เสียดายอนาคต - เสียดายอนาคต นิยาย เสียดายอนาคต : Dek-D.com - Writer

    เสียดายอนาคต

    ชีวิตเราไม่มีอะไร แน่นอน ทั้งๆ ที่ตำแหน่งอยู่แค่เอื้อม แค่..ก็หมดสิทธิ์ หยิบมาครอยครอง

    ผู้เข้าชมรวม

    76

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    76

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  30 ต.ค. 66 / 06:34 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

                                                              เสียดาย อนาคต

             นับแต่จิตติจบการศึกษาไปสิบกว่าปี ผมไม่เคยได้ข่าวเขาอีกเลย ช่วงที่จิตติมาเรียนในสถานศึกษาแห่งนี้ เขาอยู่ในรุ่นที่ 14 อายุของเขาห่างจากผมไปประมาณ 7-8  ปี  หากจิตติยังมีชีวิตคงจะเกษียณอายุราชการในปีหน้า  สมัยที่ จิตติเรียนผลการเรียนของเขาอยู่ในเกณฑ์ดี จิตติเป็นคนหน้าตาดี สูงประมาณ 180 เซนติเมตร ผิวคล้ำ ขรึม สุภาพเรียบร้อยพูดน้อยเป็นคนมีน้ำใจ ช่วงที่ผมยังเป็นอาจารย์แผนกนันทนาการและชมรม ผมเห็นแววนักศึกษาหนุ่มคนนี้ยังคิดว่าหากปั้นเขาให้มีตำแหน่งกรรมการสโมสร นั่นหมายถึงผมได้สร้างเยาวชนที่มีคุณภาพของชาติได้อีกคนหนึ่ง   ในรุ่นของจิตติมีดาวรุ่งที่ผมมองไว้อยู่หลายคน คนแรกคือประหยัด คนที่สองคือ สวัสดิ์ คนที่สามคือศรีวรรณ คนที่สี่คือมานพ คนที่ห้าคือตัวของจิตติ   

       หลังจากที่สโมสรรุ่นของนายกฯสโมสรชื่อนายชัยธวัธได้ครบวาระลง ผมในฐานะอาจารย์ผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับกิจกรรมต่่างๆ ของนักศึกษา จึงประกาศเชิญชวนให้นักศึกษาที่ต้องการอาสามาทำงานเพื่อดูแลจัดการบริหารงานสโมสรนักศึกษา ได้กำหนดทิศทางการส่งเสริมกิจกรรมต่างๆในทุกๆด้าน  มีสองทีมที่สนใจที่จะอาสาลงแข่งขัน ทีมแรกคือ ทีมของนายประหยัด  ทีมที่สองคือทีมของนายสวสัดิ์  สถาบันได้เปิดโอกาสให้ตัวแทนทั้งสองทีมได้หาเสียง ในรูปแบบต่างๆ   ก่อนการเลือกตั้งหนึ่งวัน ผมได้ให้ผู้สมัครนายกสโมสรได้หาเสียงและโชว์ตัวที่บริเวณหน้าเสาธงของสถาบัน ทีมละ 20  นาที       

     ในการเลือกตั้งคณะกรรมการสโมสรฯครั้งนี้  พอจะคาดเดาความได้เปรียบเสียเปรียบของแต่ละทีมได้  ดูเหมือนคะแนนของทีมของนายประหยัดจะเหนือกว่าสวัสดิ์อยู่บ้างเป็นเพราะประหยัดเป็นคนที่ค่อนข้างติดดิน   มีมนุษยสัมพันธ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใสสร้างภาพเก่ง ส่วนสวัสดิ์เป็นคนขรึมพูดน้อย เรียนเก่ง ทำงานเก่ง แต่ค่อนข้างเก็บตัว   ขาดมนุษยสัมพันธ์   เมื่อวันเลือกตั้งมาถึง หลังจากหมดเวลาหย่อนบัตรเลือกตั้งและมีการนับคะแนน ผลปรากฎว่า ทีมของนายประหยัดชนะ ทีมนายสวัสดิ๋ไป 14 เสียง ทีมของนายประหยัดจึงได้รับสิทธิ์ในการบริหารงานสโมสรนักศึกษาในปีการศึกษานั้น  

