ช่วยคนอื่น แต่ตนเอง..เครียด
การช่วยผู้อื่น ถือเป็นเรื่องดี แต่บางครั้ง หากเกิดผิดพลาด อาจเสี่ยงกับต้องได้รับผิดทางวินัยและอาญา
ผู้เข้าชมรวม
126
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
ช่วยคนอื่น แต่กลับต้องมาเครียด
ผมเป็นคนค่อนข้างเซนซิทิฟ (มีความรู้สึกไว) .เรื่องบางเรื่อง ที่ผมเคยช่วยเหลือคนอื่นๆหรือ นักศึกษาที่เคยสอน ครั้นเมื่อได้ช่วยเหลือพวกเขาไปแล้ว กับเกิดความรู้สึกหวาดกลัว กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น การให้เกรดช่วยนักศีกษา เพราะเกรงว่านศ.คนนั้นๆ.จะถูกรีไทร์ เมื่อส่งผลคะแนนไปยังแผนกทะเบียนและมีการอนุมัติแล้ว เกรงว่าจะถูกอาจารย์บางคน ร้องเรียนว่าทำไม ผมจึงออกเกรดให้นศ.ที่เรียนอ่อน มีเกรดที่สูงกว่า นศ.ที่เรียนเก่งกว่า มันเป็นเรื่องที่ผมหนักใจมากที่ต้องระวังตัวกับเรื่องอย่างนี้มาตลอดชีวิตการเป็นอาจารย์สอน
จากประสบการณ์เมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้ว ..การที่ผมได้สัมผัสกับประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงที่ทำงาน ย่อมทำให้ผมได้รับรู้ถึงสถานะความเป็นอยู่ของประชาชนเหล่านี้ โดยปกติหลังเวลาเลิกจากการทำงาน หรือวันหยุดราชการ ส่วนใหญ่ผมมักจะขี่จักรยานหรือขี่จักรยานยนต์ของวิทยาลัยออกมา พบปะพูดคุยและทำความรู้จักกับชาวบ้าน เพื่อการประสานงานทำงานด้านมวลชนกับผู้นำและกรรมการหมู่บ้าน ซึ่งจะทำให้เราเกิดความสนิทสนมแนบแน่นกลมกลืน การต้องใช้ ปจว. โดยการนั่งดื่มและพูดคุยอย่างจริงใจและเป็นกันเอง จึงเป็นวิธีการที่ผมใช้บ่อยๆ
ระยะเพียงสองสามปี ที่ผมมาทำงานที่วิทยาลัยแห่งนี้ ผมได้เริ่มรู้จักกับบุคคลและหน่วยงานราชการต่างๆ ในปี.ที่ผมดูแลงานนันทนาการและดูแลวงดนตรี ผมจะนำวงดนตรีไปร่วมกิจกรรมงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงรับรองของหน่วยงาน งานวัด งานโรงเรียน งานบวช งานแต่งงานของชาวบ้านฯลฯไม่ว่าหน่วยงานใดทำหนังสือขออนุญาตมาผมก็จะมาประสานกับนักศึกษาที่ตัวแทนของวงดนตรี
“ว่าไงพวกเรา พร้อมที่จะออกไปให้ความสุขกับประชาชนมั้ย ”ผมถามกับหัวหน้าวงดนตรี
“พร้อมครับ” หัวหน้าวงดนตรีพูด
“งั้นเตรียมตัวเลย เย็นวันศุกร์นี้ พวกเราจะไปแสดงที่วัด วังน้ำวน กัน”
ผมเน้นย้ำกับนักดนตรีทุกคนว่า การได้ออกมาแสดง พวกเราจะได้รับประสบการณ์ในการเป็นผู้ให้ และเป็นการเสียสละที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง ขอให้เก็บเกี่ยวประสบการณ์เหล่านี้ .ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีที่จะทำให้เรามีทักษะและความชำนาญมากขึ้น
