แฟ็มสะสมผลงาน
แฟ้มผลงาน คิอเครื่องมือที่ให้เห็นว่าบุคคลนั้นๆ มีพฤติกรรม มีกิจกรรมเด่น มีผลงาน ของตนอย่างไร ในปัจจุบันนักเรียน นักศึกษา ผู้ทำงานในองค์กร จำเป็นจะต้องทำ เพื่อให้ได้รับผลการประเมินออกมาในรูปแบบต่างๆ
ผู้เข้าชมรวม
91
ผู้เข้าชมเดือนนี้
5
ผู้เข้าชมรวม
แฟ้มสะสมผลงาน
ช่วงแรกๆที่ผมเป็นกรรมการสอบสัมภาษณ์ในระดับปวส. จะมีนักศึกษาทั่วสารทิศจำนวนหลายพันคน มาสมัคร สอบเรียนต่อ ยอดนักศึกษาที่สถาบันจะรับเข้าเรียนได้เพียง 300 คนเศษ แน่นอนว่า..แม้จะไม่มีการแข่งขันกันสูงเหมือนการสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย แต่ทุกคนที่มาสอบก็หวั่นใจว่ าตนเองอาจจะพลาดการเข้าเรียนที่สถานศึกษาแห่งนี้ส่วนใหญ่การสอบสัมภาษณ์ มักจะแบ่งการสอบถามเป็นสองส่วนคือสอบถามประวัติของผู้มาสมัครสอบว่ามีพื้นฐานการศึกษาอย่างไร ในครอบครัวมีกี่คน พ่อแม่ประกอบอาชีพอะไร ส่วนที่สองทางด้านวิชาการ ส่วนใหญ่มักจะสอบถามเรื่อง ผลการเรียนเป็นอย่างไร วิชาที่ถนัด(ชอบ)คือวิชาอะไร วิชาที่ไม่ชอบ มีความสามารถพิเศษด้านใด กิจกรรมที่ทำมีอะไรบ้างและรางวัลที่เคยได้รับ นักศึกษารุ่นแรกๆที่ผมเคยสอบสัมภาษณ์แทบไม่เคยมีใครเลยสักคนเดียว ที่นำเอาแฟ้มสะสมผลงานมาแสดงให้คณะกรรมการได้ดูดังเช่น นักศึกษารายนี้
“สวัสดีครับ “นักศึกษาที่เข้ารับการสัมภาษณ์ทักทาย
“เชิญนั่ง ครับ ช่วยแนะนำตัวเอง ให้ทราบด้วย “ ผมพูด
“ผมนายสมสิทธิ์... จบจากวิทยาลัยเกษตรกรรรม .. เป็นรุ่นแรกมีผลการเรียน 3.8 ครับ”
เมื่อเขาพูดมาได้เพียงเท่านี้ ก็ได้ยื่นแฟ้มเอกสารซึ่งมีความหนากว่า30-40 หน้า มาให้ผมกับกรรมการร่วมสัมภาษณ์อีกคนได้ชม พวกเราจึงได้ร่วมกันเปิดแฟ้มเพื่ออ่านและดูรายละเอียดสิ่งที่เขายื่นมาให้ดู
“นี่ใบประกาศเกียรติคุณ มากมายเลย “ผมพูด
“ครับ “
“แสดงว่า เราเป็นนักกิจกรรม หลายด้าน ลองเล่าให้พวกเราฟังหน่อย ว่าทำอะไรมาบ้าง “
“ผมเป็นนายกสโมสรนักศึกษา ครับ”
“กิจกรรมอื่นๆ มีอะไรอีกบ้าง”
“เป็นประธานชมรมเกษตรกรในอนาคตไทย เป็นนักฟุตบอลของวิทยาลัย เป็นตัวแทนฟุตบอลระดับเขต ครับ “
(“ดีจัง.นี่หากรับนายคนนี้ไว้ เราต้องได้ตัวนักฟุตบอลของสถาบันเพิ่มมาอีก “)ผมคิดในใจ
