อยากบุหรี่..
ต้นเดือนกินอย่างราชา ปลายเดือน อดอยากปากแห้ง กระทั่งไม่มีบุหรี่สูบ จนต้องแสวงหา
ผู้เข้าชมรวม
81
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
อยากบุหรี่
เมื่อ50กว่าปีก่อนโน้น สมัยยังเป็นเด็กๆ ผมยังจำได้ว่ามีหมากฝรั่งยี่ห้อตราแมว ได้ผลิตหมากฝรั่งเลียนแบบคล้ายกับบุหรี่ ทำให้พวกเราเด็กๆเมื่อไปซื้อหมากฝรั่งมา มักจะเอามาคาบใส่ปากเพื่อความโก้เก๋เลียนแบบผู้ใหญ่ว่าพวกเราก็สูบบุหรี่เป็น. นี่คือแฟชั่นในกลุ่มเด็กๆ ในยุคของผม ณ. เวลานั้นๆ
ผมเคยมีความรู้สึกแอนตี้กับบุหรี่อย่างมาก..เป็นเพราะพ่อของผมเป็นคนสูบบุหรี่ค่อนข้างจัด วันหนึ่งสูบเฉลี่ยวันละสองซอง นี่คือความสูญเปล่าทางเศรษฐกิจ.. และเป็นค่าใช้จ่ายที่แพงมากในเวลานั้น ผมจะถูกพ่อบังคับให้ไปซื้อบุหรี่กรุงทอง ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวหัวมุมสามแยก ณ.เวลานั้นบุหรี่มีหลายยี่ห้ออาทิยี่ห้อ ตราพระจันทร์ รวงทิพย์ เกล็ดทอง สามิต และกรุงทอ งสำหรับบุหรี่กรองทิพย์ และสายฝน เพิ่งมามีการผลิตภายหลัง สำหรับบุหรี่ของต่างประเทศที่มีขาย ณ. เวลานั้นมียี่ห้อซาเล็มกับลัคกี้
“นกน้อยย่อมมีดวงจันทร์ เหมือนตัวฉันนั้นต้องมีเธอ สูบบุหรี่รสเลิศเลอ ก็ต้องสูบบุหรี่พระจันทร์ ดวงจิตจะผ่องแจ่มใส คิดอะไรถูกใจทั้งนั้น เพราะสูบแต่บุหรี่พระจันทร์ สุขสันต์ตลอดวัน ตลอดคืน” นี่เป็นเพลงโฆษณาบุหรี่พระจันทร์สมัยผมที่เคยรับฟังเมื่อยังเด็กๆอยู่ รอบๆบ้านของผมแวดล้อมไปด้วยผู้ใหญ่ที่สูบบุหรี่เกือบทั้งหมด ลุงไหว เสมียนตราอำเภอ สูบบุหรี่ยี่ห้อพระจันทร์ แป๊ะก่วยสูบเกล็ดทอง ครูสังข์ที่อยู่ห้องแถวตรงกันข้ามสูบสามิต ลุงโม้สูบใบยาตั้ง แป๊ะโค้วสูบฝิ่น เหตุที่ผมรู้ว่าเพื่อนบ้านของผม คนนั้นคนนี้สูบบุหรี่ยี่ห้ออะไร เพราะผมเคยถูกผู้ใหญ่ไหว้วานให้ไปซื้อบุหรี่ให้นั่นเอง
การใช้ชีวิตในห้องแถว..ว่าไปเหมือนกับชีวิตครอบครัวที่เป็นญาติสนิทแท้ๆ .. แม้พวกเราไม่ได้เกิดจากท้องพ่อท้องแม่เดียวกัน แต่เมื่อเราอยู่ร่วมกันในสังคม พ่อแม่ของทุกๆคน ก็มองเด็กๆเหมือนลูกตน บางทีบางครั้งเมื่อเจ๊หมวยป้อนข้าว ให้น้องชายเขา.. เมื่อเขาเห็นผมมาเล่นกับไอ้เฮี้ยง. ซึ่งเป็นน้องชาย เจ๊หมวยก็จะป้อนข้าวให้ผมด้วย นี่คือความผูกพันของชีวิตเด็กในห้องแถว ในสายตาของผมและเพื่อนๆในวัยเดียวกันที่เวลาเห็นผู้ใหญ่สูบบุหรี่ แล้วพ่นควันออกทั้งทางปากและจมูกคิดดูและคิดไปว่า พวกผู้ใหญ่พวกนี้ เขาช่างเป็นสุภาพบุรุษและเท่ห์มาก..แม้ผมจะไม่ชอบพ่อที่สูบบุหรี่วันละเกือบสองซอง เพราะนั่นหมายถึงว่า ค่าข้าวค่ากับข้าวของพวกเราต้องถูกเจียดไปให้เป็นค่าบุหรี่ของพ่อ..