**********************************************************
ช่วงเย็นๆที่ตลาดห้วยยางนา ผมมักจะมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์ที่ร้านขายก๋วยเตี๋ยว ผมได้เริ่มคุ้นเคยกับผู้ใหญ่บ้าน บ้านห้วยยางนา คือนายยง ผู้ใหญ่บ้านคนนี้เท่าที่ผมได้สัมผัสเป็นคนที่ตั้งใจทำงาน และมีมนุษยสัมพันธ์ดีกับลูกบ้าน ในที่สุดผมจึงได้เข้ามาเป็นที่ปรึกษาให้แก่เขา เพื่อการพัฒนาหมู่บ้าน..ผมได้ชวยเหลืองานแก่เขา จนวาระสุดท้ายของชีวิต ผมยังจำได้ดีว่า เย็นวันหนึ่ง ในขณะที่ผมกำลังอ่านหนังสือพิมพ์..ผมได้พบกับชายวัยสามสิบเศษๆ ที่ร้านขายก๋วยเตี๋ยว หน้าตาเขาแดงกร่ำ มีรอยยิ้มตลอดเวลา เขาเดินเซเล็กน้อย สภาพคล้ายคนเมา
"สวัสดี ครับอาจารย์ " เสียงทักทายจากผู้ใหญ่บ้านคนใหม่ ที่เพิ่งได้รับการเลือกตั้ง มาไม่ทันถึงสองเดือน ผมหันไปมองตามเสียงทักทาย พร้อมยกมือรับไหว้เขา
"สวัสดีครับ พ่อหลวง กำลังจะไปไหน เหรอครับ" ผมถามเขา พร้อมชายตามองอย่างไม่คาดสายตา
"กำลังมาหากับแกล้มไปกินเหล้ากับกรรมการหมู่บ้านพอดี พวกเรากำลังจะประชุมกัน ยังไงเดี๋ยว ผมขอเชิญอาจารย์ไปร่วมนั่งคุยกันที่บ้านผมหน่อยนะครับ" ผู้ใหญ่พูด
" ครับ.ยินดีครับ พ่อหลวง ขอให้ผมนั่งอ่านข่าวอีกสักครู่นะ" ผมตอบไป
เขาเดินหาซื้อกับแกล้มในตลาดครู่หนึ่ง เมื่อได้ของกินครบถ้วนแล้ว ก็ได้แวะกลับมาหาผมทั้งชักชวนผม ให้ไปที่บ้านเขาโดยทันที
"ไปที่บ้านผม เดี๋ยวนี้เลยครับ อาจารย์ยังไง ผมจะได้แนะนำให้กรรมการที่ผมเพิ่งแต่งตั้ง ให้รู้จักกับอาจารย์ "
ผมจำต้องลุกไปกับเขา ก่อนผละจากเก้าอี้นั่งจากร้านก๋วยเตี๋ยว ได้เดินไปจ่ายเงินค่าขนมหวานในราคาถ้วยละหนึ่งบาท "ค่าขนมนะ ..แม่ค้า"
"จ้า "แม่ค้าสาวที่เป็นแม่ม่ายผัวทิ้งตอบ ผมเดินตามหลังผู้ใหญ่บ้านต้อยๆจนถึงบ้านใช้เวลาไม่ถึงสองนาที
สมาชิกที่นั่งบริเวณชานบ้านมีกว่าสิบคน ทุกคนกำลังพูดคุยอย่างสนุกสนาน ที่บ้านของผู้ใหญ่ ณ.เวลานั้น มุงหญ้าคาทรงต่ำ บริเวณทางขึ้นบ้านมีบันไดที่ทำจากไม้ไผ่พาดไว้เป็นทางขึ้น-ลง มีประมาณ 7 ซี่ ด้านหลังของบ้าน มีกองฟางสุมไว้เพื่อเป็นเสบียงให้วัวไว้กินช่วงหน้าแล้ง วัวทีผู้ใหญ่บ้านเลี้ยงไว้ เป็นวัวพื้นเมืองคู่หนึ่ง มันเคี้ยวเอื้อง พร้อมยืนมองแขกหน้าใหม่คือผม ที่เพิ่งเคยมาเยือนบ้านหลังนี้เป็นครั้งแรก ยังไม่ทันที่ผมจะก้าวเท้าขึ้นบันไดบ้าน ก็มีเสียงสมาชิกดังขึ้นมา
"พ่อหลวง พาใครมาด้วยล่ะเนี่ยะ" กรรมการคนหนึ่ง(อู้)พูดกำเมือง
"อาจารย์จากเกษตร "ผู้ใหญ่ตอบ เพื่อบอกสมาชิกในวงเหล้าได้รับรู้ ไม่ทันที่พ่อหลวงจะพูดอะไรอีก ทุกคนต่าง ค่อยๆ ขยับตัวเปิดที่ว่างให้สมาชิกที่มาใหม่ ได้แทรกตัวเข้าไปนั่งร่วมวงด้วย ผมค่อนข้างจะเกร็งๆ เพราะสมาชิกในวงเหล้าผมไม่เคยรู้จักกับเขามาก่อนเลยสักคนเดียว