เพียงแค่พวกเราได้เห็น..ประวัติ และเกียรติประวัติ ภาพถ่ายที่เป็นเหรียญรางวัล ภาพถ่ายรับถ้วยรางวัล ที่เขาได้รับทำให้ผมส่งสายตาบอกกับอาจารย์ผู้ร่วมสัมภาษณ์ว่า เห็นควรที่จะรับนักศึกษาคนนี้เข้าเรียนในสถานศึกษาแห่งนี้แล้ว
“โอเค.อาจารย์ทั้งสองคน ไม่มีอะไรจะซักถามเธออีกแล้วล่ะ เพียงขอให้เธอเตรียมตัวที่จะมาเรียน อาจารย์ขอยืนยันว่าเธอจะต้องได้เข้าเรียนที่นี่อย่างแน่นอน “ผมพูด
“ขอบคุณครับ “เขาตอบ พร้อมหยิบแฟ้มเอกสารกลับติดตัวไปด้วย
การสอบสัมภาษณ์ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย. มีนักศึกษาได้นำเอาแฟ้มเอกสารผลงานมาให้กรรมการสอบสัมภาษณ์ ดูผลงานของตนบ้างประปรายแน่นอนว่าผู้นำเอาแฟ้มผลงานมาให้คณะกรรมการได้ดูเอกสารในผลงาน กิจกรรมที่ได้กระทำมาย่อมสามารถมองเห็นภาพเป็นรูปธรรมมากกว่านักศึกษาที่เพียงแต่ตอบปากเปล่า
************************************
“หน่วยก้านของนายสมสิทธิ์ นี่ไม่เลวเลยนะ อาจารย์องอาจ ” ผมพูด
“เด็กคนนี้ เรียนก็เก่ง กิจกรรมก็เด่น บุคลิกก็ดี รับเขาเข้าเรียนไว้เลย ”อ.องอาจหารือกับผม
“ครับ เห็นด้วยช่วงที่ผมเห็นบุคลิกเขาครั้งแรก ก็รู้สึกพึงพอใจแล้ว นี่พอได้มาฟังการพูดจาที่ฉะฉาน มีความเชื่อมั่นในตนเองบวกผลงานที่เขามียิ่งรู้สึกอยากได้เด็กคนนี้ เข้ามาเรียนในสถาบันของเรา” ผมพูด
ถัดมา.อีกสองสัปดาห์ เมื่อมีการประกาศผลสอบ สมสิทธิ์ก็มีรายชื่อที่จะต้องรายงานตัวเข้าเป็นนักศึกษาในสถานที่แห่งนี้
******************************************************
จากสมัยที่ผมเรียน ที่คณะเกษตร พระจอมเกล้า ผมจัดเป็นนักกิจกรรมที่ทุ่มเทจนมีผลงานค่อนข้างโดดเด่น แม้ผล การเรียนไม่ถึงกับดีนัก แต่ก็สามารถเอาตัวรอดตลอดการศึกษา สิ่งที่ผมภูมิใจมากคือ ผมได้รับการพิจารณาจากสถาบันให้ได้รับทุนการศึกษาถึง 4 ปี ติดต่อกัน ว่าไปแล้วในช่วงนั้นผมไม่เคยที่จะใช้เอกสาร ภาพถ่ายมาใช้ประกอบการพิจารณาขอรับทุนการศึกษาเลย อาจเป็นเพราะเมื่อยุค 40 ปีที่แล้ว ภาพถ่ายที่จะบันทึกกิจกรรมต่างๆ แทบจะหาใครมีกล้องถ่ายภาพเลยสักคน
“บอกเหตุผลการขอทุนให้ครูฟังหน่อย”อาจารย์อำนวย พูด
“ผมอยากขอทุนการศึกษามา เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับทางบ้านครับ” ผมพูด
“พ่อกับแม่ ประกอบอาชีพอะไร ”
“ค้าขายครับ แม่ผมทำขนมขาย ผมมีพี่น้องทั้งหมด 9 คน ทุกคนเรียนหนังสือทั้งหมด เดือนๆ รายได้ที่แม่จะส่งเสียให้ลูกๆไม่พอต้องกู้หนี้ยืมสินจากญาติๆต้องเสียดอกเบี้ยเดือนๆก็หลายตังค์ครับ” ผมเล่าเรื่องให้คณะกรรมการสัมภาษณ์ พิจารณาทุนการศึกษาฟัง
