พระกลัวผี - พระกลัวผี นิยาย พระกลัวผี : Dek-D.com - Writer

    พระกลัวผี

    ผู้เข้าชมรวม

    55

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    55

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  28 ต.ค. 66 / 13:48 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

                                                        พระกลัวผี

         เมื่อช่วงที่ผมยังเป็นเด็ก.แม้จะไม่เคยเห็นผีเลยสักครั้งเดียวแต่ก็เคยจินตนาการเห็นว่าผีนั้น มีรูปลักษณ์ที่น่ากลัว บ่อยๆ ครั้งที่ไปบ้านแป๊ะโค้วหลังจากเจ๊หมวยป้อนข้าวให้ไอ้เฮี้ยงรวมทั้งเด็กที่เป็นเพื่อนบ้านกินอิ่ม  เจ๊หมวยมักจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับผีให้พวกเด็กๆฟัง พวกเราต่างตั้งใจฟังเรื่องราวที่เจ๊หมวยเล่าจนจบบางครั้งเจ๊หมวยจะพูดถึงผีประเภทต่างๆตั้งแต่ผีตานี ผีกองกอย ผีดิบ  ผีตายโหง ผีตายทั้งกลม ฯลฯ 

    “พวกเด็กๆระวังให้ดี. ใครนั่งอยู่ตรงร่องไม้กระดาน ระวังผีเอื้อมมือมาดึงขานะ" เจ๊หมวย พูดหยอกล้อเล่นกับเด็กๆ   เด็กๆที่นั่งฟังต่างต้องนั่งหดขาไม่ให้ร่างกายของตนอยู่บนรูกระดานเพราะกลัวผีจะใช้มือดึงขา ยิ่งตอนที่จะกลับเข้าบ้าน.. ผมกับไอ้เล็กซึ่งมีบ้านติดกันต้องรีบวิ่งแจ้นเข้าบ้านใครบ้านมัน จนแม่ของผมกับป้าเช็งต้องถามไปว่าไปวิ่งหนีใครมา

         “นี่วิ่ง จนบ้านกระเทือนเลยไปทำอะไรมา น่ะ ” แม่พูด ภาษาชาวบ้าน  

         “กลัวผี น่ะแม่..เจ๊หมวยเล่าเรื่องผีตานีให้ฟัง  ” ผมพูด

          การได้รับฟังเรื่องราวของผีตานี มาเมื่อกี้นี้ ทำให้ผมนึกหวั่นๆใจว่าเดี๋ยวอีกสักครู่ หากผมถูกแม่ไล่ให้ไปอาบน้ำชำระร่างกายตรงบริเวณโอ่งน้ำท้ายบ้าน นี่แหละที่ผมคงได้ประจันหน้ากับนางผีตานีแบบจะแจ้งแน่ๆ   ที่ท้ายบ้านสุดของบ้านของผมมีต้นจามจุรีต้นใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปลกคลุมกินเนื้อที่ไปยังบ้านข้างเคียง ใกล้ๆกับต้นจามจุรีแม่ยังปลูก ต้นกล้วยไว้หลายพันธุ์ไว้กินดอกกินผล เมื่อก่อนที่ลานหลังบ้านของทุกหลังคาเรือนเป็นที่โล่งกว้างสามารถวิ่งเล่นและเดินไปมาหาสู่ กันได้สะดวก หลังบ้านไอ้เล็กมีป่าสะแกรวมทั้งต้นกล้วยที่ป้าเช็งขอแม่ของผมเอาไปปลูกเพื่อเอาใบตองมาห่อทำข้าวต้มมัด ขนมเข่งและ ขนมเทียน  บ่อยครั้งที่ป้าเช็งไปเล่นไพ่นกกระจอกกับเพื่อนๆแล้วเข้าบ้านไม่ได้ เพราะอาแปะหรือพี่ตี๋ พี่ชายของไอ้เล็กปิดประตู  ป้าเช็งจะขออาศัยที่บ้านของผมเป็นทางผ่าน โดยป้าเช็งจะค่อยๆ เดินลัดเลาะต้นกล้วยเดินไปที่บ้านของแกเอง

