ไอ้แก่ ผู้น่าสงสาร
เป็นเรื่องราว ชีวิตของเด็กหนุ่ม ที่เป็นลูกชายของข้าราชการ ที่เป็นผู้กว้างขวาง เขามีปมส่วนตัว ที่น่าสงสาร ค้องติดตามอ่านครับ
ผู้เข้าชมรวม
101
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
ไอ้แก่ ผู้น่าสงสาร
ไอ้แก่หรือนริศเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกันกับผม ในช่วงชั้นเรียนระดับประถมศึกษา(ป.1 -7) เขาเป็นลูกชายคนเล็กสุด ของครูใหญ่ซึ่งคนในเขตเทศบาลตำบล. รู้จักกันดีทุกคน สำหรับครูใหญ่ท่านนี้เป็นครูใหญ่มาตั้งแต่วัยหนุ่มจนเกษียณ อายุราชการ พี่น้องในครอบครัวของผมทุกคน ต้องผ่านการเรียนในโรงเรียนแห่งนี้ ที่เป็นโรงเรียนของรัฐเพียงแห่งเดียวในเวลานั้น
แก่ หรือไอ้แก่เป็นฉายาที่เพื่อนๆเรียกขาน เขามาตั้งแต่เรียนประถมปีที่1ด้วยกัน เป็นเพราะเขามีบุคลิกที่แตกต่างจากคนอื่นๆ คือ หน้าตาของเขาเหมือนกับคนสูงวัย(ใบหน้าแก่เกินวัย )รูปร่างเล็กและผอมแกรนมากเหมือนคนแคระ ซึ่งเชื่อว่าเขาน่าจะเป็นคนป่วยหรือเป็นโรคชนิดหนึ่ง ผมเริ่มสนิทกับไอ้แก่ เมื่อเรียนชั้น ป.7 เป็นเพราะเขาเป็นลูกครูใหญ่ จึงสอบผ่านเกณฑ์ โดยไม่เคยสอบตกซ้ำชั้น เหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ แต่เมื่อย้ายโรงเรียน ไปเรียนระดับมัธยมอีกโรงเรียนหนึ่งแล้ว นามสกุลของพ่อเขา ที่เคยเป็นเกราะกำลังให้เขา ก็มิอาจคุ้มกันให้เขารอดจากการถูกประเมินผลการเรียน ตามเนื้อผ้าได้ ไอ้แก่ต้องสอบตกซ้ำชั้น ตอนเรียนม.ศ.1
“กู..จะต้องเรียนซ้ำชั้นอีก ว่ะ เพื่อน “ไอ้แก่พูดกับผม
“ไม่เป็นไร ว่ะเพื่อน มึงก็มีเพื่อนที่สอบตกได้เรียนร่วมด้วยกับมึง อีกเกือบ 20 คน คงไม่เหงาหรอก “
“อืม แต่กูอาย. พี่น้องของกู น่ะสิ ทุกคนในบ้านกู เรียนเก่งกันทุกคนอย่างพี่ชายกูนี่. สอบได้ 95 เปอร์เซ็นต์ได้รับรางวัลทุกปี น้องสาวกูอีกสองคนก็สอบได้เลขที่ตัวเดียวไม่เคยต่ำกว่าลำดับที่สาม "ไอ้แก่พูด
“อย่าคิดมาก มันสมองของคนเรา อาจจะมีความแตกต่างและไม่เท่ากัน ”ผม พูดปลอบใจ
“พ่อกับแม่กูของกู เขาไม่ได้ว่าอะไรหรอก แต่กูนี่สิ คิดมาก กลัวเขาผิดหวังในตัวกู ”
“เลิกคิดได้แล้ว กูก็ไม่ได้เรียนเก่งเลยดูอย่าง ไอ้พล ลูกน้าเสียน ไอ้เฮี้ยง ลูกแป๊ะโค้ว ยังเรียนเก่งกว่ากูอีก” ผมยกตัวอย่างให้ไอ้แก่เห็น
