หกคืนเจ็ดวันในอรัญ - นิยาย หกคืนเจ็ดวันในอรัญ : Dek-D.com - Writer
×

    หกคืนเจ็ดวันในอรัญ

    การเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดทีอรัญประเทศ ในบางโอกาส ผมจะแวะพูดคุยกับเพื่อนเก่า พร้อมรำลึกถึงความหลังในอดีต เรื่องราวกับประสบการณ์กับการรถไฟไทย

    ผู้เข้าชมรวม

    106

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    106

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  14 ส.ค. 66 / 06:47 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

                                          6 คืน7 วัน ที่อรัญประเทศ  

       ผมมาถึงกรุงเทพประมาณ ตีสี่ห้าสิบนาที ด้วยเพราะไม่ได้เข้ากรุงเทพในช่วงเกือบ10 ปีที่ผ่านมาเลย    พอมาถึงสถานีขนส่งหมอชิตก็งงๆ กับการหาหนทางที่จะมาห้องจำหน่ายตั๋วรถ ผมหลงทิศหลงทางเกือบสิบนาทีเพราะมีร้านค้า ขายของมาบดบังทัศนียภาพ ผมจึงต้องเที่ยวถามไถ่คนนั้นคนนี้  จนในที่สุดจึงเจอกับช่องทางจำหน่ายตั๋ว  เมื่อก่อนที่ผมมาที่นี่ (ห้องจำหน่ายตั๋ว)จะมีเพียงชั้นเดียว แต่ปัจจุบันมีถึงสามสี่ชั้น.   สามสี่ปีก่อนแม่จะมาอยู่เมืองจันทบุรีกับน้องสาว ดังนั้นเวลาผมไปจันท์ฯ ผมจะจองตั๋วลงปลายทางที่จังหวัดระยอง  รถทัวร์จึงวิ่งรวดเดียวจากลำปาง จนถึงปลายทาง โดยไม่แวะเข้ากรุงเทพ บังเอิญว่าปีนี้ .. แม่อยู่กับน้องชายที่อรัญประเทศ ผมจึงต้องมาลงที่กรุงเทพก่อน แล้วจึงต่อรถไปอีกทอดหนึ่ง.  .   

    ทุกครั้งเวลาผมเดินทาง สิ่งที่ต้องเตรียมมาด้วยเสมอ คือเสบียงอาหาร มาครั้งนี้เสบียงมีเหลือเฟือ ไม่ว่าจะเป็นนม ขนม น้ำดื่ม ก่อนรถทัวร์จะเคลื่อนตัวออกจากสถานีขนส่งลำปางบริกรสาวก็นำของกินมาแจกให้ผู้โดยสาร พอรถเคลื่อนตัวมาถึงอำเภอเกาะคา ผมได้เอนตัวพักผ่อนและหลับไปในที่สุด

                                ***************************************************** * 

    หลังจากรถตู้เคลื่อนตัวออกจากสถานีขนส่งหมอชิต 2 จนเวลาประมาณแปดนาฬิกา ผมล้วงย่าม เพื่อนำนมขี้นมาดื่มพร้อมขนมหนึ่งชิ้นก็อิ่มท้อง ช่วงกรุงเทพมาถึงอยุธยาผู้โดยสารมีไม่มากนักพอเข้าถึงสระบุรีคนจะมากขึ้นจนเต็มรถ..   บางช่วงมีคนกัมพูชาเดินทางกลับปอยเปตมีชายคนหนึ่ง พอขึ้นมาบนรถได้ก็ส่งเสียงดัง  ผมนี่สุดจะรำคาญ.แต่ก็ต้องอดทน พอรถมาถึงสระแก้ว คนก็เริ่มลดน้อยลงผมได้งีบเอาแรง.รถก็มาถึงขนส่งอรัญประเทศ หลังจากน้องสะใภ้มารับเข้าบ้านแล้ว ผมหาข้าวกินและได้หลับพักผ่อนเพราะความอ่อนเพลียจากการเดินทาง

      บ้านเช่าหลังใหม่ของน้องชายหลังนี้ เป็นอาคารตึกชั้นเดียว มีสองห้องอยู่หลังตลาดสดเทศบาล น้องชายของผมเพิ่งทำสัญญาเช่ากับเพื่อนเขาในราคาเดือนละ 7 พันบาท  ทำเลบ้านหลังใหม่นี้ค่อนข้างดี เพราะมีชาวบ้านมาจับจ่ายตลาดตลอดทั้งวัน ตลอดระยะเวลา 7 วัน ที่ผมมาอยู่บ้านน้องชาย. ผมต้องตื่นประมาณอย่างช้าสุดคือตีสี่ เพื่อช่วยทำขนม และช่วยขาย สัปดาห์เต็มๆที่ผมมาอาศัยพักที่บ้านของน้องชายแท้ๆ ผมต้องเจียมเนื้อ เจียมตน ต้องถือภาษิตว่าอยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย.