************************************************************************
วิถีชีวิตของคนชนบท ในเวลานั้นช่างเรียบง่าย เมื่อเท้าถึงบันไดขั้นสุดท้าย ผมต้องก้มตัวลงเล็กน้อย เพราะเกรงว่าศีรษะจะชนกับหลังคา ด้านข้างของบ้าน มีเกราะที่ใช้ตีไว้เวลาเรียกประชุมชาวบ้านแขวนอยู่ (ปัจจุบันไม่มีให้เห็นอีกแล้ว) เกราะเป็นเครื่องตีที่ทำด้วยไม้ไผ่ เดิมเป็นเครื่องตี สำหรับบอกเวลา ครั้งที่ผมไปออกค่ายอาสาพัฒนาที่กิ่งอำเภอเมืองสรวง จ.ร้อยเอ็ด เคยเห็นผู้ใหญ่บ้านใช้เคาะเรียกประชุมลูกบ้านทุกหมู่บ้าน หลังจากที่ผมได้ทำความรู้จักกรรมการทุกแล้ว ผมได้นั่งร่วมดื่มร่วมหารือกับพวกเขาสักพัก มติในที่ประชุมเห็นควร ที่จะเชิญผมมาเป็นที่ปรึกษาของหมู่บ้าน ผมยินดีและพร้อมจะเข้ามาช่วยเหลือพวกเขา งานแรกที่ผมเข้ามาช่วยเหลือบ้านห้วยยางนาคือออกแบบกระทง ซึ่งทางสภาตำบลจัดประกวดกระทง ผมได้ชักชวนนักศึกษามาช่วยงานเพื่อประดิษฐ์ตกแต่งกระทง พวกเราทำงานกันแบบหามรุ่งหามค่ำจนสามารถชนะใจกรรมการหมู่บ้านและประชาชน ในปีนั้นบ้านห้วยยางนาได้รับรางวัลชนะเลิศประกวดกระทงด้านความคิด. ชื่อเสียงของผม เริ่มเป็นที่รู้จักของคนทั้งหมู่บ้านและต่างหมู่บ้าน.
จากนั้นมา ผมจะไปๆมาๆระหว่างบ้านพักในวิทยาลัยกับหมู่บ้านแห่งนี้ ถนนทางหลวงเมื่อสามสิบกว่าปีก่อนที่ใช้เดินทาง ระหว่างลำปาง-พะเยา- เชียงราย เป็นถนนที่รถวิ่งสวนทางกันสองเลน ถนนเส้นริมคลองชลประทานเป็นทางแคบๆโรยด้วยดินลูกรัง ช่วงใกล้ค่ำจะมีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งออกมาจากป่าพร้อมจักรยานหนีบไม้ไว้ที่ด้านตัวถังจักรยาน เพื่อนำไม้แปรรูป(ไม้เถื่อน) มาสร้างบ้านและบางคนก็นำมาขายให้นายทุน โดยเฉพาะบนถนนในวิทยาลัย จะมีชาวบ้านพ่วงไม้เถื่อนใส่ล้อเกวียนผ่านหน้าป้อมยามเฉยเมย
บอกตรงๆเลยว่า ผมไม่ค่อยจะมีความสุข กับภาพที่ได้เห็นชาวบ้าน จำนวนไม่น้อยได้ลักลอบตัดขนไม้เถื่อน ออกมาจำหน่าย ผมเก็บความรู้สึกหวานอมขมกลืน เพราะเพิ่งมาอยู่ในท้องที่นี้ใหม่ๆ แม้ผมจะรู้สึกไม่ชอบกับพฤติกรรมของชาวบ้าน นายทุนและข้าราชการบางกลุ่ม ในใจของผมคิดว่ าควรต้องแก้ปัญหากับชาวบ้านที่เป็นมอดไม้เสียก่อน ซึ่งน่าจะแก้ ไขได้ง่ายและเร็วที่สุด ระยะหลังๆเมื่อผมเลิกจากงานแล้ว ในช่วงประมาณห้าโมงเย็น ผมจะแวะมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าเดิม แม้ว่าในยุคนั้นหนังสือพิมพ์ที่ได้อ่านจะไม่ทันกับเหตุการณ์ สถานการณ์บ้านเมืองจริงๆ แต่ก็ยังดีกว่าที่จะไม่รู้ข่าวคราวอะไรเลย หลังจากอ่านข่าวแล้ว ผมก็มักจะแวะมาบ้านผู้ใหญ่บ้านเพื่อพบปะสังสรรค์แลกเปลี่ยนความคิดเห็น... ผมเริ่มสนิทสนมกับคณะกรรมการหมู่บ้านมากขึ้นๆ ในขณะที่วันหนึ่งที่พวกเรานั่งดื่มสุรา มีกรรมการคนหนึ่งเอ่ยปากขึ้นมาว่า