แถวบ้านพักที่ไอ้แก่ อาศัยอยู่ไม่มีเพื่อนๆ อาศัยอยู่ใกล้เคียงกับบ้านเขาเลย ด้วยปมด้อยที่เขามีและ พี่น้องของเขาก็เป็นเด็กเรียนดี ไอ้แก่จึงไม่ได้สุงสิงกับพี่น้องมากนัก พอเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นซึ่งเรียนชั้นระดับม.ศ 2 ไอ้แก่จะแวะมาหาผมที่บ้านเกือบทุกๆวัน
“ไม่เอาการบ้านมาทำด้วย กันวะ ” ผมพูด
“ไม่ต้อง เดี๋ยวกูใช้คีย์ที่ซื้อมาจากกรุงเทพ ลอกการบ้านส่งครูเอง มึงไม่ต้องห่วงหรอก ”
“ครูชาญ เคยบอกว่า คีย์วิชาต่างๆ มีได้ แต่ต้องมีเอาไว้ เมื่อได้ทำแบบฝึกหัดไปแล้ว เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง ” ผมพูด
“ครูก็สอนเร็ว ถามเพื่อนๆ มันก็ไม่ช่วยสอนเพิ่มเติมให้ กูเลยคิดว่าลอกๆแม่ง ให้ผ่านพ้นเพื่อส่งให้ครูตรวจมันก็สิ้นเรื่องสิ้นราว”ไอ้แก่ พูด
“กูเขียนจดหมายสั่งซื้อที่โรงพิมพ์ อักษร เจริญทัศน์ มาหลายวิชาเหมือนกัน ไอ้ใหญ่ลูกเจ้าของภัตตาคารเป็นคน แนะนำให้กูซื้อ”ผมพูด
******************************
ไอ้แก่ เหมือนทองไม่รู้ร้อน.วันๆไปเรียน ก็เพียงแต่งเครื่องแบบ ไปนั่งฟังครูสอน เข้าหูซ้านออกหูขวา แม้พ่อ เขาจะเป็นครูใหญ่และแม่เป็นถึงผู้อำนวยการกองการศึกษาของเทศบาล แต่เขาไม่เคยสนใจ ที่จะขอให้ทั้งพ่อและแม่ช่วยสอน การบ้านให้ คนในครอบครัวของไอ้แก่ ล้วนมีบุคลิกดี หน้าตาดีทั้งชาย- หญิง ยกเว้นเพียงไอ้แก่คนเดียวที่ผ่าเหล่าผ่ากอจากพี่น้อง ไอ้แก่มีปมด้อยที่เพื่อนๆทุกคนในรุ่นของผมรู้ดี แต่เพราะเขาเป็นลูกครูใหญ่ จึงมีภูมิคุ้มกันช่วยปกป้องไม่ให้คนล้อเลียนหรือดูแคลนได้ ซึ่งก็นับว่าเป็นความโชคดีของเขา ว่าไปชีวิตของไอ้แก่ก็ดู น่าสงสาร ช่วงที่เขาว่างหลังจากกินอาหารมื้อเย็น เขามักแวะมาหาผมที่บ้าน ซึ่งทำขนมขายเสมอ
“เอาขนม ไปแบ่งเพื่อนกิน สิ ” แม่ผมพูด
“ครับแม่ ” ผมตอบ พร้อมเดินไปที่ถาดขนมที่ทำเสร็จใหม่ๆ ซึ่งกำลังร้อนๆ
“กินขนม.. โว้ยเพื่อน ”
“เพิ่งกินข้าว อิ่มๆมา ”
“นั่นมันข้าวโว้ย. นี่มันขนม คนละอย่างกัน กินสิ …หรือรอย่อยอาหารสักเดี๋ยว ค่อยกินก็ได้ ”ผมพูด
