พระกลัวผี
ผู้เข้าชมรวม
55
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
พระกลัวผี
เมื่อช่วงที่ผมยังเป็นเด็ก.แม้จะไม่เคยเห็นผีเลยสักครั้งเดียวแต่ก็เคยจินตนาการเห็นว่าผีนั้น มีรูปลักษณ์ที่น่ากลัว บ่อยๆ ครั้งที่ไปบ้านแป๊ะโค้วหลังจากเจ๊หมวยป้อนข้าวให้ไอ้เฮี้ยงรวมทั้งเด็กที่เป็นเพื่อนบ้านกินอิ่ม เจ๊หมวยมักจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับผีให้พวกเด็กๆฟัง พวกเราต่างตั้งใจฟังเรื่องราวที่เจ๊หมวยเล่าจนจบบางครั้งเจ๊หมวยจะพูดถึงผีประเภทต่างๆตั้งแต่ผีตานี ผีกองกอย ผีดิบ ผีตายโหง ผีตายทั้งกลม ฯลฯ
“พวกเด็กๆระวังให้ดี. ใครนั่งอยู่ตรงร่องไม้กระดาน ระวังผีเอื้อมมือมาดึงขานะ" เจ๊หมวย พูดหยอกล้อเล่นกับเด็กๆ เด็กๆที่นั่งฟังต่างต้องนั่งหดขาไม่ให้ร่างกายของตนอยู่บนรูกระดานเพราะกลัวผีจะใช้มือดึงขา ยิ่งตอนที่จะกลับเข้าบ้าน.. ผมกับไอ้เล็กซึ่งมีบ้านติดกันต้องรีบวิ่งแจ้นเข้าบ้านใครบ้านมัน จนแม่ของผมกับป้าเช็งต้องถามไปว่าไปวิ่งหนีใครมา
“นี่วิ่ง จนบ้านกระเทือนเลยไปทำอะไรมา น่ะ ” แม่พูด ภาษาชาวบ้าน
“กลัวผี น่ะแม่..เจ๊หมวยเล่าเรื่องผีตานีให้ฟัง ” ผมพูด
การได้รับฟังเรื่องราวของผีตานี มาเมื่อกี้นี้ ทำให้ผมนึกหวั่นๆใจว่าเดี๋ยวอีกสักครู่ หากผมถูกแม่ไล่ให้ไปอาบน้ำชำระร่างกายตรงบริเวณโอ่งน้ำท้ายบ้าน นี่แหละที่ผมคงได้ประจันหน้ากับนางผีตานีแบบจะแจ้งแน่ๆ ที่ท้ายบ้านสุดของบ้านของผมมีต้นจามจุรีต้นใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปลกคลุมกินเนื้อที่ไปยังบ้านข้างเคียง ใกล้ๆกับต้นจามจุรีแม่ยังปลูก ต้นกล้วยไว้หลายพันธุ์ไว้กินดอกกินผล เมื่อก่อนที่ลานหลังบ้านของทุกหลังคาเรือนเป็นที่โล่งกว้างสามารถวิ่งเล่นและเดินไปมาหาสู่ กันได้สะดวก หลังบ้านไอ้เล็กมีป่าสะแกรวมทั้งต้นกล้วยที่ป้าเช็งขอแม่ของผมเอาไปปลูกเพื่อเอาใบตองมาห่อทำข้าวต้มมัด ขนมเข่งและ ขนมเทียน บ่อยครั้งที่ป้าเช็งไปเล่นไพ่นกกระจอกกับเพื่อนๆแล้วเข้าบ้านไม่ได้ เพราะอาแปะหรือพี่ตี๋ พี่ชายของไอ้เล็กปิดประตู ป้าเช็งจะขออาศัยที่บ้านของผมเป็นทางผ่าน โดยป้าเช็งจะค่อยๆ เดินลัดเลาะต้นกล้วยเดินไปที่บ้านของแกเอง