      “ทำไม ไม่ไปอาบน้ำ เสียที เห็นตั้งท่าจะไป  ” แม่พูด

      “กลัว.น่ะแม่  ”  ผมพูด

      “กลัวอะไร  ”แม่พูด

      “ผี ตานี  ” ผมพูด

      “โลกนี้ ไม่มีผีหรอก ” แม่พูด

       “จะไป.หริอไม่ไป จะกลัวผีหรือกลัวไม้ขัดหม้อ”  แม่ถาม

        “กลัวผี  ”ผมตอบโดยไม่ต้องคิด

       “ผัวะ  ”  แม่เอาไม้ขัดหม้อข้าว หวดไปที่แขนไปหนึ่งที จนต้องสะดุ้งโหยง  

      “ไป..ก็ได้ ”  ผมตอบ  

       แม่ยืนถือไม้ขัดหม้อข้าวคุมเชิงและขู่ให้ผมต้องเดินไปยังโอ่งน้ำพร้อมยืนกำกับ ผมจึงรีบเอาขันน้ำตักรดที่ตัวซู่ๆๆแล้ววิ่งเผ่นไปหยิบผ้าเช็ดตัว จากนั้นจึงนุ่งเสื้อผ้า 

                                          **************************** 

             สิ่งที่สะสมความกลัวผีของผมกับเพื่อนๆในวัยเดียวกัน มีอยู่หลายครั้ง ..ที่ผมกับไอ้เล็ก ไอ้โด๊ด  ไอ้แกละ หนีแม่ไปเล่นน้ำที่ผาแดงซึ่งเป็นหน้าผาขนาดใหญ่ที่เด็กๆในเมืองอรัญฯมักจะไปเล่นน้ำห้วยและอีกจุดหนึ่งที่เด็กๆส่วนน้อยจะทราบคือหน้าผาหลังที่พักของแม่ชีซึ่งอยู่ใกล้ป่าช้าของวัดหลวง ขณะที่ผมเดินกลับบ้านกับเพื่อนๆช่วงเวลาโพล้เพล้ที่ต้องผ่านที่เผาศพคนตายแบบกลางแจ้ง ลุงวาฬสัปเหร่อประจำวัดหลวง กำลังจัดเรียงฟืนและตั้งศพให้คนตายนอนบนตะแกงเหล็ก  จากนั้นจึงใช้ยางรถสุมกับกองฟืน  เมื่อพวกเราเดินผ่านมาพอดีกับที่ลุงวาฬ เริ่มจุดคบเพลิงจ่อลงในเชื้อไฟ พร้อมเทน้ำมันก๊าดเพื่อเติมให้เพลิงลุกไหม้มากยิ่งขึ้น

      “เฮ้ย.. ลุงวาฬ กำลังเผาศพพอดีเลย พวกเรา  ” ไอ้โด๊ด พูด

     “เข้าไปยืนดูใกล้ๆกันมั้ย  ” ไอ้เล็กพูด  

       ลุงวาฬ เป็นพ่อเลี้ยงของไอ้เล็ก ผมคุ้นเคยกับลุงดี เพราะช่วงวัยก่อนที่ผมจะเข้าโรงเรียนลุงวาฬ จะมารับไอ้เล็กกับผมไปดูแลเลี้ยงดูที่บ้านของแก ข้างโรงไฟฟ้า