     “ขอแสดงความยนดี กับนายกฯคนใหม่ด้วย ” ผมพูดกับ ว่าที่ผู้นำคนใหม่ของสถาบัน

    “ขอบคุณครับ อาจารย์  ทีมงานของผมพร้อมที่จะเข้ามาทำงาน  ก่อนอื่นต้องขอบคุณอาจารย์ที่กรุณาดำเนินกิจกรรมการเลือกตั้งอย่างโปร่งใส ยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย” ประหยัดพูด

    “ยังไง ..อาจารย์ขอรายชื่อคณะกรรมการทีมงานของเราด้วย จะได้ทำเรื่องแต่งตั้งประกาศให้ทุกคนในสถาบันทราบ อ้อ ..อาจารย์มีเรื่องที่จะคุยกับเรา และมีข้อเสนอแนะให้” ผมพูด

     “ยินดีครับ อาจารย์ ”

    “คืออาจารย์มองว่า ที่ผ่านมาพวกเราทั้งสองทีม อาจมีการกระทบกระทั่งในการหาเสียง มีการพูดจาเสียดสีกัน อาจารย์คิดว่าตอนนี้ เรื่องมันก็จบลงแล้ว ไม่ควรที่จะคิดอะไรอีก  แต่..อาจารย์รู้สึกเสียดาย ความสามารถของคณะทำงานอีกฝ่ายที่มีความรู้ ความสามารถ ” ผมพูด

    “แล้วยังไง ..หรือครับ ”

    “อาจารย์ จึงอยากให้ประหยัดเปิดใจ ที่จะแสดงน้ำใจที่จะดึงเพื่อนที่เคยเป็นคู่ต่อสู้มาเป็นมิตร  ร่วมมือร่วมใจในการทำงานและพัฒนาองค์กรให้เข้มแข็งขึ้นไง”

    “ผมไม่ขัดข้องหรอกครับ ยินดีที่จะให้สวัสดิ์มาร่วมทีมงานด้วย แต่ผมเกรงว่า เขาคงไม่มาแน่ๆ ” ประหยัดพูด

    “เรื่องนั้น เดี๋ยวอาจารย์ จะเป็นกาวใจในการเจรจาเอง  เอาเป็นว่าอีกวันสองวัน เรื่องคงเรียบร้อย อ้อ .อีกสามคนที่อาจารย์เห็นแววในการทำงาน และจะขอดึงมาร่วมในทีมงานของประหยัดด้วย ”

    “ใครครับ อาจารย์  ”ประหยัดถาม

    “ศรีวรรณ กับจิตติ และสมชาย ”ผมตอบ

    “อ้อ..ครับ จริงๆแล่้ว ผมก็ทราบฝีมือการทำงานของเพื่อนทั้งสามคนอยู่แล้ว ” ประหยัดพูด

    “นี่แหละ อาจารย์จึงรู้สึกเสียดายคนเก่ง คนดี ที่จะมาช่วยการทำงานสโมสร วันจันทร์หน้ารายชื่อคณะกรรมการสโมสรทั้งหมดจะถูกเสนอชื่อแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ " ผมพูด

    “ครับ อาจารย์”

                                           **********************

    รายชื่อคณะกรรมการฯ ที่ถูกประกาศออกมา คนแรกคือประหยัด เป็นนายกสโมสรฯ  สวัสดิ์ เป็นอุปนายกคนที่ 2 จิตติ เป็นประธานฝ่ายกิจกรรม  ศรีวรรณเป็นประธานฝ่ายนักศึกษาสัมพันธ์  และสมชายเป็นประธานส่งเสริมวัฒนธรรมแม้ประหยัดกับสวัสดิ์ จะมีแนวคิดที่แตกต่างกัน แต่ผมก็สามารถที่จะให้คนทั้งสองทำงานร่วมงานกันได้ด้วยดี   ในฐานะที่เป็นคนกลาง .หากจะประเมินผลงานและให้คะแนนแต่ละคน ผมคงให้คะแนนนายสวัสดิ์ สูงกว่าใครๆทั้งหมด รองลงมาคือศรีวรรณ สมชายและจิตติ ส่วนนายกฯประหยัด .ท่าดีทีเหลว เพระเขาเอาแต่สร้างภาพไปวันๆ หน้าที่การงานหน่อม แน๋ม    