ไอ้แก่นิ่งเงียบ ไม่ตอบรับหรือปฎิเสธ.. นอกจากผมแล้ว ไอ้แก่จะมีเพื่อนสนิทอีกคน คือไอ้เล็ก (เสียชีวิตไปแล้ว อ่านเรื่องผีไอ้เล็กเพิ่มเติม )ไอ้เล็กไม่มีภาระหน้าที่การงานที่บ้าน เขาจึงมีเวลาที่จะไปเล่นหรือไปเที่ยวไหนๆได้ตามประสาเด็กที่เริ่มสู่ช่วงวัยรุ่น ส่วนใหญ่ไอ้แก่มักจะชอบมานั่งดูผมช่วยแม่ทำขนมขาย ช่วงหกโมงเย็นจนเกือบทุ่มครึ่งทุกวัน เราจะนั่งคุยกันไปตามเรื่องตามราวที่อยากคุย ช่วงหลังมีน้องชายของนางงามเมืองอรัญฯชื่อไอ้กิจ ได้้ข้ามาร่วมแจมในกลุ่มของพวกเราอีกคน 4 สหายจึงไปไหน มาไหนด้วยกันตลอดเวลา
ผมริหัดสูบบุหรี่เพราะไอ้แก่ เป็นคนริเริ่ม หลังเสร็จจากการทำขนม แม่จะปล่อยให้ผมได้เป็นอิสระสามารถไปเที่ยวกับเพื่อนๆได้ โดยกำหนดให้ผมต้องเข้านอนเวลา 4 ทุ่มและต้องตื่นตีสี่ เพื่อลุกขึ้นมาก่อไฟ ทำขนม
“ไอ้เล็ก .มึงจิ๊ก(ขโมย) บุหรี่ของ-เตี่ยมึงมาสักมวนสองมวน เขาไม่รู้หรอก ”ไอ้แก่แนะนำ ไอ้เล็ก
“ได้ .จะเอายี่ห้อ อะไร ” ไอ้เล็กถาม
“ลอง วันละยี่ห้อ ” ไอ้แก่พูด
เตี่ยของไอ้เล็กมีอาชีพเข็นรถผลไม้ขาย ผลไม้ที่ว่านี้มีทั้งสดและดอง เช่นมะม่วงดิบ มะม่วงดอง ฝรั่ง พุทรา มันแกว สับปะรด มะยม มะกอก มะดัน ผมเคยไปช่วยไอ้เล็กจัดวางของขายบ่อย โดยจะไปสั่งน้ำแข็งมาวางรองพื้นก่อน แล้วนำผลไม้ชนิดต่างๆมา วางเหนือบนน้ำแข็ง ความเย็นจะได้จากการเลื่อนบานกระจกปิดให้ไอเย็นซึมไปกับเนื้อผลไม้โดยอัตโนมัติ
“กูเอาบุหรี่พระจันทร์ มามวนนึง สามิต มวนนึง” ไอ้เล็ก พูด
“ดีมากเพื่อน เดี๋ยวพอเราเดินไปในที่มืดๆมึงก็เอาไม้ขีดจุดบุหรี่เลยไม่มีใครเห็นหรอก ”ไอ้แก่ พูด
บางวันถ้าไอ้กิจไม่มา ผมกับไอ้แก่และไอ้เล็ก จะไปตั้งแก๊งที่สนามเด็กเล่นของเทศบาล พอสามทุ่ม..เทศบาลก็จะปิดไฟแล้ว จึงเป็นโอกาสสำหรับเด็กหนุ่มซึ่งเพิ่งแตกเนื้อพาน ที่ริอยากลองหัดสูบบุหรี่อย่างผู้ใหญ่
"แค่กๆ ๆๆ ไอ้แก่เริ่มคนแรก พร้อมสำลักควันบุหรี่ ทุกคนได้ลองหัดแม้จะยังไม่ช่ำชองแต่ได้สัมผัสกับกลิ่น รสชาติของควันบุหรี่ พัฒนาการของวัยตั้งแต่ชั้นมัธยม 1 - 3 เริ่มจะมีความรู้สึกชอบกับเพศตรงกันข้าม ทางที่จะเรียกร้องความสนใจสตรีเพศคือต้องหาอุปกรณ์ที่ทันสมัยมาประดับ ฉีดกายให้มีกลิ่นหอม ไอ้กิจมีพี่สาวเป็นนางงามคนมีตังค์อย่าง อาเสี่ย ที่มาจีบพี่สาวเขามักจะนำน้ำหอมมาฝาก ไอ้กิจจึงขอพี่สาวมาทิ้งไว้ที่บ้านไอ้เล็ก อันเป็นสถานที่รวมหัวกัน สำหรับที่บ่้านผมคงไม่เอื้ออำนวยให้นัก เพราะเป็นบ้านที่ทำมาค้าขาย