ในการขอทุนการศึกษาในแต่ละครั้งมีรุ่นพี่ รุ่นของผมและรุ่นน้องกว่าสองร้อยคน ต่างมายื่นใบสมัคร เพื่อขอรับทุนการศึกษาที่จะพิจารณาให้แก่นักศึกษาเพียง 15 ทุนเท่านั้น ผู้ที่ขอยื่นรับทุนส่วนหนึ่งก็ไม่ได้ใส่ใจหรือคาดหวังอะไรมากนัก บางคนคิดเพียงว่า การส่งใบสมัครไปก็หวังเพียงเผื่อฟลุ๊ค เท่านั้น
“ครูเห็นเธอ ช่วยเหลือกิจกรรมสถาบัน อย่างเสมอต้นเสมอปลายดี ไม่เกเร แม้จะดื่มสุราอยู่บ้าง ”อ .อำนวยพูด
“หากผมได้รับทุนการศึกษา จะช่วยลดภาระเงินทางบ้านได้ไม่น้อยเลยครับ”
ที่สถาบัน.ที่ผมเรียนคณะกรรมการพิจารณาทุนการศึกษาไม่ได้ประเมินผลหรือพิจารณาเฉพาะเพียงผลการเรียนอย่างเดียวแต่ยังดูถึงเรื่องความประพฤติ การทำกิจกรรมต่างๆที่ช่วยเหลือสังคมช่วยเหลืองานอาจารย์ทุกๆท่าน นี่เอง..จึง อาจมีส่วนทำให้ผมมีคะแนนความเสน่หาอยู่บ้างไม่มากก็น้อย พูดได้ว่าสมัยอดีตพวกเรา ไม่มีใครมีแฟ้มผลงานเลยสักคน เว้นแต่ช่วงที่พวกเราใกล้จะสำเร็จปริญญาตรี ได้มีอาจารย์ทึ่เพิ่งสำเร็จการศึกษามาใหม่ได้มาให้ข้อแนะนำพวกเรา
“พวกเรา จะต้องมีการเตรียมทำแฟ้มผลงานไว้ เพื่อเวลาไปสมัครเรียนต่อในระดับปริญญาโท หรือสมัครสอบเข้าทำงานในบริษัทหรือส่วนราชการ เขาจะได้เห็นถึงความรู้ ความสามารถของเรา เพื่อเทียบเคียงกับผู้สมัครสอบรายอื่น ”อาจารย์ ธเนศ พูดแนะนำ
ผมมีโอกาส.ได้คลุกคลีกับอ.หมอธเนศ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เรียนในสาขาที่ท่านสอนเลย การที่ผมเป็นคนที่ชอบแวะเที่ยว และมุ่งศึกษามหาชีวิตมากกว่าจะอยู่แต่เพียงในห้องแคบๆกับตำราที่ครูบาอาจารย์ถ่ายทอด ซึ่งมันสามารถที่จะหาอ่านได้เองโดยเข้าห้องสมุดแล้วหยิบยืมมาอ่านที่หอพัก สมัยที่ผมเรียน..ห้องเรียนที่เข้าไป..ก็หวังเพียงเข่้าไปนั่งเช็คชื่อเพื่อให้มีเวลาเรียนครบ 80 เปอร์เซ็นต์ เพื่อจะได้มีสิทธิในการเข้าสอบ หลายวิชาที่ผมขาดเรียนจนเกือบหมดสิทธิสอบ..เพราะอาจารย์ เช็คชื่อทุกครั้งที่เข้าขั้นสอน
“ผมได้ตรวจสอบแล้วนะครับ ว่าวิชาที่อาจารย์สอน ผมขาดเรียนยังไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ” ผมพูดกับอาจารย์ที่สอน
“โอเค งั้นรอดตัวไป ” อาจารย์พูด
