แฟ็มสะสมผลงาน - แฟ็มสะสมผลงาน นิยาย แฟ็มสะสมผลงาน : Dek-D.com - Writer

    แฟ็มสะสมผลงาน

    แฟ้มผลงาน คิอเครื่องมือที่ให้เห็นว่าบุคคลนั้นๆ มีพฤติกรรม มีกิจกรรมเด่น มีผลงาน ของตนอย่างไร ในปัจจุบันนักเรียน นักศึกษา ผู้ทำงานในองค์กร จำเป็นจะต้องทำ เพื่อให้ได้รับผลการประเมินออกมาในรูปแบบต่างๆ

    ผู้เข้าชมรวม

    91

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    91

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  5 ต.ค. 66 / 16:26 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

                                                      แฟ้มสะสมผลงาน

       ช่วงแรกๆที่ผมเป็นกรรมการสอบสัมภาษณ์ในระดับปวส. จะมีนักศึกษาทั่วสารทิศจำนวนหลายพันคน มาสมัคร สอบเรียนต่อ  ยอดนักศึกษาที่สถาบันจะรับเข้าเรียนได้เพียง 300 คนเศษ แน่นอนว่า..แม้จะไม่มีการแข่งขันกันสูงเหมือนการสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย แต่ทุกคนที่มาสอบก็หวั่นใจว่ าตนเองอาจจะพลาดการเข้าเรียนที่สถานศึกษาแห่งนี้ส่วนใหญ่การสอบสัมภาษณ์ มักจะแบ่งการสอบถามเป็นสองส่วนคือสอบถามประวัติของผู้มาสมัครสอบว่ามีพื้นฐานการศึกษาอย่างไร  ในครอบครัวมีกี่คน พ่อแม่ประกอบอาชีพอะไร  ส่วนที่สองทางด้านวิชาการ ส่วนใหญ่มักจะสอบถามเรื่อง ผลการเรียนเป็นอย่างไร วิชาที่ถนัด(ชอบ)คือวิชาอะไร วิชาที่ไม่ชอบ มีความสามารถพิเศษด้านใด  กิจกรรมที่ทำมีอะไรบ้างและรางวัลที่เคยได้รับ  นักศึกษารุ่นแรกๆที่ผมเคยสอบสัมภาษณ์แทบไม่เคยมีใครเลยสักคนเดียว ที่นำเอาแฟ้มสะสมผลงานมาแสดงให้คณะกรรมการได้ดูดังเช่น นักศึกษารายนี้

      “สวัสดีครับ  “นักศึกษาที่เข้ารับการสัมภาษณ์ทักทาย

     “เชิญนั่ง ครับ ช่วยแนะนำตัวเอง ให้ทราบด้วย “ ผมพูด

     “ผมนายสมสิทธิ์...  จบจากวิทยาลัยเกษตรกรรรม ..  เป็นรุ่นแรกมีผลการเรียน 3.8  ครับ”

     เมื่อเขาพูดมาได้เพียงเท่านี้ ก็ได้ยื่นแฟ้มเอกสารซึ่งมีความหนากว่า30-40 หน้า มาให้ผมกับกรรมการร่วมสัมภาษณ์อีกคนได้ชม  พวกเราจึงได้ร่วมกันเปิดแฟ้มเพื่ออ่านและดูรายละเอียดสิ่งที่เขายื่นมาให้ดู

       “นี่ใบประกาศเกียรติคุณ มากมายเลย  “ผมพูด

        “ครับ  “

     “แสดงว่า เราเป็นนักกิจกรรม หลายด้าน ลองเล่าให้พวกเราฟังหน่อย ว่าทำอะไรมาบ้าง “

     “ผมเป็นนายกสโมสรนักศึกษา  ครับ”

      “กิจกรรมอื่นๆ มีอะไรอีกบ้าง”

     “เป็นประธานชมรมเกษตรกรในอนาคตไทย เป็นนักฟุตบอลของวิทยาลัย เป็นตัวแทนฟุตบอลระดับเขต ครับ  “

