เสี้ยววินาที พาซวย
คำดูแคลนที่ทำให้โกรธ จนบังเอิญพบกัน ทำให้วินาทีซวยได้เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ
ผู้เข้าชมรวม
84
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เสี้ยววินาที พาซวย
ชีวิตประจำวันของพวกเราในอดีต (ครั้งอยู่หอพัก) ระหว่างวันจันทร์– วันศุกร์ พวกเราต้องมีภาระที่ต้องรับผิดชอบหลักๆสองประการ คือช่วงเช้า ต้องลงงาน ประจำหมวดต่างๆ 6.00- 8.00 น วันละสองชั่วโมง หมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ สองสัปดาห์ / หมวดงานที่ต้องฝึก เวลา8.05 คือเวลากินอาหารมื้อเช้า (ข้าวต้มกุ๊ย+ถั่วทอด+กับข้าวที่กินกับข้าวต้มอีกหนึ่งอย่างที่ไม่ซ้ำกัน) และระหว่างช่วงเวลา ตั้งแต่ 9.00 -1600 น. ทุกคนต้องเข้าเรียนเพื่อเรียนทฤษฎี ชีวิตในหอพักของพวกเรามีสภาพสะดวกสบายพอประมาณ ก่อนเข้าเรียนทุกครั้ง ทุกคนที่เรียนที่นี่ ต้องมาเข้าแถวเคารพธงชาติ และเช็คชื่อ พร้อมรับฟังครูบาอาจารย์อบรมและฟังข่าวต่างๆที่จะประกาศ อาทิ ประกาศบอกวันสอบ บอกเรื่องทุนการศึกษา แจ้งให้นักศึกษาคืนหนังสือที่ยืมมาจากห้องสมุด แจ้งให้นักศึกษาที่กู้ยิมเงินไปชำระดอกเบี้ยและเงินต้นที่กู้ยืมจากเงินกองทุน ภาควิชาการ.ที่พวกเราเรียนซึ่งไม่สู้จะถนัดมากนัก คือวิชาเกี่ยวกับการคำนวณ และวิชาภาษาอังกฤษ ที่หวั่นๆ จะติด F มากที่สุด คือวิชาคณิตศาสตร์ ที่เป็นวิชาพื้นฐานซึ่งเป็นวิชาบังคับ
หลังเลิกเรียน..ทุกคนจะเป็นอิสระ เมื่อกลับจากห้องรียนทุกคนก็กลับเข้าหอพัก หอพักหอหนึ่งจะมีรุ่นผม(รุ่นน้องล่าสุดม.ศ 4)เข้าพัก ส่วนหอ 2และหอ 3 รุ่นพี่ มศ. 5-6 หรือ (ปวช 2- 3 )และพี่ปวส. 1 ที่เปิดรับเป็นปีแรกและรุ่นแรกพักรวมกันเมื่อถึงที่พักแล้ว.. เพื่อนบางคนกระโดดขึ้นเตียงนอนหงายแผ่ เอามือก่ายหน้าผาก บางคนนั่งลงที่เตียง บางคนเก็บอุปกรณ์การเรียนในตู้(ล็อกเกอร์)ของตน บางคนเดินไปเปิดวิทยุฟัง บางคนชวนกันเปิดวงไพ่ พี้ กัญชา ฆ่าเวลา ฯลฯ เพื่อรอกินข้าวมื้อเย็น เมื่อเสียงระฆังให้สัญญาญทุกคนจะผละจากหอ แล้วเดินมายังโรงอาหารขนาดใหญ่ ซึ่งจุคนได้เกือบ หนึ่งพันคน
