คืนนั้นยังจำได้ - คืนนั้นยังจำได้ นิยาย คืนนั้นยังจำได้ : Dek-D.com - Writer

    คืนนั้นยังจำได้

    ทางเดียวที่จะระบายอารมณ์ได้ คือ..ต้องกระโดดลงน้ำ

    ผู้เข้าชมรวม

    53

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    53

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  25 พ.ย. 65 / 08:48 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

                                                   คืนนั้น ยังจำได้

     จะให้ผมลืมเหตุการณ์นั้นไปได้อย่างไร  เมื่อผมได้เห็นตำรวจหน่วยปฎิบัติการของจังหวัด พร้อมอาวุธครบมือเกือบร้อยคนได้ปีนข้ามรั้วของวิทยาลัยพร้อมชุดคลุมหน้าได้ยิงระเบิดควันเข้ามาใส่แกนนำและนักศึกษา  ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าอาจารย์ของหน่วยงานนี้จิตใจ(ของพวกเขา)มันทำด้วยอะไร...ดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่จะพึงพอใจที่นักศึกษา ถูกกระทำ ผมรู้สึกผิดหวังในตัว(อ.บรรจบ) ผู้อำนวยการ ที่แก้ไขปัญหาของนักศึกษาแบบไร้มนุษยธรรม หากจะเปรียบนักศึกษาเป็นลูก คนเป็นพ่อที่รักลูกจักต้องไม่ประพฤติตนเยี่ยงนี้อย่างเด็ดขาด บอกตรงๆว่าผมเกลียดผู้อำนวยการอย่างชัดแจ้ง

    เรื่องบัตรสนเท่ห์ เรื่องนักศึกษาก่อม็อบ เป็นเหตุการณ์ที่หนักหนาที่เขาถูกผู้ใหญ่ในกรมเพ่งเล็ง  และสิ่งนี้มันส่งกระทบมาถึงผมอย่างไม่แฟร์เลย เรื่องบัตรสนเท่ห์คงจับมือใครดมไม่ได้เพียงสันนิษฐานและคาดคะเน ไปว่าคนโน้นคนนี้ทำ ตอนเกิดเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นใหม่ๆ มีคนถูกเพ่งเล็งเพียงสองคนคือ ผมกับอาจารย์สุรพล เป็นเพราะเราทั้งสองคน มีแนว คิดที่เหมือนกันคือ เป็นคนตรงและรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม แม้อาจารย์สุรพลเป็นลูกศิษย์ อ.บรรจบมาก่อน แต่ช่วงหลัง เขามักจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันและปีนเกลียวกันบ้าง 

     “มันคงหนีไม่พ้น ไอ้สองคนนี้หรอก ทั้งคู่ มันหัวรุนแรง และไปไหนมาไหนด้วยกัน“ เสียงนกเสียงกา วิพากษ์ให้ผมได้ยิน จำเลยที่ต้องสงสัยในสองเหตุการณ์ มากที่สุด คือตัวผม..   

                   ************************************************************

         ผมกับอาจารย์สุรพล เพิ่งมาสนิทกันช่วงที่มาทำงานในวิทยาลัยใหม่ๆ  ที่บ้านพักอ.สุรพลคือที่ฝากท้องของผมบ้างในบางช่วง   ครั้งที่อ.สุรพลยังเรียนที่วิทยาลัยแห่งนี้เขาเป็นนักกิจกรรมเป็นศิษย์ก้นกุฎิรุ่นบุกเบิกของอ.บรรจบ ครั้งที่ วิทยาลัยได้เริ่มสถาปนาเป็นโรงเรียน เรื่องบัตรสนเท่ห์ที่ผมถูกกล่าวหาว่าเป็นคนกระทำ เป็นเรื่องที่ผมยังค้างคาใจมาจนวันนี้  บอกตรงๆว่ามันไม่แฟร์เลยสักนิดกับอาจารย์พวกนั้นที่มากล่าวหาว่าผมเป็นคนทำ  ทั้งๆ ที่ผมยังไม่ทราบเลยว่าบัตรสนเท่ห์ มันคืออะไร.  และที่ไม่แฟร์ไปกว่านั้น คือผู้อำนวยการที่ไม่มีวิจารณญาณเลยว่าคนอย่างผมจะมีปัญญาทำบัตรสนเท่ห์ได้อย่างไรเมื่อผมไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือพิมพ์ และใยเขาจึงจงเกลียดจงชังผมมากขนาดต้องกลั่นแกล้ง และทำลายอนาคตทางราชการผม