     (“ดีจัง.นี่หากรับนายคนนี้ไว้ เราต้องได้ตัวนักฟุตบอลของสถาบันเพิ่มมาอีก “)ผมคิดในใจ

      เพียงแค่พวกเราได้เห็น..ประวัติ และเกียรติประวัติ ภาพถ่ายที่เป็นเหรียญรางวัล  ภาพถ่ายรับถ้วยรางวัล ที่เขาได้รับทำให้ผมส่งสายตาบอกกับอาจารย์ผู้ร่วมสัมภาษณ์ว่า เห็นควรที่จะรับนักศึกษาคนนี้เข้าเรียนในสถานศึกษาแห่งนี้แล้ว

     “โอเค.อาจารย์ทั้งสองคน ไม่มีอะไรจะซักถามเธออีกแล้วล่ะ เพียงขอให้เธอเตรียมตัวที่จะมาเรียน อาจารย์ขอยืนยันว่าเธอจะต้องได้เข้าเรียนที่นี่อย่างแน่นอน “ผมพูด

     “ขอบคุณครับ “เขาตอบ  พร้อมหยิบแฟ้มเอกสารกลับติดตัวไปด้วย

     การสอบสัมภาษณ์ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย. มีนักศึกษาได้นำเอาแฟ้มเอกสารผลงานมาให้กรรมการสอบสัมภาษณ์ ดูผลงานของตนบ้างประปรายแน่นอนว่าผู้นำเอาแฟ้มผลงานมาให้คณะกรรมการได้ดูเอกสารในผลงาน กิจกรรมที่ได้กระทำมาย่อมสามารถมองเห็นภาพเป็นรูปธรรมมากกว่านักศึกษาที่เพียงแต่ตอบปากเปล่า

                             ************************************ 

    “หน่วยก้านของนายสมสิทธิ์ นี่ไม่เลวเลยนะ อาจารย์องอาจ ”  ผมพูด

    “เด็กคนนี้ เรียนก็เก่ง กิจกรรมก็เด่น บุคลิกก็ดี รับเขาเข้าเรียนไว้เลย ”อ.องอาจหารือกับผม

    “ครับ  เห็นด้วยช่วงที่ผมเห็นบุคลิกเขาครั้งแรก ก็รู้สึกพึงพอใจแล้ว นี่พอได้มาฟังการพูดจาที่ฉะฉาน มีความเชื่อมั่นในตนเองบวกผลงานที่เขามียิ่งรู้สึกอยากได้เด็กคนนี้ เข้ามาเรียนในสถาบันของเรา” ผมพูด 

    ถัดมา.อีกสองสัปดาห์ เมื่อมีการประกาศผลสอบ สมสิทธิ์ก็มีรายชื่อที่จะต้องรายงานตัวเข้าเป็นนักศึกษาในสถานที่แห่งนี้  

                          ******************************************************  

    จากสมัยที่ผมเรียน ที่คณะเกษตร พระจอมเกล้า ผมจัดเป็นนักกิจกรรมที่ทุ่มเทจนมีผลงานค่อนข้างโดดเด่น แม้ผล การเรียนไม่ถึงกับดีนัก แต่ก็สามารถเอาตัวรอดตลอดการศึกษา สิ่งที่ผมภูมิใจมากคือ ผมได้รับการพิจารณาจากสถาบันให้ได้รับทุนการศึกษาถึง 4 ปี  ติดต่อกัน  ว่าไปแล้วในช่วงนั้นผมไม่เคยที่จะใช้เอกสาร ภาพถ่ายมาใช้ประกอบการพิจารณาขอรับทุนการศึกษาเลย อาจเป็นเพราะเมื่อยุค 40 ปีที่แล้ว ภาพถ่ายที่จะบันทึกกิจกรรมต่างๆ แทบจะหาใครมีกล้องถ่ายภาพเลยสักคน

    “บอกเหตุผลการขอทุนให้ครูฟังหน่อย”อาจารย์อำนวย พูด

     “ผมอยากขอทุนการศึกษามา เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับทางบ้านครับ” ผมพูด

     “พ่อกับแม่ ประกอบอาชีพอะไร  ”