เมื่อเดินเฉียดโรงครัว..ก่อนเข้าไปนั่งกินข้าว ก็จะได้ยินเสียงลากเก้าอี้ เสียงคนที่มาชุมนุมโดยพร้อมเพียงกัน ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว เสียงช้อนหล่นลงพื้น เสียงจานสังกะสี ที่กระทบทัพพีตักข้าว กติกาของโรงอาหารคือ ในโต๊ะนั่งยาวจะนั่งได้ 8 คน เมื่อใดที่สมาชิกมาครบ 4 คน จึงจะสามารถทานอาหารได้ ในโต๊ะนั้นๆได้กำหนดชื่อคนนั่งไว้ตายตัวแล้ว อย่างโต๊ะกินข้าวชุดของผม 8 คน มี สมโภชน์ สัมพันธ์ สุธี สุรินทร์ สุรพล สุรชัย หรรษา อนุชิต ในชุดย่อยๆ 4 คนนี้ อาจสลับสับเปลี่ยนไม่ซ้ำคนก็ได้ ครบสี่คนเมื่อใด ก็ลงมือกินข้าวก่อนได้เลย ชุดที่ยังไม่ครบ ก็ต้องรอจนกว่าเพื่อนจะมาครบจึงจะกินข้าวได้
“วันนี้ แกงส้มแน่ๆ เลยกูว่า.. ร้อยนึง เอาขี้หมากองเดียว เอามั้ยไอ้ขลุ่ย ”ไอ้แดงท้าพนันกับผม
“ไม่เอา กูก็ว่า แกงส้ม แน่ๆ ”ผมตอบ
“งั้นมาทายกับข้าว อีกอย่างซิ ” ไอ้แดงตั้งคำถาม
“กูว่า ผัดผักรวมมิตร นะ” ผมตอบ
“เหล้าคนละแบน มั้ยล่ะ ถ้าใครทายถูก ” ไอ้แดงท้าพนัน
“ก็ได้ แล้วมึงคิดว่าเป็นอะไร ล่ะ”
"ดอกกุยช่ายผัดตับ “ ไอ้แดงตอบ
ครึ่งนาที.ต่อมา .ผมกับไอ้แดง ก็มาถึงโต๊ะกินข้าวในโรงอาหาร กลุ่มเราสามารถรวบรวมคนครบ 4 คนแล้ว จึงเปิดจานที่ครอบกับข้าว เพื่อดูว่ากับข้าวอีกอย่างคืออะไร
“ผิดทั้งคู่ “ ไอ้แดง เปิดจานที่คว่ำครอบกับข้าว การพนันขันต่อทายกับข้าว จึงไม่มีใครได้ ใครเสีย
โดยปกติ..ใครนั่งใกล้กะละมังใส่ข้าว ก็มักจะเป็นคนตักข้าว เพื่อส่งแจกจ่ายให้เพื่อนกินทั้ง 8 คน เพื่อนๆบางคนมักจะมีนิสัยเอารัดเอาเปรียบ เขามักจะมาช้ากว่าใครๆเสมอ ในกลุ่มที่กินข้าวด้วยกันนี้สองคนหลัง ที่ชื่อเขาไม่ใช่ ส. เสือ จะเรียนเก่งกว่าใครๆ แต่มักมีนิสัยเอารัดเอาเปรียบเพื่อนเสมอ
*********************************************************************************
หลังกินข้าวมื้อเย็น จนอาหารพอย่อยแล้ว กลุ่มที่ชอบกีฬาลูกผู้ชาย อย่างมวยไทยก็ ไปซ้อมเตะ ต่อย กระสอบทรายกระโดดเชือก ชกลม ซ้อมต่อยเป้าฟุตบอลที่ข้างคอกไก่ ซึ่งเป็นอาคารเรียนยาวชั้นเดียว ผู้ที่ชอบเล่นกีฬา ฟุตบอล บาส แบดมินตัน ปิงปอง ก็ไปแต่ละจุดที่เคยเล่นกัน นานๆครั้ง ผมจึงจะไปเตะกระสอบทรายบ้าง แม้จะชื่นชอบกีฬาประเภทมวยไทยและมวยสากล แต่เนื่องจากมีคนมาซ้อมกันมากเลยสละสิทธิ์ ที่จะมารอคิวซ้อม
ในวิทยาลัยเกษตรเจ้าคุณทหาร.ในขณะนั้น มีค่ายมวย ที่พวกเราพี่ๆน้องๆ ตั้งชื่อขึ้นมาให้พ้องกับชื่อสถานศึกษาของเรา ดังนั้นหากมีการเปรียบมวยในงานวัด หมู่บ้าน ละแวกลาดกระบัง หนองจอก มีนบุรี และ แปดริ้ว พวกเราก็จะเหมารถไปเปรียบมวยเพื่อขึ้นชกหารายได้พิเศษ และเพื่อหาประสบการณ์ชีวิตในครั้งหนึ่งของความเป็นลูกผู้ชาย