ผมเริ่มเก็บข้อมูลต่่างๆของกิจกรรมที่ผมกระทำและการมีส่วนร่วม โดยพยายามลงทุนขอได้ติดภาพถ่าย เวลาทำกิจกรรมต่างๆกับเพื่อนๆ แม้จะไม่ได้เป็นภาพเดี่ยวๆก็ขอเป็นถ่ายภาพหมู่ ภาพจะชัดหรือไม่ชัด ก็ขอให้มีไว้เป็นหลักฐานยืนยันว่า ผมได้ทำกิจกรรมนั้นจริงๆ ดังนั้นกิจกรรมงานพัฒนาสถาบัน กิจกรรมการพัฒนาวัด ช่วยเหลือทำความสะอาดแก่ที่ว่าการเขต สถานีตำรวจ จึงมีภาพของผมได้เข้าไปอยู่ในเฟมกับเพื่อนๆ
กิจกรรมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การปลูกป่าที่ป่าลานอำเภอกบินทร์บุรี การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ที่เขาใหญ่ แม้จะไม่มีภาพถ่ายยืนยัน แต่การได้ไปร่วมกิจกรรมดังกล่าวก็สามารถใช้อ้างอิง เพื่อตอบกับกรรมการที่จะสัมภาษณ์ได้
***********************************
เมื่อผมเรียนจบปริญญาตรีแล้ว ผมจึงได้ทราบถึงคุณประโยชน์ของการทำแฟ้มผลงาน เพราะมันคือหลักฐานอ้างอิงที่ทำให้ผู้พิจารณารับบุคคลเข้าทำงานได้ตรวจสอบถึงความรู้ความสามารถทัศนคติและประสบการณ์ต่างๆ การสอบบรรจุเป็นข้าราชการของผมได้ ส่วนหนึ่งก็เกิดจากแฟ้มสะสมผลงาน แต่เมื่อผมเข้ามาทำงานแล้วแฟ้มสะสมผลงาน จึงมิได้จำเป็นเลย กับสถานที่แห่งนี้ การประเมินผลการทำงานส่วนใหญ่จึงดูที่ คนของใคร มากกว่าการคำนึงผลงานจริงๆ
***************************************
ตั้งแต่วันแรกผ่านมา จนก่อนสิบปีที่ผมจะเกษียณอายุราชการ ก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญขึ้น
“นับแต่นี้ไป.อาจารย์ทุกคนจะต้องมีการทำแฟ้มผลงาน เพื่อการประเมินผลงานอย่างเข้มข้น หากใครที่มีคะแนนการประเมินผลการทำงานต่ำสุด 5 คน ผู้นั้นจะต้องถูกลดขั้นเงินเดือนและจะต้องถูกส่งตัวไปอบรม ” ผู้อำนวยการพูด
ทุกสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงผู้นำองค์กร คงมีผมคนเดียวที่ไม่ยอมก้มหัว ให้กับความไม่ถูกต้อง สังคมข้าราชการของที่นี่หรือที่ไหนๆคงไม่แตกต่างกัน คือบุคคลยอมที่จะเปลี่ยนสี ปรับตัวดังสัตว์เลื้อนคลานอย่างจิ้งจกหรือกิ้งก่าพวกเขายอมที่จะเอาตัวรอด เพื่อให้ได้รับความดี ความชอบมากกว่าที่จะรักษาวัฒนธรรมองค์กรที่ดี
“ช่างมัน อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิดแหละ” ผมคิดในใจ
