พันธุกรรมที่แย่
จากที่เคยเป็นคนมีมารยาท มีน้ำใจกลับเปลี่ยนแปลงไป แบบหน้ามือเป็นหลังมือ ผมแทบจะไม่อยากเชื่อเลยว่า ทั้งคนที่เป็นตา บุตรสาวและ หลานของเขา จะมีพฤติกรรมที่ละม้ายคล้ายกันตามยีนพันธุกรรม ที่ถ่ายทอดออกมา
ผู้เข้าชมรวม
78
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
พันธุกรรมที่แย่..
ยาใจ เป็นลูกศิษย์ที่ผมเคยเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา เคยสอนมา และทั้งยังเคยช่วยเหลือให้เธอรอดพ้นจากการถูกรีไทร์ช่วงสมัยเรียน ปวช. สาขาบริหารธุรกิจ ยาใจ เป็นลูกสาวคนโตของนายสวัสดิ์ พนักงานขับรถ อีกหน่วยงานหนึ่งที่สังกัดกรมในกรมเดียวกันกับที่ผมทำงาน ผมกับนายสวัสดิ์รู้จักกันเพียงผิวเผิน ช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ หน่วยงานพี่หน่วยงานน้องจะจัดงานเลี้ยง ผมกับเขาจึงได้มีโอกาสได้นั่งสังสรรค์พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน
ผมเห็นยาใจ ตั้งแต่เธอเรียนชั้นประถม 3 จนเรียนจบชั้นมัธยมตอนต้น หลังจากที่เธอจบชั้น ม.ต้นแล้ว นายสวัสดิ์ จึงฝากบุตรสาวให้เข้าเรียนที่สถาบันแห่งนี้ ปีนี้เป็นปีแรกที่มีการทดลองเปิดสอนในระดับปวช. ผมได้ถูกมอบหมายให้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของนักศึกษากลุ่มนี้เพียงแค่เทอมแรก ปีแรกที่เพิ่งมีการเปิดสอนมีนักศึกษาที่อยู่ในเกณฑ์จะถุูกรีไทร์เกือบ 20 คน หนึ่งในจำนวนดังกล่าวคือ ยาใจนั่นเอง และในเทอมเดียวกันนี้ มีนักศึกษาถูกรีไทร์ไป 10 คน
นศ.ที่อยู่ในเกณฑ์ที่ถูกรีไทร์ ณ เวลานั้น เริ่มมีอาการเสียขวัญ ยาใจ จากที่เคยเป็นคนร่าเริงกับซึมเซาอย่างผิดสังเกต ในฐานะที่ผมเป็นอาจารยที่ปรึกษา จึงได้เรียกนักศึกษาที่มีเกรดต่ำกว่า 2.00 เข้าพบ เพื่อวางแผนการลงทะเบียนเรียนให้ ยาใจ สามารถเรียนจบชั้นปวช. ปวส..และสามารถสอบเรียนต่อในระดับปริญญาตรี ในสถาบันอีกแห่ง ในจังหวัด จากนั้นบิดาของเธอได้วิ่งเต้นฝากให้เข้าทำงานในที่เดียวกัน แรกๆที่เธอพบกับผม ในร้านค้าสวัสดิการของสถาบัน เธอจะเป็นฝ่ายทักทายก่อนเสมอ