      ขณะที่ผมเบื่อกับการบริหารของเขา และอยากจะขอลาไปศึกษา(ต่อ)เพื่อจะได้ไม่ต้องพบกับหน้าเขาอีก แต่เขากลับให้คนที่อาวุโสน้อยกว่าผม คือ อ.นิวัฒน์ ได้ลาศึกษาไปเรียนต่อก่อนผม  ในรุ่นเดียวกันนี้ อ.ภาพร ซึ่งอาวุโสน้อยกว่าผมก็ได้สิทธิ์ลาเรียนต่อด้วยเช่นกัน และ…นี่คือสิ่งที่สร้างความเจ็บช้ำให้กับผมไม่น้อย ก็คงต้องกล้ำกลืนทำงานต่อไป  เมื่อผมไม่ได้ลาศึกษา มีอีกทางที่ผมอยากจะหาทางหลีกพ้นไม่พบหน้าเขา คือผมจะขอใช้สิทธิ์ยื่นใบลา เพื่อขอบวชเรียนหนึ่งพรรษา   ครั้งนี้ผมใช้สิทธิ์ได้เพราะมีเอกสิทธิ์ของชายไทย(พุทธศาสนิกชน)ที่จะเข้าศึกษาทางธรรมและส่วนราชการต้องสนับสนุน

       “พี่เล็ก ช่วยเดินเรื่องขอลาบวช ให้ผมด้วย ครับ  “ผมพูด

       ผมพยายามติดต่อและพูดคุยกับบุคลากรและผช.ผอ ฝ่ายธุรการ ให้ช่วยเดินเรื่องผ่านกรม เพื่อพิจารณาอนุมัติให้ผมได้ลาอุปสมบทภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน ที่ผมรอคำตอบ ทางกรมได้อนุมัติให้ผมสามารถลาตามสิทธิได้ จนต้นเดือนมิถุนา ยน  ผมจึงเข้าบวชที่วัดในเมือง การที่ผมมาบวชและจำพรรษาที่วัดแห่งนี้เป็นเพราะก่อนหน้า ..แม่ของอาจารย์คนหนึ่งในวิทยาลัยได้ชักชวนและยังบอกเพิ่มเติมว่าหลวงพี่แดง ซึ่งเป็นรองเจ้าอาวาสของวัด อยากให้ผมมาบวชและจำพรรษาที่นี่ เพราะท่านคาดหวังว่าผมสามารถที่จะช่วยพัฒนาวัดแห่งนี้ให้ดีขึ้น  

              ******************************************************************************* 

      ก่อนอุปสมบท..ผมต้องมาอยู่ที่วัดและนอนค้างคืนด้วย เพื่อสร้างความคุ้นเคย ต้องฝึกท่องบาลี เพื่อขานรับ ตอนเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ในขั้นตอนสุดท้าย   

    “ไอ้ขลุ่ยก่อนเข้าบวช พี่ว่า. เอ็งน่าจะดำเนินการให้ครบถ้วนตามประเพณี คือไปทำการขอขมาอาจารย์ที่ร่วมงานกันมา จะได้สบายใจ”อ.นัย พูด   

    “จะต้องไปแคร์ ต้องไปขอขมา พวกมันทำไม เราก็ไม่เคยไปล่วงเกินอะไรพวกมันเลยสักนิด “ ผมพูด 

    “ทำไปเถอะไอ้ขลุ่ย  เพื่อความสบายใจ เวลาไปบวช ไม่ติดขัดอะไรในใจ มันเป็นประเพณีของไทยนะ “อ.นัยพูด

    ก่อนบวชหนึ่งสัปดาห์ ผมจึงนำพานดอกไม้ ไปทำพิธีขอขมากับอาจารย์และพนักงาน ตามประเพณีที่ดีงาม ส่วนใหญ่ทุกคนร่วมอนุโมทนาและเห็นว่า มันคือครั้งหนึ่งในชีวิตของชายไทยที่ควรกระทำเพื่อทดแทนบุญคุณบิดรมารดาและได้ศึกษาธรรมวินัย 