“ทำไม ไม่ไปอาบน้ำ เสียที เห็นตั้งท่าจะไป ” แม่พูด
“กลัว.น่ะแม่ ” ผมพูด
“กลัวอะไร ”แม่พูด
“ผี ตานี ” ผมพูด
“โลกนี้ ไม่มีผีหรอก ” แม่พูด
“จะไป.หริอไม่ไป จะกลัวผีหรือกลัวไม้ขัดหม้อ” แม่ถาม
“กลัวผี ”ผมตอบโดยไม่ต้องคิด
“ผัวะ ” แม่เอาไม้ขัดหม้อข้าว หวดไปที่แขนไปหนึ่งที จนต้องสะดุ้งโหยง
“ไป..ก็ได้ ” ผมตอบ
แม่ยืนถือไม้ขัดหม้อข้าวคุมเชิงและขู่ให้ผมต้องเดินไปยังโอ่งน้ำพร้อมยืนกำกับ ผมจึงรีบเอาขันน้ำตักรดที่ตัวซู่ๆๆแล้ววิ่งเผ่นไปหยิบผ้าเช็ดตัว จากนั้นจึงนุ่งเสื้อผ้า
****************************
สิ่งที่สะสมความกลัวผีของผมกับเพื่อนๆในวัยเดียวกัน มีอยู่หลายครั้ง ..ที่ผมกับไอ้เล็ก ไอ้โด๊ด ไอ้แกละ หนีแม่ไปเล่นน้ำที่ผาแดงซึ่งเป็นหน้าผาขนาดใหญ่ที่เด็กๆในเมืองอรัญฯมักจะไปเล่นน้ำห้วยและอีกจุดหนึ่งที่เด็กๆส่วนน้อยจะทราบคือหน้าผาหลังที่พักของแม่ชีซึ่งอยู่ใกล้ป่าช้าของวัดหลวง ขณะที่ผมเดินกลับบ้านกับเพื่อนๆช่วงเวลาโพล้เพล้ที่ต้องผ่านที่เผาศพคนตายแบบกลางแจ้ง ลุงวาฬสัปเหร่อประจำวัดหลวง กำลังจัดเรียงฟืนและตั้งศพให้คนตายนอนบนตะแกงเหล็ก จากนั้นจึงใช้ยางรถสุมกับกองฟืน เมื่อพวกเราเดินผ่านมาพอดีกับที่ลุงวาฬ เริ่มจุดคบเพลิงจ่อลงในเชื้อไฟ พร้อมเทน้ำมันก๊าดเพื่อเติมให้เพลิงลุกไหม้มากยิ่งขึ้น
“เฮ้ย.. ลุงวาฬ กำลังเผาศพพอดีเลย พวกเรา ” ไอ้โด๊ด พูด
“เข้าไปยืนดูใกล้ๆกันมั้ย ” ไอ้เล็กพูด
ลุงวาฬ เป็นพ่อเลี้ยงของไอ้เล็ก ผมคุ้นเคยกับลุงดี เพราะช่วงวัยก่อนที่ผมจะเข้าโรงเรียนลุงวาฬ จะมารับไอ้เล็กกับผมไปดูแลเลี้ยงดูที่บ้านของแก ข้างโรงไฟฟ้า
“เฮ้ย. มึงดูศพ ที่เผาบนเชิงตะกอนสิ ”ไอ้โด๊ดพูด
พวกเราที่กำลังยืนดูการเผาศพต้องระทึกขวัญ เพราะศพที่กำลังเผาอยู่นั้น ได้ผุดลุกแบบคนมีชีวิต นี่เป็นเพราะเส้นเอ็นที่ยึดรอยต่อของกระดูกซึ่งเกิดเหนี่ยวรั้งโดยธรรมชาติ กองเพลิงได้ลุกโชติช่วงสีส้มเหลืองเข้ม ทั้งควันไฟปลิวลอยละล่อง กลิ่นเหมฺ็นคาวของศพเริ่มรุนแรง ทำให้ทุกคนต้องเอามือปิดจมูก ผมสามารถคาดเดาว่าคนที่กำลังทำการคุมเพลิงเผาศพต้องร้อนมาก ลุงวาฬใช้ไม้เขี่ยฟืนไป เขี่ยศพไปพร้อมปาดเหงื่อเป็นระยะๆ