เวลานั้น อ.ชาญชัย ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บริหารขององค์กรแห่งนี้ แม้ผมกับเขาเคยสนิทกันอย่างมาก แต่เมื่อความคิดเห็นที่แตกต่างกัน เราจึงจำเป็นต้องกลายเป็นขั้วตรงกันข้าม การที่เขาเป็นลูกน้องที่จงรักภักดีกับอธิการบดีที่เคยร่วมทุกข์สุขกันมาก่อน เขาจึงได้รับความไว้วางใจให้บริหารในองค์กรแห่งนี้ ยาวนานมา7 ปีเต็ม
“เราอย่าไปยอมอ่อนข้อให้มัน ถ้าเขาสั่งการให้ทำหน้าที่ใดๆเราก็ทำไป แต่คงไม่ทุ่มเท ดังที่เคยช่วยเขาดังแต่ก่อน”ผมคิด
จริงๆแล้ว หากผมไม่แข็งข้อ ไม่วิพากษ์วิจารณ์ การทำงานของเขา เขาคงไม่จงเกลียดจงชังผมอย่างแน่นอน สิ่งที่ผมได้รับกับผลกับการประกาศตนเป็นอริกับเขา จึงส่งผลให้เขาจ้องจับผิดกับผมตลอดเวลา อีกทั้งบริวารที่ชอบสอพลอ ชอบประจบก็ออกมาทำหน้าที่คอยรายงานว่า ผมกำลังทำอะไร พูดอย่างไร ทุกย่างก้าวที่ผมทำงานจึงจำต้องระมัดระวัง ต้องรอบคอบ ต้องรัดกุมที่จะไม่ทำงานให้ผิดพลาดได้ เพราะหากผมทำงานผิดพลาดเพียงน้อยนิด ย่อมส่งผลต่ออนาคต และต่อชีวิตราชการ 7 ปีที่เขาเป็นผู้บริหาร ผมถูกประเมินผลงานให้มีคะแนนเกือบจะต้องถูกส่งตัวไปอบรมอย่างเฉียดฉิว ผมต้องเครียดเสียทุกครั้งเพราะกลัวถูกกลั่นแกล้งจากเขา
“ จากนี้ไปทางกระทรวงศึกษาได้มีข้อกำหนดว่าให้บุคคลากรทั้งคณาจารย์ และพนักงานของมหาวิทยาลัยจะต้องมีแฟ้มผลงานส่งให้คณะกรรมการประเมินผลงานปีละสองครั้ง” ผู้อำนวยการแจ้งในที่ประชุม
ผมได้ศึกษารูปแบบการทำแฟ้มผลงาน และดูแบบอย่างของเพื่อนๆ ร่วมงานที่ได้รับการชมเชยในที่ประชุมจากผู้บริหาร ผมได้ยึดแบบอย่างและปรับรูปแบบเป็นของตนเอง แน่นอนว่าการที่ผมไม่กินเส้นกับผู้บริหารในองค์กรและไม่ยอมก้มหัวให้กับหัวหน้าคณะวิชา เขาจึงไม่มอบหมายงานสอน งานรับผิดชอบอื่นๆให้ ดังนั้นปริมาณงานที่ผมจะนำเอามาใช้เพื่อพิจารณาให้คะแนนจึงน้อยนิด ผมจึงพยายามเพิ่มปริมาณงานบางอย่าง เพื่อไม่ให้คะแนนการประเมินผลของผมอยู่ต่ำที่สุด ผมจะพยายามปรับตน พยายามเพิ่มงานการสอน งานวิจัย งานพัฒนาสังคม งานศิลปะวัฒนธรรม ทั้งผมยังลงทุนซื้อกล้องถ่ายรูป เพื่อเก็บภาพกิจกรรมต่างๆ ผลงานของผมมีทั้งภาพ และมีเกียรติบัตรที่ได้รับมากมาย เมื่อคณาจารย์ได้ส่งแฟ้มผลงานไปที่กองกลางแล้ว ผมได้ขออนุญาตเจ้าหน้าที่ ที่รวบรวมแฟ้มฯ เพื่อได้ลองเปรียบเทียบปริมาณ คุณภาพงานของเขากับของผมว่า ผมมีข้อดีและข้อด้อยอย่างไรบ้าง