      หลายปีก่อนผมเคยเจอ..กับสภาวะทางอารมณ์ของน้องชายสุดที่รักยิ่งของผม .ครั้งนั้นผมไปพูดขัดใจเขาและได้อบรมมารยาทของการเป็นผู้ประกอบการที่ดี เขารับไม่ได้กับการชี้แนะของผมจึงโกรธา จึงได้ขับไล่ผมออกจากบ้าน แม่ของผมก็ได้แต่นั่งมอง นั่งฟัง ตาปริบๆ ผมรีบเก็บสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ลาแม่..เดินออกจากบ้านกลับลำปางทันที การกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดในแต่ละครั้งผมได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก    

        วันแรกที่ผมมาถึงอรัญประเทศ.หลังจากได้พูดคุยกับแม่ สอบถามสารทุกข์สุกดิบแล้ว   ผมได้เดินออกจากบ้าน  ระยะทางไม่ถึง 30 เมตรมาจ่ายตลาด ผมซื้อมะระมา 1 ผล ราคา 30  บาทพร้อมกระดูกหมูครึ่งกิโล หมูบด 2 ขีด จากนั้นผมจึงมาทำต้มมะระยัดไส้ให้แม่และคนในบ้านกิน  ทุกครั้งที่ผมมาอรัญฯ ผมมักจะมาหาเพื่อนสนิทสามสี่คน หลังจากทำกับข้าวเสร็จ ครู่ต่อมา. ผมได้บอกกับแม่ว่า 

       “ แม่..เดี๋ยวผมมานะ  ผมจะไปบ้านไอ้นิจ ค่ำๆ จึงจะกลับน่ะ “ 

         “อย่ากลับค่ำมาก นะ ลูก "                         

          “ ครับ แม่.”

        ผมนำจักรยานของน้องชายออกมาขี่ บนท้องถนน แล้วปั่นไปหาเพื่อน ในทันที   

        ผมขี่จักรยานมาถึงบ้านเพื่อนใช้เวลาประมาณ10 นาที นิจจา เป็นเพื่อนสนิทมากคนหนึ่ง ปีนี้นิจจาจะเกษียณอายุเขารับราชการครูสังกัดโรงเรียนเทศบาลเพื่อนอีกสองคน คือชัยยะและสุรชาติ ได้เออรี่จากราชการมาห้าปีแล้ว  นิจจากำลังจะขับรถยนต์ออกจากบ้านพอดี.  

      “อาจารย์..ครับ กำลังจะไปไหนเหรอ ” ผมทักทายเพื่อน .. 

       “เอ้า.ไอ้ขลุ่ย. มาถึงอรัญ  ตั้งแต่เมื่อไหร่”   

        “เพิ่งมาถึงเที่ยงวัน วันนี้..นี่เอง    “     

        “กูกำลังจะออกไปข้างนอก .เอารถจักรยานไปเก็บไว้ในบ้านก่อน “ นิจจาพูด      

          “จะพาไปไหน ” ผมพูด

           “เดี๋ยวรู้..เอง ”    

                                 **************************************

       สิบกว่าปีที่ผมเคยมาหาชัยยะ ได้รับรู้ถึงพฤติกรรมของเพื่อนคนนี้ว่า เขาประสบปัญหากับครอบครัวอย่างหนัก  เขาได้หย่าขาดกับภริยาคนแรก จากนั้นตัวเขาก็หันมาดื่มเหล้าอย่างหนัก..ภริยาของชัยยะ จัดว่าเป็นคนสวยระดับนางงาม เป็นรุ่นน้องของผม  สมัยที่เขาจีบกันใหม่ๆตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมต้น ผมมักจะมาเป็นเพื่อนของเขาเสมอ พ่อของฝ่ายหญิงไม่ค่อยจะถูกชะตากับชัยยะเลย   เมื่อชัยยะเรียนจบวิทยาลัยครู และฝ่ายหญิงเรียนจบจนมีงานทำ ทั้งคู่จึงแต่งงานกันและมีบุตรด้วยกันเพียงคนเดียว ด้วยความสวยของฝ่ายหญิงทำให้ชัยยะคอยแต่หวาดระแวงหึงหวงภริยาอย่างมากจนฝ่ายหญิงทนรำคาญ กับพฤติกรรมไม่ไหว จึงขอหย่า.พร้อมนำบุตรไปเลี้ยงเอง จากนั้นมาชัยยะ เอาแต่ดื่มเหล้าทุกวัน.และทุกครั้งที่.เมา เขาจะเสียสติ.แทบจะไม่เป็นผู้เป็นคน  