**********************************
ครั้งที่ผมยังเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของยาใจ ได้เห็นภาพเด็กสาวหน้าตาดี ยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นคนดีมีน้ำใจให้เพื่อนๆ และครูบาอาจารย์ เวลามีปัญหาเรื่องการเรียน หรือปัญหาส่วนตัว เธอมักจะมาขอคำแนะนำปรึกษาเสมอๆ ยาใจเป็นคนสุภาพ นอบน้อม ผมยังนึกชมเชยและเคยเปรียบเทียบกับลูกพนักงาน ในหน่วยงานแห่งว่า เด็กสาวคนนี้ .ช่างแสนดีจริงๆ วันหนึ่ง ผมได้ขี่จักรยานยนต์ขึ้นไปยังที่ทำงานซึ่งสังกัดกรมเดียวกันแต่ต่างบทบาทหน้าที่กัน วันนี้ผมตั้งใจจะมาหาอาจารย์ธำรงค์ซึ่งมาบรรจุพร้อมกัน ขณะที่ผมเดินผ่านห้องธุรการ .ได้ยินเสียงทักทายออกมา
“อาจารย์มาหาใครคะ ” ยาใจทักทาย
“อาจารย์ธำรงค์ น่ะ ครับ”
“อาจารย์ เข้าไปในเมืองค่ะ เพิ่งออกไปเมื่อครู่นี้ นี่เองค่ะ มีอะไรจะให้หนูช่วย หรือฝากบอกถึงอาจารย์ บ้างคะ ”
“ไม่มีหรอก ผมแวะมาคุยธุระ เล็กน้อยเอง ”
ผมเกิดความรู้สึกประทับใจ กับลูกศิษย์คนนี้ ที่มีน้ำใจดีงาม เวลาผ่านไปอีก 2 ปี …ผมพบยาใจที่ห้องเดิมในที่ทำงานของเธอ ที่ร้านค้าสวัสดิการ ตลาดของหมู่บ้านและทุกๆที่ ที่พบกัน ยาใจเมินเฉยทำเหมือนคนไม่รู้จัก ผมพยายามคิดในทางบวก
“เธอคงอายคน จึงไม่กล้ายกมือไหว้ กระมัง นี่ขนาดเดินสวนกันไปมาตั้งหลายรอบแล้ว ”ผมคิด
“ช่างเถอะ เวลาเปลี่ยน คนอาจเปลี่ยน อย่าไปฟุ้งซ่าน ” ผมคิด เพื่อความสบายใจ
ผมพยายามหาคำคอบ..ว่าทำไม ???? ยาใจ จึงเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคนไปได้ เธอเกลียด หรือเธอโกรธเราด้วยเรื่องอันใดหรือ ผมพยายามนึกๆๆว่า.. ผมไปทำอะไรให้เธอถึงกับจงเกลียดจงชังถึงขั้นผีไม่เผากัน ปรากฎว่า หาคำตอบไม่ได้จริงๆ แต่…พอจะ สันนิษฐานของต้นตอของปัญหานี้ได้ คือ….
ช่วงหนึ่ง..ที่ผมกำลังสร้างบ้าน ซึ่งกำลังใกล้จะเสร็จ ขณะที่ผมได้ร่วมวงดื่มสุรากับผู้รับเหมากับลูกน้องอีก 4 คน จู่ๆ พี่สวัสดิ์ พ่อของยาใจซึ่งขี่จักรยานผ่านหน้าบ้านที่พวกเรานั่ง ก็แวะลงมานั่ง แม้เขาไม่ได้ถูกเชิญ.. แต่โดยมารยาทในฐานะที่ผมเป็นเจ้าบ้้านจึงเรียกเขามานั่งล้อมวงด้วย
“เชิญครับพี่ ไปไหนมาหรือครับ” ผมพูด
“ไปตลาดพอดีเห็นผู้รับเหมาก่อสร้าง เลยแวะมาหา ครับ ”
“สักแก้วครับ พี่หวัด ” ผู้รับเหมา พูด พร้อมเทเหล้าพื้นบ้านส่งให้ เขายื่นมือมารับพร้อมกระดกเข้าปาก พร้อมยื่นมือไปตักกับแกล้มเข้าปาก มันเป็นเรื่องที่แปลก ที่ร้อยวันพันปี เขาไม่เคยที่จะแวะคุยกับผม แต่วันนี้ ลมเพลมพัดหอบเขามาถึงถิ่นที่ผมอยู่ได้อย่างไร ผมก็ยังสงสัย ผมพยายามรักษามารยาทเจ้าบ้านที่ดี เขาเดินเข้ามานั่งฝั่งตรงกันข้ามกับที่ผมนัั่ง บรรยากาศการดื่มเหล้ากำลังเพลิดเพลิน มีการร้องรำทำเพลง มีเพียงพี่สวัสดิ์เพียงคนเดียว ที่ลุกจากที่นั่งแล้วเดินไปเด็ดสมุนไพรที่ผมปลูกอย่างเช่นพริก ใบมะกรูด ใบย่านาง ใบตำลึง โดยมิได้ขออนุญาตเจ้าบ้านเลย ผมมองเขาด้วยสายตาเชิงตำหนิ พยายามข่มใจ เขาเด็ดพืชชนิดต่างๆได้หอบใหญ่ จากนั้นยังถือวิสาสะ เดินรอบบ้านของผมเพื่อหาหนังสือพิมพ์เก่ามาห่อพืชที่เขาเก็บมา