     “สิ่งใดที่กระผมได้กระทำโดยเจตนาไม่เจตนาด้วย กายกรรม วจีกรรม  มโนกรรม กระผมขอให้ท่านได้อโหสิกรรม ให้ผมด้วย“ ผมพูดกับทุกคนที่ผมเข้าไปพบเขา

     สองคน..ที่ทำให้ผมสะอึกกับคำพูดเขา คือนายกิตติศักดิ์ และอ.ปวีณา  

    “ดีแล้วที่ไปบวช จะได้มีจิตใจที่ดีงามขึ้นมาบ้าง ที่ผ่านมาขลุ่ยแย่มากเลย พี่อโหสิกรรมให้”อ.กิตติศักดิ์พูด เป็นเพราะผมต้องไปบวช ผมจึงยอมให้เขาใช้วาจาล่วงเกิน  ว่าไปแล้วการพูดเช่นนี้หากผมไม่บวช ผมคงจะไม่ยอมเขาแน่ๆ     

     “วันบวช ผมจะไปร่วมงานด้วย“ อ.บรรจบพูด

      “ขอบคุณ ครับ”

                  **********************************************************************************

       เช้าวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันอุปสมบท หลังจากนาคได้รับไตรจีวร เพื่อมาใช้ห่มคลุมร่างตนแล้ว จึงมีการแห่รอบอุโบสถ จากนั้นจึงเข้ามาภายในพระอุโบสถ เพื่อผ่านขั้นตอนขั้นสุดท้ายโดยมีพระกรรมวาจาและพระอนุสาวนาจารย์เป็นผู้ทำพิธีบวช เพื่อยอมรับภิกษุที่เข้ามาบวช   ตลอดพิธีกรรมที่ผมบวช อ.บรรจบ จะมองและห่วงใยผม ซึ่งผมรู้สึกปิติและขอบคุณเขาในใจ    นับแต่ที่ผมได้ครองจีวร เริ่มรู้สึกยินดีและอิ่มบุญอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จิตใจผมสงบนิ่ง สำรวมตนได้โดยอัตโนมัติ  ฉายาที่ผมได้รับคือ พระ“ขันติวโร”แปลว่า บุคคลผู้สงบ ซึ่งผมชอบในฉายานี้มาก การบวชในวันนั้น มีอาจารย์ที่มาร่วมงานผมเพียงห้าคนคือตัวผู้อำนวยการ ,อ.มงคล, อ.จำนงค์, อ.ฤกษ์ชัยและ(คนขับรถ)ของวิทยาลัย  

      สี่เดือนในการบวชเรียน มันเป็นเวลาที่ยาวนานมาก เป็นเพราะช่วงบวชผม มีความห่วงใยในหลายๆเรื่อง  หลังจากสึกจากการบวชพระแล้วก็กลับเข้ามาทำงานปกติ ผมหวังใจว่าการที่ผมบวชแล้ว คงน่าจะทำให้ผมมีจิตใจสงบขึ้น แต่มันหาได้เป็นเช่นนั้นไม่เพราะเหล่าบรรดาอาจารย์ที่ไม่ชอบผมอยู่ก่อนแล้ว พยายามสร้างความโกรธ  ยั่วโทสะ เขานึกว่าผู้บวชแล้วอย่างผม คงเสมือนพระอิฐ พระปูนไปกระมัง มันบ่อยครั้งๆ จนผมเริ่มตบะแตก ผมจึงหนีหน้าพวกเขาไปนั่งสมาธิทำให้ใจให้สงบที่วัดข้างๆวิทยาลัย

     “ทำใจ ให้สงบนะ โยมอาจารย์  “  หลวงพ่อพูด ให้กำลังใจ

     “ครับ ยังไง ถ้าผมเครียดๆ ผมจะมาวัดนะครับ  “

     “โยม อาจารย์มาได้ตลอดเวลาเลย “ หลวงพ่อพูด

      ในระยะนั้น ผมมาวัดเกือบทุกวันช่วงวันเสาร์- อาทิตย์ จะมาตั้งแต่เช้าเพื่อมานั่งสมาธิ ทำให้จิตสงบ แต่จิตมันไม่สามารถควบคุมได้ เสียงก่นนินทา เสียงตำหนิ มันคงดังในหูของผมตลอดเวล าผมคิดในใจว่า เมื่อมันเอาดีทางสงบไม่ได้ ก็ไปให้มันเสียผู้เสียคนไปเลยดีกว่า