“นั่นพ่อกู เอาไม่เขี่ย ให้นั่งลงแล้ว ว่ะ” ไอ้เล็กพูด
ลุงวาฬ เป็นสัปเหร่อที่ทำทั้งอาชีพรับจ้างซ่อมแซมบ้าน รับจ้างทั่วไป บุรุษผิวเข้ม ผมพยักศก หน้าตาคลายคนปักษ์ใต้ เป็นคนเก่าแก่และเกิดที่เมืองอรัญฯ ลุงวาฬเป็นคนขยัน และมีน้ำใจซึ่งชาวบ้านรักใคร่ หากไม่มีลุงวาฬทำหน้าที่สัปเหร่อ การเผาศพก็คงต้องตกเป็นหน้าที่ของพระหรือญาติๆของผู้ล่วงลับ พวกเรายืนดูกันอีกครู่ จึงพากันเดินกลับบ้าน เมื่อผมมาถึงบ้านแล้วก็แก้เคล็ดด้วยการเอาน้ำมาล้างหน้า ตามคำบอกเล่าของผู้ใหญ่ นี่คือภาพที่ผมติดตาที่ยากจะลืมจนวันนี้..
***********************************
ช่วงไอ้เล็กลูกเลี้ยงของลุงวาฬเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถคว่ำ ลุงวาฬได้ทำหน้าที่ดูแลจัดการศพไอ้เล็ก ด้วยการเก็บศพ เพื่อรอครบร้อยวัน ก่อนที่จะฌาปนกิจศพ (อ่านเรื่องผีไอ้เล็กประกอบ) ผมยังทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยลุงวาฬในเขียนชื่อ ตรงแผ่นปูนปิดโลงศพของไอ้เล็ก ในวันดังกล่าวขณะลุงวาฬเผลองีบ ยังถูกไอ้เล็กมาเย้าหยอกกันตามประสาพ่อลูก ที่สำคัญคือผมต้องอยู่กับศพไอ้เล็กแบบใกล้ชิดที่สุด
“กูมาช่วยเขียนป้าย มาแต่งสถานที่ให้สวยงาม อย่ามาหลอกกูนะเพื่อน ” ผมพูดบอกเพื่อนไป
ความเงียบในป่าช้า.. ที่ีมีเพียงผมกับลุงวาฬเท่านั้น สำหรับลุงวาฬ เคยชินกับเรื่องภูติผีปีศาจ ทั้งมีวิชาป้องกันตนที่เรียนรู้จากครูบาอาจารย์ หลังจากวันนั้นแล้ว ผมก็มิได้ข้องเกี่ยวกับงานศพอีกเลย เพราะมาเรียนอยู่ที่กรุงเทพ ความห่างจากไอ้เล็กก็เป็นไปตามกาลเวลา และทุกครั้งที่มาบ้านก็อดใจหายที่่เพื่อนรักที่เคยสนิทกันได้จากไปก่อนวัยอันควร เรื่องราวเกี่ยวกับความน่ากลัวเกี่ยวกับเรื่องผีๆ ของเมืองอรัญที่คนในเขตเทศบาลกลัวที่สุดก็คือเหตุการณ์ของผียายใหม่และผียายห่วง ที่มีข่าวเรื่องการหลอกชาวบ้านในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่จำแลงร่าง หลอกคนขี่สามล้อให้ไปส่งที่วัด ครั้นเมื่อถึงวัดกลับไม่มีร่างหญิงที่นั่งรถมาด้วย เล่นเอาสามล้อตาลีตาเหลือก เพราะรู้ตัวว่า โดนผีหลอกเสียแล้ว กว่าการเกรงกลัวเรื่องผีจะจางลงไปได้ก็ใช้เวลาเกือบหนึ่งปี