     ปีนี้เป็นปีแรกที่ผมผลักดันงานส่งกระทงรถเข้าร่วมประกวด   ผมได้ทีมงานของสโมสรชุดนี้ช่วยเหลืออย่างเข้มแข็งและจริงจัง กว่าเดือนครึ่งที่พวกเราต้องอดตาหลับขับตานอน ไม่มีอาจารย์คนใดเลย มาให้กำลังใจและออกทุนสนับสนุนค่าใช้จ่ายค่าเครื่องดื่ม น้ำแข็ง ของขบเคี้ยวและผลไม้ ผมต้องควักค่าใช้จ่ายส่วนตัวไปไม่น้อย   

    “อาจารย์ขลุ่ย  ไม่ต้องซื้อของอะไร มาเลี้ยงพวกผมหรอกครับ พวกผมช่วยตนเองได้ครับ”สวัสดิ์ พูด

    “นิดๆ หน่อยๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ” ผมพูด

    “ใช่ครับ แต่นี่ทุกวันเลย มันเป็นเงินไม่น้อยนะครับ”สมชาย ช่วยพูดเสริม 

    "ไม่เป็นไร เงินของนอกกาย พรุ่่งนี้ก็ได้เงิน ฉฉ.จากสหกรณ์ครูแล้ว ไม่ต้องห่วง "

    “ฉฉ.คืออะไร  ครับ ”

    “เงินกู้ฉุกเฉินไง อาจารย์กู้มาใช้ทุกเดือนแหละ” 

     กระทงรถได้สำเร็จลุล่วง พร้อมที่จะเข้าร่วมงาน กับงานประเพณีของทางเทศบาลนคร  ผมกับนักศึกษาชุดทำงานชุดนี้ ได้นำขบวนรถ ออกจากสถาบันตั้งแต่ 9 นาฬิกาและไปรอตั้งขบวนทีี่ทางเทศบาลกำหนด เพื่อทำการทดสอบแสง สีเสียง   

    “ไปพวกเรา เดี๋ยวไปหาข้าวมื้อกลางวันกิน กินอะไรกันดีล่ะ ” ผมเอ่ยปาก  ขึ้น

    “ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวพวกผม จัดการช่วยเหลือตนเอง  ” จิตติพูด  

    ผมทราบดีว่า พวกเขาทุกคนรู้สึกเกรงใจ แต่ผมในฐานะผู้ดูแลเป็นแม่งานใหญ่ครั้งสำคัญ และเป็นครั้งแรกที่ สถาบันได้เข้ามามีส่วนร่วมจึงไม่ค่อยจะซีเรียดกับเรื่องดังกล่าว  

    “ไปกันเถอะ อาจารย์มีเบี้ยเลี้ยงที่สถาบันจ่ายให้  ”  

    “เห็นอาจารย์เทวราช เคยบอกว่า เบี้ยเลี้ยงที่ราชการจ่ายให้วันละ180 บาท แค่อาจารย์กินข้าวสามมื้อก็แแย่แล้ว ”

    “ไม่เป็นไร อาจารย์ขอแสดงน้ำใจ…น่า”

    “ไม่หรอกครับ พวกผมจ่ายกันเอง ”

    “งั้น อาจารย์ช่วยกองกลางให้ 100 นึง เผื่อพวกเราจะใช้ซื้อน้ำดื่มไว้กิน ” 

