เหตุเกิดที่หัวตะเข้ - เหตุเกิดที่หัวตะเข้ นิยาย เหตุเกิดที่หัวตะเข้ : Dek-D.com - Writer

    เหตุเกิดที่หัวตะเข้

    เป็นเรื่องที่ไม่ควรกระทำตามอย่าง เพราะเสี่ยงต่อความผิดทางอาญา

    ผู้เข้าชมรวม

    65

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    65

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  28 ต.ค. 65 / 18:40 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

                                             เหตุเกิดในตลาด หัวตะเข้

             คงบอกว่า เรื่องนี้.เป็นเรื่องที่เมื่อผมมานึกย้อนหลังไปแล้ว มันเป็นตราบาป ที่ยังติดตรึงใจมา จนวันนี้  จากเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อ 40 กว่าปีก่อนที่ตลาดหัวตะเข้ ถิ่นที่ซึ่งเด็กวัยรุ่น จากนักศึกษาของวิทยาลัยแห่งหนึ่งซึ่งมาเปิดทำการสอนได้ไม่นาน  สมัยที่พวกผมมาเรียนอยู่ที่ลาดกระบังใหม่ๆ และพักภายในหอพักวิทยาลัย เวลานั้นคณะวิศวกรรมฯ พระจอมเกล้า ลาดกระบัง ก็เพื่งย้ายมาจากจังหวัดนนทบุรีเช่นกัน  ส่วนใหญ่..นักศึกษาคณะวิศวกรรมจะเดินเรียน(ไปเช้า- เย็นกลับ)

           ระเบียบของหอพักของวิทยาลัย.. กำหนดว่า หากนักศึกษาจะออกไปภายนอก ไม่ว่าจะเป็นตลาดหัวตะเข้ หรือไปพระโขนง จะต้องขออนุญาตจากฝ่ายปกครองเสียก่อน เมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงจะออกไปได้ แรกๆ ทุกๆคนก็ทำ ตามกติกา แต่ระยะหลังๆมา พวกเราก็รู้ทางหลบหลีก จึงมิได้ขออนุญาตอาจารย์  จริงๆแล้วอาจารย์ฝ่ายปกครองก็ทราบดีว่า พวกเราหลบหนีออกไปตลาด หรือออกไปภายนอกวิทยาลัยทางช่องทางไหน แต่แกล้งเอาหูไปนาเสียบ้าง เรื่องของเรื่อง..เมื่อออกไปภายนอกแล้ว จงอย่าได้ ไปเกิดเรื่องราวทะเลาะวิวาท กับคนภายนอกเชียว .คะแนนความประพฤติอาจจะถูกหักจนไม่มีสิทธิ์เข้าสอบก็อาจเป็นไปได้ 

            ยามว่าง…หลังเสร็จจากกิน อาหารมื้อเย็นกันแล้ว  ส่วนใหญ่พวกเรา..ทั้งรุ่นพี่-รุ่นน้อง ใครใคร่จะไปไหนก็ไปกัน ตอนที่ผมมาอยู่หอพักใหม่ๆ เวลาจะออกไปในตลาดหัวตะเข้ ต้องมีใบขออนุญาตที่มีลายเซ็นอาจารย์เวรก่อน จึงจะออกไปทำกิจธุระได้ แรกๆอาจารย์ จะเคร่งครัดมาก แต่ต่อมาทุกอย่าง ก็ไม่มีอะไรน่าหวั่นเกรง พวกเรารู้ทิศทางที่หนีออกไปข้างนอกได้ โดยไม่ต้องผ่านการเซ็นรับรอง  ..วิทยาลัยของเรามีแค่รั้วลวดหนามที่ขึงทางหลักๆ คือเส้นใกล้ทางรถไฟ และด้านที่ติดกับแนวรั้วต้นสน ใกล้คณะสถาปัตย์และวิศวะ   เพียงแค่พวกเราจับมันถ่างออกให้ตัวคนรอดได้ ก็สิ้นเรื่อง แรกๆอาจจะลำบาก แต่ต่อมาทุกคนก็เชี่ยวชาญและช่ำชองกันทุกคน    