“นี่ผมส่งแฟ้มผลงาน สองเล่มเลยนะ ครั้งนี้ปริมาณงาน มีครบถ้วนทุกอย่าง หวังว่าคณะกรรมการประเมินผลงาน คงมีความยุติธรรมกับผมนะ " ผมพูดกับเจ้าหน้าที่
“บางคน ก็ไม่ได้ส่งแฟ้มผลงานเลยค่ะ อาจารย์ขลุ่ย” เจ้าหน้าที่ บอก
“ขอรายชื่อหน่อยสิว่ าใครที่ไม่ส่งแฟ้มฯ เพื่อผมจะได้อ้างอิงกับกรรมการประเมินผลงาน” ผมพูด
“อาจารย์ อย่าบอกว่าหนุูบอก นะ”
“รับรอง ต้องเป็นความลับแน่นอน” ผมพูด
*************************************
ไม่ว่าผมจะมีปริมาณงานด้อยกว่าเพื่อนร่วมงานเล็กน้อย หรือมีปริมาณ-คุณภาพงานที่เหนือกว่าเพื่อนร่วมงาน แต่ครั้นเมื่อคณะกรรมการประเมินผล ให้คะแนนออกมา คะแนนของผมก็อยู่ในกลุ่มรั้งท้ายตลอดเวลา ครั้งแรก- ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ผ่าน…ผมยังพอทำใจได้ แต่นี่เกือบสิบปีติดต่อกันมา.หากใครเป็นตัวผม ย่อมที่จะต้องปกป้องสิทธิที่พึงมีอย่างแน่นอน
"ผมเหลืออดแล้วนะนี่ยะ อยากถามหน่อยว่าพวกคุณมีวิธีการประเมินผลงาน อย่างไร คุณเอาเกณฑ์มาตรฐาน ปริิมาณ คุณภาพงานอย่างไร”
“ก็มันมีเกณฑ์ ในแบบฟอร์มบอกอยู่แล้วนี่”
“ผมทราบ แต่นี่บางคนเขาไม่มีผลงานด้านนั้นๆเลย แต่มันกลับมีคะแนน แล้วคะแนนมันมีขึ้นมาได้อย่างไร ผมยกตัวอย่าง อย่างอ.เทวราชที่สอนพละศึกษาผลงานด้านศิลป-วัฒนธรรม งานบำเพ็ญประโยชน์งานช่วยเหลือสังคม งานวิจัยก็ไม่ได้ทำ แต่เขากลับมีคะแนน ทั้งแฟ้มผลงานเขาก็ไม่ได้ส่งอีกต่างหาก อย่างอาจารย์นรี ดวงจันทร์ อ สมส่วน และอีกเกือบ10 คน ก็มีปริมาณไม่ครบถ้วน แล้วทำไม.คุณหลับหูหลับตาประเมินว่า เขามีผลงานดีเด่น ได้ขึ้นเงินเดือนสูงกว่าผม มันเป็นไปได้อย่างไร ”ผมพูด ด้วยความโกรธ ในความอยุติธรรมที่ได้รับอย่างต่อเนื่อง
นี่ไม่ใช่เพียงยุคผอ. ชาญชัย เพียงคนเดียวเท่านั้นที่กระทำกับผม ช่วงหลังมาอีก 4 ผู้อำนวยการ พวกคุณก็ยังใช้อำนาจเถื่อนความไร้คุณธรรมกับผม ผมต้องเจอกับสังคมอุปภัมภ์ การเล่นพรรคเล่นพวก มันช่างเลวเหลือจะกล่าวจริงๆ พูดก็พูด .แม้ผมจะมีแฟ้มผลงานดีเลิศ ขนาดไหน ผมจะมีปริมาณมาก คุณภาพงานดี สักแค่ไหน ก็สู้….พวกเขาไม่ได้เลยสักคน ข้าราชการรุ่นน้อง รุ่นเดียวกันกับผม เงินเดือนข้ามหัวผมไปหมด …
“ทำไม..ถึงทำกับผมได้ ”
ขลุ่ย บ้านข่อย
(๕ ตุลาคม ๒๕๖๖)
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย
ความคิดเห็น