ความต่างระหว่าง ให้ข้าวหมา กับให้อนาคตคน - ความต่างระหว่าง ให้ข้าวหมา กับให้อนาคตคน นิยาย ความต่างระหว่าง ให้ข้าวหมา กับให้อนาคตคน : Dek-D.com - Writer

    ความต่างระหว่าง ให้ข้าวหมา กับให้อนาคตคน

    สุนัข เป็นสัตว์เลี้ยงที่ใกล้ชิดมนุษย์มากที่สุด เขาว่า ให้อาหารมันครั้งเดียว มันจำเราจนวันตาย แต่ช่วยคน 10 ครั้ง จะจำคนช่วยได้ครั้งเดียว หรืออาจจำไม่ได้เลย มันช่างมีความคล้ายกับประสบการณ์ของผมจริงๆ

    ผู้เข้าชมรวม

    55

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    55

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  10 ต.ค. 66 / 15:15 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

                                   ความต่างระหว่างให้ข้าวหมา กับการให้อนาคตคน

             ผมเคยเลี้ยงสุนัข ตั้งแต่วัยเด็กตัวแรกที่ผมเลี้ยง จำได้ว่าชื่อไอ้ติ๋ง  พ่อได้ไอ้ติ๋งมาเลี้ยงตั้งแต่มันเพิ่งหย่านมได้ไม่นาน คนที่ให้ลูกสุนัขพ่อมาเลี้ยงคือหัวหน้าสถานีอุตุนิยมวิทยาซึ่งหน่วยงานแห่งนี้ มีพื้นที่อยู่ใกล้กับโรงเรียนที่ผมเรียน     โรงเรียนแสงจิตต์พิทยา คือสถานที่แห่งแรกที่ให้ความรู้พื้นฐานผมตั้งแต่อักษร ก.ข  ก.กา- จนผมอ่านออกเขียนได้อย่างคล่องแคล่ว จนสามารถเรียนต่อเรื่อยมา จนจบชั้นระดับอุดมศึกษา และสมัครสอบเข้ารับราชการจนมาเป็นบุคลากรผู้ให้ความรู้วิชาการแก่เยาวชน 

             ผมกับน้องสาวได้ฟูมฟักทะนุถนอมไอ้ติ๋งอย่างดี ผมยอมลงทุนที่จะประหยัดเงินค่าขนมที่เหลือกลับจากไปโรงเรียน ไปซื้อนมข้น(ตราเด็กเหลือง)    ซึ่งเมื่อตอนที่ผมยังอยู่ในวัยทารก แม่เคยซื้อมาชงใส่ขวดพลาสติกให้ดูดกิน  จนผมหย่านม ไอ้ติ๋งเป็นสุนัขพันธุ์ไทยสีน้ำตาลขนปุยบริเวณปากจะมีสีดำยาวเหมือนปานจนเห็นชัด  แค่เพียงวันแรกที่มันเข้ามาร่วมเป็น สมาชิกของครอบครัวของเรา พวกเราก็รักและหลงมันจนลืมเจ้านกขุนทองที่แม่เลี้ยงไว้

           “จุ๊ๆๆ มา.. มานี่ เร็ว ไอ้ติ๋ง มากินนม นี่ สิ ”ผมเรียกเจ้าสุนัขตัวน้อย 

            ผมชงนมข้นที่ซื้อมาจากร้านป้าน้อย ในราคากระป๋องละ 1บาท ส่วนใหญ่นมข้นชนิดนี้ตามร้านขายเครื่องดื่มชา-กาแฟจะใช้เทรองก้นแก้ว เพื่อชงเครื่องดื่มชนิดต่างๆอย่างเช่น กาแฟร้อน ชาร้อน  โอวัลติน  หรือหากชงเป็นประเภทเครื่องดื่มชนิดเย็นๆเช่นนมเย็น กาแฟเย็น ชาเย็นก็จะเทนมข้นรองก้นแก้วก่อนผสมด้วยน้ำตาลอีกนิดให้หวานเพิ่มขึ้น เมื่อผมชงนมข้นให้ไอ้ติ๋งด้วยวิธีการง่ายๆแล้วคือเทนมข้นออกจากรูที่ผมเจาะบนฝากระป๋องนม จากนั้นเติมน้ำอุ่นๆหริือบางครั้งใช้น้ำเย็นแล้วใช้ช้อนค่อยๆคนๆ ให้นมละลาย จึงนำเอาไปให้ไอ้ติ๋งกินไม่เกิน10 นาที นมที่ชงให้มันก็หมดลง  