            ทางที่ผมหลบหนีเที่ยวเพื่อไปตลาดหัวตะเข้ คือทางบ้านน้าเกียรติ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ปลอดโปร่ง บ้านน้าเกียรติจะติดรั้วลวดหนามของวิทยาลัยมากที่สุด    มีประตูทางเข้า-ออกของอาจารย์นักศึกษาที่มาสอน- มาเรียนในวันปกติ  น้าเกียรติ มีลูกสาวสามคน(สามใบเถา) มันก็เป็นธรรมดาที่คนเป็นพ่อ ย่อมจะต้องห่วงลูกสาว เมื่อพวกเราเดินผ่านหน้าบ้านเขา ขณะที่ลูกสาวของน้าเกียรติกำลังทำการบ้านก็ย่อมเสียสมาธิบ้าง  ดังนั้นประตูด้านนี้ จะปิดเร็วเพื่อตัดไฟต้นลม กับเรื่องความรัก- ความชอบของเด็กหนุ่มเด็กสาว บริเวณจุดนี้ มีบ้านพักนักการ4 - 5 ครอบครัว น้าๆเหล่านี้ ถือว่าเป็นคนที่มีบุญคุณกับพวกเรา นับแต่คอยเปิด-ปิดห้องเรียน หุงข้าวทำกับข้าวให้พวกเรากิน รดน้ำต้นไม้ ดูแลงานฟาร์ม ฯลฯ   

                    ********************************************************************

          “ไอ้ตุ๊ ..นี่จดหมายรักของไอ้แจ๋ว ลูกน้าเนียร ฝากมาให้มึง ”พี่โล้นพูด

          “เออ ขอบใจโว้ย ไอ้โล้น ”พี่ตุ๊ พูด

           พี่ตุ๊ เป็นรุ่นพี่ผมหนึ่ง(ปี)รุ่น เขาแอบรักลูกสาวนักการภารโรง เธอเพิ่งเรียนชั้น ม.4 เท่านั้น ทั้งคู่ต้องหลบๆ ซ่อนๆเพื่อพูดคุยกัน.. เรื่องของความรักยากนักที่ผู้ปกครองจะคอยติดตามตลอดเวลา นานๆเข้าฝ่าย น้าจำเนียรจึงทราบและให้โอกาสฝ่ายชาย-หญิงคบกันได้ แต่ต้องอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่  พี่ตุ๊มักชวนผมมาที่บ้านหลังนี้บ่อยๆ  นี่จึงทำให้น้าเกียรติที่มีบ้านอยู่ใกล้ๆ กันกับน้าเนียร รู้สึกกลัวว่าจะมีนักศึกษามาจีบลูกสาวของแก 

                  ************************************************************************

           .ตลาดหัวตะเข้และสถานีรถไฟ คือแหล่งและสถานที่ ที่พวกเราจะไปเดินย่อยอาหารมื้อเย็น จีบสาว ซื้อของกิน ของใช้ บางคน-บางกลุ่มไปตลาดหัวตะเข้ ก็จะเดินออกจากหอ 1 ข้ามถนน เดินมาข้างสระประเพณี เดินตรงไป ผ่านคอกไก่ คอกวัว เลาะเส้นทางเล็กๆ เข้ามาตรงบริเวณบ้านพักน้าเนียรแล้วเดินเลาะทางรถไฟ ผ่านสถานีรถไฟ ผ่านต้นจามจุรี ที่ติดห้องน้ำแล้วเลี้ยวขวามาตามทางถนนที่กว้างพอประมาณ เมื่อเดินมาได้สักสองร้อยเมตรด้านซ้ายมือ เป็น ทางเข้าโรงเรียนประจำเขตลาดกระบัง เดินตรงไปมีสะพานไม้สูงข้ามคลองประเวศฯ เพื่อให้เรือรับ-ส่งสินค้าผ่านไปได้ เมื่อลงจากสะพานด้านขวามือ จะเห็นที่ทำการ สถานีตำรวจจระเข้น้อย ด้านซ้ายมือเป็นที่ว่าการเขตลาดกระบัง หากเดินทะลุให้สุดทางก็จะไปบรรจบกับถนนใหญ่สายพระโขนง- หัวตะเข้ เส้นทางที่พวกเราไปตลาดหัวตะเข้ไปได้สามทาง คือเมื่อถึงรร.พรตฯ เลี้ยวซ้ายแรกผ่านรร.เชิดเจิมศิลป์ ที่เป็นสะพานไม้เล็กๆ ตลอดแนวบริเวณนี้เป็นธรรมชาติ มาก หนาแน่นและทึบด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย จะเห็นเหี้ย กระรอก กระแต และนกนานาชนิดมากมาย อีกเส้นทางหนึ่งที่พวกเราไปตลาดหัวตะเข้ คือเดินข้ามสะพานสูง เลี้ยวซ้ายผ่านหน้าที่ทำการเขตลาดกระบัง ข้ามสะพานสั้นๆแล้วเดินตามทาง สะพานไม้ไปจนถึงตลาดหัวตะเข้ เส้นนี้พ้นจากบ้านชาวบ้านแล้วจะเปลี่ยวมาก 