“ไอ้ขลุ่ย ไปซ้อมมวยที่คอกไก่กัน ”พี่สันติ ชักชวน
“ตามสบายครับพี่ ”ผมพูด
“ถือเป็นการออกกำลังกาย น่ะน้อง ”พี่สันติพูด
“คนเกือบ 20 คน ต้องรอคิวผลัดเปลี่ยนกันซ้อมน่ะพี่ ผมไม่อยากรอ ”
“งั้นตามใจ น้อง ไง.ถ้ามีโอกาสก็ไปข้างคอกไก่ ไปลองดูพี่ๆ ซ้อมมวย นะ ”
“ครับพี่” ผมตอบ
ที่ห้องพักในหอพักเดียวกันกับผม คนที่ชอบไปซ้อมมวยเป็นประจำมีสามคน คือไอ้ทัย ไอ้ชัยและไอ้เอี้ยง ในรุ่นของผมในหอพักเดียวกัน ยังมีเพื่อนอีกเกือบ10 คนที่ชอบกีฬาประเภทนี้ และพวกเขาก็เคยผ่านสังเวียนบนเวทีมวยช่วงงานวัด งานสิ้นปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ที่สวนพระนคร เขตลาดกระบัง ซึ่งจัดงานประจำปีทุกปี
****************
พี่สันติ…เป็นรุ่นพี่ของผม1 รุ่น ผมมองว่าเขาเป็นคนนิสัยดีมาก สันติชัย ศิษย์เจ้าคุณทหาร เป็นคนหนองจอก. ผมเคยพักห้องเดียวกับพี่ที่หอสามตอนเรียนปี 2 พี่สันติเป็นคนพูดน้อย(พูดติดอ่างเล็กน้อย-ถึงมาก)รูปร่าเตี้ยงล่ำ สูงประมาณ 150- 155 เซนติเมตร ใบหน้ามีแผลเป็น เพราะหมอเย็บ ตั้งแต่โหนกคิ้วเรื่อยมาจนปลายคาง พวกเราที่ชอบในกีฬามวย ที่เอาจริงเอาจังมีประมาณ 10 กว่าคน หมายถึงขยันซ้อมทุกวันและสามารถขึ้นไปเปรียบมวยเพื่อชกเอาเงินรางวัลได้
พี่สันติ เป็นคนบ้านเดียวกันกับไอ้แดง ทั้งคู่เคยจบที่โรงเรียนมัธยม ที่เขตหนองจอกด้วยกันมา ปีแรกที่ผมมาเข้าเรียน ที่นี่ ได้เห็นบุรุษคนนี้ เป็นคนนิ่ง สุขุม น่าเกรงขามและน่าเกรงใจ แม้เขาจะเป็นนักมวยอาชีพ แต่ไม่เคยเห็นสักครั้งที่พี่เขาจะใช้ความเป็นนักมวย มารังแกน้องๆ ในช่วงรับน้องใหม่ หนำซ้ำเขากลับคอยที่จะช่วยปกป้องบอกเพื่อนๆ ในรุ่นของเขาให้เพลากับความรุนแรงต่อน้องๆ
“เฮ้ย พอเถอะ แค่นี้น้องๆ ก็กลัวแล้ว ล่ะ ”พี่สันติ บอกเพื่อนๆที่เข้าไปว๊ากรุ่นน้อง ในห้องพัก
เมื่อใด…ที่รุ่นพี่เข้ามาและพี่สันติ เข้ามาด้วย เพื่อนทุกคนในห้องจะมีความรู้สึกอุ่นใจ ในด้านความปลอดภัย ปกติช่วงรับน้องทุกๆคน ค่อนข้างวิตกกังวลเกรงกลัวไปสารพัด
“เป็นไงน้องๆ อดทนอีกนิดนะ อีกสองอาทิตย์ กิจกรรมรับน้องก็เสร็จสมบูรณ์ แล้วล่ะ” พี่สันติ พูดให้กำลังใจ