            ไอ้ติ๋ง..แม้จะเป็นสุนัขตัวเล็กแต่นิสัยของมันเชื่องเข้ากับคนได้ง่ายใครๆที่เป็นลูกค้าของแม่ผม เมื่อมาซื้อขนมที่บ้าน  พอเจอมันมักจะจับลูบคลำ อุ้มเล่นแล้ววางลง ปล่อยให้มันเดิน- วิ่งในบ้าน  ตอนแรกที่นำมาเลี้ยงใหม่ๆ พ่อจะผูกโซ่ที่คอของมันไว้ที่ขาโต๊ะ เพราะเกรงว่ามันจะมันจะจำกลิ่นเส้นทางจนสะกดรอยกลับไปยังบ้านเก่าของมันที่อยู่ห่างเพียง 350- 400 เมตร เมื่อพ่อของผมมั่นใจดีแล้วว่ามันคงจะไม่สามารถกลับบ้านเก่าของมันได้จึงปล่อยให้มันเป็นอิสระ .มันอยู่ในบ้านได้อีกสองเดือนเศษก็หายตัวไปอย่างลึกลับ เนื่องจากที่บ้านของผมขายขนมจึงมีลูกค้ามากหน้าหลายตาทั้งอยู่ใกล้และไกลจากบ้านของผม

      “สงสัยต้องมีคนลัก มันไปแน่ๆเลย   ”  น้องสาวผมบอกกับแม่

       “น่าจะใช่ ..ปกติ มันไม่ออกไปไหนไกลเลย”  แม่พูด

       สรุปชัดเจนโดยแน่ว่า ไอ้ติ๋งต้องถูกคนลักพาตัวมัน เอาไปเลี้ยงค่อนข้างแน่นอน  จากวัน- เป็นสัปดาห์ - เป็นเดือน  พวกเราในบ้านจึงเริ่มทำใจได้แม้จะเหงาไปบ้าง เจ้าขุนทองที่แม่เลี้ยงจึงได้กลับมาอยู่ในความสนใจดังเดิม

                                           ******************************* 

             สามเดือนต่อมา…ขณะเมื่อผมเดินไปขายขนมที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งนอกเขตเทศบาล ได้เห็นสุนัขตัวหนึ่งมีร่างกายซูบผอมถูกล่ามโซ่ไว้ ลักษณะท่าทางมันคล้ายสุนัขที่ผมเคยเลี้ยง 

    “นี่.มันคลับคล้ายคลับคลากับไอ้ติ๋งจริงๆ เลย  ”ผมคิดในใจ ขณะเดินเข้าใกล้บ้านหลังนั้น

    “เจ้าของอยู่ในบ้านพอดี  นี่หากมันเป็นหมาของเรา คงต้องขอเขาเอากลับไปเลี้ยงที่บ้านดังเดิม  ”  ผมคิดต่อไปอีก

    “ไอ้ติ๋งๆๆๆ จุ๊ ๆๆๆๆ ”ผมเรียกชื่อสุนัขซูบผอมตัวนั้น ที่สภาพร่างกายดังกับอดอาหารมานาน ไม่ทันที่จะถึงตัว มันได้แสดงอาการลิงโลดและกระโดดเข้าใส่ เป็นเพราะมันได้พบกับนายเก่าของมันโดยบังเอิญ  ผมมั่นใจโดยทันทีว่า เจ้าสุนัขตัวนี้คือไอ้ติ๋งตัวที่ผมเคยเลี้ยงแน่นอน

     “มีใครอยู่มั้ย ครับ”  ผมตะโกนเรียกเจ้าของบ้านครูหนึ่ง  

                                              ครู่ต่อมาเขาได้ออกมาพบ

      “มีอะไรหรือไอ้หนู  ”

      “นี่ไอ้ติ๋ง  หมาของผม ครับ”

     “หมาของน้า นะ”

      “ผมจำได้แน่นอน..  ไอ้ติ๋งๆๆๆ ”ผมพูดและเรียกชื่อมัน มันแสดงอาการดีใจและเข้ามาเคล้าเคลียไม่ห่าง ซึ่งป็นไปไม่ได้ที่สุนัขที่ไม่รู้จักคนแปลกหน้าจะกล้ามาแสดงอาการใกล้ชิด ดังกับผมเป็นเจ้าของของมัน