             “ไอ้เพิ่มเย็นนี้กู จะไปซื้อขลุ่ย มาเป่าที่หอเล่น แก้เหงา มึงไปเป็นเพื่อนกูหน่อยสิ  ”ผมพูดกับเพื่อน

             “ได้เลย กูก็ตั้งใจ จะไปซื้อปากกาลูกลื่น สักสองด้ามอยู่แล้ว  กำลังคิดจะชวนเพื่อนไปเหมือนกัน ”เพิ่มพูด

             “เค.งั้นหลังกินข้าวมื้อเย็น นะ ไปขึ้นรถเมล์ดีกว่านะ ถึงเร็วหน่อย ขากลับค่อยเดินกลับมาทางโรงเรียนเชิด” ผมพูด

              “ตามนี้โว้ยเพื่อน ”เพิ่มตอบตกลง

            ผมกับไอ้เพิ่มเดินออกจากหอพัก..มิได้เร่งรีบอะไร ช่วงนี้แทบจะไม่ต้องขออนุญาตจาก อาจารย์อีกแล้ว   เนื่องจากอาจารย์ทราบดี ว่าพวกเรา สามารถเอาตัวรอดได้ ไม่เกิน 3นาทีก็มาถึงตลาดหัวตะเข้  

            “แวะเล่นสนุกเกอร์ กันสักเกมก่อนดีมั้ย  ” ไอ้เพิ่มเสนอแนวคิดนี้ขึ้นมา 

            “ก็ได้.ว่าแต่ โต๊ะจะว่างหรือเปล่า ไม่รู้ ”  ผมพูด

            “ลองดู ถ้าว่างก็เล่น ถ้าไม่ว่าง ก็ไม่เล่น เอางั้นนะ   ”ไอ้เพิ่มพูด

            “เคโว้ย ..”ผมพูด

            ครั้นมาถึงร้านขายเหล้า..ที่มีโต๊ะสนุกเกอร์ให้บริการ ผมกับไอ้เพิ่มแว๊บเข้าไปดูภายในร้าน ที่มีโต๊ะสนุกเกอร์เพียง 2 โต๊ะให้เช่าเล่นและคิดเป็นรายชั่วโมง

          “โต๊ะไม่ว่างว่ะ ” ไอ้เพิ่ม พูด

          “รอมั้ย  ” ผมพูด 

         “อย่าดีกว่า ว่ะ  คิวรอเล่นอีกหลายกลุ่มเลย”  ไอ้เพิ่มพูด

         “งั้น ไปกินของหวานร้านเจ๊เทือง ฟังเพลง แล้วค่อยแวะซื้อขลุ่ย จึงค่อยกลับนะ ” ผมพูด 

         “ดีเหมือนกัน  ”

         ที่ร้านของหวาน เจ๊เทือง…นักศึกษาจากวิทยาลัยเกษตร จะมาอุดหนุนเนืองแน่น ส่วนใหญ่จะมานั่งกินลม ชมวิว  ริมคลองหัวตะเข้ ฟังเพลงจากตู้เพลงที่พวกเราหยอดบ้าง ชาวบ้านหยอดบ้าง

         “สลิ่ม -มันเชื่อม” ไอ้เพื่มสั่งแม่ค้าของหวาน

         “ผมเอาผสมกันทุกอย่าง  ” ผมบอก เจ๊เทือง 

         สักครู่ เจ๊เทือง ตักของหวานใส่ถ้วย พร้อมนำมาเสริฟ  ผมนั่งกินไป พลางมองเรือสินค้าที่ผ่านไปมา 

        “ขอกู กดเพลงฟัง สักเพลงนะ ”ผมพูด

        “เค.. โว้ย” ไอ้เพิ่มพูด

         หลังกินของหวานเสร็จ เมื่อจ่ายเงินแล้ว เราจึงเดินออกจากร้าน เพื่อแวะซื้อขลุ่ยและปากกา