      6  คืนที่ผมนอนที่บ้านหลังนี้ ต้องพึ่งพายากันยุงชนิดครีมทาตัว ก่อนนอนผมจะทาบริเวณ แขน และขาและใช้พัดลมเป่าอีกที ด้วยเพราะน้องชายเพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่ๆจึงยังไม่ได้ติดมุ้งลวด คืนแรกที่มานอนได้ยินเสียงของหนูผี ร้องจี๊ดๆข้างตัว เป็นเพราะที่บ้านอยู่ใกล้ตลาด จึงมีน้ำครำที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์หนู  ยุง แมลงสาปและแมลงวัน. พูดถึงหนูผี. ต้องบอกว่า ผมไม่เคยเจอมากว่าสามสิบกว่าปี  ตอนเด็กๆที่อยู่บ้านหลังเก่า ผมเคยใช้ฉมวกแทงและดักตีมันตาย..เนื่องจากมันแอบมากินมันแกวที่แม่ผมซื้อมาทำไส้ขนม  มาอรัญครั้งนี้ ได้เห็นหนูผีตัวเป็นๆมาอยู่รอบตัว  เป็นเพื่อนในยามวิกาลทั้งยังส่งเสียงร้อง ให้ได้หวนรำลึกถึงครั้งอดีตที่ผ่านมา

       วันที่นิจจาพาผมมาบ้านชัยยะ คงได้เจอสภาพเดิมๆ ของเพื่อนเก่าที่เอาแต่ดื่มเหล้าเมามายทุกวัน นิจจาเอ่ยปากเปรยๆกับผมว่า

      ”ไอ้ชัยยะ หมดสภาพแล้ว ล่ะ  “ 

       ผมพยักหน้าตอบรับ  นิจจายังพูดกับผมอีกว่า 

       “ทุกวันนี้ไอ้ชัยยะ มันเอาแต่กินเหล้าๆ ทำไม เรื่องของไอ้ต้อยมันผ่านเลยมากว่ายี่สิบปีแล้ว ทำไมจึงตัดเขาไม่ขาดซะที ไอ้ต้อยมันก็มีสามีใหม่ มีลูกกับสามีใหม่..แล้ว “ 

       ตอนที่ชัยยะเลิกกับต้อยใหม่ๆ ผมเคยไปหาเขาที่บ้านฟากห้วย เห็นเขานั่งกินเหล้าที่บ้านหลังใหม่ที่เพิ่งกู้เงินออมทรัพย์มากว่าล้านบาทและเป็นบ้านที่เขากับต้อยได้ร่วมกันปลูกสร้างมาด้วยกัน ผมพยายามปลอบใจและบอกกับชัยยะ

    “เขาคงทำบุญร่วมชาติกับมึง มาแค่นี้. มึง ต้องทำใจนะ"ผมพูด

       ..   ชัยยะ พยักหน้าพร้อมกระดกเหล้าเพียวๆ ลงคอ.. 

     "มึงเอาเหล้ามา กู.จะช่วยมึงกิน” ผมพูด  พร้อมพยายามยื้อแย่งขวดเหล้าที่วางตรงหน้าเพื่อน. เป็นเพราะผมเห็นว่าหากปล่อยให้เขากินต่อไปอีก เขาอาจจะเมาจนขาดสติ ผมพยายามนั่งคุยและเบี่ยงเบนความสนใจเรื่องเก่าๆ ในอดีต  พยายามคุยแต่เรื่องเบาๆสบายๆตลกๆ ดูเขาจะมีความสุขและคลายเครียดลง    

     “ เฮ้ย. ไอ้ชัยยะ  วันนี้. มึงกินเหล้าแค่นี้พอนะ “ 

                                          เขาพยักหน้า  

      " เออ.พอก็ได้ นี่กูเห็นกับมึง นะ..”          

     " ไป.มึงไปอาบน้ำแล้วรองท้อง สักหน่อย”..    

      “เออ ไอ้ห่า สั่งการยิ่งกว่าเมียกูเสียอีก“ชัยยะ พึมพำ      

                       *  *********************************************   

       เมื่อวันที่ 17ก.ค 2559 นิจจาขับรถพาผมแวะมาหาชัยยะ แต่..เขาอยู่ในสภาพเมาไม่ได้สติ. อีกครั้ง  ผมเรียกชื่อเขาเกือบ10 ครั้ง

        ไอ้ยะๆ ๆ ๆ”ผมตะโกนร้องเรียก 

      เขาหลับเป็นตาย .นี่ถ้าหากเกิดไฟไหม้ เขาคงนอนตายคากองเพลิงอย่างแน่นอน. ผมยืนพิจารณาเพื่อน  สงสารแกมสมเพช .. 