"อาจารย์ครับ พวกผมกำลังคิดจะหารายได้ เพื่อนำมาเป็นเงินกองทุนพัฒนาหมู่บ้าน พวกเรายังนึกไม่ออกว่าจะจัดงานอย่างไรดี "ลุงน้อยผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หันหน้าเอ่ยปากมาทางผม และกำลังรอคำตอบ
"เอางี้ดีมั้ย ผมจะลองเสนอความเห็นให้ทุกคนรับฟังก่อน แต่ขอบอกกับทุกคนว่า ไม่จำเป็นจะต้องเห็นคล้อยตามผมนะ ใครคิดเห็นกันอย่างไรก็เสนอได้ หลายๆความคิดย่อมดีกว่าแนวความคิดเดียว นะครับ" ผมพูด
"อาจารย์ คิดจะทำอะไร ล่ะครับ"ผู้ช่วยน้อยถาม ด้วยความอยากรู้
"ผมคิดว่าช่วงนี้เป็นช่วงหน้าหนาว หากเราจัดงานขันโตก ก็คงน่าจะดี ในตำบลเราและตำบลข้างเคียงยังไม่เคยมีใครจัดงานแบบนี้มาก่อน ถ้าหากเราจัดคงได้รับความสนใจ อย่างแน่นอน"
"ผมเห็นด้วยกับอาจารย์ครับ"ผู้ใหญ่บ้านตอบ เพียงแค่ผู้ใหญ่บ้านเห็นด้วยกับแนวคิดผม ทุกอย่างก็จบลงโดยง่ายดาย ผมจึงรับอาสาวางแผนการทำงานงานหารายได้ งานที่ทำในครั้งนี้ ผมทำตั้งแต่บัตรจำหน่ายจัดเวที นำนศ.,มาเล่นดนตรี ส่วนเรื่องอาหาร กลุ่มแม่บ้านเป็นผู้รับผิดชอบ ทำหน้าที่ดำเนินการ งานขันโตกหารายได้ของหมู่บ้านห้วยยางนา ได้กำไรเป็นเงินหลักหมื่น..
ค่าของเงินณ เวลานั้น ถือว่าเป็นเงินจำนวนไม่น้อย กรรมการทุกคนยิ้มจนแก้มปริ งานครั้งนี้ประสบผลสำเร็จเกินคาด หมู่บ้านแห่งนี้ จึงเสมือนเป็นบ้านหลังที่สองของผม บางทีบางครั้งผมได้นั่งดื่มนั่งคุยกับกรรมการหมู่บ้านจนดึก บางคนได้ ขี่รถจักรยานยนต์มาส่งผมถึงบ้านพัก การที่ผมได้ช่วยพัฒนาหมู่บ้านและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหมู่บ้านแห่งนี้ จึงถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ เด็กวัยรุ่นมีความรู้สึกเกรงใจ ผมจะคอยกำชับและปรามเด็กวัยรุ่นของหมู่บ้านที่มีพฤติกรรมอันธพาล ที่ชอบระรานนักศึกษาที่พักตามหอพัก หลายๆครั้งที่กลุ่มวัยรุ่นในหมู่บ้านนั่งกินเหล้า เมื่อพวกเขาเรียกให้ผมเข้าร่วมวง ผมก็จะเข้าไปนั่งสรวลเสเฮฮา .ร้องรำทำเพลงคุยเรื่องสนุกๆทะลึ่งตึงตังเป็นกันเอง โดยไม่ยึดติดกับหัวโขน พร้อมสอนพวกเขาไปในตัว นี่คือส่วนสำคัญในงานมวลชน ที่ผมสามารถดึงให้นศ.ที่ผมสอนได้มีสัมพันธภาพที่ดีกับวัยรุ่นในละแวกที่อยู่ใกล้กับวิทยาลัย และเข้ามามีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมที่ดี (ซึ่งไม่มีใครรู้) .