      “เฮ้ย. มึงดูศพ ที่เผาบนเชิงตะกอนสิ  ”ไอ้โด๊ดพูด

       พวกเราที่กำลังยืนดูการเผาศพต้องระทึกขวัญ เพราะศพที่กำลังเผาอยู่นั้น ได้ผุดลุกแบบคนมีชีวิต นี่เป็นเพราะเส้นเอ็นที่ยึดรอยต่อของกระดูกซึ่งเกิดเหนี่ยวรั้งโดยธรรมชาติ กองเพลิงได้ลุกโชติช่วงสีส้มเหลืองเข้ม ทั้งควันไฟปลิวลอยละล่อง กลิ่นเหมฺ็นคาวของศพเริ่มรุนแรง ทำให้ทุกคนต้องเอามือปิดจมูก  ผมสามารถคาดเดาว่าคนที่กำลังทำการคุมเพลิงเผาศพต้องร้อนมาก ลุงวาฬใช้ไม้เขี่ยฟืนไป เขี่ยศพไปพร้อมปาดเหงื่อเป็นระยะๆ  

      “นั่นพ่อกู เอาไม่เขี่ย ให้นั่งลงแล้ว ว่ะ”  ไอ้เล็กพูด

        ลุงวาฬ เป็นสัปเหร่อที่ทำทั้งอาชีพรับจ้างซ่อมแซมบ้าน รับจ้างทั่วไป บุรุษผิวเข้ม ผมพยักศก หน้าตาคลายคนปักษ์ใต้ เป็นคนเก่าแก่และเกิดที่เมืองอรัญฯ ลุงวาฬเป็นคนขยัน และมีน้ำใจซึ่งชาวบ้านรักใคร่ หากไม่มีลุงวาฬทำหน้าที่สัปเหร่อ การเผาศพก็คงต้องตกเป็นหน้าที่ของพระหรือญาติๆของผู้ล่วงลับ  พวกเรายืนดูกันอีกครู่ จึงพากันเดินกลับบ้าน เมื่อผมมาถึงบ้านแล้วก็แก้เคล็ดด้วยการเอาน้ำมาล้างหน้า ตามคำบอกเล่าของผู้ใหญ่ นี่คือภาพที่ผมติดตาที่ยากจะลืมจนวันนี้..

                                             ***********************************

            ช่วงไอ้เล็กลูกเลี้ยงของลุงวาฬเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถคว่ำ ลุงวาฬได้ทำหน้าที่ดูแลจัดการศพไอ้เล็ก ด้วยการเก็บศพ เพื่อรอครบร้อยวัน ก่อนที่จะฌาปนกิจศพ (อ่านเรื่องผีไอ้เล็กประกอบ) ผมยังทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยลุงวาฬในเขียนชื่อ ตรงแผ่นปูนปิดโลงศพของไอ้เล็ก ในวันดังกล่าวขณะลุงวาฬเผลองีบ ยังถูกไอ้เล็กมาเย้าหยอกกันตามประสาพ่อลูก  ที่สำคัญคือผมต้องอยู่กับศพไอ้เล็กแบบใกล้ชิดที่สุด

     “กูมาช่วยเขียนป้าย มาแต่งสถานที่ให้สวยงาม อย่ามาหลอกกูนะเพื่อน  ” ผมพูดบอกเพื่อนไป

           ความเงียบในป่าช้า.. ที่ีมีเพียงผมกับลุงวาฬเท่านั้น   สำหรับลุงวาฬ เคยชินกับเรื่องภูติผีปีศาจ ทั้งมีวิชาป้องกันตนที่เรียนรู้จากครูบาอาจารย์ หลังจากวันนั้นแล้ว  ผมก็มิได้ข้องเกี่ยวกับงานศพอีกเลย เพราะมาเรียนอยู่ที่กรุงเทพ ความห่างจากไอ้เล็กก็เป็นไปตามกาลเวลา และทุกครั้งที่มาบ้านก็อดใจหายที่่เพื่อนรักที่เคยสนิทกันได้จากไปก่อนวัยอันควร   เรื่องราวเกี่ยวกับความน่ากลัวเกี่ยวกับเรื่องผีๆ ของเมืองอรัญที่คนในเขตเทศบาลกลัวที่สุดก็คือเหตุการณ์ของผียายใหม่และผียายห่วง ที่มีข่าวเรื่องการหลอกชาวบ้านในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่จำแลงร่าง หลอกคนขี่สามล้อให้ไปส่งที่วัด  ครั้นเมื่อถึงวัดกลับไม่มีร่างหญิงที่นั่งรถมาด้วย เล่นเอาสามล้อตาลีตาเหลือก เพราะรู้ตัวว่า โดนผีหลอกเสียแล้ว  กว่าการเกรงกลัวเรื่องผีจะจางลงไปได้ก็ใช้เวลาเกือบหนึ่งปี   