การที่พี่สันติสนิทกับไอ้แดง ทำให้ผมได้รู้ถึงรายละเอียด ถึงอุปนิสัยของเขามากขึ้น พี่สันติเป็นคนขยัน ตั้งใจเรียน ใจกว้าง รักเพื่อน ช่วยเหลือกิจกรรมงานของสถาบันอย่างทุ่มเท ครูบาอาจารย์และเพื่อนๆ รักใคร่อย่างมาก
***************************************************************
ในช่วงฤดูหนาว หลังการเก็บเกี่ยวข้าวของบรรดาเกษตรกรแล้ว วัดวาอารามต่างๆ จะจัดงานมหรสพ โดยเฉพาะ พิ้นที่เขตมีนบุรี หนองจอก แปดริ้ว ลำผักชี ลาดกระบังและหัวตะเข้ เมื่อมีงานวัด พวกเราที่พร้อมจะไปเปรียบมวยก็ต้องฟิตกันอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะพี่สันติ ซึ่งเป็นนักมวยอาชีพที่ขึ้นเวทีชกสม่ำเสมอ ไม่ว่าเขาจะไปขึ้นชกมวยที่ไหน พวกเราจะเหมารถไปเชียร์ ถึงขอบสนามเวทีมวย แม้อากาศจะหนาว จะมีอุปสรรคในเรื่องรถโดยสารที่ไม่ค่อยจะมี แต่พวกเราก็หาทางไปจนได้ทุกครั้ง คงบอกได้ว่าพี่สันติ ไม่เคยทำให้พวกเราผิดหวังเลยจากสถิติการชกของเขา 60 ครั้งชนะน็อค 25 ครั้ง ชนะคะแนน 25 แพ้คะแนน 10 ครั้ง พี่สันติเคยได้แชมป์มวยไทยที่เวทีสำโรง
***************************************************************
ที่สวนพระนคร เขตลาดกระบัง ในขณะที่พวกเราเรียนอยู่ชั้นปี 2 โปรโมเตอร์ผู้จัดมวย ได้ประกาศผ่านทางใบปลิวว่าจะมีการจัดประกบคู่มวยที่จะขึ้นชกในงานประจำปี เมื่อนักชก เจ้าของค่ายมวยและพี่เลี้ยงรู้วันเวลาการเปรียบมวยแล้วต่างก็พากันมา ณ.ห้องประชุมสวนพระนคร ผู้คนจากทุกสารทิศ ต่างทยอยมากันอย่างคึกคัก เพื่อรอดูการประกบคู่มวย มีเสียงเฮ ๆเป็นระยะๆ เมื่อการประกบคู่มวยเป็นที่ถูกอกถูกใจ ผมกับเพื่อนๆรวมทั้งรุ่นพี่ ที่ต้องการหารายได้พิเศษ และหาประสบการณ์ชีวิตต่างพากันลองเข้าไปชั่งน้ำหนัก เพื่อประกบคู่ขึ้นชก และในคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ นักมวยในสังกัดศิษย์เจ้าคุณทหาร ก็ได้มีโอกาสขึ้นชกบนสังเวียนถึงสามคน คือไอ้ทัย ไอ้ชัยและไอ้สถิตย์
“ชกห้ายก กูไม่รู้จะยืนอยู่ไหวหรือเปล่า " ไอ้สถิตย์ บ่นกับเพื่อนที่จะชกในรายการเดียวกัน สถิตย์เป็นคนชกชั้นเชิงสูง ข้อเสียคือชอบพี้กัญชาและไม่ขยันซ้อมเช่นคนอื่นๆ
“ไม่ต้องคิดอะไร ถ้าเอามันไม่อยู่ กูก็ยอมนอนดีกว่า ”ไอ้ชัยพูด