ผมยังจำภาพที่นศ.ที่เป็นนักร้อง-นักดนตรีที่ได้เคยมาเปิดการแสดงให้ชาวบ้านชม ทั้งยังมีนศ.อีกจำนวนหนึ่งได้มาร่วม ทำกิจกรรมกับกลุ่มเยาวชนกลุ่มหนุ่มสาวในหมู่บ้านห้วยยางนา โดยช่วยกันปรับปรุงสร้างถนน ขุดลอกทางระบายน้ำในหมู่บ้านจนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเมื่อ 40 กว่าปีก่อน หมู่บ้านห้วยยางนา บริเวณฝั่งคลองชลประทานด้านตะวันออก ที่ติดกับวิทยาลัย ยังเป็นทุ่งนาและเป็นป่าซึ่งอยู่ใกล้ดอย ช่วงที่ผมมาทำงานใหม่ๆเคยมุดรั้วลวดหนามที่บ้านพักมาเดินเก็บเห็ดเข่าไว้กินจนหลงป่า
ครั้งที่ชาวบ้าน ที่ชื่อชัยชนะ(ลุงนะ)เป็นหนี้ธนาคาร ได้ถูกยึดบ้านและที่ดินจนไม่ที่อยู่ เขาจึงได้ย้ายมาปลูกบ้านหลังใหม่เป็นกระต๊อบหลังเล็กๆห่างจากบ้านพักที่ผมพักระยะทางประมาณ300 เมตรช่วงนี้ลุงนะ มีอาการเจ็บป่วยออดๆแอดๆหนำซ้ำโรคที่แกเป็น สังคมยังรังเกียจจนไม่มีใครอยากคบหา จะมีเพียงญาติเท่านั้น ที่เวียนกันมาดูแลตามอัตภาพ ผมเคยมาเยี่ยมช่วงที่เขายังอยู่บ้านหลังเก่าข้างโรงสีข้าว ก่อนที่จะถูกธนาคารยึดบ้านพร้อมที่ดินไป จริงๆแล้วสภาพของลุงนะมองไป ก็เสมือนซากศพที่มีชีวิต เพราะร่างกายแกซูบผอมมาก เห็นเพียงซี่โครงที่เคลื่อนที่ได้.. นานๆครั้งที่ผมมาเยี่ยมก็จะมีไข่ไก่ ติดไม้ติดมือมาฝากให้กินบ้าง.หลังจากที่เขามาอยู่บ้านหลังใหม่ได้ปีเศษๆก็เสียชีวิตลง..ด้วยโรคที่สังคมรังเกียจ บ้านพักที่แกไปปลูกอยู่ใหม่ มีเพื่อนบ้านอยู่ก่อนแล้วสองหลัง ชาวบ้านที่ไปอยู่ในบริเวณนี้ ไม่มีไฟฟ้าใช้ เนื่องจากการไฟฟ้าภูมิ ภาค ยังไม่มีโครงการขยายเสาไฟฟ้าออกนอกเขต เมื่อลุงนะเสียชีวิตลง ตามธรรมเนียมประเพณีปฎิบัติของคนในหมู่บ้าน จำต้องให้พระที่วัดช่วยดูฤกษ์ ดูยามหาวันดีที่จะฌาปนกิจศพให้แก่ผู้ล่วงลับ นายบุญ น้องชายของลุงนะ ซึ่งทำงานที่โรงพยาบาลซึ่งรู้จักกับผมดี ได้ไปหาฤกษ์ที่วัด แล้วจึงดำเนินการเกี่ยวกับศพของพี่ชายตามประเพณี แต่ด้วยที่บ้านเขาไม่มีไฟฟ้าใช้ กอรปกับหมู่บ้านก็ขาดเครื่องปั่นไฟฟ้า ทางเดียวที่จะทำให้งานศพ สามารถดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยคือต้องพึ่งพาหน่วยราชการคือที่ทำงานของผม นายบุญจึงเข้ามาประสานงานกับผู้บริหาร คำตอบที่ได้คือ ทางราชการไม่สามารถจะสนับสนุนและให้ความอนุเคราะห์ได้