      “ผมเลี้ยงมันมาตั้งแต่แต่เพิ่งหย่านม ที่ขาขวามันมีรอยจุดดำและที่ปากก็มีปานดำด้วย ไม่เชื่อดูที่ขาขวามันก็ได้ ”  ผมพูด

      “ก็ได้ ถ้าเป็นหมาของเอ็ง  ก็เอาคืนไป  ” เขาพูด แล้วปลดโซ่และถอดปลอกคอออก

      “ขอบคุณครับ น้า  ” ผมพูด 

      เขายินยอม เพราะจำนนด้วยหลักฐานและเหตุผล  อีกทั้งสุนัขได้แสดงอาการแสดงความรักต่อผมอย่างชัดเจน  ไอ้ติ๋งจึงได้กลับคืนสู่บ้านหลังเดิมที่มันเคยอาศัย เมื่อมาถึงบ้านน้องสาวของผมได้จัดการอาบน้ำแปลงร่างให้สะอาดช่วงนี้มันโตที่สามารถกินข้าวได้แล้ว  ผมไปร้านตาบังซื้อเศษเนื้อวัวมาต้มให้สุกเพื่อคลุกกับข้าวให้มันกิน  ภายในไม่ช้ามันก็กลับมามีสภาพที่สวยงามใครๆเจอไอ้ติ๋งจะชื่นชอบนิสัยของมันคือเชื่อง เชื่อฟัง ไม่ดุ เฝ้าบ้านเก่ง แต่หากใครแกล้งมาทำร้ายเจ้าของ หรือหยิบสิ่งของภายในบ้าน มันจะกระโดดเข้าใส่พร้อมขู่ คำรามและพร้อมที่จะฟังคำสั่งให้กัดแต่หากเจ้าของไม่สั่ง  มันก็เพียงขู่เท่่านั้น  ..ไอ้ติ๋งเสียชีวิตลง เพราะป่วยด้วยอาการปอดบอมจากนั้นมาที่บ้านของผม จึงเลิกเลี้ยงสุนัขอีกต่อไป 

                                                  *************************************** 

               สมัยที่ผมมาเรียนในกรุงเทพฯชีวิตมิได้สุขสบายเหมือนกับคนที่มีบิดา มารดา ซึ่งมีบ้านอาศัยอยู่เป็นของตนเอง ผมต้องอาศัยบ้านเช่าหลังเล็กๆ ในสวนของพี่ชายที่ซอยวัดมะลิ เขตบางกอกน้อย  ต่อมาจึงมาพักที่หอพักของสถาบันและมาเช่าบ้านอยู่กับเพื่อนๆ ช่วงหนึ่งที่ผมไม่มีเงินค่าเช่าบ้านอาศัยการที่ผมเป็นนักดนตรีทั้งสากลและไทยเดิมจึงได้เอ่ยปาก ขออนุญาตอาจารย์ในคณะวิชาที่สอนผมขอเข้าพักอยู่ชั่วคราว(หนึ่งเทอมก่อนจบ) ที่ห้องซ้อมดนตรีไทย  ชีวิตในรั้วสถาบัน มีรสชาติหลากหลายรูปแบบ ที่ผมประทับใจมิรู้ลืมคือเรื่องการกีฬา แม้ผมไม่ได้เป็นตัวแทนสถาบัน แต่อย่างน้อยก็เคยเป็นตัวแทนระดับคณะ เข้าแข่งขันกีฬาสามห่วงคือพระจอมลาดกระบัง-พระจอมเกล้าวิทยาเขตบางมด  และพระนครเหนือ ในกีฬาประเภทลู่ ในครั้งนี้ผมยังมีโอกาสได้เก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก เมื่อจบการศึกษาใหม่ๆที่จะซุกหัวนอนก็พอมีอยู่บ้างคือบ้านพักของเพื่อนรุ่นน้องๆแต่อยู่นานวันก็เกรงใจ ก็หลบไปพักที่บ้านน้าสาวที่บางนาบ้าง หมุนเวียนไปมา.เมื่อมาเป็นเซลล์แมน  รายได้ที่จะได้รับก็ต้องรอจนสิ้นเดือนก่อน จึงจะมีเงินใช้จ่าย  

