -ตกลงกติกาความเป็นอยู่ของชาวค่ายและมอบหมายหน้าที่การทำงาน จากนั้นจึงเข้าพักตามห้องเรียนที่ทางโรงเรียนจัดให้

                                              **************************************

             เสียงไก่บ้านและไก่ป่าแข่งกันขัน ปลุกพวกเราตั้งแต่ตีสามกว่าๆ อากาศค่อนข้างหนาว เพราะอยู่ในช่วงต้น ธันวาคม ผมตื่นขึ้นมาดูนาฬิกาแล้วงีบลงไปอีกครั้งสักครึ่งชั่วโมง   ยามเช้าของบรรยากาศภายในโรงเรียน ที่ติดกับดอย  ลมพัดแรงจนหนาว อากาศที่บริสุทธิ์ ดอกไม้ป่าได้ส่งกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ  สมาชิกแผนกอาหาร ตื่นกันมาเมื่อตอนตีสี่ครึ่ง เพื่อเตรียมหุงหาอาหาร ผมตื่นมาตั้งแต่ตีสี่แล้ว..ได้แวะไปช่วยดูแลและให้กำลังใจ  จากนั้นได้เดินสำรวจดูพื้นที่ในบริเวณ  ใกล้ๆโรงเรียน. หกโมงเช้าทุกคนได้ตื่นมาล้างหน้าแปรงฟัน บางคนอาบน้ำด้านหลังโรงเรียน ซึ่งเป็นลำธารมีน้ำไหลเอื่อยๆตลอดเวลา ใครใคร่อาบห้องน้ำที่บ้านพักครูก็อาบ  ใครอยากอาบแบบธรรมชาติก็ไปที่ริมลำธารหลังโรงเรียน วันแรกของการทำงาน งานสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมายที่กำหนดทุกอย่าง

        (คืนที่สอง)ช่วงทุ่มครึ่งเรามีกิจกรรมนันทนาการการแสดงรอบกองไฟ(แคมป์ไฟ) มีการแบ่งกลุ่มการแสดงเป็น 5  กลุ่มมีชาวบ้านเผ่าเย้ามาร่วมการแสดง1ชุด รวมเป็น 6 ชุด ชุดการแสดงของสมาชิกชาวค่ายก็ธรรมดาๆและแล้วเมื่อมาถึงชุดการแสดงของเจ้าบ้านชาวดอย ต้องบอกว่าทุกคนต่างรอชมการแสดงอย่างใจจดใจจ่อ .พิธีกรชาวค่ายได้ใช้โทรโข่งยกจ่อที่ปาก   

        “ต่อจากนี้ไปทุกคน  จะได้ชมการแสดงของน้องๆเยาวชน" 

        เสียงเพลงของชนเผ่า ที่เปิดจากเทปดังขึ้น  ชุดการแสดงระบำฟ้อน ของเยาวชนชาวดอย ก็ปรากฎขึ้น.  

      “..อุแม่เจ้า. ธิดาดอย นางนี้ สวยมาก.” .ผมรำพึง..ในใจ 

       เธอแต่งกาย ด้วยชุดประจำเผ่า ประกอบไปด้วยกางเกงขาก๊วย ซึ่งเต็มไปด้วยลายปัก เสื้อคลุมตัวยาว ไหมพรมอยู่รอบคอ ผ้าคาดเอวและผ้าโพกสวยไปทุกอย่าง. แม้กระทั่งลีลาการเต้นชุดพื้นเมือง หลังเสร็จจากการแสดงพ่อหลวงชวนผมไปที่บ้านพ่อของธิดาดอยสาวคนนั้น ผมมิลังเลที่จะไปเลยสักนิด  ผมได้ไปนั่งดื่มเหล้าข้าวโพดจนสองยาม พ่อหลวงได้มาส่งผมที่โรงเรียน  ผมต้องงดอาบน้ำ..เพราะดึกมากแล้ว. 