“มันช่างไร้มารยาท จริงนายคนนี้ ” ผมคิดในใจ
ทุกคนในวงเหล้ามองพฤติกรรมที่นายสวัสดิ์ กระทำ ต่างมองว่าพี่สวัสดิ์ละเมิดสิทธิส่วนุคคลจนน่าเกลียด เมื่อผมหมดความอดทนจึงได้ถามออกไป
“พี่ครับ ผมขอถามหน่อยว่า ผักพวกนี้ พี่มาปลูกตั้งแต่เมื่อไหร่ จริงๆ ถ้าต้องการจะนำไปกิน ก็ควรจะขอกันก่อน ผมไม่ได้หวงอะไรเลย ถามช่างพวกนี้ดูก็ได้ เขาก็เคยขอผมเอาไปกิน" ผมพูด
เขานิ่งไม่ตอบอะไร .. หนำซ้ำยังมานั่งดื่มเหล้าในวง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งยังเสียมารยาทในการนำเหล้ามาเทดื่มกินหน้าตาเฉย ผมเห็นกิริยาของเขาเช่นนี้ จึงเกิดความรู้สึก ..ที่รู้สึกจะไม่มีความสุขอีกแล้ว
“เดี๋ยวเราดื่มกันอีกคนละหนึ่งรอบ แล้วปิดวงนะ ” ผมพูด ทุกคนเห็นด้วย หลังจากดื่มกันครบรอบแล้ว พวกเราทุกคนจึงทยอยกันกลับบ้าน เขาจูงจักรยานไปที่ถนนแล้วขี่กลับบ้าน ในใจเขาคิดอะไรกับผม ผมเดาไม่ถูก….??
นี่คือประเด็นเดียว ที่ผมคิดว่าเรื่องนี้ พี่สวัสดิ์คงอาจนำเรื่องราวดังกล่า วไปเล่าให้ยาใจฟัง และนี่จึงเป็นสาเหตุให้ยาใจเกลียดผมก็อาจเป็นได้ ระยะหลังๆเวลาที่ผมพบพี่สวัสดิ์ในงานสังคม เช่นงานขึ้นบ้านใหม่ งานบวช เขาจะมึนตึงเรียบเฉยอาจมีทักทายกันบ้าง ก็เป็นไปโดยมารยาทเท่านั้น และหากจะต้องนั่งกินเลี้ยงในโต๊ะเดียวกัน ผมกับเขาต่างก็ไม่ได้ปริปากพูดคุยกัน ท่ามกลางความสงสัยของคนอื่นๆ โดยปกติผมจะไม่เอาเรื่องไร้สาระมาคิดให้เปลืองสมอง แต่สำหรับพี่สว้สดิ์ มันกับเป็นเรื่องที่ผิดปกติ เพราะเขาเป็นฝ่ายแสดงออกถึงความยะโส เนื่องจากเขามีความใกล้ชิดกับผู้บริหารเป็นการส่วนตัว ดังกรณีที่ยาใจได้เข้าทำงาน เพราะใช้ระบบเส้นสายและมีประโยชน์ต่างตอบแทนกันและกัน นับแต่ยาใจ เคยทำดีกับผม เพียงครั้งเดียว.. ครั้งที่พบกันที่หน้าห้องธุรการในที่ทำงานของเธอแล้ว ต่อจากนั้นเธอกลับมึนตึง เฉยเมย แกล้งทำเป็นไม่รู้จักผมเรื่อยมา นับเป็นความเจ็บปวดไม่น้อยสิ่งที่เคยมองว่า เด็กคนนี้ เป็นคนดีมีน้ำใจ วันนี้….มันไม่ใช่แล้ว ยาใจคนนี้ ไม่ใช่คนเดิมที่เพื่อนๆและครูอาจารย์เคยชื่นชมเมื่อครั้งอดีต