           ผมได้แวะไปคลีนิคอาจารย์หมอธเนศเนืองๆเพื่อคลายเครียด  ผมดูแล้วว่าวิชาชีพเซลล์แมนนี้มิได้มีความเหมาะกับตัวผมเลยสักนิด  เคยคิดว่าจะไปสมัครร้องเพลงตามห้องอาหารย่านอรุณอัมรินทร์กับสามแยกไฟฉาย ก็หวลคิดไปว่านักร้องศิลปินคนเต้นกินรำกิน ชีวิตน่าจะไม่ยั่งยืนจึงอดทนทำอาชีพนี้ต่อไปอีกหนึ่งเดือนเศษๆ  จนผมสามารถสอบบรรจุเป็นข้าราชการได้  สิ่งที่ผมมิอาจลืมเลือนได้เลยในช่วงชีวิตการเป็นเซลล์แมน ผมต้องระเหเร่ร่อน พักที่บ้านชัยวัฒน์ซึ่งเป็นบ้านพักสถานีรถไฟบางกอกน้อย  เคยค้างที่บ้านตี๋ใหญ่หนึ่งครั้ง (อ่านเรื่อง สงสารตี๋ใหญ่) และพักค้างที่ี่บ้านการเคหะคลองจั่น ซึ่งเป็นบ้านพักของน้องๆคนปักษ์ใต้ ที่เป็นญาติกับขจรซึ่งเป็นเซลล์แมนเพื่อนร่วมวิชาชีพเดียวกัน     

         ความยากลำบากของที่พักของแต่ละแห่ง มีความต่างกันโดยเฉพาะที่บ้านการเคหะคลองจั่นที่เป็นบ้านพักหลังเล็กแต่มีผู้อาศัยถึง 8 คน ผมต้องนอนที่ห้องครัวโดยมีขจรมานอนเป็นเพื่อนด้วย  บทบาทของชีวิตที่เคยผ่านมามีทั้งทุกข์เลือดตาแทบกระเด็นและสุขอย่างฮ่องเต้  นี่เอง..ทำให้ผมได้ประสบการณ์ชีวิตที่มีค่าซึ่งมิอาจลืมกับช่วงต่างๆ ได้ 

                                                  *****************************

          ครั้นเมื่อมารับราชการ จึงคิดว่าหากมีนักศึกษาที่มีความประพฤติดี เป็นนักกิจกรรม มาขออาศัยพักด้วย ก็จะรับไว้ในความดูแลโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆและ คนแรกที่กล้าเอ่ยปากขอเข้ามาขออาศัยอยูกับผมคือสมสิทธิ์บุคลิกของนักศึกษาคนนี้ที่ผมมอง ได้มองว่าเขามีความครบถ้วนในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน เรื่องกิจกรรม แม้สมสิทธิ์จะเป็นคนเรียนดี กิจกรรมเด่นก็ตาม แต่ผมก็ต้องผิดหวังในเรื่องความรับผิดชอบและการมีน้ำใจของเขา 

       “นี่..ไฟจะไหม้บ้านจนวอดวายแล้วนะ สิทธิ์ .จะทำอะไร ต้องรอบคอบ ระมัดระวังกว่านี้  ”ผมเอ็ดเขา แต่เช้า ขณะที่เพิ่งเข้ามาถึงบ้านไม่ถึงนาที

        “ผมขอโทษครับอาจารย์ พอดีออกไปข้างนอกคิดว่าจะกลับมาถอดปลั้กไฟทีหลัง ”สมสิทธิ์ ตอบ

        “ทำไม..เสียบปลั้กทิ้งอย่างนี้ กระทะไฟฟ้าเครื่องนี้ ก็รู้อยู่แล้วว่ามันอยู่ในสภาพที่เสี่ยง ผมก็เคยบอกเราแล้วนี่”

         เขานิ่ง และยอมรับผิดโดยดุษฎี ………..