        

                                              ************************** 

         ช่วงที่ผมมาพักที่สวนฝั่งธนบุรีที่บ้านสวน แม้บรรยากาศที่พักจะดูหน้ากลัวมากแต่ผมก็ไม่เคยถูกผีหลอกเลยสักครั้ง ส่วนใหญ่ความรู้สึกหวาดกลัวส่วนมากจะเป็นความเงียบวังเวง  ผมต้องอยู่บ้านคนเดียวจนเกือบสี่ทุ่ม กว่าพี่ชายจะเสร็จจากธุระ ผมก็ต้องคอยระแวดระวังกับบรรยากาศที่มีนกกลางคืนร้อง  ใบมะพร้าว ใบจากต้นหมากที่ถูกลมพัดจนกระทบกับหลังคาเสียงครูดดังเป็นระยะๆไปมา หิ่งห้อยในท่ามกลางความมืดฉายแสงออกวูบวาบเป็นร้อยเป็นพันตัวหลายครั้งก็ให้นึกไปถึงเรื่องราวของกระสือในหนังทีี่ผมเพิ่งไปดูมาที่โรงหนังกรุงธนรามา 

      “ฉิบหาย นั่นแสงไฟ วูบวาบลอยไปลอยมา  สงสัยจะเป็นกระสือ แน่ๆ  ” ผมคิดและจินตนาการไปกับบรรยากาศ เงียบสงัด

       “ปังๆๆๆๆ ”  เสียงตุ๊กแกวิ่งไล่จับแมลงบนขื่อหลังคา ทำเอาผมสะดุ้งโหยง ยอมรับว่าอยู่ที่บ้านในสวนมีเรื่องระทึกขวัญเนืองๆ แต่ไม่บอกเล่าให้พี่ชายรู้ เกรงเขาจะถากถางว่า เป็นคนขี้กลัวกับเรื่องไร้สาระ

                                                 ***************************

        ครั้งที่ยังเรียนเกษตรเจ้าคุณทหาร ผมได้พบกับความน่าสะพรึงกลัวจนขนหัวลุก   เวลานั้นผมได้คลุกคลีกับรุ่นน้องๆ เด็กเมืองเหนือ  เมื่อเขาถูกขับออกจากบ้านเช่าการเคหะแห่งชาติ  ไอ้เตอร์รุ่นพี่ ที่อาวุโสที่สุดได้ทราบข่าวว่าชาวบ้านฝั่งวัดสามเขตลาดกระบัง ประกาศให้เช่าบ้าน ผมกับไอ้เตอร์จึงได้ไปสำรวจพื้นที่ เราเห็นพ้องกันว่าบ้านหลังดังกล่าวมีความกว้างขวางสามารถที่จะเข้าไปอยู่ได้เกือบสิบคน จึงตกลงทำสัญญาเช่า แล้วจึงเข้าไปอยู่อาศัย   