ในสามคนที่จะขึ้นชกบนเวทีมวย ในวันสิ้นปี สถิตย์ ดูจะมีประสบการณ์บนเวทีมากกว่ากับเพื่อนอีกสองคน เมื่อถึงช่วงค่ำของวันสิ้นปี พวกเราต่างพร้อมใจกันไปเชียร์จนแน่นสนาม การขึ้นชกในคืนนั้นคนแรกที่จะขึ้นชกคือ อุทัยเพื่อนร่วมห้องพักและหอเดียวกัน รูปร่างของเขาล่ำมะขามข้อเดียวเหมือนพี่สันติ ผิวดำ ตาตี่ พี่เลี้ยงบนเวทีมีไอ้ลิต ไอ้แดง นักมวยในค่ายศิษย์เจ้าคุณในคืนนี้ใช้กางเกงตัวเดียวกัน เพราะเราไม่ใช่นักชกอาชีพพอมีงานวัดที่ไหน พวกเราก็เข้าไปร่วมประกบหาคู่ชก เพื่อหาเงินเที่ยว กินเหล้า เล่นการพนัน อุทัยขึ้นเวทีด้วยท่าทางตื่นๆเวที เนื่องจากมีคนดูมากมาย พอปี่มวยดังให้ไหว้ครู เขาก็ลงกราบไปยังทิศต่างๆทิศละสามครั้ง จากนั้นก็เดินรูดเชือก แล้วเข้ามุมด้านข้างเวที หลังจากนักมวยอีกฝ่ายไหว้ครูเสร็จ กรรมการได้เรียกให้นักชกมายืนกลางเวทีแล้วบอกกติกาให้ทั้งสองรู้ว่าจะต้องปฎิบัติตนอย่างไร ระฆังยกแรกดังขึ้น
เกร๊ง…
กรรมการสับมือให้ทั้งคู่ชก ทั้งคู่ส่งมือแตะให้กันและกัน จากนั้นนักมวยก็ออกอาวุธกันอย่างสูสี ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ ยกแรกราคาต่อรองยังไม่ชัดเจน เสียงเชียร์จากพี่ๆ เพื่อนๆ จากด้านล่างดังขรม พี่เลี้ยงสอนออกอาวุธ และบอกวิธีแก้ทางมวย ไอ้ทัยได้แต่พยักหน้า หงึกๆ
ยกสอง -ยกสาม ฝ่ายเราออกอาวุธได้เหนือกว่าคู่ชกมาก เสียงเชียร์ดังรอบเวที ทุกคนที่เล่นพนันต่อรอง มองว่าครบยกเราชนะแน่ๆ.. หลังยกสี่ ไม่มีใครจะกล้ารอง เพราะดูคะแนนแล้ว อุทัยมีคะแนนเหนือกว่าคู่ชกมาก หากเล่นพนันไปก็มีแต่เสีย หลังยกสี่ไอ้ทัยเข้ามุม
“ เฮ้ย.อีกยกเดียว ทนอีกหน่อยโว้ย ชนะแน่. มึงประคองตัวหนี ไม่ต้องทำอะไร” ไอ้แดงในฐานะพี่เลี้ยงสั่งการ
ไอ้ทัยนั่งที่มุมแดงบนเก้าอี้ ไอ้ลิต โบกผ้าขนหนูให้น้ำ ให้ลมพัดเย็นๆ
"เออ กูจะพยายาม” ไอ้ทัยในฐานะนักมวยตอบ
ระฆังยกสุดท้ายดังขึ้น กรรมการเรียกทั้งคู่กอดกันและบอกให้ทั้งคู่รู้ว่าเป็นยกสุดท้าย ฝ่ายนักชกที่มีคะแนนเป็นรอง พยายามรุกไล่ที่จะเอาชนะน็อก สถานเดียวเท่านั้น เสียงปี่ ดังเชิดเป็นจังหวะเร่งเร้า ไอ้ทัยซึ่งพยายามประคับประคองตัว ถูกอีกฝ่ายรุกไล่ตลอดจนหอบ..เหลียวมองพี่เลี้ยงเป็นระยะๆ
“เฮ้ย กูถอดใจแล้ว.เหนื่อยใจจะขาดแล้ว โว้ย “ผมเดาใจเพื่อน