       *************************************************************************

       ที่ร้านอุปกรณ์เครื่องเขียน.ดนตรีและกีฬา เป็นห้องแถวไม้ริมน้ำคูหาเดียว ประตูด้านซ้ายเป็นประตูไม้ลักษณะบาน พับ มีตะของอเป็นรูปตัวเอสห้อยขลุ่ยไว้ประมาณ 20 เลา รวมทั้งมีไม้ปัดขนไก่ห้อย อยู่ใกล้ๆกัน ทางด้านซ้ายมีตู้กระจกวางอุปกรณ์เครื่องเขียนชนิดต่างๆ เช่นปากกา ไม้บรรทัด ดินสอ ยางลบ ด้านขวามีโต๊ะกว้าง 1.50 เมตร ยาว 2.20  เมตร  บริเวณนี้วางพวกสมุด ปกสมุดรายงาน หนังสือพิมพ์และวารสารหลากหลายรูปแบบ จากที่ได้เตี๊ยม(นัดแนะ)กันไว้ ผมจะเป็นฝ่ายเลือกขลุ่ยและซื้อขลุ่ยไอ้เพิ่มซื้อปากกา    

       ที่ร้านจำหน่าย.. ลุงเจ้าของร้านเป็นชาวจีน รูปร่างสูงผอม ผมสีดอกเลา วัย 60 เศษแล้ว เขาออกมา ให้การต้อนรับพวกเราและสอบถามถึงความต้องการ  

      “ต้องการอะไรหรือ ครับ”ลุงถาม     

     “ ผมอยากได้ขลุ่ย สักอัน  ครับ “ ผมตอบ

        ลุงเจ้าของร้านมีสีหน้ายิ้มแย้ม ท่าทางใจดี ชวนพวกเราพูดคุย อย่างเป็นกันเอง นักศึกษาในวิทยาลัยส่วนใหญ่ จะเป็นลูกค้าประจำ ดูเหมือนจะเป็นร้านที่พวกเราให้การอุดหนุนมากที่สุด ในสายตาผม ลุงเดินไปหยิบขลุ่ยที่ห้อยไว้ แล้วส่งให้ ผมมาทดสอบคีย์เสียงทีละอัน  ในขณะที่ผมเลือกขลุ่ย ไอ้เพิ่มก็ไปทดสอบ(ลองเขียน)ปากกา  ซี่งมันตั้งใจจะซื้อเพียงสองด้าม คือสีแดงกับสีน้ำเงินที่พวกเราจำเป็นต้องใช้ในการจด   ไอ้เพิ่มซึ่งมีบุคลิกรูปร่างใหญ่ สูง ขาว ตาหยี เขาชอบใส่กางเกงหลวมๆ ตัวใหญ่แบบชุดพรางทหาร ที่มีกระเป๋าทั้งหน้าหลังกว่า10 กระเป๋า ชั่วเวลาประมาณ 10 นาที ที่ผมคุยกับลุงและทดสอบขลุ่ย ไอ้เพิ่มก็ใช้ความสามารถเฉพาะตัว (จิ๊ก)นำปากกาใส่ในกางเกงเสียเนียน 

       ในขณะที่ผมคุยกับลุงต่อไปก็เห็นไอ้เพิ่ม หยิบปากกา ยางลบ ไม้โปร ใส่เข้ากระเป๋ามากมาย ผมทำหน้าไม่สู้ดี กลัวจะถูกจับได้แล้วผมจะพลอยซวยไปด้วย ในฐานะสมรู้ร่วมคิดลักทรัพย์ หลังจากที่ลุงแนะนำเรื่องขลุ่ยว่าลักษณะไหนดี เสียงอย่าง ไรดี เขาก็ลองเป่าให้ฟังและสอนเทคนิคต่างๆ ทุกอย่างลงตัวแล้ว ผมได้จ่ายเงินค่าขลุ่ยไป ส่วนไอ้เพิ่มก็จ่ายค่าปากกา  ลุงรับเงินแล้วก็เดินหันหหลังเข้าร้านไป.. ขากลับพวกเราต้องรีบเร่งฝีเท้าอย่างเร็วจี๋  ขากลับเราไม่กลับเส้นทางโรงเรียนเชิดเจิมศิลป์แล้ว

      “ เฮ้ย. ขากลับกลับรถเมล์ ดีกว่า จะได้ถึงหอเร็วๆ "ผมพูด

      ไอ้เพิ่มพยักหน้า หงึกๆเห็นด้วย พอเดินถึงหัวมุมทางแยกข้ามสะพาน ไปฝั่งโรงเรียนมาเรียลัย เราก็เลี้ยวขวาออกมาทางโรงเจ  