         บ้านหลังใหม่.ที่เพิ่งย้ายเข้าไปอยู่ เป็นบ้านไม้หลังใหญ่หลังเดียวโดดๆกลางทุ่ง จากวัดสามไปถึงบ้านหลังนี้ มีระยะทางไกลกว่า 400เมตร  สองข้างทางเต็มไปด้วยป่ากล้วยที่ขึ้นตามธรรมชาติ จริงๆแล้ว เจ้าของบ้านได้ประกาศให้เช่ามาหลายปีแล้ว แต่เมื่อผู้สนใจเข้าไปดูบ้านแล้ว ก็ต้องถอยทัพไม่กล้าเข่้าไปอยู่เพราะนอกจากจะไม่มีไฟฟ้าแล้ว บรรยากาศของบ้านยังชวนให้ขนหัวลุก  เนื่องจากค่าเช่ามีราคาถูกน้องๆจึงมิลังเลใจที่จะเช่าอยู่อาศัย เมื่อเข้าไปอยู่ได้ไม่ถึงสัปดาห์ ทุกคนที่เป็นสาวรุ่น ก็ขวัญกระเจิงเป็นเพราะบางวันเวลาผ่านป่ากล่้วยตานี เป็นต้องสะดุ้งกับต้นใบตองแห้งที่กระทบกับต้น   ดังแกรกๆๆที่สำคัญกว่านั้นในกลุ่มเพื่อนๆในกลุ่มบางคน มีพฤติกรรมแปลกกว่าใครๆคือเวลาดึก เธอมักจะตื่นเดินออกนอกบ้านไปไหนมาไหนคนเดียว

    “พี่ขลุ่ย รุ่นน้องผมคือ ไอ้อ้อย มันมีท่าทีแปลกๆตอนดึกๆผมเคยเห็นมันเปิดประตูเดินออกไปนอกบ้านคนเดียว ด้วยอาการที่ไม่สะทกสะท้านกับป่ากล้วยเลย ขนาดผมเป็นผู้ชายดึกๆ อย่างนี้ผมยังไม่กล้าเดินออกไปคนเดียว”ไอ้เตอร์ พูด

     “ตาฝาดหรือยังไม่สร่างเมา วะ ” ผมเย้า ไอ้เตอร์

     “เมาที่ไหนพี่ คืนนั้น ผมไม่ได้ดื่มเหล้าสักแอะ”ไอ้เตอร์พูด

     “พี่ก็สงสัยกับพฤติกรรมน้องคนนี้หลายครั้งแล้ว  ดูเธอไม่เหมือนกับคนอื่นๆเลย ตอนที่เตอร์ทำลาบเมืองไอ้อ้อยมันก็จกกินเนื้อดิบจนเลือดติดปาก นี่ขนาดต่อหน้าเลยว่ะ”ผมพูด

     “น้องๆคนอื่นๆ เขากินลาบเมืองคั่วกันทุกคน ”ไอ้เตอร์พูด

      “มองโลกในแง่ดี นานาจิตตัง อาจเป็นความชอบส่วนตัว ของไอ้อ้อยมัน ก็ได้ว่ะ” ผมพูด

      “เอางี้พี่  คืนนี้ ผมคิดว่าผมจะชวนรุ่นน้องที่พักด้วยกัน วางแผนดูพฤติกรรมไอ้อ้อย โดยผมจะไปซื้อเนื้อวัวดิบมาวางล่อในครัว ”ไอ้เตอร์ พูด

      “งั้นคืนนี้ พี่ขอมาร่วมสังเกตการณ์ด้วย  ” ผมพูด

      “ดีครับพี่  ผมตั้งใจจะชวนพี่มาอยู่แล้ว  ” ไอ้เตอร์ พูด

       สำหรับเรื่องนี้ ในกลุ่มผู้ชายที่เป็นคนเหนือที่พักร่วมด้วยกัน ได้ปกปิดเรื่องดังกล่าวไว้เป็นความลับ ไอ้เตอร์ไปซื้อเนื้อวัวมาหนึ่งกิโลกรัมพร้อมเลือดสดจำนวนหนึ่งวางไว้ที่โต๊ะทำอาหารในโรงครัว   