**************************
ช่วงที่ผมมาพักที่สวนฝั่งธนบุรีที่บ้านสวน แม้บรรยากาศที่พักจะดูหน้ากลัวมากแต่ผมก็ไม่เคยถูกผีหลอกเลยสักครั้ง ส่วนใหญ่ความรู้สึกหวาดกลัวส่วนมากจะเป็นความเงียบวังเวง ผมต้องอยู่บ้านคนเดียวจนเกือบสี่ทุ่ม กว่าพี่ชายจะเสร็จจากธุระ ผมก็ต้องคอยระแวดระวังกับบรรยากาศที่มีนกกลางคืนร้อง ใบมะพร้าว ใบจากต้นหมากที่ถูกลมพัดจนกระทบกับหลังคาเสียงครูดดังเป็นระยะๆไปมา หิ่งห้อยในท่ามกลางความมืดฉายแสงออกวูบวาบเป็นร้อยเป็นพันตัวหลายครั้งก็ให้นึกไปถึงเรื่องราวของกระสือในหนังทีี่ผมเพิ่งไปดูมาที่โรงหนังกรุงธนรามา
“ฉิบหาย นั่นแสงไฟ วูบวาบลอยไปลอยมา สงสัยจะเป็นกระสือ แน่ๆ ” ผมคิดและจินตนาการไปกับบรรยากาศ เงียบสงัด
“ปังๆๆๆๆ ” เสียงตุ๊กแกวิ่งไล่จับแมลงบนขื่อหลังคา ทำเอาผมสะดุ้งโหยง ยอมรับว่าอยู่ที่บ้านในสวนมีเรื่องระทึกขวัญเนืองๆ แต่ไม่บอกเล่าให้พี่ชายรู้ เกรงเขาจะถากถางว่า เป็นคนขี้กลัวกับเรื่องไร้สาระ
***************************
ครั้งที่ยังเรียนเกษตรเจ้าคุณทหาร ผมได้พบกับความน่าสะพรึงกลัวจนขนหัวลุก เวลานั้นผมได้คลุกคลีกับรุ่นน้องๆ เด็กเมืองเหนือ เมื่อเขาถูกขับออกจากบ้านเช่าการเคหะแห่งชาติ ไอ้เตอร์รุ่นพี่ ที่อาวุโสที่สุดได้ทราบข่าวว่าชาวบ้านฝั่งวัดสามเขตลาดกระบัง ประกาศให้เช่าบ้าน ผมกับไอ้เตอร์จึงได้ไปสำรวจพื้นที่ เราเห็นพ้องกันว่าบ้านหลังดังกล่าวมีความกว้างขวางสามารถที่จะเข้าไปอยู่ได้เกือบสิบคน จึงตกลงทำสัญญาเช่า แล้วจึงเข้าไปอยู่อาศัย
บ้านหลังใหม่.ที่เพิ่งย้ายเข้าไปอยู่ เป็นบ้านไม้หลังใหญ่หลังเดียวโดดๆกลางทุ่ง จากวัดสามไปถึงบ้านหลังนี้ มีระยะทางไกลกว่า 400เมตร สองข้างทางเต็มไปด้วยป่ากล้วยที่ขึ้นตามธรรมชาติ จริงๆแล้ว เจ้าของบ้านได้ประกาศให้เช่ามาหลายปีแล้ว แต่เมื่อผู้สนใจเข้าไปดูบ้านแล้ว ก็ต้องถอยทัพไม่กล้าเข่้าไปอยู่เพราะนอกจากจะไม่มีไฟฟ้าแล้ว