     “ค้าขายครับ แม่ผมทำขนมขาย ผมมีพี่น้องทั้งหมด 9 คน ทุกคนเรียนหนังสือทั้งหมด เดือนๆ รายได้ที่แม่จะส่งเสียให้ลูกๆไม่พอต้องกู้หนี้ยืมสินจากญาติๆต้องเสียดอกเบี้ยเดือนๆก็หลายตังค์ครับ”  ผมเล่าเรื่องให้คณะกรรมการสัมภาษณ์ พิจารณาทุนการศึกษาฟัง 

    ในการขอทุนการศึกษาในแต่ละครั้งมีรุ่นพี่ รุ่นของผมและรุ่นน้องกว่าสองร้อยคน ต่างมายื่นใบสมัคร เพื่อขอรับทุนการศึกษาที่จะพิจารณาให้แก่นักศึกษาเพียง 15 ทุนเท่านั้น ผู้ที่ขอยื่นรับทุนส่วนหนึ่งก็ไม่ได้ใส่ใจหรือคาดหวังอะไรมากนัก บางคนคิดเพียงว่า การส่งใบสมัครไปก็หวังเพียงเผื่อฟลุ๊ค เท่านั้น  

    “ครูเห็นเธอ ช่วยเหลือกิจกรรมสถาบัน อย่างเสมอต้นเสมอปลายดี  ไม่เกเร  แม้จะดื่มสุราอยู่บ้าง ”อ .อำนวยพูด

     “หากผมได้รับทุนการศึกษา จะช่วยลดภาระเงินทางบ้านได้ไม่น้อยเลยครับ”

     ที่สถาบัน.ที่ผมเรียนคณะกรรมการพิจารณาทุนการศึกษาไม่ได้ประเมินผลหรือพิจารณาเฉพาะเพียงผลการเรียนอย่างเดียวแต่ยังดูถึงเรื่องความประพฤติ การทำกิจกรรมต่างๆที่ช่วยเหลือสังคมช่วยเหลืองานอาจารย์ทุกๆท่าน  นี่เอง..จึง อาจมีส่วนทำให้ผมมีคะแนนความเสน่หาอยู่บ้างไม่มากก็น้อย พูดได้ว่าสมัยอดีตพวกเรา ไม่มีใครมีแฟ้มผลงานเลยสักคน เว้นแต่ช่วงที่พวกเราใกล้จะสำเร็จปริญญาตรี  ได้มีอาจารย์ทึ่เพิ่งสำเร็จการศึกษามาใหม่ได้มาให้ข้อแนะนำพวกเรา

      “พวกเรา จะต้องมีการเตรียมทำแฟ้มผลงานไว้ เพื่อเวลาไปสมัครเรียนต่อในระดับปริญญาโท หรือสมัครสอบเข้าทำงานในบริษัทหรือส่วนราชการ เขาจะได้เห็นถึงความรู้ ความสามารถของเรา เพื่อเทียบเคียงกับผู้สมัครสอบรายอื่น ”อาจารย์ ธเนศ พูดแนะนำ  

      ผมมีโอกาส.ได้คลุกคลีกับอ.หมอธเนศ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เรียนในสาขาที่ท่านสอนเลย การที่ผมเป็นคนที่ชอบแวะเที่ยว และมุ่งศึกษามหาชีวิตมากกว่าจะอยู่แต่เพียงในห้องแคบๆกับตำราที่ครูบาอาจารย์ถ่ายทอด ซึ่งมันสามารถที่จะหาอ่านได้เองโดยเข้าห้องสมุดแล้วหยิบยืมมาอ่านที่หอพัก   สมัยที่ผมเรียน..ห้องเรียนที่เข้าไป..ก็หวังเพียงเข่้าไปนั่งเช็คชื่อเพื่อให้มีเวลาเรียนครบ 80 เปอร์เซ็นต์ เพื่อจะได้มีสิทธิในการเข้าสอบ หลายวิชาที่ผมขาดเรียนจนเกือบหมดสิทธิสอบ..เพราะอาจารย์ เช็คชื่อทุกครั้งที่เข้าขั้นสอน  