      “เฮ้อ โล่งอก..เสียที ” ผมรำพึง 

      เดินมาอีกครู่หนึ่ง..ก็ถึงป้ายรถเมล์ มองซ้ายมองขวากับร้านรวงที่มีแม่ค้า-แม่ขายสาวๆ ตามประสาคนหนุ่ม .เมื่อรถเมล์สาย1030 สตาร์ทรถ เราก็ยืนเกาะราวบันไดทางขึ้น เมื่อรถเมล์เคลื่อนตัวออกมา.บางที บางครั้งเราก็จ่ายตังค์ ดูที่คนขับและกระเป๋ารถเมล์ คันไหนที่คุ้นๆหน้าก็ไม่จ่าย ส่วนใหญ่โชเฟอร์เขารู้ว่า พวกเราอาศัยลงอย่างเก่งแค่สวนพระนคร ซึ่งมันไม่ใช่จะไกลมาก อึดใจสักนาทีเศษๆ.รถก็จอดให้พวกเราลง พวกเราบางคนก็ตะโกนขอบคุณโชเฟอร์.. เขายิ้ม.ๆพร้อมพยักหน้า  ผมกับไอ้เพิ่มเดินผ่านสะพานหน้าโรงงานฟุตบอลไทย ซึ่งสูงชันมาก สายตาผมและไอ้เพิ่มมองลงพื้นน้ำจนถึงช่วงขาลง ก็ถึงป้ายวิทยาลัย

      เมื่อเข้าหอพัก ผมแวะที่ห้องพัก102 ก่อน แล้วจึงเดินขึ้นไปชั้นสอง ที่ห้อง105 ที่ไอ้เพิ่มพัก เขานำเอาสิ่งของที่มันจิ๊กออกมาวางแผ่บนเตียงนอน  

      โอ.ปากกาลูกลื่นทั้งสีแดง น้ำเงิน ดำ ดินสอ ยางลบ ไม้โปรร่วม 50 อันคำนวนเป็นเงินแล้วประมาณ 150 บาท ( ปากกาสมัยก่อนด้ามละ 2 บาท) 

    ไอ้ห่าเพิ่ม แม่ง เอามาซะเยอะ เลย. กู นี่.กลัวลุงจะจับได้ ฉิบหาย  ” ผมพูดกับไอ้เพิ่ม 

    “ฝีมือ โว้ย..."ไอ้เพิ่ม คุยโว 

    "นี่เบาะๆนะ   ไอ้ขลุ่ย“มันคุยทับอีกครั้ง 

    “เอานี่..กูให้มึงสามด้ามๆละสี  ไม้บรรทัดอันนึง ยางลบอัน พอมั้ย “    

     “กูเอาแค่ปากกา ด้ามนึงสีแดงกับยางลบหมึก”  

     ไอ้เพิ่มหยิบปากกา พร้อมยางลบส่งให้ผม ผมรับไว้.. 

     ไอ้เพิ่ม ฮัมเพลง “ความรักเอย เจ้าลอยลมมาหรือไร มาดลจิต มาดลใจ เสน่หา “อย่างอารมณ์ดี..ผมเดินลงจากบันได.. ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องที่ผ่านมา  

    “กูนี่แย่จริง  สมคบคิดกับเพื่อน ให้ลุงต้องขาดทุน ทั้งๆที่ลุงเขาก็ดี๊ดี กับพวกเรา  “.ผมคิด 

                       *********************************************************************

        ผมเพิ่งมาเจอกับไอ้เพิ่มหลังจากที่เราเรียนจบมาเมื่อ38 ปีก่อน ในวันที่เจอกัน เขาทำงานในฐานะสารวัตร กรมวิชาการเกษตร ที่จะต้องตรวจจับคนกระทำความผิดปลอมแปลง เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย สารเคมี… หลังจากเหล้าหมดไปหนึ่งกลม. สมองผมผุดเห็นภาพในอดีต ที่ได้สมคบคิดกันวางแผนจิ๊ก ของที่ร้านลุง ที่ตลาดหัวตะเข้  

       ไอ้เพิ่ม ยังพูดในวงเหล้า  ว่า..

    ไอ้ห่าเกือบ 40 ปีแล้ว มึงยังจำได้เหรอ กูนี่ลืมไปหหมดแล้ว” ไอ้เพิ่มพูด “

     "จะลืมได้ไงวะ  เห็นหน้ามึง..ภาพ ของลุงก็ มาหลอน ที่กูทุกที” ผมตอบ     

                                               ขลุ่ย   บ้านข่อย  

                                               (๒๘  ตค   ๖๕  ) 

     

     

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×