งานศพของลุงนะ ในคืนแรกที่ผมไปร่วมงาน จึงเห็นเหตุการณ์ว่าพระต้องสวดอภิธรรมในความมืด และต้องตะเบ็งเสียงจนคออักเสบ จนผมรู้สึกเห็นใจเจ้าภาพ ในท่ามกลางความมืดหลังจากที่พระสวดอภิธรรมเสร็จแล้วขณะที่ผมเดินออกจากกระต๊อบเพื่อมาส่งพระขึ้นรถกลับวัด ผู้ช่วยเจ้าอาวาสจึงเอ่ยปากบอกกับญาติทางฝ่ายลุงนะ
"โยม…บุญ ไม่ลองคุยกับอาจารย์ขลุ่ย ดูเล่าว่า จะขอพ่วงไฟจากบ้านพักของอาจารย์ มาใช้ในงานศพก่อน แล้วโยมบุญก็จะช่วยจ่ายค่าไฟฟ้าให้ "ผู้ช่วยเจ้าอาวาส แนะนำ
"จริงด้วยซิ ครับหลวงพี่..ผมก็ลืมนึกไป งั้นผมจะทดลองคุยกับอาจารย์ดูครับ"นายบุญพูด
"อ้าว โยมอาจารย์มางานศพด้วย หรือเนี่ยะ มันมืด จนอาตมามองไม่เห็น " ผู้ช่วยเจ้าอาวาสทักทายผม.
"โยม พอจะช่วยอนุเคราะห์ ช่วยเหลืองานศพเขาหน่อยได้มั้ย เจ้าภาพจะขอต่อไฟพ่วงจากบ้านโยมอาจารย์มาใช้ซัก 2-3 คืน" ผู้ช่วยเจ้าอาวาส เป็นคนพูดเสนอขอใช้ไฟฟ้า ดังกับว่าตนเป็นเจ้าภาพเสียเอง
"งานเข้าแล้วเรา" ผมนึกในใจ
แต่เมื่ออยู่ในภาวะ ที่ต้องให้คำตอบกับผู้ช่วยเจ้าอาวาส และน้องชายผู้ล่วงลับ จึงตอบออกไปโดยมิลังเล
"ครับ ได้ครับ งั้นพรุ่งนี้ไปหาผมที่บ้านยังไง ให้ช่างไฟฟ้ามาเลยครับ
วันรุ่งขึ้นช่วงสาย .ช่างไฟฟ้าและญาติทางฝ่ายผู้ล่วงลับ ก็นำอุปกรณ์เครื่องมือพร้อมสายไฟฟ้าที่มีทั้งสายไฟฟ้าใหม่และเก่า มาพ่วงที่สายไฟหลักที่หน้าบ้านพักราชการที่ผมพักอาศัย โดยต่อออกจากสายเมนหลัก ผ่านแนวรั้วของ วิทยาลัยยาวออกไป ผ่านกลางทุ่งนาซึ่งมีเสาไม้เก่าๆผุๆ เป็นที่พักในการโยงสายไฟเป็นทอดๆ วันแรกๆผมมิทันได้คิดว่าจะเกิดปัญหาใดๆ ในใจยังคิดเสมอว่า ..การที่เราได้ช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อนนับ เป็นบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ผมรู้สึกปิติมากยิ่งตอนค่ำๆ ได้ยินเสียงปีพาทย์บรรเลงได้ยินโฆษกประกาศ ผมก็ยิ่งรู้สึกภูมิใจว่าผมได้ช่วยเหลืองานนี้ให้สำเร็จลงได้ .