    กว่าจะถึงเวลาขบวนรถออกแห่  ผมนี่เหงื่อไหลจนท่วมตัวน้ำก็ไม่ได้อาบ แวะเข้าวัดที่อยู่บริเวณนั้น ล้างหน้าล้างตาให้กระชุ่มกระชวย เมื่อขบวนรถเคลื่อน ผมยังต้องมาคุมขบวนแห่จัดชุดการฟ้อนจากต้นทางมาปลายทางต้องแสดงถึง 10 ครั้งแม้จะเดินขี้นเดินล่องจนน่องแทบปูด แต่เมื่อได้ยินคำชมเชยตลอดเส้นทาง ก็รู้สึกปิติจนหายเหนื่อย งานำด้สำเร็จลุล่วงด้วยดี 

         …ไม่มีคำชมจากผู้อำนวยการหรือใครๆ  ทุกอย่างสงบเงียบ  ดังไม่มีอะไรเกิดขึ้น

       “อาจารย์ ไม่ต้องคิดอะไรหรอกครับ  ผมทราบดีว่าอาจารย์เป็นคนปิดทองหลังพระ มาตลอด ”สวัสดิ์ พูด   

                                    ******************************** 

      เสร็จงานแล้ว ผมได้นัดคณะทำงานมานั่งดื่มสังสรรค์กันอย่างเรียบง่าย  

    “ ปีหน้า ผมคงวางมือและคงเปิดโอกาสให้คนอื่น ได้ทำงานบ้าง  ”ผมพูด 

     “ครับ ผมเห็นด้วย ” จิตติพูดบ้าง

     ในวงสนทนามีผม  สมชาย  สวัสดิ์  จิตติ และ ศรีวรรณ ส่วนประหยัดนายกฯ สโมสรจอมสำอางค์ไม่ทราบไปติดลมอยู่ที่ไหนจึงไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงด้วย

    “เหนื่อยครับ แต่ก็ภูมิใจ ปีแรกเราส่งประกวด ก็ได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับ1 ทั้งๆ ที่พวกเราหวังจะเพียง แค่ประกาศให้คนในเมืองได้รู้จักสถาบันของเราเท่านั้น ” สมชายพูด

      “ได้ผลเกินคาดเลย สิ่งนี้มันย่อมเป็นเครดิตกับพวกเราทุกคน” ผมพูด

     บุคลิกของนักศึกษาพวกนี้ มีความใกล้เคียงกันมาก สวัสดิ์ กับสมชายเป็นคนไม่ดื่มสุราเลย ส่วนศรีวรรณกับจิตต แม้จะเป็นนิ่งแต่พอดื่มสุราก็กลายเป็นคนสนุกสนานร่าเริง สำหรับนักศึกษาทั้งสี่คนนี้ถือเป็นเด็กสร้างที่ผมพึงพอใจ  ทุกคน ทำกิจกรรมได้ดีเยี่ยม ความประพฤติดี ทั้งยังเรียนเก่งกันทุกคน  ผมมองว่าสวัสดิ์ควรต้องปรับตัวอีกบ้างเล็กน้อย นั่นคือ เรื่องการมีมนุษยสัมพันธ์กับเพื่อนๆ การที่เขามีหน้าตาที่แก่เกินวัย เป็นเสือยิ้มยากย่อมทำให้ขาดเสน่ห์ไป ยิ่งเขาไม่เข้าสังคมในกลุ่มเพื่อนๆน้องๆจึงเป็นข้อด้อยกว่าประหยัดอย่างมาก 

      “สวัสดิ์ ต้องฝึกการดื่มสุราสักนิดนะ อาจารย์ไม่ได้ยุให้เราต้องมาหมกมุ่นกับสุรายาดองหรอกนะ แต่อยากให้ฝึกเพื่อการสังคมบ้าง เพียงจิบๆตามมารยาทก็คงไม่มีใครว่าหรอก ”ผมพูด

     “ผมดื่มไม่ได้จริงๆครับอาจารย์  เคยลองดื่มเพียงแค่นิดเดียวแล้วมันแพ้  อาเจียนลากแตนลากแตน เลยเข็ด ” สวัสดิ์ พูด

      “ยังไง ถ้ามีโอกาส อาจารย์จะมาเทรนให้ .. เคมั้ย  ”

     “ครับ ”