      “มารมาผจญ มาทดสอบความเข้มแข็งของโยมอาจารย์ น่ะ" หลวงพ่อพูด ให้กำลังใจ”

     “ครับ ผมจะพยายาม .ทำไมเขาจึงทำกับผมอย่างนี้ ผมไม่ทราบ"ผมพูด

    " หลวงพ่อ ก็เห็นว่า โยมอาจารย์เป็นคนทำงาน มีแต่จะทำชื่อเสียงให้กับวิทยาลัย “หลวงพ่อพูด

     “ครับ ”ผมพูด

     “อย่าคิดมาก ทุกหน่วยงานก็เป็นแบบนี้ ใครเด่นกว่า ก็ย่อมมีคนอิจฉา “

     “ผมไม่เคยก้าวก่าย ว่าร้าย อิจฉาพวกเขาเลย ครับ“

     “มานอนที่วัด ก็ได้นะ  ที่ศาลาไม่มีใครพัก “หลวงพ่อพูด

     “ครับ หลวงพ่อ   “   .

     ผมเทียวไปมาที่วัดเดือนเศษๆ คิดไปคิดมาว่าไหนๆ เอาดีทางชีวิตราชการ มันไม่ได้เสียแล้ว คงขอปล่อยให้ชะตากรรม มันกำหนดเอง   งานต้องทำและอย่าให้เสียงาน ให้บรรดาเหล่าพวกมากลากไปมันจ้องเอาความผิดไปฟ้องผู้อำนวยการ หลังเลิกงาน ..ผมตระเวนดื่มเหล้า  เมาหยำเป .(ไม่ถึงขั้นตีหัวหมา)ภาวนาว่า ระหว่างเดินทางกลับบ้าน ขออย่าได้เจออริกับพวกที่ผมไม่ถูกชะตาด้วย  เพราะของมันจะขึ้น แล้วจะเกิดการท้าดวลกัน …พวกเขาจึงมักรีบหลบหนีผม ก่อนที่จะเจอหน้ากับจังๆ   

                            ***************************************************************************

     ช่วงใกล้ค่ำของเดือนสิงหาคม  ผมออกจากบ้าน ไปซื้อเหล้าที่ร้านค้ามาหนึ่งกลมเมื่อเปิดขวดเหล้าแล้วก็ยืนซดเหล้าเพียวๆ หมดไปครึ่งขวด  เครียดกับคนในหน่วยงานและผู้บริหารยังไม่พอ  พอเข้ามาถึงบ้าน..แม่บ้านก็บ่นอีก  

      “จะไปเครียดอะไรกันนักกันหนา  เครียดแล้วกินเหล้า มันจะหยหรือ” แม่บ้านบ่น

                ระหว่างนั้นฝนตกอย่างหนัก.. ด้วยความน้อยใจ  ผมจึงเดินออกจากบ้าน มุ่งหน้าอย่างไร้จุดหมาย 

     “เครียดกับงานไม่พอ เข้ามาบ้านแทนที่ จะมีคนเข้าใจ กลับซ้ำเติม กูไม่อยู่แล้ว  “ ผมพูด  

      จากนั้นก็หยิบขวดเหล้า หนีบไว้ข้างรักแร้แล้วเดินฝ่าสายฝน ผ่านบ้านพักอาจารย์คนหนึ่ง และสายตาพลันเห็นเขามองผมด้วยสายตาเหยียด ผมจึงแวะเข้าไปถาม 

     “คุณ มองหน้าผม ทำไม  “

     “ไม่ได้มอง “ เขาตอบ 

     “อย่างนี้เหรอไม่มอง  คุณสนใจและอยากจะมีเรื่องใช่มั้ย  “ ผมพูด  ท้าเขาให้ออกจากบ้าน เพื่อกำศึก