หากมามองอีกมุมหนึ่งอย่างเด็กๆที่พวกเรากำลังเติบโตเข้าสู่วัยรุ่น.. พวกเรายังคงมองว่าบุหรี่ คือ..เอกลักษณ์ ของเอกบุรุษและนี่คือค่านิยมที่คงถูกปลูกฝังกันต่อๆมาว่า ใครเป็นผู้ชาย จะต้องสูบบุหรี่เป็น ผมยังจำได้ว่าเมื่อช่วงที่ผมเรียนชั้นประถม 7 เวลาค่ำๆของคืนวันหนึ่ง ในขณะที่ผมเดินกับกลุ่มเพื่อนๆ เพื่อไปดูหนังกลางแปลงที่วัดเขาน้อย เมื่อมาถึงบริเวณสี่แยกทางรถไฟไปอำเภอตาพระยามีคนในรถจิ๊บได้โยนก้นบุหรี่ลงมากับพื้นถนน เนื่องจากเขาสูบหมดแล้ว ผมกับเพื่อนๆได้เดินไปเก็บเอาเศษบุหรี่ที่เขาโยนทิ้ง มาผลัดกันสูบคนละอื๊ดๆ บางคนเมื่อลองหัดสูบด้วยความด้อยกับประสบ การณ์ ถึงกับต้องสำลักควันจนไอ.ถึงขั้นน้ำหู น้ำตาไหลออกมา..
“ไอ้แหลม เหลือให้กูลองสูบบ้าง ” ผมบอกกับเพื่อน
“เออ.ไม่ต้องห่วง ทุกคนได้ลองสูบแน่นนอน ” แหลมพูด
เมื่อผมเริ่มเข้าเรียนในระดับชั้นมัธยมต้น คงต้องบอกว่าช่วงนี้เป็นช่วงวัยที่พวกพวกเราอยากรู้อยากลองกับเรื่องบุหรี่เป็นอย่างมาก วิชาไหน. ที่ครูสอนแล้วน่าเบื่อ .พวกเราก็จะนัดกันเข้าไปอยู่ในห้องส้วม หากเรียนวิชาเกษตรกรรม เมื่อได้จังหวะ ก็จะหลบเข้าไปแปลงผัก หรืออาจเดินลึกเข้าไปในป่าใกล้ๆโรงเรียนซึ่งใกล้ค่ายทหารเพื่อแอบหลบ ดูดบุหรี่กัน บุหรี่..จึงเสมือนวัตถุที่เป็นค่านิยมในกลุ่มวัยรุ่น เพื่อได้เข้ามาในสังคมของกลุ่มเพื่อนๆที่เจ๋ง และเก่งในทางที่ผิดโดยเฉพาะกลุ่มหัวโจก ซึ่งมีทั้งรุ่นพี่ รุ่นผม
ตัวแสบในโรงเรียน มีจำนวนนับร้อยคน เพื่อนร่วมรุ่นสมัยที่เคยเรียนระดับมัธยมต้นด้วยกันกับผมมา มีคนต้องเสียชีวิตก่อนวัยอันสมควรกว่า50 เปอร์เซ็นต์ เป็นเพราะเมื่อเขาติดบุหรี่แล้ว ก็ได้ขยับความรุนแรง ของยาเสพติดเป็นการเสพกัญชา (ผงขาว)ยาม้า ถึงขั้นติดงอมแงม จนลงแดง..และเสียชีวิตในที่สุด.. ช่วงระยะเวลานั้น ผมจำต้องปรับตัว ให้กลมกลืนกับสังคมเพื่อน. ที่จะไม่ให้เพื่อนมองว่าผม“มึงใช่ลูกผู้ชาย ” พ่อกับแม่ได้ห่วงใยในตัวผมมากที่สุด เกี่ยวกับเรื่องยาเสพติด เนื่องจากยาเสพติดในเขตเทศบาลมีมากมาย ผมไม่ทราบเหมือนกันว่า..