    “ ไอ้บ้านี่ ไม่ได้เรื่องแล้ว " ผมคิดในใจ 

     ผมออกจากบ้านเขามาขึ้นรถที่นิจจาพร้อมที่จะออกตัว นิจจาได้ขับรถมาเรื่อยๆ ผ่านสถานีรถไฟ แล้วเลี้ยวขวาเข้ามาถนนรัตวีถี แค่นิจจาขับรถมาเส้นทางเส้นนี้ ผมก็พอเดาได้ทันทีว่าเพื่อนต้องแวะพาผมมาหาสุรชาติอย่างแน่นอน เมื่อถึงบ้านสุรชาติเพื่อนสนิทของผมอีกคน ที่ผมมักจะแวะมาหาเขาเมื่อเดินทางมาอรัญประเทศ 

        ”.ไอ้ชาติหมาๆอยู่ไหน”ผมกับนิจจา มักจะเรียกสุรชาติแบบนี้ 

     .   เสียงตอบรับภายในบ้านชั้นเดียว..ดังออกมา.

        ”เฮ้ย.ไอ้นิจ มึงนึกยังไงมาหากูวะ”สุรชาติ พูด

        “ไอ้ห่า.ขับรถเก๋งมาเสียด้วย สิ “สุรชาติ คิดว่านิจจามาคนเดียว ผมนั่งหลบในรถเพื่อทำเซอร์ไพรส์เขา . ทั้งสองคนยังส่งเสียง ล๊งเล๊ง.เสมือนว่า เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก.. 

       “มึงเห็นมั้ย .นี่ห้องอาหารโฮมรูมเมท ที่กูลงทุนเปิดให้ลูกชายกูดำเนินกิจการ” สุรชาติพูด 

       “หมดไปกี่ตังค์ล่ะ”นิจจา ถาม   

      “ แสนกว่าบาท แค่นั้นเอง" สุรชาติตอบ พลางเรียกนิจจาให้นั่งที่โต๊ะ.ทั้งสองคนนั่งคุยกันสักพัก ผมค่อยๆย่องเดินออกมาจากรถและได้กล่าวทักทายสุรชาติ 

       “สวัสดีครับ .เสี่ยชาติ”ผมทักทาย   เมื่อผมเอ่ยปากทักไปสุรชาติหันมาตามเสียง แล้วมองมาที่ผม 

        “เฮ้ย ไอ้ขลุ่ย..มึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำเนียนเลยนะมึง ไอ้ห่านิจ ก็ทำไก๋ทำกับว่ามาคนเดียว “สุรชาติพูด

       “มาถึงเมื่อเที่ยงวัน วันนี้  ตั้งใจมาหามึงโดยตรง เมื่อกี้แวะหาไอ้ชัยยะที่บ้านฟากห้วย เมาเป็นตายเลย" ผมเล่าเรื่องกึ่งฟ้องเพื่อน 

      “ไอ้เหี้ยชัยนี่ นิสัยแย่ เอาแต่แดกเหล้า วันๆไม่ต้องทำมาหาแดก นี่ก็เพิ่งเลิกกับเมียคนที่สาม ผัวก็แดกเหล้า เมียก็แดกเหล้า เมาแล้วก็ตบตีกัน.. กูละอายแทนเลย .มันไม่น่าจะเป็นเพื่อนกูเลย ”สุรชาติเล่าให้ฟังเสียยาว

       “เห็นใจมันว่ะ “ผมพูด

       “เห็นจง เห็นใจ มันทำเหี้ยอะไร..ไอ้สัตว์ จะเกษียณอายุปีนี้แล้ว ยังทำตัวยังกับเด็กอมมือ”สุรชาติพูด

     “ จะกินอะไรดีเพื่อน กูเป็นเจ้ามือเอง วันนี้ “ สุรชาติเอ่ยปาก บอกผมกับนิจจา

       สุรชาติ ตะโกนบอกภริยาคนที่สี่ ของเขาที่อยู่ในห้องครัวให้นำแก้วและจาน มาเสิร์ฟให้พวกเราก่อน สักครู่ภริยาสุรชาติก็เดินเข้ามาทักทายผมกับนิจจา  ผมเดินสำรวจร้านของสุรชาติบรรยากาศภาย ในและนอกร้านที่เขาจัด  ดูดีมาก  ไม่น่าเชื่อว่าอดีตคนขี้เมาอย่างเขาจะมีความสุนทรีย์ขนาดนี้ได้

         “เฮ้ย ไอ้ชาติ..มึงนึกยังไง ถึงมาเปิดร้านอาหาร วะ”  ผมพูด

         “พอดีลูกชายกู เพิ่งเรียนจบมหาลัย ตอนนั้นมันยังไม่มีงานทำ เห็นมันบอกว่าอยากเปิดร้านอาหารกูก็เลย หาช่างมาปรับปรุงบ้านให้มันมีบรรยากาศอย่างที่พวกมึงเห็นนี่แหละ” สุรชาติบอก     

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น