“ปล่อยเขาไปเถอะ กรรมใดใครด่อ กรรมนั้นคืนสอง ” ผมคิดในใจ
คิดได้ดังนี้..ผมจึงรู้สึกสบายใจมากขึ้น จากนี้..ขอให้นึกเถิดว่า ยาใจคนนี้ ผมไม่เคยรู้จัก ผมไม่เคยสอนหนังสือเธอ ผมไม่เคยช่วยเหลือเธอ จิตใจจึงสงบและรู้สึกสบายใจ
***************************************
ที่ร้านสะดวกซื้อ ปากทางเข้าสถาบันการศึกษา ผมเข้าไปหาซื้อหนังสือพิมพ์ ซื้อขนม รวมของเบ็ดเตล็ดต่างๆเพื่อนำมาใช้กินกับกาแฟและปรุงอาหาร เมื่อเลือกซื้อได้แล้วจึงเตรียมนำเอาสิ่งของไปให้แคชเชียร์คิดเงิน ผมยืนต่อแถว ท่ามกลางลูกค้าคนอื่นๆ ผมได้พบยาใจกับลูกสาวของเธอซึ่งกำลังเดินผ่านประตูเข้ามาในร้านและไล่ๆกันมานั้น มีลูกศิษย์ รุ่นแรกๆ ที่ผมเคยสอนได้เดินมาทักทายด้วยการยกมือไหว้ ผมรับไหว้เขา
“อาจารย์ มาซื้ออะไรหรือครับ ”นิวัฒน์ ทักทาย
นิวัฒน์ เป็นศิษย์รุ่นแรกๆ ที่ผมสอนเขา วันนี้อายุของเขาเข้าเลข 5 แล้ว สำหรับยาใจเพิ่งจะมีอายุใกล้ 30 ปี
“มาซื้อหนังสือพิมพ์กับซาลาเปา จะเอาไปกินกับกาแฟ น่ะ ” ผมพูด
“ เดี๋ยวนี้ วัฒน์ ยังทำงานอยู่่ที่เดิมหรือเปล่า ”
“บริษัท..ให้ผมไปทำงานที่จังหวัดแพร่ครับ ”
“ลูกๆล่ะ ทำงานกันหรือยัง ”
“ ทำงานกับผมครับ พอดีบริษัทต้องการช่างไฟฟ้าพอดี ลูกผมเรียนจบวิทยาลัยเทคนิค แผนกไฟฟ้าครับ”
“ดีเลย พ่อลูก ทำงานด้วยกัน ”
ระหว่างที่ผมยืนคุยกับนิวัฒน์ลูกศิษย์รุ่นอาวุโส..แม้ยาใจจะเห็นผม เธอกลับนิ่ง.เมินเฉย เหมืิอนคนไม่รู้จักกันผมค่อนข้าง งงงวยกับพฤติกรรมของเด็กรุ่นหลังที่เป็นศิษย์ที่ผมเคยช่วยเหลือเกื้อกูลให้อนาคตเธอจนมีหน้ามีตา แต่กลับมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมทั้งปัจจุบันเธอก็มีบุตรแล้วควรน่าจะเป็นแบบอย่างที่ดี วันนี้เด็กหญิงวัย 4 ขวบ ซึ่งไร้เดียงสา กลับถูกพ่อแม่รังแกฉัน ในการบ่มเพาะ สิ่งที่เป็นความหยาบกระด้าง เรื่องอย่างนี้..ผมคงไม่โทษเด็ก โดยปกติที่ผมเคยพบลูกศิษย์ที่มีลูก พวกเธอมักจะบอกลูกๆ ว่า
“สวัสดีคุณครู ของแม่สิลูก”และเด็กๆ เหล่านั้นก็จะปฎิบัติิตาม จากที่ดูกิริยาของแม่ลูกคู่นี้ ดูจะเป็นคนแข็งกร้าว ไม่มีมารยาท พันธุกรรมของพ่อสู่ยาใจ จากยาใจ สู่บุตรสาวของเธอ บอกตรงๆ ว่าผมสงสารเด็กหญิงคนนี้ที่มีแม่เช่นนั้น..เธอสามารถฆ่าลูกได้ โดยการปลูกฝังสิ่งไม่ดีงาม อย่างเลือดเย็น ลูกของเธอคงซึมซับความไม่ดีไม่งามเข้าไปโดยไม่รู้ตัว