เพื่อนๆของผม ไปหาซื้อกัญชา ผงขาว มาจากไหน คนเรียนเก่งมากๆอย่างสติ, นิรันดร์, อุดม, ปัญญา, ต้องหมดอนาคตไป และบางคนต้องเป็นเสียสติ บ้าๆ บอๆ คนที่เสียชีวิตไปก็มีอาทิ มุนินทร์ ไอ้เล็ก ไอ้หมู ไอ้แกละ ไอ้อ้วน ไอ้ญา ทุกคนที่กล่าวมาล้วนแต่เป็นลูกคนมีฐานะดีทั้งสิ้น
ผมค่อนข้างเครียดกับเรื่องที่พ่อมักจะคอยจับผิดว่า ผมคบกับเพื่อนที่เสพยา..ผมพยายามได้อธิบายไปกับพ่อว่า ผมคบกับเพื่อนกลุ่มนั้นก็คบกันแบบธรรมดาๆ ผมรู้จักแยกแยะชั่วดีถี่ห่าง
“ผมขอสัญญาขอรับปากว่า ผมจะไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวังและเสียใจในตัวผม” ผมพูดกับพ่อเป็นมั่นเหมาะ “หากพ่อเห็นพบ สูบบุหรี่ หรือกัญชา พ่อจะลงโทษ จะฆ่าจะแกงผมตามสบายได้เลย” ผมพูด
ผมได้รักษาสัญญาที่ได้ให้กับพ่ออย่างเคร่งครัด เพื่อนคนไหนจะว่าผมไม่ใช่ลูกผู้ชายผมก็ไม่แคร์จะคบหรือไม่คบกับผม ก็แล้วแต่..ผมไม่ว่าอะไร ผมเริ่มหัดสูบบุหรี่ช่วงมาเรียนเกษตรเจ้าคุณ… เป็นเพราะนานๆ จึงจะได้มีโอกาสกลับบ้านสักครั้ง ช่วงอยู่ที่กรุงเทพเวลาไปบ้านพี่ชายก็จะทำตัวให้เขาไว้เนื้อเชื่อใจ เมื่ออยากสูบบุหรี่ก็หลบแอบไปดูดบุหรี่ข้างนอกบ้าน โดยไปร้านขายโอเลี้ยงขอซื้อบุหรี่เขามาสองมวน และนั่งสั่งโอเลี้ยงพลางอ่านหนังสือพิมพ์ เมื่อสูบบุหรี่หมดมวนก็กลับมาบ้านแปรงฟัน เพื่อดับกลิ่นปาก ตอนที่พี่ชายไม่อยู่บ้านก็สูบบุหรี่แบบเปิดเผย ผมจะแอบซื้อบุหรี่ครั้งละมวน สองมวนตามร้านค้าแถวนั้น ที่เหลือจากการสูบก็โยนทิ้งไปหรือบางทีก็แอบซ่อนในสวนทุเรียน .เงินค่าใช้จ่ายในการเรียนของผมได้รับสองทาง คือแม่ส่งทางธนาณัติมาให้ทุกเดือน มาเอาที่พี่ชายที่ซอยวัดมะลิ ฝั่งธนฯ ในช่วงที่จำเป็นจริงๆ หลังจากหอพักวิทยาลัยฯ ถูกยุบ พวกเราได้ไปเช่าบ้านอยู่ใกล้ตลาดริมน้ำหัวตะเข้ ช่วงนี้ทุกอย่างค่อนข้างเป็นอิสระ อยากกินอะไรกิน.. อยากเรียนก็เรียน อยากเล่นอะไรก็ทำโดยใจชอบ การมาเช่าที่บ้านป้าจ้อยทำให้ผมสูบบุหรี่จัดขึ้น เพราะพอดื่มเหล้า มันก็ต้องสูบบุหรี่ตามไปด้วย..