                                      ********************************  

       ค่ำคืนนั้น เป็นแรมเดือนมืดในบ้านที่ไร้ไฟฟ้าใช้ยิ่งมืดสนิทขึ้นไปอีก .ตะเกียงน้ำมันก๊าดที่ทำจากกระป๋องนม 5 ใบถูกจุดไว้ตามจุดต่างๆผมต้องชื่นชมน้องๆเหล่านี้ที่ไม่หวั่นกับสิ่งอำนวยความสะดวกหลังคุยเล่นหยอกล้อกันตามประสา ประมาณ สองทุ่มเศษ ต่างคนต่างแยกย้ายกันเข้าห้องนอน เนื่องจากอ้อยเป็นคนที่ค่อนข้างจะปลีกตัวกับกลุ่มเพื่อน  เธอจึงมักจะเข้ามาบ้านค่ำกว่าใครๆ ทั้งหมด  

      “ไอ้อ้อย. มาแล้ว กำลังเดินผ่านดงกล้วย ”ไอ้เตอร์ พูด

       อ้อยเดินมาเพียงลำพังผ่านวัดสาม ซึ่งเงียบวังเวงแต่ยิ่งกว่านั้น เธอต้องเดินผ่านป่ากล้วยขนาดพวกเราผู้ชายยังไม่กล้าจะเดินคนเดียวยามดึก พวกเราแอบมองเธอตามร่องหน้าต่างไฟฉายที่เธอส่องทางก็เพื่อส่องมองอสรพิษมากกว่า ส่องหาสิ่งลี้ลับใดๆเธอย่องเข้ามาในบ้านสักพักก็เข้าห้องนอน จนเวลาสองยาม.พวกเราที่ซ่อนตัวก็ได้ยินกุกกักๆที่ห้องครัว  ครู่ต่อมา.. เธอก็เดินออกจากบ้านไปจนใกล้สว่างเธอจึงกลับเข้ามาบ้านอีกครั้ง  เรื่องนี้มีพวกเราเพียงสี่คนที่ซ่อนตัวในคืนนั้นรู้เห็นถึงอ้อยว่ามีความผิดปกติทางจิต เนื่องจากพบว่าเนื้อวัวได้กินไปเป็นจำนวนมาก  

                                      ********************************* 

          หลังจากที่ผมบรรจุเป็นข้าราชการได้สี่ปี จึงทำเรื่องขออนุญาตลาบวชพระที่วัดในเมือง  การบวชในวัดที่เคร่งวินัยมาก ทำให้ผมต้องพลอยเครียดไปด้วย หนึ่งพรรษาเต็มๆกับกิจของสงฆ์ที่ต้องทำ คือต้องตื่นตั้งแต่สี่ ทำวัตรสวดมนต์ จนตีห้าครึ่งต้องเตรียมตัวออกบิณฑบาต จากนั้นมาฉันท์เช้า กวาดใบไม้รอบบริเวณวัด   8 นาฬิกาต้องเข้าโบสถ์สวดมนต์ อีกหนึ่งชั่วโมง ช่วงบ่ายไปอบรมพระนวกะที่วัดสอนธรรมะประจำอำเภอเมืองสองชั่วโมง  เมื่อเข้าถึงวัดพักผ่อนได้เพียงครู่พอสี่โมงครึ่งก็ต้องสวดมนต์ หลังจากนั้นมาช่วยกันพัฒนาวัดจากนั้นมาสรงน้ำ พอถึงเวลาสองทุ่มก็สวดมนต์อีก กว่าจะเลิกก็สามทุ่มกว่าจึงได้พักผ่อน  ยอมรับว่าเครียดมาก .ช่วงที่ไม่เคยบวชเรียน นึกว่าการได้เข้ามาบวชจะสะดวกสบาย แต่ที่วัดแห่งนี้มิใช่เป็นอย่างที่คิดไว้ นี่เป็นเพราะหลวงพ่อชุบท่านเป็นพระนักปฎิบัติสายวิปัสสนา                                                                                    ***************************** 

      หลวงพ่อเคยเล่าให้พวกเราฟังว่าท่านกับหลวงพ่อเกษม เขมโก เกจิชื่อดังของเมืองรถม้าเป็นพระสหายกับท่านมาตั้งแต่ในวัยวัยหนุ่มที่เคยร่วมออกธุดงค์ในป่าเขาลำเนาไพร ท่ามกลางภูติผีปีศาจ สัตว์ร้ายในป่าทั้งภาคเหนือ อิสาน และแนวเขตแดนลาว -พม่า