บรรยากาศของบ้านยังชวนให้ขนหัวลุก เนื่องจากค่าเช่ามีราคาถูกน้องๆจึงมิลังเลใจที่จะเช่าอยู่อาศัย เมื่อเข้าไปอยู่ได้ไม่ถึงสัปดาห์ ทุกคนที่เป็นสาวรุ่น ก็ขวัญกระเจิงเป็นเพราะบางวันเวลาผ่านป่ากล่้วยตานี เป็นต้องสะดุ้งกับต้นใบตองแห้งที่กระทบกับต้น ดังแกรกๆๆที่สำคัญกว่านั้นในกลุ่มเพื่อนๆในกลุ่มบางคน มีพฤติกรรมแปลกกว่าใครๆคือเวลาดึก เธอมักจะตื่นเดินออกนอกบ้านไปไหนมาไหนคนเดียว
“พี่ขลุ่ย รุ่นน้องผมคือ ไอ้อ้อย มันมีท่าทีแปลกๆตอนดึกๆผมเคยเห็นมันเปิดประตูเดินออกไปนอกบ้านคนเดียว ด้วยอาการที่ไม่สะทกสะท้านกับป่ากล้วยเลย ขนาดผมเป็นผู้ชายดึกๆ อย่างนี้ผมยังไม่กล้าเดินออกไปคนเดียว”ไอ้เตอร์ พูด
“ตาฝาดหรือยังไม่สร่างเมา วะ ” ผมเย้า ไอ้เตอร์
“เมาที่ไหนพี่ คืนนั้น ผมไม่ได้ดื่มเหล้าสักแอะ”ไอ้เตอร์พูด
“พี่ก็สงสัยกับพฤติกรรมน้องคนนี้หลายครั้งแล้ว ดูเธอไม่เหมือนกับคนอื่นๆเลย ตอนที่เตอร์ทำลาบเมืองไอ้อ้อยมันก็จกกินเนื้อดิบจนเลือดติดปาก นี่ขนาดต่อหน้าเลยว่ะ”ผมพูด
“น้องๆคนอื่นๆ เขากินลาบเมืองคั่วกันทุกคน ”ไอ้เตอร์พูด
“มองโลกในแง่ดี นานาจิตตัง อาจเป็นความชอบส่วนตัว ของไอ้อ้อยมัน ก็ได้ว่ะ” ผมพูด
“เอางี้พี่ คืนนี้ ผมคิดว่าผมจะชวนรุ่นน้องที่พักด้วยกัน วางแผนดูพฤติกรรมไอ้อ้อย โดยผมจะไปซื้อเนื้อวัวดิบมาวางล่อในครัว ”ไอ้เตอร์ พูด
“งั้นคืนนี้ พี่ขอมาร่วมสังเกตการณ์ด้วย ” ผมพูด
“ดีครับพี่ ผมตั้งใจจะชวนพี่มาอยู่แล้ว ” ไอ้เตอร์ พูด
สำหรับเรื่องนี้ ในกลุ่มผู้ชายที่เป็นคนเหนือที่พักร่วมด้วยกัน ได้ปกปิดเรื่องดังกล่าวไว้เป็นความลับ ไอ้เตอร์ไปซื้อเนื้อวัวมาหนึ่งกิโลกรัมพร้อมเลือดสดจำนวนหนึ่งวางไว้ที่โต๊ะทำอาหารในโรงครัว
********************************
ค่ำคืนนั้น เป็นแรมเดือนมืดในบ้านที่ไร้ไฟฟ้าใช้ยิ่งมืดสนิทขึ้นไปอีก .ตะเกียงน้ำมันก๊าดที่ทำจากกระป๋องนม 5 ใบถูกจุดไว้ตามจุดต่างๆผมต้องชื่นชมน้องๆเหล่านี้ที่ไม่หวั่นกับสิ่งอำนวยความสะดวกหลังคุยเล่นหยอกล้อกันตามประสา ประมาณ สองทุ่มเศษ ต่างคนต่างแยกย้ายกันเข้าห้องนอน เนื่องจากอ้อยเป็นคนที่ค่อนข้างจะปลีกตัวกับกลุ่มเพื่อน เธอจึงมักจะเข้ามาบ้านค่ำกว่าใครๆ ทั้งหมด