ก็เลยเริ่มติดบุหรี่มากขึ้น จากที่เคยขอเพื่อนสูบก็เลยชักเกิดความเกรงใจ จึงต้องซื้อเองทีละครึ่งซอง ต้นเดือนมีเงินมากหน่อยก็ซื้อมาเป็นซอง ใครอยากสูบก็มาหยิบไปสูบ ตามอัธยาศัยไม่ว่ากัน บุหรี่ที่สูบเวลานั้นเป็นที่รู้กันว่า กรุงทองมวนสั้น..คือบุหรี่ของคออินเตอร์เพราะข้างซองเขียนว่ารสอเมริกัน.. ช่วงพักที่บ้านป้าจ้อย ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการขาดแคลนบุหรี่ เพราะไอ้แดงไอ้ลิตมีติดตัวตลอดมิได้ขาด...
ระยะหลังจะว่าผมติดบุหรี่ก็ไม่เชิง. หลายครั้งที่ไม่มีบุหรี่จะสูบ ก็อาจจะรู้สึกหงุดหงิด กระวนกระวายใจบ้าง. ทุกๆเช้า เพื่อนทุกคนที่เคยพักด้วยกันจะมีสไตล์เดียวกันคือก่อนจะเข้าห้องน้ำ มันจะต้องจุดบุหรี่เข้าไปนั่งสูบเสียทุกครั้ง พร้อม หยิบหนังสือนวนิยายเข้าไปอ่านด้วย.นี่คือความสุข.ที่ได้จากห้องสุขาจริงๆ..เมื่อจบขั้น ปวช.แล้ว เพื่อนเดิมๆ ที่เคยพักด้วยกันก็เปลี่ยนกลุ่ม เปลี่ยนเพื่อนไปอยู่ที่แห่งใหม่ ผมมาพักที่บ้านสวนโก้สเฮาส์ ข้างสถานีตำรวจจระเข้น้อย. ที่บ้านพักหลังนี้มีสมาชิก 5 คน ทุกๆเย็นที่บ้านหลังนี้ต้องมีการเปิดวงกินเหล้าทุกวัน
พ่อครัวใหญ่ประจำบ้านในการหุงหาอาหารและทำกับแกล้มคือ สมชายนักตะกร้อตัวฟาดของเกษตรเจ้าคุณทหารทั้งยังติดเป็นตัวแทนของสถาบันพระจอมเกล้าด้วย ประมาณหกโมงเย็นเศษๆเกือบทุกวัน พวกราก็เปิดวงกินเหล้า ต้นเดือนกินเหล้าแดง .มีน้ำแข็ง โซดา บุหรี่ กับแกล้มอย่างดี... คำขวัญของ (เด็กเกษตร) พวกเราทุกกลุ่มคือ. ต้นเดือนกินอย่างราชา กลางเดือนกินอย่างหรูหรา ปลายเดือนกินอย่าง(หมา)ยาจก มันเป็นอย่างนั้นจริงๆเสียด้วย ช่วงต้นเดือนพวกเราสั่งกับแกล้มจากร้านอุดมลักษณ์ ร้านแดงโภชนาสั่งต้มยำกุ้ง ผัดกะเพรา ลาบ น้ำตก เนื้อแดดเดียว