ไร้ซึ่งศักดิ์ศรี - ไร้ซึ่งศักดิ์ศรี นิยาย ไร้ซึ่งศักดิ์ศรี : Dek-D.com - Writer

    ไร้ซึ่งศักดิ์ศรี

    มีรุ่นพี่.ที่เรียนต่างคณะกับผมที่คุ้นเคย คนทั้งสองต่างเคยเป็นนักกิจกรรม และเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว ทั้งคู่ต่างมีความโดดเด่นกันคนละแบบ คนหนึ่งจบชีวิตลง อีกคนยังมีชีวิต แต่...เป็นชีวิตที่ไร้ศักดิ์ศรี

    ผู้เข้าชมรวม

    56

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    56

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  5 ม.ค. 67 / 11:44 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

                                                        ไร้ซึ่ง..ศักดิ์ศรี

      สิทธิ เรียนที่สถาบันการศึกษาแห่งเดียวกันกับผม แต่ต่างคณะกัน เขามีอายุแก่กว่าผมเพียงปีเดียว  เวลานั้นที่ หัวตะเข้ เขตลาดกระบังเพิ่งเริ่มตื่นตัวกับสถานศึกษาแห่งใหม่ ที่สังกัดทั้งของทบวงมหาวิทยาลัยและกระทรวงศึกษาธิการ  สาขาแรกที่เริ่มเข้ามาเปิดทำการสอนคือสาขาโทรคมนาคมจากนนทบุรี ต่อมาได้ถูกยกระดับเป็นคณะวิศวกรรมศาสตร์ สำหรับผมได้เข้ามาเรียนในสายวิชาชีพเกษตรกรรมและต่อมาได้ยกระดับเป็นคณะเทคโนโลยีการเกษตร ในสังกัดสถาบันเดียวกันช่วงที่สาขาโทรคมนาคมและเกษตรยังไมไ่ด้รวมเป็นสถาบันเดียวกัน  วิทยาลัยของทั้งสองแห่ง เกิดปัญหาความขัดแย้งกันบ้างประปรายเป็นเพราะศูนย์รวมการบ่มเพาะในทางจิตใจของพวกเรามีความแตกต่างกัน ฝ่ายหนึ่งเคารพนับถือพระวิษณุกรรม อีกฝ่ายหนึ่งนับถือพระพิรุณทรงนาค

        เวลานั้นนักศึกษาจากคณะวิศวกรรมจะเรียนในรั้วกันคนละฟากฝั่งกับกลุ่มของคณะนักศึกษาเกษตร เส้นแบ่งของสองคณะ จะมีถนนเป็นเส้นแบ่งโดยชัดเจน ทั้งสองคณะศึกษานี้ยังไม่ได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว คือเป็นสถาบันเทคโนโลยี   ……ลาดกระบัง นักศึกษาในสายวิชาชีพเกษตรเท่านั้น ที่จะมีหอพักรวมในวิทยาลัย ซึ่งต่างกับนักศึกษาสายช่าง (วิศวะ) จะพักโดยการเช่าหอพักของเอกชน  

         ความชัดแจ้งที่จะรวมสายอาชีพที่แตกต่างกันคือสายช่างก่อสร้าง  สายช่างกล-ช่างไฟฟ้า อิเล็กทรอนิคส์ และเกษตร มีท่าทีชัดเจนขึ้นในยุคอธิบดีกรมอาชีวศึกษากับอธิการบดีพระจอมเกล้า(ในยุคนั้น) มีแนวคิดที่จะควบรวมสามสายวิชาชีพ ไปรวมกับสายวิทยาศาสตร์อีกหนึ่งสาขาและในที่สุดทุกอย่างก็ลงตัว โดยสามารถควบรวมกันได้ แต่จะอย่างไรนักศึกษา ที่ มาจากต่างสายวิชาชีพที่ได้รับการปลูกฝังทางความคิดที่แตกต่าง เมื่อมาอยู๋ร่วมสังคมเดียวกัน ในระยะแรกจึงมีทิฐิ ในสายเลือด - สี และศักดิ์ศรีที่รุ่นพี่เคยปลูกฝังไว้