ช่วงเหลียวมองพี่เลี้ยง มานี้เอง อีกฝ่ายเหวี่ยงหมัดสะเปะสะปะ จับที่กระโดงคาง แม้ไม่ได้หนักหนาอะไร แต่ในขณะที่ไอ้ทัย หมดแรงเพราะไม่ได้ฟิตซ้อม ก็ยอมนอนให้กรรมการนับหนึ่งถึงสิบ เมื่อกรรมการนับครบสิบ ไอ้ทัยก็ลุกขึ้นมายืนยิ้ม .. แต่คนไม่ยิ้มกับไอ้ทัยคือ คนเล่นพนันที่ให้ไอ้ทัยเป็นต่อ. คู่ถัดมาไอ้ชัย ขุนแผนแห่งเมืองแปดริ้ว แพ้คะแนนไปแบบคู่คี่ คู่เอก ที่ทุกคนเชื่อในฝีมือที่สุด คือสิงห์สถิตย์ ศิษย์เจ้าคุณ ขึ้นชกกับมวยดังจากมีนบุรี เขาเป็นนักชกที่ชั้นเชิงแพรวพราว ก่อนขึ้นชกบอกกับเพื่อนๆว่า หากเอามันไม่มันลง กูจะขอนอนเอง ก็ทำตามคำพูดที่บอกไว้ เนื่องจากเขาชก เตะ เข่า ศอก คู่ชกก็อึดดังควายผสมแรด ทำอย่างไรคู่ชกก็ไม่ยอมแพ้เสยทีเขาจึงแกล้งให้คู่ชกชกเฉี่ยวๆแล้วพ่ายน็อกไปในที่สุด
“เหี้ย..เอ๋ย. ทำยังไงๆ แม่งก็ไม่ยอมแพ้ซักที งั้นกูนอนเองดีกว่า ”สถิตย์บอกเพื่อนๆ หลังเดินลงจากเวที
เมื่อนักชก.รับเงินค่าตัวแล้ว ทุกคนก็มาเดินเที่ยวงาน นั่งดื่มเหล้ากันต่อ จนงานเลิกจึงเข้าหอพัก
*******************************************************************************
วันเสาร์ ประมาณบ่ายโมง……ขณะลูกสาวรองผู้อำนวยการ ขี่รถจักรยานยนต์ผ่านหอพัก
“หน้าอย่างพวกคุณ ไม่มีทางได้เห็นขาอ่อน ฉันหรอก ” ประโยคซึ่งลูกสาวของรองผู้อำนวยการ ได้เอ่ยปากดูแคลนพี่สันติ ขณะที่เธอขับรถผ่าน หลังจากเลิกเรียนจากมหาวิทยาลัยในกรุงเทพ
อ้อย ..คือลูกบุญธรรมคนเดียว ที่รองผู้อำนวยการและภริยาได้ขอเธอมาเลี้ยงตั้งแต่เด็ก จนวันนี้เธออยู่ในวัยใกล้ 20 ปี อ้อยเป็นสุภาพสตรี น่าตาสวยแต่ออกจะเย่อหญิง เธอมองนักศึกษาที่พ่อของเธอเป็นผู้บริหารและสอนด้วย เสมือนคนระดับล่าง วันที่เธอพูดประโยคดังกล่าว เป็นช่วงที่พี่สันติ เดินออกจากหอพักพอดี จึงทำให้พี่สันติ รู้สึกโกรธ และบอกกับเพื่อนๆ ที่เดินมาด้วยกันว่า
“สักวันเถอะนังอ้อย กูจะถลกขาอ่อนของเอ็งเปิดดูให้ได้ ” พี่สันติ พูดด้วยความโกรธ
โดยปกติพี่สันติ เป็นคนเรียบร้อย เฉย สุขุม น้อยครั้งที่เขาจะแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราด ทุกคนในสถาบันทั้งรุ่นพี่ เพื่อน และรุ่นน้องของพี่สันติ ไม่มีใครเลยสักคนจะเกลียดพี่ เขามีใบหน้ายิ้มแย้มเสมอ พูดได้ว่าเป็นคนไม่มีพิษไม่มีภัยกับใครๆ กระทั่งแม่ของอ้อยเอง ที่ทำงานในสถาบัน ยังเคยชื่นชมว่าพี่สันติเป็นคนมีมารยาท มีน้ำใจ