ผัดพริก หมูกระเทียมพริกไทย ฯลฯที่มีราคาค่อนข้างแพง กลางเดือน ลดเกรดลงมาสั่งร้านไอ้โหดและร้านอาหารตามสั่งข้างโรงหนังลาดกระบังเธียร์เตอร์กับข้าวที่สั่งเป็นพวกแกงวิญาญไก่ แกงเทโพ ผัดพริกถั่วฝักยาว ไข่พะโล้ ต้มผักกาดดอง ต้มข่าไก่ ทุกอย่างที่สั่งเน้นย้ำเอาน้ำเยอะๆ
“เฮียโหด ขอน้ำมากๆ เนื้อไม่เน้น จะเอาไปลาดกินกับข้าว ”สมชายพูด
จริงๆ เจ้าของร้านที่เป็นผู้ชาย ไม่ได้ชื่อนี้ พวกผมเป็นคนตั้งชื่อให้ เป็นเพราะ เวลาแกโมโหเมียแล้วมักจะอาละวาด พวกเราจึงเอาบุคลิกของแกมาตั้งชื่อให้จนนศ.เรียกติดปาก ว่าร้านนายโหด อีกร้านที่ผมไปสร้างเครดิตใหม่ คือร้านยายเหมือนที่ผมไปเครดิตเป็นลูกค้าเจ้าประจำ.. ช่วงปลายเดือนไม่ต้องพูดถึง พวกเรา.ไม่ต้องออกไปซื้อกับข้าว แต่จะหาผักบุ้งข้างบ้านที่ร่องสวนมาต้มใส่ส้มมะขาม พริกขี้หนู อาจใส่ปลา ที่ตกได้ในร่องสวนบ้าง ปรุงรสชาติ ให้ถูกปากทุกคนเป็นได้ทั้งกับแกล้มและกับข้าว เมื่อกินต้มส้มผักบุ้งหมดก็เอา.บะหมี่สำเร็จรูปยี่ห้อหนึ่ง .ใส่หม้อกระทะไฟฟ้าไป 2 ซองใส่น้ำสามลิตรปรุงด้วยพริกป่น น้ำปลาแค่นี้ก็เป็นอาหารชั้นอ๋องแล้วพวกเราเคยชินกับสภาพกับความเป็นอยู่อย่างนี้ มาช้านานแล้ว พูดถึงเรื่องข้าวกับข้าวและกับแกล้ม .. พวกเราไม่ค่อยจะหวั่นวิตกอะไรมากนัก เรามีการตุนเสบียง เพื่อรองรับกับสภาพไว้ ช่วงปลายเดือนเราตุนบะหมี่สำเร็จรูป กะปิ น้ำปลา พริกแห้ง เกลือ กากหมู..เราเจียวไว้ตั้งแต่ต้นเดือน น้ำมันที่ใช้สำหรับผัดสำหรับทอดไม่จำเป็นต้องซื้อ เรามีกากหมูที่เจียวเก็บในโหลยามไม่มีอะไรจะกิน.สามารถขัดตาทัพ เป็นกับ ข้าวรสโอชา ไอ้ชาย เป็นคนคิดสูตรนี้ขึ้นมาได้โดยบังเอิญ เมื่อวันหนึ่งไม่มีอะไรจะกินกัน มันนึกได้ว่าในครัวมี กะปิ พริกแห้ง น้ำปลา กากหมู.. หลังจากหุงข้าวสุกแล้ว ในขณะที่ข้าวกำลังร้อนๆ มันก็ตักข้าวใส่ชาม เอากากหมูใส่ เอาพริกแห้งมาหักเป็นท่อนๆ ใส่กะปิ น้ำปลาคลุกไปคลุกมาแล้วเปิบเข้าปาก..