       บ่อยๆครั้ง ความขัดแย้งของนักศึกษาสายวิศวะฯกับสายวิชาชีพเกษตร จะเกิดขึ้นบ่อยๆ บนรถโดยสารรถไฟและรถเมล์จนอาจารย์ฝ่ายปกครองของทั้งสองสาขาวิชาชีพและเจ้้าหน้าที่ตำรวจเจ้าของพื้นที่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการดูแล ป้องปรามและปกครอง ผมเคยเจอเหตุการณ์กับตนเองหลายครั้ง ในยุคที่เพิ่งเข้ามาเรียนที่หัวตะเข้ใหม่ๆ     โดยเฉพาะช่วงเวลานั้นพวกเราอยู่ระหว่างการเป็นวัยรุ่น ยิ่งทุกคนเรียนต่างสาขาต่างคณะ ย่อมถูกปลูกฝังให้รักในศักดิ์ศรีของพรรคพวกของตนแม้คณาจารย์ อาจารย์ผู้หลักผู้ใหญ่ ฝ่ายบริหารได้พยายามที่จะละลายพฤติกรรมและจัดกิจกรรมให้ทุกคณะมีกิจกรรมด้านกีฬา ดนตรีสานสายสัมพันธ์กันแล้ว ผมยังจำได้ดีว่าในครั้งที่รองอธิการบดีฯที่ทำหน้าที่บังคับบัญชาของสถาบันฯได้จัด กิจกรรมวันไหว้ครูที่หอประชุมใหญ่  โดยนักศึกษาทุกคณะ ได้เข้ามาร่วมกิจกรรม นักศึกษาวิศวกรรมผู้เป็นเจ้าของพื้นที่ ต้องมีการคุมเข้ม ที่จะไม่ให้มีการกระทบกระทั่งระหว่างสองสาขาดังกล่าว สำหรับนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมและวิทยา ศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีปัญหากับสายเกษตรทั้งสามสายวิชาชีพนี้มักไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนใหญ่สายวิศวะมักจะข่มสาขาสถาปัตยกรรมเนืองๆ พวกเราจึงรู้สึกเห็นใจมากและหากปกป้องช่วยเหลือได้ก็จะเข้าช่วยเหลือโดยทันที

          ผมเริ่มคุ้นเคยกับรุ่นพี่ๆโดยเฉพาะพี่อิฐและเพื่อนในวัยเดียวกันที่เรียนสถาปัตยกรรม เวลานั้นพวกเขาได้มาเช่าหอพักร่วมกับรุ่นน้องที่เรียนสายเกษตร  สภาพความเป็นอยู่ของทุกคน ต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกันมีอะไรก็ช่วยเหลือกัน พี่อิฐ…..ในเวลานั้นนับเป็นขวัญใจของพวกเราชาวเกษตร จากการสัมผัสในตัวเขา ดูเป็นคนง่ายๆ ไม่ถือตัว มนุษยสัมพันธ์ดี  เขามักจะพูดกำเมือง(ภาษาถิ่นเชียงใหม่)บ่อยๆ 

       “ขลุ่ย.. ไปเที่ยวหอพักริมคลองในบ้านสวนสิ”พี่อิฐ   นักศึกษาชั้นปีสุดท้ายจากคณะสถาปัตย์ชักชวน   

        ผมพบพี่อิฐโดยบังเอิญ หลังจากเพิ่งเลิกเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ ขณะกำลังจะเดินทางกลับเข้าคณะเกษตซึ่งมีระยะทาง ประมาณ300 เมตร 

     “มีกิจกรรมอะไร ..พิเศษอะไร หรือครับพี่  ” ผมถาม

    “ทำอะไรกินกับน้องๆ เท่านั้น แหละ ”พี่อิฐ พูด

     “ให้ผมหิ้วกับแกล้มไปสมทบด้วยนะครับ..พี่”

     “ตามใจ พี่มีเหล้าแดงสองขวด พอดีไปช่วยออกแบบให้บริษัท เขาให้มาเป็นสินน้ำใจ” พี่อิฐพูด