      ต่อมา ผมจึงฝึกให้สวัสดิ์ได้ปรับตัวในการเข้าสังคม ท่ามกลางความแปลกใจของเพื่อนๆ ที่เขาสามารถจิบสุราได้บ้าง ส่วนศรีวรรณ กับจิตติไม่ต้องพูดถึงชั่วโมงบินของทั้งสองค่อนข้างช่ำชอง  จิตติดื่มแล้วเป็นคนนิ่งๆ พูดคุยบ้างตามโอกาส ส่วนศรีวรรณ ช่วงก่อนดื่มจะเป็นคนสุภาพเรียบร้อย แต่พอสุราเข้าปาก ดีกรีถึง เขาจะเป็นคนคุยสนุก ทะลึ่งตึงตังศรีวรรณ มีความสามารภในด้านพิธีกรรมทางศาสนา ทุกงานที่สถาบันมีการนิมนต์พระสงฆ์มาทำบุญตักบาตร เขาจะเป็นคนดำเนินการทางพิธีกรและพิธีการทางศาสนา   

                                                  **************************

      ผมได้วางรากฐานการจัดงานปัจฉิมนิเทศให้รุ่นของนายกฯชัยธวัธ กับนายกฯ ประหยัด ซึ่งได้เป็นต้นแบบให้รุ่นหลังๆ ได้ดำเนินการเรื่อยมาจนปัจจุบัน กรรมการที่ทำงานในสโมสรนักศึกษาในตำแหน่งต่างๆ ประธานชมรม ผู้มีความเสียสละเพื่อส่วนรวม ผมได้จัดทำใบประกาศเกียรติคุณให้ แม้ใบประกาศฯ จะไม่ได้มีมูลค่ามีราคา แต่ผมได้บอกกับนักศึกษาว่า

    “กระดาษใบนี้มันคือสิ่งที่จะเติือนความทรงจำและความรำลึกว่าครั้งหนึ่งที่เราอยู่ในสถาบัน เราได้ทำคุณประโยชน์  ขอพวกเราต้องเก็บรักษาเอาไว้ให้ดี ” ผมพูด   

                                          ****************************** 

      เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว ทั้งสี่คนคือประหยัด สวัสดิ์ ศรีวรรณ และสมชาย ได้สอบเข้าศึกษาต่อ จนจบปริญญาตรี มีเพียงจิตติ ที่สอบบรรจุเป็นครูสอนโรงเรียนในสังกัดการศึกษานอกโรงเรียนของจังหวัดเชียงราย  เขาได้ไต่เต้าการทำงานตั้งแต่เป็นครูผู้น้อยที่เดินเท้าสอนกับเด็กนักเรียน บนป่าเขาลำเนาไพร ชีวิตที่จริงจังเอางานเอาการ  มีความริเริ่ม  มีความรับผิดชอบ จึงได้หาโอกาสเรียนจนจบปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช   

    “อาจารย์ครับ ตอนนี้ผมสอนหนังสือที่กศน.ที่เชียงราย อาจารย์ผ่านมาทางนี้ โทรหาผมได้เลยนะครับ” จิตติ พูด  ขณะที่เขามาหาเพื่อนสนิทคือ มานพ   

    “บุคลิกดีขึ้นมาก ภูมิฐานขึ้นเยอะ ”ผมพูดกับศิษย์

     จิตติอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่มีมาดจนโอเวอร์ เหมือนลูกศิษย์บางคนที่สวมหัวโขน   

      “นี่ผม กำลังจะจบปริญญาโทแล้วครับ และกำลังทำเรื่องขอโอนย้ายมาอยู่กรมสามัญ  ” จิตติพูด

      “ดีแล้ว อนาคตของเรา ไม่ได้อยู่ที่ใครนอกจากตัวเราเอง รุ่นของจิตติ คงมีเราคนเดียวมั๋งที่มาสอน กศน ” ผมพูด

     “ครับ .ส่วนใหญ่เขาทำงานธ.กส  กฟฝ  กรมส่งเสริมการเกษตร  และบริษัทครับอาจารย์ ”