เมื่อผมมางานศพลุงนะในวันถัดมา..ได้พบเห็นแสงไฟฟ้าที่สว่างไสวได้ยินเสียงเพลงบรรเลงด้วยเพลงธรณีกรรแสง ได้ยินโฆษกประกาศ ได้เห็นผู้คนมาร่วมงาน ทุกคนต่างสอบถามเรื่องกระแสไฟฟ้าที่นำมาใช้ นำมาจากแหล่งใด เขาสงสัยและอยากรู้ จนนายบุญได้บอกและเฉลยว่าได้รับความอนุเคราะห์จากบ้านพักอาจารย์ขลุ่ย งานสวดพระอภิ- ธรรม ยังคงเหลืออีกสามคืนในเวลานั้นผมไม่ได้คิดอะไรเลย คิดว่าหากเสร็จงานแล้ว หากทางเจ้าภาพจะมาช่วยจ่ายค่าไฟฟ้า ผมคงจะไม่รับเงินแม้แต่สตางค์แดงเดียว
ด้วยความบังเอิญ ที่เพื่อนทำงานไปรษณีย์และรุ่นน้องแวะมาหาผมที่บ้าน เขาได้ยินเสียงเพลงบรรเลงงานศพ ได้สอบถามด้วยความสงสัย
" พี่ .พื้นที่แถวๆนี้ มีงานศพเหรอ"
"ใช่ ทำไมเหรอ "
" อ้าว.ทุกที ผมมาด้านหลังบ้านพี่ มืด.ตะลึ๊ดตึ๊ดตื๋อและเงียบยังกับป่าช้า "
" อ้อ..มีชาวบ้านเสียชีวิต ญาติเขาเลยมาขอพ่วงไฟจากที่บ้านพี่ ไปใช้ที่บ้านเขา น่ะ"
" ไม่ได้นะพี่ อันตรายมากเลย เผื่อกลางค่ำกลางคืน เกิดมีใครเมาเหล้าหรือหากเป็นช่วงกลางวันมีวัว ทำเสาไฟฟ้าล้มบังเอิญไฟรั่วแล้วเด็กที่มาเลี้ยงวัว เกิดถูกไฟดูดตายพี่ต้องซวยฐานประมาทเลินเล่อจนทำให้คนเสียชีวิต เพราะพี่เป็นเจ้าของบ้าน "รุ่นน้องพูด
"เฮ้ย.. ถึงขนาดไหนเชียว หรือ "ผมพูด
"จริงๆเลยอาจารย์ เรื่องอย่างนี้ต้องตรวจสอบสายไฟฟ้าให้ดี มีข่าวเรื่องนี้อยู่บ่อยๆว่าเจ้าบ้านที่ให้คนอื่นใช้ไฟ แต่ต้องมารับเคราะห์ติดคุก เพราะประมาทเลินเล่อ "เพื่อนที่ทำงานไปรษณีย์ พูด
เมื่อผมได้ยินได้ฟังทำให้ผมเกิดความหวาดหวั่นระแวงในทันทีว่าเรื่องอย่างนี้ มันอาจเกิดขึ้นก็ได้ ทำให้คืนนั้นผมนอนไม่หลับทั้งคืน หลังจากรุ่นน้องและเพื่อนที่ทำงานไปรษณีย์เตือนผมด้วยความห่วงใย วันรุ่งขึ้นผมจึงเดินออกไปสำรวจเสาไฟฟ้าก็พบว่ามีเสาไฟฟ้าโอนเอนและบางต้นก็ล้มลง จากที่ดูสายไฟก็ได้เห็นสายไฟฟ้าบางจุด ชำรุดจนเห็นสายทองแดงชัดเจน ทำให้ผมหวาดวิตกและกังวลใจอย่างที่สุดงานศพยังเหลืออีกสองคืน2 วันทุกวินาที มันเกิดความเสี่ยงได้ตลอดเวลา เนื่องจากมีเด็กๆที่เอาวัวมาเลี้ยง มักซุกซนหยอกล้อกัน หากสายไฟที่บางส่วนชำรุดเกิดลัดวงจร จนอาจเกิดอุบัติภัยผมต้องซวยแน่ๆ