      “ผมได้ตรวจสอบแล้วนะครับ ว่าวิชาที่อาจารย์สอน ผมขาดเรียนยังไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ” ผมพูดกับอาจารย์ที่สอน 

       “โอเค งั้นรอดตัวไป  ” อาจารย์พูด 

       ผมเริ่มเก็บข้อมูลต่่างๆของกิจกรรมที่ผมกระทำและการมีส่วนร่วม  โดยพยายามลงทุนขอได้ติดภาพถ่าย เวลาทำกิจกรรมต่างๆกับเพื่อนๆ  แม้จะไม่ได้เป็นภาพเดี่ยวๆก็ขอเป็นถ่ายภาพหมู่ ภาพจะชัดหรือไม่ชัด ก็ขอให้มีไว้เป็นหลักฐานยืนยันว่า ผมได้ทำกิจกรรมนั้นจริงๆ ดังนั้นกิจกรรมงานพัฒนาสถาบัน  กิจกรรมการพัฒนาวัด   ช่วยเหลือทำความสะอาดแก่ที่ว่าการเขต สถานีตำรวจ จึงมีภาพของผมได้เข้าไปอยู่ในเฟมกับเพื่อนๆ    

    กิจกรรมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การปลูกป่าที่ป่าลานอำเภอกบินทร์บุรี  การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ที่เขาใหญ่ แม้จะไม่มีภาพถ่ายยืนยัน แต่การได้ไปร่วมกิจกรรมดังกล่าวก็สามารถใช้อ้างอิง เพื่อตอบกับกรรมการที่จะสัมภาษณ์ได้

                                    *********************************** 

    เมื่อผมเรียนจบปริญญาตรีแล้ว ผมจึงได้ทราบถึงคุณประโยชน์ของการทำแฟ้มผลงาน  เพราะมันคือหลักฐานอ้างอิงที่ทำให้ผู้พิจารณารับบุคคลเข้าทำงานได้ตรวจสอบถึงความรู้ความสามารถทัศนคติและประสบการณ์ต่างๆ  การสอบบรรจุเป็นข้าราชการของผมได้ ส่วนหนึ่งก็เกิดจากแฟ้มสะสมผลงาน แต่เมื่อผมเข้ามาทำงานแล้วแฟ้มสะสมผลงาน จึงมิได้จำเป็นเลย กับสถานที่แห่งนี้  การประเมินผลการทำงานส่วนใหญ่จึงดูที่ คนของใคร มากกว่าการคำนึงผลงานจริงๆ 

                                           ***************************************

       ตั้งแต่วันแรกผ่านมา จนก่อนสิบปีที่ผมจะเกษียณอายุราชการ ก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญขึ้น 

      “นับแต่นี้ไป.อาจารย์ทุกคนจะต้องมีการทำแฟ้มผลงาน เพื่อการประเมินผลงานอย่างเข้มข้น  หากใครที่มีคะแนนการประเมินผลการทำงานต่ำสุด 5 คน ผู้นั้นจะต้องถูกลดขั้นเงินเดือนและจะต้องถูกส่งตัวไปอบรม ” ผู้อำนวยการพูด

       ทุกสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงผู้นำองค์กร คงมีผมคนเดียวที่ไม่ยอมก้มหัว ให้กับความไม่ถูกต้อง สังคมข้าราชการของที่นี่หรือที่ไหนๆคงไม่แตกต่างกัน คือบุคคลยอมที่จะเปลี่ยนสี ปรับตัวดังสัตว์เลื้อนคลานอย่างจิ้งจกหรือกิ้งก่าพวกเขายอมที่จะเอาตัวรอด เพื่อให้ได้รับความดี ความชอบมากกว่าที่จะรักษาวัฒนธรรมองค์กรที่ดี

      “ช่างมัน อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิดแหละ” ผมคิดในใจ

     เวลานั้น อ.ชาญชัย ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บริหารขององค์กรแห่งนี้ แม้ผมกับเขาเคยสนิทกันอย่างมาก  แต่เมื่อความคิดเห็นที่แตกต่างกัน เราจึงจำเป็นต้องกลายเป็นขั้วตรงกันข้าม การที่เขาเป็นลูกน้องที่จงรักภักดีกับอธิการบดีที่เคยร่วมทุกข์สุขกันมาก่อน เขาจึงได้รับความไว้วางใจให้บริหารในองค์กรแห่งนี้ ยาวนานมา7 ปีเต็ม   