“ไอ้อ้อย. มาแล้ว กำลังเดินผ่านดงกล้วย ”ไอ้เตอร์ พูด
อ้อยเดินมาเพียงลำพังผ่านวัดสาม ซึ่งเงียบวังเวงแต่ยิ่งกว่านั้น เธอต้องเดินผ่านป่ากล้วยขนาดพวกเราผู้ชายยังไม่กล้าจะเดินคนเดียวยามดึก พวกเราแอบมองเธอตามร่องหน้าต่างไฟฉายที่เธอส่องทางก็เพื่อส่องมองอสรพิษมากกว่า ส่องหาสิ่งลี้ลับใดๆเธอย่องเข้ามาในบ้านสักพักก็เข้าห้องนอน จนเวลาสองยาม.พวกเราที่ซ่อนตัวก็ได้ยินกุกกักๆที่ห้องครัว ครู่ต่อมา.. เธอก็เดินออกจากบ้านไปจนใกล้สว่างเธอจึงกลับเข้ามาบ้านอีกครั้ง เรื่องนี้มีพวกเราเพียงสี่คนที่ซ่อนตัวในคืนนั้นรู้เห็นถึงอ้อยว่ามีความผิดปกติทางจิต เนื่องจากพบว่าเนื้อวัวได้กินไปเป็นจำนวนมาก
*********************************
หลังจากที่ผมบรรจุเป็นข้าราชการได้สี่ปี จึงทำเรื่องขออนุญาตลาบวชพระที่วัดในเมือง การบวชในวัดที่เคร่งวินัยมาก ทำให้ผมต้องพลอยเครียดไปด้วย หนึ่งพรรษาเต็มๆกับกิจของสงฆ์ที่ต้องทำ คือต้องตื่นตั้งแต่สี่ ทำวัตรสวดมนต์ จนตีห้าครึ่งต้องเตรียมตัวออกบิณฑบาต จากนั้นมาฉันท์เช้า กวาดใบไม้รอบบริเวณวัด 8 นาฬิกาต้องเข้าโบสถ์สวดมนต์ อีกหนึ่งชั่วโมง ช่วงบ่ายไปอบรมพระนวกะที่วัดสอนธรรมะประจำอำเภอเมืองสองชั่วโมง เมื่อเข้าถึงวัดพักผ่อนได้เพียงครู่พอสี่โมงครึ่งก็ต้องสวดมนต์ หลังจากนั้นมาช่วยกันพัฒนาวัดจากนั้นมาสรงน้ำ พอถึงเวลาสองทุ่มก็สวดมนต์อีก กว่าจะเลิกก็สามทุ่มกว่าจึงได้พักผ่อน ยอมรับว่าเครียดมาก .ช่วงที่ไม่เคยบวชเรียน นึกว่าการได้เข้ามาบวชจะสะดวกสบาย แต่ที่วัดแห่งนี้มิใช่เป็นอย่างที่คิดไว้ นี่เป็นเพราะหลวงพ่อชุบท่านเป็นพระนักปฎิบัติสายวิปัสสนา *****************************
หลวงพ่อเคยเล่าให้พวกเราฟังว่าท่านกับหลวงพ่อเกษม เขมโก เกจิชื่อดังของเมืองรถม้าเป็นพระสหายกับท่านมาตั้งแต่ในวัยวัยหนุ่มที่เคยร่วมออกธุดงค์ในป่าเขาลำเนาไพร ท่ามกลางภูติผีปีศาจ สัตว์ร้ายในป่าทั้งภาคเหนือ อิสาน และแนวเขตแดนลาว -พม่า