นี่ขนาดผม เคยมีบุญคุณกับเธออย่างมาก เธอยังทำกับผมได้ขนาดนี้ นับประสาอะไรกับคนอื่นๆ เธอจะไม่มึนตึงและ ยะโส -โอหัง ผมไม่ได้ใส่ใจกับศิษย์คนนี้ หลังจากผมจ่ายเงินให้กับพนักงานแล้ว ผมจึงเดินออกมาจากร้านเพื่อจะกลับมาบ้าน ที่บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อ มีป้าที่ขายกล้วยทอดซึ่งเห็นผมยืนคุยกับนิวัฒน์ครู่ใหญ่ จึงทำให้เธออดสงสัยไม่ได้
“อาจารย์รู้จักกับคุณนิวัฒน์ ด้วยหรือ”ป้าขายของ ถาม
“อ๋อ ..รู้จักสิครับ เขาเป็นเหมือนทั้งน้องทั้งลูกศิษย์ ผมเคยสอนเขามาเมื่อ ยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ” ผมพูด
“ไม่น่าเชื่อเลย ” ป้าพูด
“ป้ายังดูว่า คุณนิวัฒน์ยังจะแก่กว่าอาจารย์เสียอีก ”
“ใกล้เคียงกันน่ะป้า เขาอ่อนกว่าผม สักสามปีเอง “
"แต่ เอ๊ะ…แล้วยาใจ ไม่เคยเรียนกับอาจารย์หรือ เท่าที่ฉันทราบ เขาจบจากสถาบันนี้นี่ ”
“ผมไม่รู้จักและไม่เคยสอนเธอมา ครับ ”
“ถึงว่า ..ไม่เห็นเธอทักทายกับอาจารย์ เลย ..แต่ว่า เธอเคยเล่าให้ป้าฟังว่า เธอเรียบจบระดับชั้นปวส.บริหารธุรกิจมานี่ ” ป้าพูด
“เอ ผมว่า .ผมไม่เคยสอนลูกศิษย์ ที่มีนิสัยแย่ๆเช่นนี้นะ ตลอดเวลาที่ผมสอน ผมเน้นเรื่องคุณงามความดี ความมีน้ำใจและคุณธรรมกับลูกศิษย์ ถ้าเธอเคยเรียนที่นี่ ต้องรู้จักผม อย่างแน่นอน ”
“ช่างเถอะ ไม่ได้สอนก็ไม่ได้สอน " ป้าพูดพร้อมมีสีหน่้า งงๆ
“เท่าที่ป้า รู้จักกับยาใจ ผมอยากทราบว่า เธอเป็นคนอย่างไร ” ผมถาม
“ที่บ้านนี้มีนิสัย เหมือนกันทั้งบ้าน ” ป้าพูด
“ไม่เข้าใจ ”
“บ้านนี้ เขาชอบทำบุญ ทุกเช้าพวกเขาจะมาซื้อขนมที่ป้าทำขายไปใส่บาตรเ ขามักจะทำบุญเอาหน้า แต่มีนิสัยหยิ่ง ไม่เคย ให้ความร่วมมือช่วยเหลือสังคมเลย”
ผมขอตัวจากป้าที่ขายของหน้าร้านสะดวกซื้อ วันนี้สมองผมสับสนมากกว่าทุกคร้ั้ง เพราะนึกถึงเด็กเล็กไร้เดียงสาลูกสาวของยาใจที่เป็นผ้าขาว เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมและในสังคมครอบครัวเช่นนี้ เธอคงจะมีรอยด่างเป็นตำหนิ กลายเป็นเด็กที่ป่วยทางจิตใจ ไม่นอบน้อม ไม่มีมารยาท ก้าวร้าว เห็นแก่ตัว ดังตัวอย่างที่แม่ และตาของเธอถ่ายทอดพันธุกรรมให้รับรู้ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ผมหวังว่า…ลูกไม้ช่วงรุ่นหลาน คงอาจเป็นลูกไม้หล่นห่างต้น และ อย่าได้รับเอายีนพันธุกรรมจากตาและแม่ ที่ไม่ดีติดตัวเธอมาเลย
เพี้ยง……
(ขลุ่ย บ้านข่อย)
๕ กย ๖๖
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย
ความคิดเห็น