      “ความกล้า ความเมตตา การมีตบะ เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ฝ่าฟันวิกฤติต่างๆมาได้  หลวงพ่อผ่านสิ่งเหล่านี้มา หลายต่อหลายเหตุการณ์ ”  เจ้าอาวาส เล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง 

       ครึ่งเดือนก่อนออกพรรษา ผมกับพระนวกะที่บวชร่วมกัน10 รูป ได้อาสาเพื่ออยู่ปริวาสกรรม 15 วัน เพื่อรักษาศีลอย่างเคร่งครัดและเสียสละแก่พระในวัดทุกรูปการอยู่กรรมถือเป็นกิจของสงฆ์ข้อหนึ่งที่พึงปฎิบัติ พวกเราต้องสละกิเลสโดยต้องออกมาอยู่นอกกุฎิ ต้องรับทานจากพระที่เคยอยู่ร่วมกันและต้องฉันอาหารภายหลังพระเหล่านี้   ตลอดการอยู่กรรม พระที่อยู่ปริวาสกรรม จะมีกลด 1หลัง ไว้เป็นที่อยู่อาศัยกันแดดฝน สิ่งของอื่นๆที่จำเป็นคือ ผ้าจีวร  บาตร กาน้ำเครื่องกรองน้ำเท่านั้น กลางเดือนกันยายน - ปลายตุลาคม พระที่อยู่ปริวาสกรรมต้องกรำต่อพายุฝน ตลอดทั้งกลางวัน-กลางคืน   ความน่ากลัวกว่านั้นคือพวกเราต้องอยู่ใกล้เจดีย์ที่บรรจุอัฐิ ที่เคยมีข่าวว่ามีคนเคยพบว่า เคยเห็นคู่รักคู่หนึ่งปรากฎกายมานั่งคุยกันบ่อยๆเรื่องนี้หลวงพ่อยังเคยเล่าให้ฟังว่าเป็นเรื่องจริง นี่ยิ่งทำให้พระบวชใหม่อย่างพวกเรา หวั่นๆว่าอาจเจอะเจอบ้างก็ได้

                                              *************************** 

           การอยู่กรรมครั้งนี้พระทุกรูปทุลักทุเล ต้องเจอบรรยากาศที่อึมครึมวังเวงกับเจดีย์เก่าๆกับป่าไผ่ที่ลู่ตามแรงลม กอไผ่เสียดสีกันตลอดเวลา ด้านตรงข้ามกับซุ้มเจดีย์ก็เป็นสถานที่เก็บศพและเมื่อวันก่อนหน้า ก็มีคนนำศพพ่อเลี้ยงที่ถูกฆ่าตาย มารอการทำพิธีกรรมเก็บศพรอการฌาปนกิจ  นี่ถือว่าเป็นบทพิสูจน์ในการทดลองการอยู่แบบธุดงค์ ว่าพระที่อยู่กรรมจะสามารถผ่านวิกฤตความกลัวไปได้หรือไม่

        ในค่ำคืนที่ 7 ของการอยู่กรรม ที่ตรงกับวันที่มีการเอาศพพ่อเลี้ยงมาตั้งศพได้สามวันพอดี ที่ศาลาเก็บศพมืดมาก กลดที่ผมตั้งอยู่เยื้องๆและใกล้กว่าใครๆที่สุดจะไม่มองก็อดไม่ได้ พยายามข่มใจและนั่งสมาธิแต่ก็ไม่สามารถตัดและข่มใจให้คิดถึงจิตวิญญาญของผู้ล่วงลับไม่ได้   วันนี้เป็นวันที่สามที่เอาศพมาฝากไม่มีผู้ใดเฝ้าหรือดูแล ยกเว้นสุนัขทีมันนอนกันเป็นประจำบริเวณนั้น 