“ความกล้า ความเมตตา การมีตบะ เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ฝ่าฟันวิกฤติต่างๆมาได้ หลวงพ่อผ่านสิ่งเหล่านี้มา หลายต่อหลายเหตุการณ์ ” เจ้าอาวาส เล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง
ครึ่งเดือนก่อนออกพรรษา ผมกับพระนวกะที่บวชร่วมกัน10 รูป ได้อาสาเพื่ออยู่ปริวาสกรรม 15 วัน เพื่อรักษาศีลอย่างเคร่งครัดและเสียสละแก่พระในวัดทุกรูปการอยู่กรรมถือเป็นกิจของสงฆ์ข้อหนึ่งที่พึงปฎิบัติ พวกเราต้องสละกิเลสโดยต้องออกมาอยู่นอกกุฎิ ต้องรับทานจากพระที่เคยอยู่ร่วมกันและต้องฉันอาหารภายหลังพระเหล่านี้ ตลอดการอยู่กรรม พระที่อยู่ปริวาสกรรม จะมีกลด 1หลัง ไว้เป็นที่อยู่อาศัยกันแดดฝน สิ่งของอื่นๆที่จำเป็นคือ ผ้าจีวร บาตร กาน้ำเครื่องกรองน้ำเท่านั้น กลางเดือนกันยายน - ปลายตุลาคม พระที่อยู่ปริวาสกรรมต้องกรำต่อพายุฝน ตลอดทั้งกลางวัน-กลางคืน ความน่ากลัวกว่านั้นคือพวกเราต้องอยู่ใกล้เจดีย์ที่บรรจุอัฐิ ที่เคยมีข่าวว่ามีคนเคยพบว่า เคยเห็นคู่รักคู่หนึ่งปรากฎกายมานั่งคุยกันบ่อยๆเรื่องนี้หลวงพ่อยังเคยเล่าให้ฟังว่าเป็นเรื่องจริง นี่ยิ่งทำให้พระบวชใหม่อย่างพวกเรา หวั่นๆว่าอาจเจอะเจอบ้างก็ได้
***************************
การอยู่กรรมครั้งนี้พระทุกรูปทุลักทุเล ต้องเจอบรรยากาศที่อึมครึมวังเวงกับเจดีย์เก่าๆกับป่าไผ่ที่ลู่ตามแรงลม กอไผ่เสียดสีกันตลอดเวลา ด้านตรงข้ามกับซุ้มเจดีย์ก็เป็นสถานที่เก็บศพและเมื่อวันก่อนหน้า ก็มีคนนำศพพ่อเลี้ยงที่ถูกฆ่าตาย มารอการทำพิธีกรรมเก็บศพรอการฌาปนกิจ นี่ถือว่าเป็นบทพิสูจน์ในการทดลองการอยู่แบบธุดงค์ ว่าพระที่อยู่กรรมจะสามารถผ่านวิกฤตความกลัวไปได้หรือไม่
ในค่ำคืนที่ 7 ของการอยู่กรรม ที่ตรงกับวันที่มีการเอาศพพ่อเลี้ยงมาตั้งศพได้สามวันพอดี ที่ศาลาเก็บศพมืดมาก กลดที่ผมตั้งอยู่เยื้องๆและใกล้กว่าใครๆที่สุดจะไม่มองก็อดไม่ได้ พยายามข่มใจและนั่งสมาธิแต่ก็ไม่สามารถตัดและข่มใจให้คิดถึงจิตวิญญาญของผู้ล่วงลับไม่ได้ วันนี้เป็นวันที่สามที่เอาศพมาฝากไม่มีผู้ใดเฝ้าหรือดูแล ยกเว้นสุนัขทีมันนอนกันเป็นประจำบริเวณนั้น
“มีคนพูดว่าคืนที่สามคนตายจะรู้ตัวเองว่าจายแล้ว และจะหวนกลับมาหาร่างของตนอีก” ผมคิดถึงประโยคนี้