      เมื่อสมสิทธิ์ สำเร็จการศึกษาแล้วเขาได้นำรถยนต์มาขนสัมภาระส่วนตัวที่บ้านที่เขาเคยพัก นำกลับภูมิลำเนา จนวันเวลา ผ่านไปกว่าสามสิบห้าปีแล้ว ก็ไม่มีวี่แววข่าวคราวจากเขาเลย   ถัดต่อจากสมสิทธิ ได้มีนักศึกษาที่ติด F วิชาสถิติ ของ อ.ปวีณาที่เคยพักในกระท่อมข้างบ้าน ที่ผมอยู่ 4 คน ที่ไร้ที่พักอาศัย  ผมจึงได้ชักชวนพวกเขา ให้เข้ามาพักและช่วยดูแลพวกเขาจนสำเร็จการศึกษา ถัดจากรุ่นนี้มา. มีนักศึกษาอีก 4 คน สองคนเป็นรุ่นพี่ที่เป็นคนภาคเหนือ และอีกสองคนเป็นคนภาคใต้ เด็กเหนือสองคนคือป๋องกับเดช เสี่ยงจะถูกรีไทร์ที่สุดความหวังดีกับลูกศิษย์ ผมจึงชวนให้เขามาอยู่ด้วยและยังบอกกับเด็กใต้คือสติกับคมที่เป็นรุ่นน้องให้ช่วยติววิชาสถิติให้รุ่นพี่ด้วยแรกๆทั้งสี่คนที่ผมดูแลอยู่ในสายตา พวกเขา ไม่เคยแสดงถึงความเกลียดชังกันและกันเลยสักนิดเดียว  ต่อมานักศึกษาสองกลุ่มได้ทะเลาะชกต่อยขณะผมไม่อยู่บ้าน  

     “อาจารย์ครับ พี่ป๋องกับพี่เดชเขาลอบรุมทำร้ายผม จนปากแตกเลย” สติิ ฟ้อง   

     “ไปผิดใจกัน เรื่องอะไร เหรอ  ” ผมสอบถาม

      “ผมออกไปซื้อของกินที่หน้าวัดก็ไม่เคยไปทำอะไรให้พี่เขาเดือดร้อน เขาบอกกูหมั่นไส้และไม่ชอบขี้หน้ามึง”สติพูด

     “จบเรื่องนะ เดี๋ยวผมจะเรียก เขาทั้งสองคนให้มาขอโทษสติ ”  ผมพูด

     “ไม่ต้องหรอกครับ ผมไม่รับคำขอโทษ  วันพระไม่มีหนเดียว ” สติพูด ด้วยความอาฆาต

      ในที่สุดสติและคมได้ขอย้ายออกจากบ้านพักของผมไปเช่าบ้านอยู่กันเอง ส่วนป๋องกับเดชก็เช่นกัน   เวลาต่อมา ผมจึงกลายเป็นอริกับคนทั้งสี่ไปแบบมึนๆ ทั้งๆ ที่ผมไม่ทราบต้นสายปลายเหตุเรื่องของเขา . มาทราบภายหลังว่าสติโกรธผม เพราะเขามองว่าผมลำเอียงเข้าข้างนักศึกษาเด็กภาคเหนือ   

      จบจากรุ่นนี้ไปแล้ว  เมื่อผมมารับปิดชอบงานในฝ่ายกิจการนักศึกษา จรูญ นักศึกษาที่เป็นนักกิจกรรมได้ขอเข้ามาอาศัยอยู่กับผมด้วย ครั้งที่หอพักนักศึกษารุ่นของจรูญถูกไฟไหม้ ผมก็ได้ยกบ้านทั้งหลังให้พวกเขาอยู่กันด้วยความเต็มใจจนพวกเขาได้สำเร็จการศึกษา หลังจากนั้นมาซึ่งเป็นช่วงที่ผมกำลังขอลาบรรพชา 

     “อ.ขลุ่ย..อาจารย์ขอฝากให้เอก มาอยู่ที่บ้านด้วยคนนะ  พอดีเอกต้องมาเรียนที่นี่”อาจารย์ สวัสดิ์ พูด

    อาจารย์สวัสดิ์ เป็นอาจารย์ที่เคยสอนผม สมัยผมเรียนที่เกษตรพระจอมเกล้า ท่านได้ขอโอนย้ายมาสอนที่วิทยาลัยเกษตรกรรมในจังหวัดเชียงใหม่  

    “ได้ครับ มีห้องว่าง พอดีครับ พร้อมเมื่อไหร่ ให้เอกย้ายเข้ามาได้เลย”