     “พี่ขอโทษ ถ้าทำให้ขลุ่ยเข้าใจผิด “   

       คนที่ผมเดินเข้าไปท้าทาย จริงๆ เป็นคนที่คุ้นเคยและสนิทกันในอดีต เพราะเคยพักร่วมกันมา ตั้งแต่เริ่มมาทำงานใหม่ๆ การที่เขามองผม จริงๆ อาจเป็นเพราะคงเห็นใจและเข้าใจชีวิตผมของผมเสียมากกว่า แต่เพราะผมเครียดของผม จึงมองว่าเขาคือศัตรู ที่มองผมด้วยสายตาดูแคลน เมื่อเขาขอโทษผม ผมจึงมุ่งหน้าเดินออกข้างนอกวิทยาลัย ระหว่างเดินทางถึงสะพานผมมองสายน้ำในคลองชลประทานที่ท่วมสูงจนติดกับขอบสะพานและไหลเชี่ยวมาก ผมยืนนิ่งอยู่สักครู่ พลางเปิดขวดเหล้ายืนซดเพื่อระบายอารมณ์ 

       “เดี๋ยว..คอยดู  กูจะสร้างข่าวให้พวกมัน ได้วิพากษ์วิจารณ์กัน ให้สนุกปาก”  ผมคิดในใจ

      เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ที่ยืนอยู่หน้าป้อมสังเกตว่าผมกำลังจะทำอะไร ………..

                                                       10 วินาที ..ต่อมา 

      “ตูม “ผมกระโดดลงในลำธารที่เชี่ยวกราก ในมือยังกอดขวดเหล้าไว้แน่น ในท่ามกลางความมืด เวลาสามทุ่มเศษ ๆยังเป็นช่วงที่มีคนเดินทางเข้าออกวิทยาลัยอยู่บ้าง 

      “ยามๆ มีคนกระโดดลงในน้ำเหมือง “นักศึกษา ที่เห็นเหตุการณ์ตะโกนบอก รปภ.

       ไม่ถึงสองนาที มีนักศึกษาอาจารย์จากคณะวิชาช่างยนต์ ส่งเสียงโหวกเหวกโวยวาย ลั่นสะพาน 

        “เฮ้ย ไอ้หมู มึงแน่ใจเหรอว่า เป็นอาจารย์ขลุ่ย “อ.ศักดิ์ชาย พูดกับลูกศิษย์ ที่เรียนคณะวิชาช่างยนต์

     “แน่ใจล้านเปอร์เซ็นต์ ครับ “ หมูตอบ

     “มึงโดดน้ำไปดูสิ ว่าอาจารย์เขาลอยน้ำไปทางไหนแล้ว “

      ในท่ามกลางความมืดมาก  เจ้าหน้าที่ รปภ. อาจารย์ศักดิ์ชายและอาจารย์ในวิทยาลัยบางคนที่รู้ข่าว มามุงห้อมล้อมที่สะพานจนไปสุดทางกั้นน้ำคลองเหมืองชลประทาน

          ผมอดขำไม่ได้ ที่วันนี้ ผมได้สร้างสถานการณ์อันยิ่งใหญ่ และสร้างวีรกรรมให้พวก(อาจารย์ในวิทยาลัย)เขาได้เมาท์ นินทากันสนุกปาก  จริงๆ แล้ว ผมตั้งใจว่า  หลังจากที่ได้กระโดดลงน้ำไปแล้ว มันคงทำให้ผมบรรเทาความเครียดได้ หลังจากที่ผมกระโดดลงน้ำได้ว่ายและดำน้ำหลบเข้าไปอยู่ใต้สะพานซึ่งมันมีโพรงอากาศทำให้หายใจได้เป็นปกติ 

        พวกเขาโหวกเหวกโวยวายตามหาผม จ้าละหวั่น ผมยืนอยู่ใต้สะพายซึ่งมีอากาศหายใจ ใช้เท้ายันกับพื่นดินที่ติดขอบริมฝั่ง ยืนซดเหล้าต่ออย่างคนไร้ความทุกข์ 

       ความบ้าระห่ำอย่างนี้ คงไม่มีใครทำได้..นอกจากผม ..ครู่ต่อมา  หลังจากอาการความเครียดลดลง ผมจึงดำน้ำโผล่ออกมาจากใต้สะพาน แล้วเดินขึ้นมาบนฝั่ง กลับเข้าในบ้านพักแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น

        “พรุ่งนี้.กูจะรอฟังข่าวบันเทิงว่า เหล่าบรรดานกกา พวกนี้ จะนินทาว่าผมอย่างไรอีก ”  ผมคิด

                                                            ขลุ่ย  บ้านข่อย

                                                             (๒๕ พย  ๖๕)

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×