ผมเริ่มแอบใช้ น้ำมันใส่ผมยี่ห้อตันโจ ของพ่อที่วางบนโต๊ะเครื่องแป้ง กว่าพ่อจะเข้าบ้านก็คงไม่ต่ำกว่าห้าทุ่ม เสร็จจากงานพ่อ มักร่วมวงดื่มสุรากับเพื่อนๆ
“เข้าท่า เลยโว้ย ใช้หวีหวีเข้าทรงได้ง่าย เลย ” ผมพูด
บ้านไอ้เล็กปลอดโปร่งผู้คน สะดวกสบาย ช่วงค่ำๆเตี่ยไอ้เล็ก จะไปเล่นเลี๊ยบตุ่ย ไพ่นกกระจอกซึ่งเป็นเกมส์ที่ชายจีนส่วนใหญ่ มักนิยมเล่น เพื่อพนันขันต่อกับเพื่อนๆ แป๊ะก่วย เตี่ยของไอ้เล็กชายร่างโย่งกว่าใครๆในห้องแถว ความสูงของแก น่าจะเกิน185 เซนติเมตร บทอารมณ์ดีนี่ ..ผมก็พลอยได้อานิสงส์ ได้รับแจกเงินไปกับเขาด้วย นี่เพราะว่า วันนั้นอาจเป็นโชคเข้าข้างเล่นเลีี๊ยบตุ่ยหรืออาจเล่นไพ่นกกระจอกได้ จึงใจดี
ว่าไปแล้วผมกับเพื่อนอีกสามคน มีปมด้อยไปคนละอย่าง สำหรับผมมีผมด้อยคือบ้านมีฐานะยากจนกว่าทุกคนส่วนไอ้เล็กแม้จะไม่ร่ำรวยแต่ฐานะก็ไม่ถึงกับขัดสน อยากจะได้อะไรก็เรียกร้องได้ตามอำเภอใจ เตี่ยกับแม่สามารถสนองความต้องการได้โดยทันที แต่แม่กับเตี่ยไอ้เล็ก ติดการพนันจนไม่ค่อยอยู่บ้าน ไอ้กิจ ..ที่บ้านฐานะดีแต่ขาดพ่อที่เป็นผู้นำครอบครัว จึงขาดความอบอุ่น และไอ้แก่ เป็นลูกข้าราชการที่มีหน้ามีตาในสังคมแต่เขาก็มีปมด้อยตรงที่มีรูปร่างผิดกว่าคนอื่นๆ
*****************************************
แม้ผมจะเคยเรียนร่วมชั้นเดียวกันกับไอ้แก่ แต่เมื่อเขาต้องเรียนซ้ำชั้นผมกับเขาจึงห่างกัน หลายครั้งช่วงพักรับประทานอาหารกลางวันที่พบกัน เรามักจะซื้อข้าวแกงน้ำลำไย มานั่งกินด้วยกัน
“คืนนี้มีหนังขายยากลางแปลง ที่วัดเกาะ ค่ำๆ กูจะแวะไปหามึงที่บ้านนะเพื่อน ยังไงมึงชวนไอ้เล็กด้วย ล่ะ”
“โอเค ไม่มีปัญหา..หรอก สำหรับ ไอ้เล็กมันว่างตลอดเวลาอยู่แล้ว คงไม่พลาด ”
“บอกมันให้จิ๊กบุหรี่ ของเตี่ยมันมาด้วย แล้วอย่าลืมเอาหมากฝรั่งตราแมว มาเคี้ยวดับกลิ่นปาก ตอนกลับบ้านด้วย ” ไอ้แก่พูด