      “เราอย่าไปยอมอ่อนข้อให้มัน ถ้าเขาสั่งการให้ทำหน้าที่ใดๆเราก็ทำไป แต่คงไม่ทุ่มเท ดังที่เคยช่วยเขาดังแต่ก่อน”ผมคิด

      จริงๆแล้ว หากผมไม่แข็งข้อ ไม่วิพากษ์วิจารณ์ การทำงานของเขา เขาคงไม่จงเกลียดจงชังผมอย่างแน่นอน  สิ่งที่ผมได้รับกับผลกับการประกาศตนเป็นอริกับเขา จึงส่งผลให้เขาจ้องจับผิดกับผมตลอดเวลา  อีกทั้งบริวารที่ชอบสอพลอ ชอบประจบก็ออกมาทำหน้าที่คอยรายงานว่า ผมกำลังทำอะไร พูดอย่างไร ทุกย่างก้าวที่ผมทำงานจึงจำต้องระมัดระวัง ต้องรอบคอบ ต้องรัดกุมที่จะไม่ทำงานให้ผิดพลาดได้  เพราะหากผมทำงานผิดพลาดเพียงน้อยนิด ย่อมส่งผลต่ออนาคต และต่อชีวิตราชการ 7 ปีที่เขาเป็นผู้บริหาร ผมถูกประเมินผลงานให้มีคะแนนเกือบจะต้องถูกส่งตัวไปอบรมอย่างเฉียดฉิว  ผมต้องเครียดเสียทุกครั้งเพราะกลัวถูกกลั่นแกล้งจากเขา

       “ จากนี้ไปทางกระทรวงศึกษาได้มีข้อกำหนดว่าให้บุคคลากรทั้งคณาจารย์ และพนักงานของมหาวิทยาลัยจะต้องมีแฟ้มผลงานส่งให้คณะกรรมการประเมินผลงานปีละสองครั้ง” ผู้อำนวยการแจ้งในที่ประชุม  

     ผมได้ศึกษารูปแบบการทำแฟ้มผลงาน และดูแบบอย่างของเพื่อนๆ ร่วมงานที่ได้รับการชมเชยในที่ประชุมจากผู้บริหาร ผมได้ยึดแบบอย่างและปรับรูปแบบเป็นของตนเอง แน่นอนว่าการที่ผมไม่กินเส้นกับผู้บริหารในองค์กรและไม่ยอมก้มหัวให้กับหัวหน้าคณะวิชา เขาจึงไม่มอบหมายงานสอน งานรับผิดชอบอื่นๆให้  ดังนั้นปริมาณงานที่ผมจะนำเอามาใช้เพื่อพิจารณาให้คะแนนจึงน้อยนิด  ผมจึงพยายามเพิ่มปริมาณงานบางอย่าง เพื่อไม่ให้คะแนนการประเมินผลของผมอยู่ต่ำที่สุด ผมจะพยายามปรับตน พยายามเพิ่มงานการสอน งานวิจัย  งานพัฒนาสังคม งานศิลปะวัฒนธรรม ทั้งผมยังลงทุนซื้อกล้องถ่ายรูป เพื่อเก็บภาพกิจกรรมต่างๆ ผลงานของผมมีทั้งภาพ และมีเกียรติบัตรที่ได้รับมากมาย   เมื่อคณาจารย์ได้ส่งแฟ้มผลงานไปที่กองกลางแล้ว ผมได้ขออนุญาตเจ้าหน้าที่ ที่รวบรวมแฟ้มฯ เพื่อได้ลองเปรียบเทียบปริมาณ คุณภาพงานของเขากับของผมว่า ผมมีข้อดีและข้อด้อยอย่างไรบ้าง