” โอ.วิเศษ. เอาสเต๊ก มาแลก กูยังยอม แลก.(เอ๊ย ไม่ยอม...แลก)สมชายบอกเพื่อนๆ
“เฮ้ย ทำตามกูนี่ แม่งโคตร อร่อยเลย .ไม่เชื่อมึงลองชิมในชามของกูนี่”สมชาย อวดสรรพคุณ
. สมาชิกทุกคน เมื่อไม่มีอะไรจะกิน ก็ต้องกิน. บางคนอาจจะยังไม่คุ้นกับกับข้าวสูตร ยาจก ตกยาก. ก็ต้องฝืนกิน.พอกินได้สามสี่คำ ก็หยุดกินเพราะกลืนไม่ลง จึงลงไปดึงยอดผักบุ้งในร่องสวนขึ้นมาผัด.ผัดบุ้ง โรยแรง. มิใช่ไฟแดง.. ที่บ้านมีเตาแก๊สปิคนิคอยู่ 1 อัน ไว้ทำกับข้าวช่วงปลายเดือนเท่านั้น เมื่ออิ่มหนำสำราญดีแล้ว .ยาตั้ง ที่เคยกักตุนไว้ก็ดันมาหมดอีก. เหล่าขี้ยาที่กำลังอยากสูบบุหรี่ เริ่มหงุดหงิด… อิ่มข้าวแล้วโดยปกติพวกเราต้องอัดบุหรี่ และอีกช่วงที่ขาดบุหรี่ไม่ได้คือช่วงก่อน ทุกคนพยายามเที่ยวค้นหาบุหรี่ในตู้เสื้อผ้า ในกระเป๋ากางเกง เสื้อ ตามขื่อ ตามซอกต่างๆ ภายในบ้านหาเท่าไหร่ๆก็ไม่เจอ. คาดว่าหนู ตุ๊กแก คงแกล้งพวกเราโดยคาบเอาไปทิ้ง..ปกติยามมีเงิน เราเคยซื้อบุหรี่ตุนไว้หลายซอง ทุกๆเช้า เวลาเข้าส้วมเมื่อพวกเราสูบไม่หมดก็จะดับบุหรี่และเก็บไว้ แล้วเสียบไว้ข้างๆซอกห้องน้ำ .วันนี้ สมาชิกในบ้านรวมทั้งผม พยายามหาเศษบุหรี่รอบบ้านเพื่อมารวมมวนบุหรี่แก้ขัด หาอย่างไรหาเท่าไหร่ ก็หาไม่เจอ..
เริ่มนึกถึงคำพระสอน อนิจัง ทุกขัง.. อนัตตา..แล้ว...
พวกเราทุกคนกำลังใช้ความคิดและหาวิธีการ.. ที่จะหาบุหรี่มาสูบให้ได้ในคืนนี้ พลันใดนั้น ผมก็นึกขึ้นได้ว่า พวกเราเคยนั่งล้อมวงตรงโอ่งน้ำกินและเคยทิ้งก้นบุหรี่ไว้ใต้พื้นเรือนมากมาย
“เฮ้ย.กูนึกได้แล้ว ใต้ถุนบ้านเรา มีเศษบุหรี่ ที่เราทิ้งไว้เยอะเลย เดี๋ยวเราหาไม้เขี่ยเอามา ทำเป็นยาฉุนดีมั้ย“ ผมเสนอแนะเพื่อน
“โอ้โฮ เพียบเลยโว้ย พวกเรา”สมชายลองใช้ไม้เขี่ยแต่ร่องพื้นไม้มันชิดจน ไม่สามารถเขี่ยได้..