      ได้ข่าวเพื่อนๆ อยู่ที่ไหนกันบ้าง " ผมสอบถาม

      “ไอ้หวัด ทำงานแบงก์ควบกับงานพิเศษคือเป็นทนายความ  ไอ้หยัดเป็นนักธุรกิจเลี้ยงหมู ไอ้ศรีวรรณ เปิดห้องอาหารที่สันกำแพง ส่วนสมชายทำงานกรมการยางที่บางเขนครับ”

     “คงอีกสองเดือน ผมก็จะมาทำงานสังกัดกรมสามัญที่เถิน " จิตติบอกผม ก่อนจะขอตัวกลับ

                     ********************************************************

      . เวลาผ่านมาอีก 5 ปี จิตติ ได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการที่อ.งาว   ระยะหลังศฺิษย์เก่ารุ่นของเขามักจัดนัดพบ ปีนี้รุ่นของจิตติ ได้นัดพบปะกันที่จังหวัดเชียงใหม่ ก่อนงานเลี้ยงสองวันจิตติได้ โทรศัพท์นัดว่าจะมารับผมไปด้วย

      “สวัสดีครับ อาจารย์ ผมจิตติ  ครับ  ” 

      “จำได้ครับ มีธุระอะไรเหรอ ”ผมถาม

     “ไอ้ศรีวรรณ บอกให้ผมมารับอาจารย์ และแวะรับไอ้นพด้วย”

     “พรุ่งนี้ สักสามโมงเย็นนะครับ  ผมจะไปรับอาจารย์ที่บ้าน  ”

      “โอเค ” ผมตอบกับลูกศิษย์  

       ครั้นวันนัดหมายมาถึง จิตติได้ัขับรถเก๋งสภาพกลางเก่ากลางใหม่ คันใหญ่สีเทา มารับผมไปงานเลี้ยง  

      “อาจารย์ รอผมนาน มั้ยครับ ”

      “ไม่หรอก แป๊บเดียว ผมเตรียมเสื้อผ้าไว้สองชุด เผื่อค้างอีกคืน”  ผมพูด

      “ผมมีเสื้อผ้า ติดไว้หลังรถหลายชุดครับ นักบริหารต้องเดินทาง ต้องประชุม ต้องสังคมตลอดเวลา” จิตติพูด

     “จับพลัดจับผลู มายังไง เนี่ยะ”

      “นั่นสิครับ ผมก็ยังงงกับตัวเอง นี่ผมย้ายมาอยู่ที่อำเภองาวแล้ว ครับ”

      “อีกหน่อย คงขยับมาอำเภอเมือง ล่ะสิ”

      “ใช่ครับ”ผมพูด

      “ผมคิดว่า คงอีกไม่นาน ครับ  ”

      “ดีโว้ย ลูกศิษย์ของอาจารย์ได้ดิบได้ดี ก็ยินดีด้วย จิตติ ..นี่แหละเป็นหน้าเป็นตาให้เพื่อนร่วมรุ่นเลย”

     “คง ไม่ใช่หรอกครับ” 

        จากลำปางไปเชียงใหม่ ใช้เวลาเพียงเกือบสองชั่วโมง ก็ถึงปลายทางที่นัดเลี้ยงสังสรรค์ งานในคืนนั้นผมประทับใจที่ได้เห็นลูกศิษย์รักใคร่สามัคคีดังสมัยเรียน พวกเขาจัดงานมุฑิตาให้ผมอีกต่างหาก ผมต้องนอนค้างคืนที่บ้านศรีวรรณ กับจิตติ  

                                           ******************** 

      ยามเช้า.. เจ้าภาพได้ให้ภริยาไปซื้อโจ๊ก ชา กาแฟ ปาท่องโก๋ มาเลี้ยงเพื่อนๆ อย่างอิ่มหนำ จากนั้นทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน ผมกับจิตติขอบคุณศรีวรรณและภริยาของเขาพร้อมเดินทางกลับ

       “มึงซื้อรถใหม่เสียที เถอะวะ กูเห็นมาที่นี่ ทีไร  เครื่องยนต์ มีปัญหาทุกที” ศรีวรรณ บอกเพื่อนด้วยเจตนาดี  