        เหล้า(สุรา)แดงที่พี่อิฐพูดถึงในเวลานั้น มีสองยี่ห้อในเครือของสุราบางยี่ขันธ์คือตราแม่โขงกับกวางทอง ส่วนเหล้าแดงรุ่นหลังที่ผลิตออกมาเป็นคู่แข่งมีแสงโสมและเหล้ายี่ห้อตระกูลหงส์เช่นหงส์ทอง หงส์เงิน หงส์หยก 

                                                 ******************************

       หอพักบ้านสวนริมคลองประเวศ ห้องพักที่ปลูกสร้างด้วยไม้แบ่งเป็นห้องๆที่มีทั้งหมด10 ห้อง มีนักศึกษาสถาปัตย์ฯเข้าพักอยู่ร่วมกับนักศึกษาเกษตร พี่อิฐจะมีความอาวุโสกว่าใครทั้งหมด   นักศึกษาเกษตรที่พักในหอพักแห่งนี้ทั้งหมด เป็นคนจากจังหวัดสุพรรณบุรีมีบุญชัย สมชาย  ปรีชา  ดำรงค์  สายัณห์และทูล  ส่่วนมากกลุ่มคนจากจังหวัดเดียวกันมักจะมาจากโรงเรียนเก่าที่เคยร่วมเรียนด้วยกันมาก่อน  ดังนั้นกลุ่มนักศึกษาจากลพบุรี ราชบุรี สุพรรณ  เชียงใหม่ที่มีมาก จึงมักรวมตัวกันเช่าอยู่ด้วยกัน เพราะอย่างน้อยก็มีความเข้าใจในภาษา วัฒนธรรมของกันและกัน  

       กลุ่มที่พักที่บ้านสวนริมคลองประเวศ สามารถเดินทางมาเรียนที่คณะเกษตรได้สองทางคือพายเรือมาเองหรืออาจต้องเดินบนเส้นทางถนนทางหลักพระโขนง-หัวตะเข้  ส่วนใหญ่เด็กที่มาจากสุพรรณบุรีเป็นเด็กที่มีความประพฤติดี ตั้งใจเรียนและมีผลการเรียนดีมากยกเว้นสายัณห์ คนเดียวที่ขยันเรียนแต่มีผลการเรียนที่สุ่มเสี่ยงการถูกรีไทร์ 

     “พร้อมหน้าพร้อมตากันเลยพี่อิฐ ” ผมเป็นฝ่ายทักทาย ผู้อาวุโส ที่เรียนต่างคณะ

     “วันนี้ พี่เตรียมเล่นกีต้าร์ แล้วให้ขลุ่ยร้อง ”

     “ได้เลยครับพี่  ” 

      โดยปกติ ..นักศึกษาของสองคณะที่พักด้วยกันในหอแห่งนี้ จะทำกับข้าวและกินข้าวร่วมกันเหมือนพี่น้องที่เรียนในคณะเดียวกัน นานๆครั้งจึงจะมีการดื่มสุราเพื่อผ่อนคลาย และพูดคุยแลกเปลี่ยนการทำกิจกรรมร่วมกัน  วันนี้….คนหลักๆ ที่จะสร้างบรรยากาศคงมีผมกับพี่อิฐเท่านั้น  

      “พี่แต่งเพลงไว้หลายเพลง จะเตรียมไว้เล่น วันปัจฉิมนิเทศ. น่ะ ยังไง เรามาช่วยกันแก้ไขให้ดีขึ้นหน่อยนะ”พี่อิฐพูด พร้อมชวนผมให้มาร่วมเป็นคณะแก้ไขเนื้อเพลง ที่พี่อิฐประพันธ์ไว้

        ผมรู้จักกับพี่อิฐโดยบังเอิญ.เพียงพบครั้งแรก ก็เกิดความรู้สึกประทับใจ เขานั่งเก้าอี้ข้างๆกับผม และได้พยายามชวนผมคุยอาจเป็นเพราะนักศึกษาเกษตรเพิ่งเคยเข้ามาในห้องประชุมใหญ่ของสถาบันเป็นครั้งแรกจึงอาจจะยังไม่คุ้นชินกับสถานที่มากนัก 