**************************
ความสุขของพวกเราของเด็กต่างจังหวัด คือการดูหนังขายยา ครั้นแสงอาทิตยเริ่มลับขอบฟ้า เด็กๆ อย่างพวกเรา ต่างไปจับจองที่นั่งที่นอนโดยนำเสื่อ กระดาษหนังสือพิมพ์ หรือกล่องกระดาษไปปูในทำเลที่ชอบ หลายๆครั้งก็เกิดการ กระทบกระทั่งกันตามประสา แต่ก็ประนีประนอมยอมกันคนละครึ่งทาง ระยะทางจากบ้านผมไปวัดเกาะค่อนข้างเปลี่ยว ระยะทางเกือบสองกิโลเมตร ช่วงเดินไปพร้อมๆกันตอนหัวค่ำ พวกเรามิได้รู้สึกว่าน่ากลัวแม้จะเปลี่ยวมาก สมัยเมื่อ 50 ปีก่อนนั้น สะพานที่ข้ามห้วยพรมโหดก่อนถึงวัดเป็นสะพานไม้ เพียงแค่พ้นร้านกาแฟที่อยู่ตรงกันข้ามกับต้นโพธิ์ที่มีศาลเจ้่าพ่อสิงห์ดำสถิตย์อยู่ ก็จะเต็มไปด้วยป่าละเมาะ เลยมาอีกนิดก็จะถึงสระน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ที่ลุงโตไว้ใช้เลี้ยงวัวให้ตาบัง ตรงไปอีก 400 เมตรจะเป็นที่ทิ้งขยะของเทศบาล ซึ่งวันเสาร์ อาทิตย์ช่วงสายๆ ผมจะชวนไอ้แก่ ไอ้เล็กไปคุ้ยเขี่ยหาแสตมป์ กองขยะที่นี่ส่วนใหญ่เป็นขยะแห้ง ถุงพลาสติกหิ้วยังไม่มีใช้ ส่วนใหญ่เวลาชาวบ้านไปตลาด พ่อค้า- แม่ค้าจะใช้ใบสัก ใบตองห่อพืชผักให้ สำหรับเนื้อสุกร ไก่ วัว ก็จะใช้ใบตองห่อ แล้วใช้เชือกกล้วยแช่น้ำผูกให้ ผมไปตลาดทุกวันเพราะได้รับมอบหมายจากแม่ให้เป็นคนไปจ่ายตลาด
จากสระน้ำที่อยู่ด้านซ้ายมือ หากเดินไปอีกสามสิบเมตรจะมีสี่แยก ตรงไปคือบ้านวังป่าตอง ด้านซ้ายมือคือโรงฆ่าสัตว์ ด้านขวามือจะไปยังวัดเกาะที่พวกเราต้องไปชมหนังกลางแปลง ก่อนถึงวัดเกาะจะมีสะพานไม้เล็กๆข้าม บริเวณนี้หน้าน้ำหลากพวกเราจะชวนกันไปกระโดดน้ำ ปล่อยลอยตัวไปให้ติดกับริมฝั่งแล้วเดินย้อนกลับขึ้นมาเป็นที่สนุกสนานกัน
“โน่น..จอหนังตั้งแล้ว ” ไอ้แก่พูด ด้วยความดีใจ
“อืม ..จอใหญ่และยาวด้วย ”
จอภาพยนต์ตั้งขนานไปกับพระอุโบสถ สถานที่แห่งนี้มีที่กว้างขวาง ผมชอบบรรยากาศของวัดเกาะ เพราะมีต้นตาลกว่า 20 ต้นยืนเรียงราย ด้านติดริมห้วยเป็นที่เก็บอัฐิของผู้ล่วงลับ ช่วงเดือนสิบสองที่วัด จะจัดงานประเพณีลอยกระทงทุกปี เมื่อพวกเราไปถึงหน่วยรถฉายหนังกลางแปลงของบริษัท ขายยากันแล้ว ก็เดินสำรวจรอบๆ บริเวณเพื่อมองหาเพื่อนๆ ที่รู้จักและมองหาของกิน ยุคสมัยนั้นของกินในพื้นที่ฉายหนังกลางแปลงจะมีก๋วยเตี๋ยว เส้นหมี่ ที่คนขายเตรียมเส้นในชามแล้ววางไว้ให้คนซื้อเลือกหยิบ เหมือนกับในโรงเรียน เพียงแค่เติมน้ำซุบร้อนๆ คนซื้อก็กินได้เลยของขายที่ต้องมีเสมอคือกล้วยแขก(ทอด) ข้าวเม่าทอด ไข่เหี้ย ข้าวเกรียบว่าว ข่้าวหลาม อ้อยควั่น และแน่นอนน้ำแข็งใส่น้ำหวาน ที่มีสีเข้มหลากสี ทั้งสีแดง เขียว ชมพู