****************************************************************
เกือบสามทุ่มของค่ำคืนหนึ่งขณะที่พี่สันติ ไอ้แดง ไอ้ลิต เพิ่งเดินทางกลับจากการไปน่ั่งดื่มสุราและเล่นสนุ๊กเกอร์ จากตลาดหัวตะเข้ และได้มานั่งคุยกันเล่นที่ศาลท่านเจ้าคุณทหาร
“พี่สันติ นังอ้อย เพิ่งกลับจากเลิกเรียนมาน่ะ ” ไอ้แดงพูด
“เดี๋ยวกูจัดการเอง นังนี่มันเคยดูถูกพวกเราไว้ คืนนี้ พี่ต้องสั่งสอนมันเสียหน่อย"พี่สันติพูด
สุภาพสตรีสาวสวย คนนี้เดินนวยนาด มืได้หวาดระแวงใดๆ เพราะอยู่ในรั้วสถาบันที่พ่อบุญธรรมของเธอเป็นผู้บริหาร
“ไอ้แดง ย่องด้านหลังปิดปากเธอไว้นะ” พี่สันติ กระซิบบอกรุ่นน้องเบาๆ ไอ้แดงเข้าปฎิบัติการในขณะที่ฝ่ายหญิงเผลอตนในความประมาท เธอถูกปิดปากและลากลงกับพื้นหญ้า พี่สันติก้มตัวลงกอดรัดฟัดเหวี่ยงหอมแกล้มเธออย่างดูดดื่ม เธอดิ้นต่อสู้เป็นพัลวัน โชคช่วยสุภาพสตรีคนนี้ โดยบังเอิญ เมื่อมีอาจารย์ ที่เพิ่งกลับจากธุระในตลาดเข้ามาถึงบริเวณนี้
“ช่วยด้วย ๆๆ ”สตรีคนนั้น ร้องขอความช่วยเหลือ
ทั้งสามคนต้องวิ่งหนีเอาตัวรอด…กันคนละทิศละทาง แม้จะหนีไปได้ แต่ก็ได้ทิ้งหลักฐานเอาไว้ คือรองเท้า 1 ข้าง
************************************************
เช้าวันรุ่งขึ้น…เมื่อมีการเข้าแถวหน้าเสาธง ฝ่ายปกครอง ได้ประกาศ หาผู้กระทำความผิดเมื่อคืน พี่สันติเดินหน้าเข้าพบฝ่ายปกครอง และยอมรับสารภาพทุกอย่าง
“ผมยอมรับผิดครับ ผมทำคนเดียว และคิดคนเดียว "
ผลการสอบสวนยุติลง…พี่สันติ ถูกตัดคะแนนความประพฤติ 40 คะแนน ไอ้แดงกับไอ้ลิต ที่อยู่ในเหตุการณ์ถูกตัดคะแนนคนละ10 คะแนน (ฐานะสมรู้ร่วมคิด)
ว่าไปแล้ว..หากคืนนั้นอ้อยกับพี่สันติ ไม่มาจะเอ๋ กันโดยบังเอิญ คงไม่มีเหตุการณ์นี่เกิดขึ้น อาจเป็นความซวยของพี่สันติ ซึ่งนานๆ เขาจึงจะดื่มสุรากับรุ่นน้องสักครั้ง เมื่อดื่มจนมึนเมามาก กอรปกับความคับแค้นที่ถูกฝ่ายสตรีดูแคลน และมาเจอ ต่อหน้าต่อตา พี่สันติจึงอยากสั่งสอนให้ได้รับบทเรียน
“วินาทีนี้ ..จึงส่งผลให้พี่สันติ ต้องถูกบัญชีดำของสถาบันหมายหัว ไม่ได้เรียนต่อในระยะเวลาต่อมา ”
พี่น้องทุกคนเห็นใจและสงสารพี่สันติอย่างมาก แม่้เขาจะมีความดีมาตลอด ไม่เคยมีพฤติกรรมเสื่อมเช่นนี้
เพียง พลาดแค่ครั้งเดียว อนาคตก็จบลงอย่างที่เป็น ….
ขลุ่ย บ้านข่อย
(๑๓ -๑๑- ๖๕ )
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย
ความคิดเห็น