    “นี่ผมส่งแฟ้มผลงาน สองเล่มเลยนะ ครั้งนี้ปริมาณงาน มีครบถ้วนทุกอย่าง หวังว่าคณะกรรมการประเมินผลงาน คงมีความยุติธรรมกับผมนะ " ผมพูดกับเจ้าหน้าที่

    “บางคน ก็ไม่ได้ส่งแฟ้มผลงานเลยค่ะ อาจารย์ขลุ่ย” เจ้าหน้าที่ บอก

     “ขอรายชื่อหน่อยสิว่ าใครที่ไม่ส่งแฟ้มฯ  เพื่อผมจะได้อ้างอิงกับกรรมการประเมินผลงาน” ผมพูด

     “อาจารย์ อย่าบอกว่าหนุูบอก นะ”

     “รับรอง ต้องเป็นความลับแน่นอน” ผมพูด

                                            ************************************* 

       ไม่ว่าผมจะมีปริมาณงานด้อยกว่าเพื่อนร่วมงานเล็กน้อย หรือมีปริมาณ-คุณภาพงานที่เหนือกว่าเพื่อนร่วมงาน   แต่ครั้นเมื่อคณะกรรมการประเมินผล ให้คะแนนออกมา คะแนนของผมก็อยู่ในกลุ่มรั้งท้ายตลอดเวลา ครั้งแรก- ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ผ่าน…ผมยังพอทำใจได้  แต่นี่เกือบสิบปีติดต่อกันมา.หากใครเป็นตัวผม ย่อมที่จะต้องปกป้องสิทธิที่พึงมีอย่างแน่นอน 

      "ผมเหลืออดแล้วนะนี่ยะ อยากถามหน่อยว่าพวกคุณมีวิธีการประเมินผลงาน อย่างไร คุณเอาเกณฑ์มาตรฐาน ปริิมาณ คุณภาพงานอย่างไร”

      “ก็มันมีเกณฑ์ ในแบบฟอร์มบอกอยู่แล้วนี่”

      “ผมทราบ แต่นี่บางคนเขาไม่มีผลงานด้านนั้นๆเลย แต่มันกลับมีคะแนน  แล้วคะแนนมันมีขึ้นมาได้อย่างไร ผมยกตัวอย่าง อย่างอ.เทวราชที่สอนพละศึกษาผลงานด้านศิลป-วัฒนธรรม งานบำเพ็ญประโยชน์งานช่วยเหลือสังคม งานวิจัยก็ไม่ได้ทำ แต่เขากลับมีคะแนน ทั้งแฟ้มผลงานเขาก็ไม่ได้ส่งอีกต่างหาก อย่างอาจารย์นรี  ดวงจันทร์  อ สมส่วน และอีกเกือบ10 คน ก็มีปริมาณไม่ครบถ้วน แล้วทำไม.คุณหลับหูหลับตาประเมินว่า เขามีผลงานดีเด่น ได้ขึ้นเงินเดือนสูงกว่าผม  มันเป็นไปได้อย่างไร ”ผมพูด ด้วยความโกรธ ในความอยุติธรรมที่ได้รับอย่างต่อเนื่อง   

     นี่ไม่ใช่เพียงยุคผอ. ชาญชัย เพียงคนเดียวเท่านั้นที่กระทำกับผม ช่วงหลังมาอีก 4 ผู้อำนวยการ พวกคุณก็ยังใช้อำนาจเถื่อนความไร้คุณธรรมกับผม ผมต้องเจอกับสังคมอุปภัมภ์ การเล่นพรรคเล่นพวก  มันช่างเลวเหลือจะกล่าวจริงๆ           พูดก็พูด .แม้ผมจะมีแฟ้มผลงานดีเลิศ ขนาดไหน ผมจะมีปริมาณมาก คุณภาพงานดี สักแค่ไหน  ก็สู้….พวกเขาไม่ได้เลยสักคน  ข้าราชการรุ่นน้อง รุ่นเดียวกันกับผม เงินเดือนข้ามหัวผมไปหมด …

    “ทำไม..ถึงทำกับผมได้  ”   

                                                 ขลุ่ย   บ้านข่อย  

                                                 (๕ ตุลาคม  ๒๕๖๖)

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×