    “น้องๆนั่งเก้าอี้ที่ว่างได้เลย” พี่อิฐ พูดทั้งยังช่วยดูแลพวกเรา

    “พี่คุ้นหน้าน้องดี เห็นที่ร้านค้าสถานีรถไฟหัวตะเข้บ่อยๆ ” พี่อิฐพูด

    “ครับ.. ผมชอบไปสั่งชาเย็นที่ร้านป๊ะกับมะ เพื่อนั่งอ่านหนังสือพิมพ์่ฆ่าเวลา ครับ”

     “นั่นสิ .พี่ก็ไปรอขึ้นรถไฟทุกๆ วันศุกร์ ”

        ผมคุยกับพี่อิฐที่ห้องประชุมกลางของสถาบัน  จึงเป็นที่มาให้เราเริ่มไปมาหาสู่ที่หอพัก เวลานั้นผมพักที่หอพักโก้ทเฮ้าท์การที่เพื่อนๆในบ้านเช่าทุกคนเป็นนักกิจกรรมตามถนัด  มีผมเพียงคนเดียวที่มาในทางแนวดนตรี การเขียนกลอน แม้อาจจะชอบกีฬามากแต่ก็เป็นกีฬาที่เพื่อนไม่ได้เล่นนั่นคือกรีฑา หลังจากวันที่พี่อิฐชวนไปหอพักที่บ้านสวนริมน้ำคลองประเวศ ครั้งแรกแล้ว ช่วงหลังเวลาว่างในระยะหลัง ผมจึงแวะไปนั่งแลกเปลี่ยนพูดคุยเรื่องเกี่ยวกับกิจกรรมที่เราจะร่วมทำระหว่างคณะสถาปัตยกรรมกับเกษตร

     “ทุกเย็นหากพี่ไม่ติดงานเขียนแบบส่งอาจารย์ พี่จะไปเล่นฟุตบอลที่สนามกีฬา ขลุ่ยจะไปเล่นก็ได้ เพื่อจะได้รู้จักเด็กคณะวิดวะ ”พี่อิฐพูด

    “ผมไม่มีรองเท้าสตั๊ด เวลาประทะ ..นี่  ผมต้องเจ็บตัวแน่”  ผมพูด

     “ไม่หรอก เราเล่นกันแบบสนุกๆ เป็นการออกกำลังกาย เชื่อมความเป็นเพื่อนร่วมสถาบันเดียวกัน”  พี่อิฐพูด

    “ก็ได้ครับพี่  ไว้ผมจะลองมาเล่นสักวัน”

    “ไปรอที่สนามได้เลย  ”พี่อิฐ

                                            ******************************

        17.00น.โดยประมาณ ที่สนามฟุตบอลกลางของสถาบัน..ซึ่งอยู่ระหว่างคณะสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม มีนักศึกษาที่ชอบกีฬาฟุตบอลมารอเล่นโดยการแบ่งทีมแบบคละกัน ไม่แบ่งแยกคณะ ใครมาก่อนก็ร่วมทีมลงเล่นทีมใดทำประตูอีกฝ่าย ได้จะยังคงเป็นตัวยืนเล่นต่อ ส่วนทีมที่ถูกยิงประตูได้ ต้องออกจากการเล่นไปก่อนเพื่อให้ทีมใหม่ที่รอลงเล่นได้ลง  การเล่นกีฬาทุกๆเย็น  ส่วนใหญ่ผู้เล่นจะเป็นคนที่รักการออกกำลังกายในกีฬาประเภทนี้ หลังจากผมได้ร่วมลงเล่นและร่วมทีมได้หนึ่งสัปดาห์ พี่อิฐ ได้แนะนำให้ผมได้รู้จักกับนักศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ 

      “นี่พี่สิทธิ เรียนคณะวิศวะ”  พี่อิฐแนะนำ 

           ผมยกมือไหว้ชายร่างผอม ที่ไว้ผมเป๋ปัดด้านขวา  ผิวดำแดง หน้าตายิ้มแย้มตลอดเวลา  บุคลิกที่เห็นคือเป็นคนนิ่ง สุขุม เป็นคนค่อนข้างจริงจัง เวลาเขาลงเล่นฟุตบอลดูจะทุ่มเท เพื่อตามเอาลูกบอลที่อยู่กับฝ่ายตรงข้ามมาเป็นของฝ่ายตนให้ได้  