                                                  **********************

             ช่วงเย็นหลังเสร็จจากการทำงานนักศึกษา บางคนได้มาขออนุญาตผม ออกไปสำรวจพื้นที่ ผมได้ย้ำเตือนทุกคนว่าเรามาดี อย่าได้ทำอะไรให้เสื่อมเสียชื่อเสียง“ปลาเน่า ตัวเดียวย่อม เหม็นทั้งข้อง" สำหรับผม ส่วนใหญ่หลังเสร็จภารกิจของทุกวันก็จะไปนั่งดื่มเหล้าข้าวโพดที่บ้านผู้ใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากนัก การทำกิจกรรมชาวค่ายที่ผมเป็นที่ปรึกษา ผมมักปล่อยให้ทุกคนมีอิสระฝึกความเป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้นำ ทุกคนต้องมีวินัยและมีความรับผิดชอบ ก่อนที่ผมจะกลับเข้าไปในโรงเรียนก็แวบไปเรียนภาษาเย้ากับเจียว(ใบไผ่)วันละสองสามประโยค ที่บ้านของเธอมีพี่น้องเป็นผู้หญิง   ทั้งหมด เธอเป็นลูกคนกลาง กำลังเรียนที่วิทยาลัยแห่งหนึ่ง เช้าวันหนึ่ง ซึ่งเป็นวันเสาร์ ก่อนที่เราจะกลับสถาบัน  วันนั้น เธอได้เข้ามาช่วยงานที่โรงครัวกับพี่ๆชาวค่ายอาสา  ผมไม่นึกเหมือนกันว่าจะได้เจอเธอ เมื่ออาหารเสร็จในมื้อเช้าแผนกโรงครัวก็ตักแกงป่าใส่ชามสังกะสี ไข่เจียวใส่จานแบนสังกะสีและข้าวนึ่งร้อนๆใส่ในหวดข้าว ไปวางบนโต๊ะยาวของนักเรียน   ทุกคนรอสัญญาณระฆัง ..

                                         ครู่ต่อมา  .ระฆังก็ดังขึ้น  เก๊งๆๆ…..

        สมาชิกชาวค่ายอาสา ได้เดินไปล้างมือที่ก๊อกน้ำ เพื่อเตรียมเปิบข้าว ทุกคนเข้ากลุ่มล้อมวงบนโต๊ะอาหาร แผนกโรงครัวก็ได้ตั้งวงเพื่อกินอีกต่างหาก ทุกคนทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย โดยเฉพาะมื้อนี้ ได้เยาวชนสาวๆชาวเย้า มาช่วยเพิ่มรสชาติพิเศษให้  ผมเดินแวะทุกโต๊ะ ได้พูดคุยให้กำลังใจกับสมาชิกทุกๆคนอย่างไม่เลือกปฎิบัติ มือหนึ่งก็ล้วงเข้าไปในหวด ขยุ้มข้าวนึ่งปั้นพอดีคำจิ้มลงในจานไข่เจียวแล้วหยิบเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ ข้าวร้อนๆ ตามด้วยแกงป่าสุดอร่อย...วันนี้ เยาวชนสาวเย้าสิบกว่าคนอยู่กับพวกเราทั้งวัน ..ตั้งแต่เช้าจรดเย็น พ่อหลวงและครูในโรงเรียนได้ร่วมช่วยกันทำงานกันคนละไม้ละมือ    

         งานเลี้ยง ย่อมมีวันเลิกลา..แน่นอน .กิจกรรมชาวค่ายก็ต้องยุติลงด้วย เพราะงานได้สำเร็จตามเป้าหมายที่เราวางไว้  หนุ่มๆชาวค่ายที่ไปผูกสมัครรักสาวดอยหลายคู่ ใจหาย ทั้งๆที่กำลังปลูกรักอย่างทะนุถนอมและกำลังโตวันโตคืน พรุ่งนี้จำต้องพลัดพรากจากกันแล้ว แม้ผมจะไม่ได้ชอบ ไม่ได้รักธิดาดอยสาว (เจียว.)แบบชู้สา วเพราะวัยเราห่างกันเกือบ 20  ปี แต่..ก็อดใจหายไป ไม่แพ้สมาชิกชาวค่ายที่มีความรักกับสาวดอย  เขาเหล่านั้น..รักเมื่อพบแล้วพลัดพราก.. มันเป็นเรื่องทรมานใจไปไม่น้อย. 

                                      หลังจากนั้น ทุกคนได้เดินทางกลับมาเรียนตามปกติ

                                                      ******************************

         อรุณรุ่ง..ของเช้าวันหนึ่งหลังวันลอยกระทง แม่ค้าขายผักชื่อทองใบ ซึ่งต้องตื่นมาขายผักที่ตลาด กำลังจะนำรถพ่วงออกจากบ้านเพื่อไปขายผัก เธอค่อยๆขับรถออกมาบนถนนเส้นหลัก  ขณะรถกำลังชลอเพื่อเลี้ยวไปตลาด พลันได้ยินเสียงร้อง  ซึ่งทีแรกเธอเข้าใจว่าเป็นเสียงแมวร้อง  แต่…เมื่อพยายามตั้งใจฟัง จึงอดฉงนใจไม่ได้ …เพราะเธอเริ่มคุ้นกับเสียงร้องนี้