เพียงแค่เริ่มทดสอบเครื่องฉายเมื่อแสงไฟกระทบจอพวกเด็กๆต่างกระโดดโลดเต้น เอามือ เอาผ้า เอาวัตถุ บังแสงให้เกิดเงาบนหน้าจอ ครู่ต่อมา..โฆษกก็จะประกาศเชิญชวนให้คนรีบเดินทางมาชมภาพยนต์ ขณะฉายหนังก็จะสลับฉากการโฆษณา และขายสินค้าของบริษัท
“วันนี้ เอาบุหรี่ยี่ห้ออะไรมา เหรอไอ้เล็ก ”
“สายฝน โว้ยมีก้นกรอง ราคาแพงด้วย นี่โรงงานยาสูบ เพิ่งผลิตออกขาย”ไอ้เล็ก พูด
“เห็นผู้ใหญ่ว่า ยี่ห้อนี้สูบแล้ว เย็นชื่นใจ รีบๆจุดไม้ขีดต่อบุหรี่เลยสิไอ้เล็ก”ไอ้แก่พูด
ในกลุ่มของพวกเราดูเหมือนไอ้เล็ก จะเชี่ยวชาญกว่าใครๆ คงเป็นเพราะ ที่บ้านไอ้เล็กขายบุหรี่ และเขาคงจะซุ่มแอบลองสูบ ขณะที่ไม่มีใครอยู่บ้าน
“นี่หากพ่อรู้ว่า เอ็งแอบไปฝึกดูดบุหรี่ ระวังก้นลายแน่” พ่อพูดปรามผมไว้ (ผมคิด )
คืนวันที่ พวกเราไปดูหนังกลางแปลง ผมได้ลองสูบบุหรี่สายฝนไปสาม (ครั้ง)อื๊ด ได้สัมผัสกับรสเมนทอล มันเย็นลำคอดังโฆษณว่าไว้จริงๆ
“วันหน้า เอาแต่สายฝนมาดีกว่านะไอ้เล็ก กูว่าเย็นชื่นใจกว่ายี่ห้ออื่นๆ ”ไอ้แก่พูด ทุกคนเห็นคล้อยไปในแนวทางเดียวกัน
*******************************
กว่าไอ้แก่.จะจบชั้นมศ 3 ได้ต้องใช้เวลาเกือบ7 ปีการเรียนจบได้วุฒิ มศ.3 ก็นับว่าเป็นบุญโขของเขาแล้ว เมื่อผมเรียนจบมศ.3 ไปแล้ว ไอ้แก่ก็ยังเรียนกับรุ่นน้องที่โรงเรียนเดิม เพื่อนๆที่เคยสอบตกกับไอ้แก่มา เขาก็ได้พัฒนาตนเองให้ดีขึ้น ไอ้แก่นอกจากจะหัวไม่ดี ยังไม่ขยันที่จะทำการบ้านหรืออ่านหนังสือเตรียมสอบ แม้ผมจะชวนให้เขามานั่งทำการบ้านที่บ้านของผม เขาจะปฎิเสธท่าเดียว เมื่อผมไปเรียนที่กรุงเทพ ช่วงปิดเทอมเมื่อไอ้แก่รู้ว่าผมกลับมาบ้าน เขาจะแวะมาหาผมและชวนผมเข้าไปเที่ยวที่บ้านของเขา
“บ้านมึง ร่มรื่นดีนะ ” ผมพูด
บ้านของครูใหญ่ มีเนื้อที่กว้างขวาง มีไม้ดอกไม้ประดับมากมายใกล้ตัวบ้าน มีชิงช้าสำเร็จรูป ที่นั่งได้หลายคน สามารถห้อยเท้าเหมือนนั่งเก้าอี้ พนักพิงชิงช้ามีหลากสี คนมีฐานะเท่านั้นจึงจะสามารถซื้อมาใช้ได้
“สวัสดีครับคุณครู ”ผมทักทายพ่อของไอ้แก่ ขณะที่เขาเพิ่งกลับจากโรงเรียนมาครูใหญ่ขี่จักรยานยนต์ ฮอนด้าสีดำคันใหญ่ ยุคสมัยนั้นน้อยคนนักที่จะมีสิทธิ์เป็นเจ้าของ ผมมองเข้าไปในบ้านของไอ้แก่มีอุปกรณ์ดนตรีหลายอย่าง อาทิ ไวโอลิน แซกโซโฟนแขวนไว้ พ่อของไอ้แก่เป็นคนมีความสามารถทางการดนตรีอย่างดี ผมเคยร่วมร้องเพลงที่ท่านควบคุมวงของทางโรงเรียน