     “ไอ้สิทธิ เป็นอุปนายกคนที่1 ของคณะวิศวะ พี่ทำงานร่วมกับมัน ”พี่อิฐ พูดแบบภาษาชาวบ้าน

     “ดูพี่คนนี้ เขาเป็นคนทุ่มเท ดีนะ  ”ผมพูด

    “มันเป็นคน พิษณุโลกน่ะ  ไอ้นี่ ..มีแววไปไกล เข้าได้กับทุกคน ไม่เว้นครูบา อาจารย์ต่างคณะ ”พี่อิฐพูด

    “ครับ .ผมก็ว่างั้น ดีครับ ที่ผมได้รู้จักกับพี่สิทธิ ได้รู้จักกันไว้ไม่ได้เสียหาย เผื่อผมมีอะไร จะได้ประสานการทำงานร่วมกันในอนาคต ”ผมพูด

      ส่วนใหญ่ ผมจะมีโอกาสได้คุยกับพี่สิทธิ เฉพาะช่วงที่เล่นฟุตบอลบ้าง ผมดูแกไม่ออกว่า  เป็นคนเช่นไร " ผมพูด

                                                           *********************

       ผมมาทราบภายหลังกับเพื่อนในรุ่น ที่เรียนเกษตรด้วยกันว่า พี่สิทธิ .เป็นนักฟุตบอลในทีมของสถาบันด้วย เขาลงเล่นในตำแหน่งปีกซ้าย  

      “พี่สิทธิ  แม่งจอมโว ดีแต่มาด .. ลงแข่งทีไร ไม่เคยยิงประตูได้เลยสักลูก อาจารย์เจษ  ไม่ให้ลงเล่นก็โวยวาย ” ไอ้ติ๊ก ตำแหน่งผู้รักษาประตูพูด

      “กูรู้จักกับแก แค่ผิวเผิน  พี่อิฐเป็นคนแนะนำให้รู้จัก  ”ผมพูดกับเพื่อน 

      “ไอ้พี่..คนนี้ กูดูแล้ว แม่งกะล่อน. ทำดีเอาหน้า อยู่กับโค้ช แม่งต้องทำเก่งทำรู้ทุกอย่าง …นี่อาจารย์เจษบอกกูว่า พี่สิทธิกลับมาจากบ้านทีไร ต้องมีของมาฝากทุกครั้ง นี่คงเป็นเพราะตัวแก กลัวอาจารย์เจษไม่จัดให้ลงเล่นเป็นตัวจริง”ไอ้ติ๊ก พูด

       ในเกมการแข่งขันฟุตบอลอุดมศึกษา ที่ผมและนักศึกษาของสถาบันฯได้ไปชมและเชียร์ ที่สนามศุภชลาศัย หลายนัดเห็นพี่สิทธิ ยืนเกาหัว เพราะไม่สามารถขึ้นไปทำประตูได้ดังราคาคุยที่พูดไว้ก่อนการแข่งขัน

       “ปัดโธ่  โว้ย  .ผ่านบอลมาให้กูบ้างสิวะ  ”พี่สิทธิบ่น  ในบางจังหวะที่ในทีมของสถาบันมีโอกาสเป็นฝ่ายรุกเพื่อทำประตูฝ่ายตรงข้าม