ตลอดเวลา ผมได้ภาวนาว่า ขอให้ทุกอย่างคาดแคล้ว และอย่าให้เกิดเหตุการณ์อันเศร้าสลดเกิดขึ้นซ้อนกับงานศพที่เกิดขึ้นอยู่ก่อนแล้ว ต้องบอกว่าทุกวินาทีที่ผมจะนอน หาได้ข่มหลับตาลงไม่ แต่ละวินาทีที่เข็มนาฬิกากระดิก. มันเหมือนดังเข็มทิ่มแทงหัวใจเจ็บจี๊ดๆ ตลอดเวลา วันเวลาที่ผมรองานศพให้เสร็จงานมันช่างทรมานเสียยิ่ง เข็มเวลาที่เดินมันช่างล่าช้า..เสียนี่กระไร.. .ใบหน้าผมซีดเซียว อ่อนเพลีย เพราะนอนไม่หลับถึงขนาดเครียดจัด ขณะผมมาสอนหนังสือกับนักศึกษาในช่วงกลางวัน คงต้องบอกว่าผมไม่มีสมาธิที่จะสอนนักศึกษาได้เลย
ยิ่งผู้บริหารมารู้ว่า. ผมอนุญาตให้ชาวบ้านใช้ไฟฟ้าพ่วงไปใช้ในงานศพ จึงเป็นเป้าที่จะถูกอาจารย์ที่ชอบสอพลอ ไปฟ้องเพื่อให้ผมถูกตำหนิและถูกตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัย ฐานไม่รักษาทรัพย์สมบัติของทางราชการ อีกทั้งยังยินยอมอนุญาตให้ผู้อื่นใช้ไฟฟ้าโดยไม่ขออนุญาตกับผู้บังคับบัญชาก่อน ต้องบอกว่าเวลานั้น ผมเครียดมาก จนกินข้าวไม่ลงและนอนไม่หลับ เพราะเกรงว่าหน่วยงานจะเอาผิดทางวินัยผมอย่างแน่นอน ผมพยายามกลับมาทบทวนสิ่งที่ได้กระทำลงไปว่า . ผมผิดด้วยหรือ.. ที่ได้กระทำการให้ความช่วยเหลือชาวบ้านที่เขากำลังเดือดร้อน การกระทำของผมครั้งนี้เท่ากับว่า เนื้อผมไม่ได้กิน แต่ต้องเอากระดูกแขวนคอ
.ประสบการณ์ครั้งแรกนี้ ผมคาดไม่ถึงจริงๆว่าผมจะถูกลงโทษจากผู้บังคับบัญชา ยิ่งคิดมาก ก็ยิ่งเครียดมาก..
ผมจำต้องฝืนใจ ฮึดสู้กับสิ่งที่จะเกิดในวันข้างหน้าโดยมองว่า
"อะไรจะเกิด ก็ให้มันเกิดวะ ทำดีแล้วไม่ได้ดี ก็ต้องยอมรับสภาพ กับการเอากระดูกแขวนคอประจานตนเอง ให้คนทั่วไปรับรู้ว่าการกระทำของผม นี่มันแย่ ในสายตาผู้นำองค์กรและเพื่อนร่วมงาน. ..(ผมคิด)
งานศพ.ของลุงนะ สำเร็จไปด้วยดี ทางญาติเขามาพบผมที่บ้าน พร้อมนำเงินมาช่วยค่าไฟฟ้า
“ผมขอช่วยค่าไฟฟ้าให้อาจารย์ 200 บาทครับ ”นายบุญพูด
ผมปฎิเสธที่จะรับ เพราะเห็นสภาพของครอบครัวของเขา ที่ต้องมีภาระกับค่าใช้จ่ายต่างๆมากมาย
“ขอบคุณครับ อาจารย์ ” นายบุญกล่าวและยกมือไหว้ ผมรับไหว้เขา
“ไม่เป็นไรหรอก บุญ ค่าไฟฟ้าที่ใช้ในงานแค่นี้เล็กน้อยเอง.. เงินที่จะให้ผมมา ขอมอบให้เพื่อทำบุญให้ผู้ล่วงลับก็แล้วกัน” ผมพูด
งานนี้จบลงโดยไม่มีเหตุการณ์ซ้ำซ้อน เกี่ยวกับความไม่ปลอดภัย. ..ผมก็ดีใจที่สุดแล้ว..
. บทเรียนครั้งนี้. ..ทำให้ผมได้รู้ว่า จะทำอะไร ต้องดูตาม้า ตาเรือให้ดีเสียก่อน..
ขลุ่ย บ้านข่อย ( ๑๘ /๑๐/๖๕ )
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย
ความคิดเห็น