“พวกมึง.. จบกันไปกันหมด คงมีกูกับไอ้กิจเท่านั้นที่ไปมาหาสู่กันแค่สองคนเอง ”ไอ้แก่ปรารภกึ่งระบาย ความในใจ
“ยังไง มึงก็เป็นเพื่อน.. กูไม่ลืมมึงอย่างแน่นอน ถึงกูจะไปเรียนที่กรุงเทพ จะเรียนระดับชั้นสูงแค่ไหน กูคงไม่ลืมตัวหรอก ”ผมพูด
ช่วงปิดเรียน สี่สหายเก่าได้พบกันดังเดิม ไอ้กิจมีของใหม่คือกัญชามาให้เพื่อนๆลอง การหาซื้อกัญชาที่บ้านของผม ซึ่งเป็นตะเข็บชายแดนหาซื้อได้ไม่ยาก เอเย่นต์อย่างน้อยที่ทราบมี 5- 6 แห่ง เพื่อนๆทดลองสูบแต่ผมของด ที่จะเสพโดยบอกว่าหากพ่อรู้เขาคงเอาผมตายแน่ เพื่อนๆก็มิได้บังคับอะไร ความผูกพันของผมไอ้แก่ ยังเสมอต้นเสมอปลาย ทุกครั้งที่ผมกลับมาบ้าน ผมมักจะแวะหาเขาเสมอ ดูเขาจะดีใจอย่างมากที่ได้พบเพื่อนที่เข้าใจและรู้ใจ
***************************
ช่วงที่ผมมาเรียนที่เจ้าคุณทหาร ผมไ่ค่อยได้กลับมาบ้านที่อรัญ..ดังแต่ก่อน ผมกับไอ้แก่ จึงไม่ได้มีโอกาสพบกันดังแต่ก่อน ผมทราบว่าไอ้แก่ได้เปลี่ยนไปเพราะเขาดื่มสุรา เสพกัญชาคบหากับบรรดาขี้ยา ที่เคยเรียนด้วยกันมาก่อนอย่างไอ้นิล ไอ้ตุ๊ ไอ้เผือก ทุกคนกลายเป็นขี้ยาของท้องถิ่นไปแล้ว พวกเขาไม่ได้เสพแค่กัญชา แต่เล่นของที่มีความรุนแร อย่างผงขาว ทุกคนล้วนเสียชีวิต เพราะลงแดงตายทั้งสิ้น
“ไอ้แก่ มึงเลิกเถอะวะ ..มึงไม่อายใครเขาเหรอ พ่อมึงเป็นถึงครูใหญ่ ”ผมพูด
“กูพยามยามแล้ว แต่มันเลิกไม่ได้จริงๆ ” ไอ้แก่พูด
คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้ตักเตือนเพื่อนรัก ที่ผมไม่เคยทอดทิ้งเขาเลย และอีกสามปีถัดมา. .ไอ้แก่ก็ลาลับดับโลกเพราะขาดยามาเสพ(ลงแดง)แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า ลูกคนเป็นข้าราชการที่มีหน้ามีตา มีบารมี จะละเลยดูแลบุตรของตน เสมือนตัดหางปล่อยวัด
เป็นเรื่องยากที่จะโยนความผิดให้ใคร คนใด .คนหนึ่ง….
บอกตรงๆว่ากูสงสาร มึงว่ะ ไอ้แก่
ขลุ่ย บ้านข่อย
(๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๖)
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย
ความคิดเห็น