       “เออ กูรู้ เมียสามลูกสี่ แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อวะ มึงออกเงินให้กูก่อนสิ  ผ่อนให้ทีหลัง เอาเปล่า” จิตติพูด  พร้อมกับก้มๆ เงยๆที่เครื่องยนต์รถของเขา ครั้นเมื่อซ่อมได้แล้ว เขาจึงเอ่ยปากบอกผมขึ้นรถ เราขอบคุณเจ้าบ้านอีกครั้ง  แล้วจึงขับรถออกจากเมืองเชียงใหม่ บรรยากาศบนท้องถนนรถค่อนข้างว่าง ขณะนั่งรถออกมาได้50 กิโลเมตรเครื่องยนต์ก็ติดๆดับๆ  

      “นี่แค่ทางราบรถยังเกิดเหตุขัดข้อง แล้วขึ้นบนดอยขุนตาน จะรอด รึ” ผมคิดในใจ

     “ขอจอดเช็ครถอีกครั้งนะครับ อาจารย์  ” จิตติพูด

     “เอาเลย  ดีเหมือนกัน อาจารย์หวั่นใจว่า จะขึ้นขุนตานไหวหรือเปล่า”

     “ไหว สืครับ ผมมาเชียงใหม่กับรถคันนี้บ่อยๆ”

     “อาจารย์  เห็นด้วยกับที่ไอ้ศีวรรณ มันแนะนำ ว่ะ จิตติ ” ผมพูด

     “ตั้งใจ จะเปลี่ยนอยู่ครับ  ผมคนเมียเยอะ ภาระมาก ”

      “ไม่มีปัญหา ครอบครัว หรือ ”

     “ระดับผู้บริหารแล้ว ครับ  ไม่มีปัญหาแน่นอน เว้นทีเผลอเรอบ้าง” จิตติพูด พร้อมหัวเราะตัวเองอย่างมีความสุข

     “เรียบร้อยครับ ทีนี้ ผมเปลี่ยนระบบใช้แก๊ส เป็นเบนซินแทน คราวนี้ วิ่งฉฺิวแน่”

     “ดี . บอกตรงๆ ว่ะ ติ  อาจารย์นัั่งรถคันนี้ของนาย หวั่นๆเสียวๆ กลัวจะไม่ถึงบ้านว่ะ”

    “โถ่ ใครจะเอาอาจารย์มาตาย ล่ะครับ” จิตติ พูดหยอกล้อ ผมอย่างเป็นกันเอง

    หลังจากเปลี่ยนระบบน้ำมัน ทุกอย่างก็ราบรื่นโดยไม่มีปัญหาอีก เขาส่งผมเข้าบ้านแล้วร่ำลา ผมอวยพรให้ชีวิตราชการก้าวหน้าและ ยังเตือนถึงเรื่องการพักผ่อนและเรื่องการดื่มสุรา 

     “เบาๆ สักนิดไอ้น้องรัก สภาพรถมันเก่า ขับรถขับลา อย่าประมาท ชีวิตยังอีกยาวไกลนะ” ผมพูด   จิตติยกมือไหว้..รถของเขาเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ ผมมองศิษย์ ด้วยความห่วงใย

      “ว่าไปไอ้ลูกศิษย์ ของเราคนนี้ มันเสมอต้นเสมอปลายดีนะ อนาคตยังอีกยาวไกล" ผมยืนคิด 

                                            ********************** *

                                           สามเดือน ต่อมา…………..