    สองวันต่อมา เอกจึงได้เข้ามาพักภายในบ้านราชการที่ผมพัก  สัปดาห์ต่อมาผม จึงบรรพชาเป็นภิกษุและจำพรรษา ที่วัดในตัวเมืองระหว่างบวชหนึ่งพรรษา ผมไม่มีโอกาสได้มาดูแลบุตรชายของอาจารย์สวัสดิ์เลย    เมื่อผมสึกจากการบวชพระแล้วได้พบว่ามีอาจารย์ที่มาช่วยราชการได้เข้ามาพักภายในบ้านหลังนี้ เขาจัดการขนย้ายเสื้อผ้าของผมมายังอีกห้อง โดยพละการ   

     เอก..ต้องย้ายออกจากบ้าน เพราะถูกอาจารย์คนนี้ขับให้ออกจากบ้านพักไป นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมต้องโกรธกับเขา ที่มีให้เกียรติเจ้าบ้านที่อยู่ก่อน 

    “อาจารย์ทำอย่างนี้ผมว่าไม่เหมาะเลย  ผมรับไม่ได้จริงๆแทนที่จะรอให้ผมสึก จากพระมาก่อนแล้วจึงขอย้ายข้าวของที่ผมเก็บในห้อง  ” ผมพูด

    “ผมขอโทษ  ” เขาตอบสั้นๆ  

    “แล้วคุณไล่ หลานชายของผมให้ออกจากบ้าน ได้ไง เอกเหมือนหลานชายแท้ๆ ของผมนะ  พ่อเขาเป็นอาจารย์ที่เคยสอนผมและเขาก็มีบุญคุณกับผมมากด้วย อย่างงี้ผมก็ถูกท่านตำหนิสิ ” ผมพูด 

    เขานิ่ง..เหมือนสำนึกผิด  

    เอก ไปเเช่าบ้านอยู่ข้างนอกและถูกรีไทร์ไปในที่สุด นี่คือสิ่งที่เป็นแผลใจ ที่ผมไม่สามารถช่วยดูแลลูกของอาจารย์ที่สอนผมมา ให้สามารถสำเร็จการศึกษา ณ ที่แห่งนี้ได้   หลังจากเอกแล้ว  ผมไม่ได้รับนักศึกษารุ่นหลังๆ เข้ามาพักอีกเลย เป็นเพราะผมมีครอบครัวและหลังจากนั้นอีก 5 ปี ผมจึงมาปลูกสร้างบ้านเป็นของตนเอง  

                                          *************************************** 

    35 ปีกับชีวิิตข้าราชการครู ได้ทุ่มเทอุทิศแรงกายและแรงใจ ทุนทรัพย์ เพื่อสร้างเยาวชนให้มีคุณภาพ ยอมเสี่ยงภัยในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้พวกเขามีอนาคตที่ดี เพื่อเป็นกำลังสำคัญของประเทศ หลายๆคนมีตำแหน่งระดับสูง เป็นพัฒนา การจังหวัด เกษตรจังหวัด คลังจังหวัด ปลัดอำเภอ  ปศุสัตว์จังหวัด รวมถึงตำแหน่งนักการเมืองระดับจังหวัด เป็นสมาชิกสภาจังหวัด เทศบาลและตำบล เป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน  ในงานเลี้ยง..ครบรอบในวาระต่างๆในอดีต ผมถูกห้อมล้อมด้วยลูกศิษย์ที่เคยปลุกปั้นสร้างเขา แต่เพิ่งไม่นานนี้.. ผมต้องตัดใจไม่ไปร่วมงานอีก เพราในวันนี้ ผมรู้ตัวว่า ผมกลายเป็นหมาล่าเนื้อไปเสียแล้ว

     (ช่างเถอะ) วันเวลาเปลี่ยน. คนเปลี่ยน ลูกศิษย์ที่เราสร้างขึ้นมา ส่วนใหญ่ร้อยละ99 เปอร์เซ็นต์ เขาหลงใหลกับยศถาบรรดาศักดิ์ ..อำนาจ เงินตรา มันเป็นเรื่องธรรมดาๆ มิได้แปลกอะไร

      ผมคงไม่ได้ใส่ใจ กับสิ่งจอมปลอม สิ่งมายามนุษย์ แต่เสียดายมิตรไมตรี ความทรงจำดีๆ ที่มีต่อกันเท่านั้นเอง

             นี่…แหละ ความแตกต่างระหว่างสุนัข กับคนที่เคยให้เส้นทางอนาคตที่ดี…กับพวกเขา

                                   

                                                 ขลุ่ย   บ้านข่อย

                                                   ๑๐  ตค  ๖๖

     

      

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×