     "เอ๊ะ..  หรือนี่….คือเสียงเด็กร้อง.อยู่แถวๆนี้  เธอจอดรถพ่วงแล้ว เดินตามหาเสียง ครู่ต่อมาที่ใต้ต้นก้ามปู เยื้องร้านสะดวกซื้อที่พอจะมีไฟส่องสว่างให้เห็นบ้าง

     “นี่ใคร ?? เอาเด็กมาทิ้งไว้ ที่นี่  นี่คงคลอดมาได้ไม่นาน”แม่ค้าชื่อทองใบ. พูดคนเดียว เธอก้มลงเพื่อนำเด็กขึ้นจากพื้นดิน แล้วโอบอุ้มไว้ให้ได้รับความอบอุ่น ห้านาทีถัดมา .   ชาวบ้านบริเวณนั้นต่างๆค่อยๆมามุงดู และต่อมาเจ้าหน้าที่จากสำนัก งานพัฒนาสังคมฯได้เข้ามาดูแลเด็กและสืบหามารดาของทารก ผู้เคราะห์ร้าย

      เสียงร่ำลื่อ เล่าอ้าง.โจทจันถึงเรื่องดังกล่าวเซ็งแซ่ นักศึกษาในสถาบันที่ผมสอนหนังสือ ต่างคาดเดาว่าเด็กน้อยคนนี้..ต้องมีบิดาเป็นนักศึกษาที่ไปเข้าค่ายอาสาพัฒนาเมื่อปีที่ผ่านมาแน่ๆ

    “สงสัย ไอ้วิโรจน์แน่ๆ ไปทำสาวที่เป็นคู่รักท้อง แล้วไม่รับผิดชอบ  แฟนเขาจึงนำมาทิ้งประจานมัน”เพื่อนๆนักศึกษาพูดในทำนองเดียวกัน

     “ใช่ กูเห็นกับตาเลย ตอนที่สาวท่้อง .เธอได้แวะมาหาไอ้โรจน์ แต่ไอ้โรจน์ คงปฎิเสธไม่ยอมรับผิดชอบ” นศ.คนหนึ่งพูด

                                    ******************************************

      แน่นอนว่า ผมคงไม่ปล่อยให้เรื่องนี้เงียบ เป็นคลื่นกระทบฝั่ง..ผมรีบไปพบวิโรจน์และคุยกับเขาเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นทันที

    “ยอมรับ อย่างลูกผู้ชายนะ ถ้าโรจน์ ได้เสียกับเธอจริง”ผมพูด

    “ครับ..  ผมยอมรับ ที่ผมปฎิเสธและไล่เธอ .ทั้งยังไม่ยอมรับว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของผม เพราะผมกลัวพ่อกับแม่ผมด่าและอีกอย่างผมก็ยังไม่พร้อมจะเป็นพ่อคน”วิโรจน์พูด

    “ไม่ได้นะ  เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่  ก่อนทำอะไร  .ทำไม ไม่คิดนี่เธอคงรักนายจริง  เธอจึงยอมพลีกายให้  โรจน์ทำอย่างนี้ เสียชื่อทั้งสถาบันเลยนะ ตอนเข้าค่ายอาจารย์ก็เคยเตือนทุกคนแล้วว่า  อย่าทำอะไรให้เสื่อมเสียชื่อชาวค่าย ตั้งแต่อาจารย์ จัดพานักศึกษาออกค่ายมาเป็นสิบๆครั้ง  มีเรานี่แหละ ที่เป็นปลาเน่าเพียงตัวเดียว”ผมพูด

    “ผม ขอโทษครับ  ”

    “ไปทำพิธีขอขมาฝ่ายพ่อแม่ผู้หญิง ยอมรับผิด และยอมรับว่าตน เป็นพ่อของเด็กซะ ทุกอย่างคงคลี่คลายได้ ยังไง …อาจารย์จะไปด้วย ”

    “ผมขอโทษครับ"

    เงื่อนปมอารมณ์ของหนุ่มสาว.  ที่พลั้งเผลอจนเป็นความกำหนัด ทำให้เกิดบุตรโดยมิได้ตั้งใจ  วิโรจน์สร้างตราบาปกับเด็กสาวชาวดอยที่ไร้เดียงสา ทั้งยังเป็นปลาเน่า… ที่ทำให้ชมรมอาสาฯของสถาบัน ต้องเสื่อมเสียเพราะเขาเพียงคนเดียว.... 

            จะอย่างไร เมื่อ..เขายอมรับผิดและเป็นสุภาพบุรุษพอ เพื่อนๆในชมรม ก็พร้อมที่จะให้อภัย

                                                 ขลุ่ย  บ้านข่อย

                                               (๗ มกราคม  ๒๕๖๗)

     

     

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×