“ช่างมันเถอะแค่ 5 คืนพิธีกรรมก็เสร็จแล้ว นี่ก็เหลืออีกแค่สองคืน ”ผมคิด
ในวันที่สาม.ของการตั้งศพ ผมก็เกิดท้องเสียโดยฉับพลัน หากมันเกิดขึ้นช่วงหัวค่ำในท่ามกลางพระเณร- ชียังอยู่ ก็คงไม่มีปัญหา แต่นี่มันเกิดในเวลาที่ผู้คนหลับนอนกันหมด พยายามจะกลั้นเท่าไหร่ก็กลั้นไม่อยู่ จำใจต้องกัดฟันที่จะต้องไปเข้าห้องน้ำที่อยู่หลังศาลาที่เก็บศพ กฎวินัยในการอยู่กรรมคือห้ามพระที่อยู่ปริวาสไปยุ่งในที่พักของสงฆ์เหล่านั้น
“จะเรียกพระ ที่อยู่ใกล้ไปเป็นเพื่อน ก็เกรงใจและเสียเชิงพระ เอาวะ ไปคนเดียวก็ได้” ผมคิด ขณะเตรียมไม้ขีดไฟ และเทียนอีก4 เล่ม ติดตัวไป
“บรู๊วๆๆๆ ” เสียงหมาในศาลาเก็บศพ พร้อมใจกันหอนอย่างโหยหวน ขณะผมเดินเข้าใกล้ห้องสุข าและอยู่กลางทางพอดี จะถอยหลังก็ไม่ได้เพราะมันจะไหลออกอยู่แล้ว ยังไง ..ต้องจัดการขับถ่ายให้ได้ก่อน ขนาดกุฎิของแม่ชีอยู่ใกล้ๆ ก็ยังไร้แสงไฟให้เห็นบ้าง เมื่อเข้าห้องน้ำได้ก็หลับหูหลับตาไม่มองอะไร ไม่อยากฟัง ไม่อยากได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น สุนัขเจ้ากรรมก็ยิ่งหอนเหมือนมันเห็นอะไรสักอย่าง เทียนที่ติดมือมาก็ใช่้การไม่ได้ เพราะไม้ขีดชื้นจนจุดไม่ติด
สิบห้านาที ..ต้องเหงื่อท่วมทั้งๆที่ฝนตกเป็นระยะๆนั่งคิดในใจ หากมีอะไรเกิดขึ้น คงต้องวิ่งหนีกระเจิงแน่
“นะโม ตัสสะ…" .บทคาถาชินบัญชร ผิดมั่งถูกมั่ง พรั่งพรู เสร็จกิจแล้วค่อยเบาใจ แง้มประตูออกมอง ชำเลืองด้านขวาที่ศาลาเก็บศพ เห็นเงาดำนั่งอยู่ข้างโลงศพ
ใครหรือจะอยู่กับที่…
“ไปก่อนแล้วโว้ยผีหลอก ” ผมตะโกน
ระยะเพียง 50 เมตร จากที่เกิดเหตุไปยังกลด แต่เหมือนวิ่งไกลเป็นกิโล เมื่อมาถึงกลดก็ยืนหอบแห่กๆ ตั้งสติได้จึงค่อยๆ เข้าไปนอน ปกปิดเรื่องเมื่อคืนไม่ให้ใครรู้
นี่ขนาดบวช เป็นพระ แขวนพระ ที่หลวงพ่อให้ ยังกลัวผี… เวรกรรม จริงๆ
ไหน ใครบอกว่าผีไม่มีในโลก
(ขลุ่ย บ้านข่อย )
(๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๖)
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย
ความคิดเห็น