        “มีคนพูดว่าคืนที่สามคนตายจะรู้ตัวเองว่าจายแล้ว และจะหวนกลับมาหาร่างของตนอีก”  ผมคิดถึงประโยคนี้

       “ช่างมันเถอะแค่ 5 คืนพิธีกรรมก็เสร็จแล้ว นี่ก็เหลืออีกแค่สองคืน  ”ผมคิด 

        ในวันที่สาม.ของการตั้งศพ  ผมก็เกิดท้องเสียโดยฉับพลัน หากมันเกิดขึ้นช่วงหัวค่ำในท่ามกลางพระเณร- ชียังอยู่  ก็คงไม่มีปัญหา แต่นี่มันเกิดในเวลาที่ผู้คนหลับนอนกันหมด  พยายามจะกลั้นเท่าไหร่ก็กลั้นไม่อยู่ จำใจต้องกัดฟันที่จะต้องไปเข้าห้องน้ำที่อยู่หลังศาลาที่เก็บศพ  กฎวินัยในการอยู่กรรมคือห้ามพระที่อยู่ปริวาสไปยุ่งในที่พักของสงฆ์เหล่านั้น  

      “จะเรียกพระ ที่อยู่ใกล้ไปเป็นเพื่อน ก็เกรงใจและเสียเชิงพระ เอาวะ ไปคนเดียวก็ได้” ผมคิด  ขณะเตรียมไม้ขีดไฟ และเทียนอีก4 เล่ม ติดตัวไป

     “บรู๊วๆๆๆ  ” เสียงหมาในศาลาเก็บศพ พร้อมใจกันหอนอย่างโหยหวน  ขณะผมเดินเข้าใกล้ห้องสุข าและอยู่กลางทางพอดี จะถอยหลังก็ไม่ได้เพราะมันจะไหลออกอยู่แล้ว  ยังไง ..ต้องจัดการขับถ่ายให้ได้ก่อน ขนาดกุฎิของแม่ชีอยู่ใกล้ๆ ก็ยังไร้แสงไฟให้เห็นบ้าง  เมื่อเข้าห้องน้ำได้ก็หลับหูหลับตาไม่มองอะไร ไม่อยากฟัง ไม่อยากได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น  สุนัขเจ้ากรรมก็ยิ่งหอนเหมือนมันเห็นอะไรสักอย่าง  เทียนที่ติดมือมาก็ใช่้การไม่ได้ เพราะไม้ขีดชื้นจนจุดไม่ติด  

       สิบห้านาที ..ต้องเหงื่อท่วมทั้งๆที่ฝนตกเป็นระยะๆนั่งคิดในใจ หากมีอะไรเกิดขึ้น คงต้องวิ่งหนีกระเจิงแน่

     “นะโม ตัสสะ…" .บทคาถาชินบัญชร ผิดมั่งถูกมั่ง พรั่งพรู เสร็จกิจแล้วค่อยเบาใจ แง้มประตูออกมอง ชำเลืองด้านขวาที่ศาลาเก็บศพ เห็นเงาดำนั่งอยู่ข้างโลงศพ   

                                                     ใครหรือจะอยู่กับที่…

     “ไปก่อนแล้วโว้ยผีหลอก ” ผมตะโกน  

     ระยะเพียง 50 เมตร จากที่เกิดเหตุไปยังกลด แต่เหมือนวิ่งไกลเป็นกิโล  เมื่อมาถึงกลดก็ยืนหอบแห่กๆ ตั้งสติได้จึงค่อยๆ เข้าไปนอน ปกปิดเรื่องเมื่อคืนไม่ให้ใครรู้

     นี่ขนาดบวช เป็นพระ แขวนพระ ที่หลวงพ่อให้   ยังกลัวผี…  เวรกรรม จริงๆ      

                                                        ไหน ใครบอกว่าผีไม่มีในโลก   

                                                               (ขลุ่ย  บ้านข่อย ) 

                                                          (๒๘  ตุลาคม  ๒๕๖๖)

     

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×