                                                       *******************

          พี่สิทธิกับพี่อิฐ เรียนจบในปีการศึกษาเดียวกัน แม้จะอยู่ต่างคณะกันแต่ทั้งคู่ก็สนิทสนมกัน ช่วงวันรับพระราชทานปริญญา ผมได้มีโอกาสไปแสดงความยินดีกับคนทั้งสองในช่วงเวลาสั้นๆ  การที่ผมกับรุ่นพี่ทั้งสองคน เคยทำกิจกรรมร่วมกัน ก็นับเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความผูกพันกันบ้าง พี่สิทธิ.. จบการศึกษาไปแล้ว ได้ไปทำงานที่องค์การรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง ส่วนพี่อิฐ ได้เปิดสำนักงานรับออกแบบทำบ้านและอื่นๆ แถวประตูน้ำ ทั้งยังรวมตัวกันตั้งวงดนตรีแนวสตริง ซึ่งนับว่าในช่วงนั้น วงดนตรีของวงพี่อิฐ กำลังมีชื่อเสียงและมีงานทัวร์คอนเสิรฺ์ตทั่วประเทศ   ผลงานเพลงที่พี่อิฐเคยประพันธ์ไว้และผมได้เคยร่วมรับฟัง ตั้งแต่สมัยที่อยู่หอพักในสวนริมคลองประเวศ ก็อยู่ในผลงานที่เพลงกำลังฮิต  

      “พี่อิฐ .เพลง เพลงนี้  ผมว่าหากมัโอกาสบันทึกแผ่นเสียง ผมว่าดังแน่”  ผมพูดกับพี่อิฐ ครั้งที่เคยนั่งดื่มสุราร่วมกันครั้งที่พี่อิฐ ชักชวนผมให้ไปหาที่หอพัก เป็นครั้งแรก

                                                    ************************ 

       พี่อิฐ วางมือจากการเขียนแบบ และมาเอาดีในการทำดนตรี ในช่วงที่ผมจบปริญญาตรีแล้วผลงานวงพี่อิฐ ดังทั้งประเทศเป็นที่ถูกใจของวัยรุ่น ในเวลานั้นทั่วประเทศ   ผมรู้สึกภูมิใจแทนพี่อิฐ เสียดายที่ผมกับเขาไม่ได้พบกันอีกเลย จนในที่สุดพี่อิฐก็ต้องเสียชีวิตเพราะป่วย  ส่วนพี่สิทธิ  ผู้ใฝ่ผันที่จะเอาดีทางการเมืองก็ได้ลาออกจากงานองค์การสื่อสาร ในกรุงเทพ เวลานั้นเขามีคู่ชีวิต ที่ทำงานด้วยกัน ทั้งคู่กลับมาใช้ชีวิตอิสระที่บ้านเกิด ด้วยการทำอาชีพเกษตรกรรมแบบสมัยใหม่ เป็นเพราะเขาได้แนวคิด สมัยที่เรียนที่สถาบันที่ลาดกระบัง ที่มีเพื่อนๆ ที่เรียนคณะเกษตรผ่องถ่ายแลกเปลี่ยนความรู้  เขาจึงได้นำมาประยุกต์กับวิชาชีพด้านวิศวกรรมที่ตนเรียนมา ผนวกกับแนวคิดทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง    

         5 ปีต่อมา งานฟาร์มของเขาจึงมีชื่อเสียง กอรปกับพี่สิทธิเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ ใจกว้าง  ใจถึง สร้างภาพเก่ง จึงไดรับการชักชวนจากนักการเมืองท้องถิ่นเข้าร่วมทีมเป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด แค่สมัยแรก เขาก็ได้รับการเลือกตั้ง จากนั้นจึงลงสมัครเป็นนายกฯอบจ.และก็ไม่พลาดที่จะชนะใจประชาชน  

        สมัยต่อมา .เขาจึงได้ลงสมัครเป็นสส.ของจังหวัด และไม่ว่า ..จะสมัยใด พี่สิทธิ ก็ไม่พลาดที่จะได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ..เป็นเพราะบุคลิกที่เข้าถึง  ติดดิน กล้าได้กล้าเสีย นักการเมืองในจังหวัดของเขาจึงไม่มีใครกล้าลงสมัครแข่งกับเขา เป็นเพราะลงสมัครก็จะเสียเงินไปเปล่าๆ  พี่สิทธิมีทั้งอำนาจและบารมี เนื่องจากบิดาของเขา เคยเป็นส.ส มาก่อน แล้วเช่นกัน  ผมเฝ่้าติดตามข่าว พี่สิทธิพร้อมกับพี่อิฐ ตลอดมา  คนหนึ่งเป็นศิลปินดัง.. อีกคนเป็นนักการเมืองมีอนาคตไกล  ก่อนพี่อิฐเสียชีวิต ผมมีโอกาสพบกับเขาที่ชมรมดนตรีของสถาบัน  เราพูดคุยเล่าเรื่องความหลังกัน อย่างมีความสุข แต่หลังจากนั้นมาอีกสองปีพี่อิฐก็ล้มป่วยและเสียชีวิตกระทันหัน