      “ฮัลโหล .ผมไอ้นพ  ครับ”

    “มีธุระ อะไร ”

    “ไอ้ติ ตายแล้ว ”

    “อ้าวเฮ้ย  เป็นไร ”

    “ขับรถชนต้นไม้ ในหมู่บ้าน ที่อำเภอเถิน ” มานพพูด

    “โถ่ เอ้ย ..เพื่งเจอกันไม่กี่เดือนที่แล้ว ยังคุยกัน กินด้วยกัน นอนห้องเดียวกัน ไม่น่าเลย ไอ้ติ ”

    “ศพตั้งบำเพ็ญกุศล ที่ห้างฉัตร  ครับ ”

     “วัดอะไร เดี๋ยวผมเอามอเตอร์ไซด์ไปเอง”ผมพูด

      "วัดฉัตรเหนือ ครับ “

    “เค แล้วค่อยพบกัน”

                                         *******************

      ผมขับรถมอเตอร์ไซด์ จากบ้านไปวัดฉัตรเหนือ ประมาณ 40 กม.. เมื่อไปถึงวัด ได้เห็นแขกผู้มีเกียรติ มาร่วมงานในวัดกว่าสาม- สี่ร้อยคนเป็นเรื่องที่บอกว่าไม่เคยพบเห็นมาก่อน หรีดที่วางรอบบริเวณมีเป็นร้อยๆหรีด   จากที่เคยไปงานศพ คนมีตำแหน่งนักการเมือง นักหนังสือพิมพ์ ยังมีแขกน้อยกว่างานศพของจิตติเสียอีก   ผมเอารถจอดไว้ใต้ร่มไม้ แล้วเดินไปนั่งในสถานที่ประกอบพิธี มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และเพื่อนๆข้าราชการในสังกัดกรมสามัญ และกศน. ที่จิตติ เคยทำงานอยู่ในชุดข้าราชการสีขาวเป็นร้อยๆคน เพื่อนร่วมรุ่นในสถาบัน  ลูกศิษย์ลูกหาของเขา ชาวบ้าน  ผมประเมินจากสายตาน่าจะถึง ห้าร้อยคนได้ ก่อนจะฌาปนกิจศพของเขา วงดุริยางค์ของโรงเรียน ได้จัดการแห่ศพรอบ ฌาปนสถาน พิธีกร ในงานอ่านประวัติและคุณงามความดีของรองผู้อำนวยการจิตติ  ผมกับเพื่อนร่วมรุ่นของเขา นั่งฟังอย่างตั้งใจ

      “ดีใจและภูมิใจแทนมัน ครับ” มานพ เพื่อนสนิทของ จิตติพูด

     “ใช่ คิดเหมือนกัน เพียงอีกไม่นาน เขาก็จะได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการแล้ว “ผมพูด

      “บุญมี แต่กรรม บังครับ”มานพพูด

      “ทั้งๆที่อาจารย์เคยเตือน ไอ้ติแล้ว นะ   ช่วงหลังเขาแวะมาหา อาจารย์บ่อย ทั้งยังบอกว่าจะชวนไอ้นพไปร่วมงานกินเลี้ยง” ผมพูด

      “ใช่ครับ มันมาในเมืองทีไร ก็โทรมาหาผม ทั้งยังบอกว่ามันจะมากินเหล้าที่บ้านอาจารย์ ขลุ่ยด้วย” มานพ พูด

      “สงสารเมียและลูก เขานะ วันนี้ ความลับได้ถูกเปิดเผยแล้ว  เมียคนที่สามที่สี่ มากันครบถ้วน “ ผมพูด

      “ไอ้เพื่อนผมคนนี้ เห็นมันเงียบๆ แต่เจ้าชู้น่าดู “

     “มันมีบุญเท่านี้ แหละ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ว่าไปแล้วอาจารย์ เสียดายอนาคตของไอ้ติ มันนะ “

     “ใช่ครับ นี่มันยังบอกกับผมว่าปีหน้า มันจะรับเป็นแม่งานจัดเลี้ยงรุ่น ที่ลำปางด้วย น่ะ” มานพพูด

             คำพูดกับเพื่อนรักของเขา…ที่อยากจะจัดงานเลี้ยงให้เพื่อน  ก็ต้องล้มเลิกไป  

                    เสียดาย  ลูกศิษย์ที่มีคุณภาพ ที่จากไป  …เสียดายอนาคตของเขา..ที่อยู่แค่เอื้อม 

                                                    ขลุ่ย        บ้านข่อย

                                                  (๓๐ ตุลาคม  ๒๕๖๖)

                                    

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×