        พี่สิทธิ ได้เป็นรัฐมนตรีตั้งแต่อายุสามสิบปีเศษ เขาเปลี่ยนสังกัดพรรคการเมืองบ่อยมาก เวลานั้น ผมมาทำหนังสือพิมพ์ ในฐานะคอลัมนิสต์และเป็นบรรณาธิการข่าว  จำต้องติดตามข่าวการเมือง เพื่อเขียนวิเคราะห์เพื่อตีพิมพ์ แรกๆผมอดชื่นชมในความเป็นคนรุ่นใหม่ของพี่สิทธิไม่ได้เขาพูดน้อย..แต่ผลงานที่เป็นรูปธรรมของเขาค่อนข้างโดดเด่นมาก หนังสือ พิมพ์ ข่าวสารทางวิทยุ โทรทัศน์ มีข่าวคราวเกี่ยวกับพี่สิทธิไม่เว้นแต่ละวัน  รัฐบาลจะยุบสภา ทหารจะปฎิวัติ พี่สิทธิก็ไม่เคยหวั่นไหว เขาเป็นนกรู้ รู้ทิศทางการเมืองตลอดว่า จะวางตนอย่างไร ทีจะเอาตัวรอดให้ได้  ไม่เคยเลยแม้สักสมัยเดียว ที่พี่สิทธิจะตกขบวนการมีรายชื่อเพื่อเป็นรัฐมนตรี

     “กูผิดหวัง ไอ้รุ่นพี่ ..คนนี้  แม่งเหลือเกิน ไอ้เหี้….แม่งกะล่อน  รอแต่สอพลอ คนมีอำนาจ”  ไอ้ตื๊ก เพื่อนร่วมทีมฟุตบอลครั้งอดีต กับพี่สิทธิพูด

    “เสียชื่อว่ะ แรกๆ กูก็ชื่นชมหรอก ว่าพี่สิทธิ เป็นนักการเมืองน้ำดี เป็นคนรุ่นใหม่ที่จะช่วยพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า แต่ที่ไหนได้  แม่งก็ไม่วายน้ำเน่า รอจังหวะ แต่จะเป็นเสนาบดีของรัฐบาล ทุกรัฐบาลที่ได้เสียงข้างมาก ”ผมพูด

    “นี่ล่าสุด แม่งก็ได้เป็นรัฐมนตรีอีก มันช่างน่าอายเสียจริง กูว่า มันอย่างหนา หนากว่ากระเบื้อง ตราแรดเสียอีก” ไอ้ติ๊กพูด

    “ถ้ากูเป็นมัน กูอายเพื่อนๆตั้งแต่เรียนชั้นประถม มัธยม อุดมศึกษา ทั้งอายประชาชนทั้งจังหวัด ในความไร้ศักดิ์ศรีของตัวตนว่ะ ไอ้ติ๊ก”ผมพูด

    “กูว่า หน้าอย่างมัน คงไม่มียางอาย มันไม่มีศักดิ์ศรีหรอก ทุกวันนี้ มันชูคอ เดินอกผายไหล่ผึ่ง คนทั้งประเทศ ด่ามันกับการกระทำที่ทำให้ชาติบ้านเมืองไร้ขื่อแป ผมพูด

     “จริงอย่างมึงว่า  งานศิษย์เก่า .. แม่ง อย่าให้กูเจอนะ (สั..ด) ทำเสียชื่อสถาบันหมด  ไอ้…ฉิบหาย” ติ๊กพูดพร้อมสบถ

    “พอเถอะ พูดไปก็ไร้ประโยชน์ว่ะ  จบแค่นี้นะ..เพื่อน  กูวางสายละ ”  ผมพูด

                                                       ขลุ่ย  บ้านข่อย

                                                     (๕ มกราคม ๒๕๖๗)

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×