“หมดปัญญาแล้วว่ะ ใครมีปัญญาทำได้ก็ทำ เดี๋ยวกูไปหลับดีกว่า” สมชายบ่นเบา
”ไอ้ขลุ่ย ตัวผอมกว่าใครมึงลองลอดเข้าไปใต้ถุนซิ ว่าลอดได้มั้ย“ไอ้จี๊ดเสนอความเห็นขึ้นมา
“ กู... นะ"ผมถามกลับคืน กับคนเสนอแนวคิด
“เออ มึงนั่นแหละ”
“ทำไมถึงต้องเป็นกูด้วยวะ”
“คนอื่นตัวใหญ่ หัวลอดเข้าใต้ถุนไม่ได้ มึงต้องเสียสละให้เพื่อนๆ มึงไม่สงสารพวกมันเหรอ อดอยากปากแห้ง จะลงแดง ตายห่าอยู่แล้ว”
”ก็ได้วะ”.ผมถอดเสื้อ แล้วหาช่องที่สามารถเอาหัวและตัวลอดเข้าไปใต้ถุน ผมเอาไฟฉายส่องนำล่องค่อยๆกระดื๊บๆๆ ขยับตัวเข้าไปทีละน้อย .สายตากวาดไปตามแสงไฟฉายที่ส่องทาง พบทั้งเหรีญ 1บาท 5 บาท รวมๆ แล้วไม่ต่ำกว่าสามสิบบาท กรุงทองสั้น เวลาขนาดนั้นซองละ 5 บาทเอง.. วันนี้ยิงนกนัดเดียวได้สองตัวนัดแรก ตั้งใจจะเอาเพียงเศษก้นบุหรี่ ก็ได้มากมายเหลือเฟือ นัดที่สอง คือผลพลอยได้..ได้เก็บเงินที่ผมเราทำหล่น แต่ไม่รู้จะเก็บอย่างไร..ก็เลยปล่อยเลยตามเลย เมื่อเก็บก้นบุหรี่ได้ ก็ต้องค่อยๆถอยหลังออกที่ละนิดๆ ต้องบอกว่าด้านล่างพื้นใต้ถุนที่ผมคลานเข้าไป ยากลำบากมาก..แมลงสาป แมลงมุม หนู ยั๊วเยี๊ยะไปหมด ..โดยเฉพาะแมลงสาบ นี่ผมเกลียดมากที่สุด..แต่เพื่อเพื่อนๆ ก็ต้องทำหน้าที่อย่างดีที่สุด. เมื่อคลานออกมาจนพ้นใต้ถุนเรือนได้แล้ว..ผมต้องมาอาบน้ำอีกรอบ เอาเศษบุหรี่ให้ไอ้ชายเลือก และพิจารณาว่าเศษก้นบุหรี่ อันไหนใช้ได้ ใช้ไม่ได้.. สมชายเลือกสักครู่ แล้วก็เอาใบยาสูบที่ฉีกมาจากก้นบุหรี่แต่ละอันมากองรวมเป็นกองเดียวกัน แล้วอบร้อนด้วยกระดาษฟอยล์บุหรี่
“ ไอ้จี๊ด ฉีกกระดาษปฎิทินมาแผ่นนึง”สมชายสั่งการ
”เอา.นี่..”
สมชายรับกระดาษปฎิทินมาแล้วฉีกเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าประมาณ2 คูณ4 นิ้วจากนั้นได้หยิบเศษขี้ยาที่เพิ่งอบแห้งมาโรยตามทางยาว..แล้วค่อยๆ พันเป็นมวนส่งให้เพื่อน
“เอา ให้ไอ้ขลุ่ยก่อน มันเสียสละ ลอดใต้ถุน ไปเอาขี้ยามาให้พวกเรา เอาไอ้จี๊ด เอาไอ้วุธ”สมชายพันบุหรี่จนครบจำนวนสมาชิก ทุกคนได้ดูดยาของเก่าคละเคล้ากันหลายเดือน ทุกคนดูดดื่มกับควันพิษ..อย่างมีความสุข.ปลอดจากความกังวลใดๆ
“ เฮ้ย.ช่วงลอดใต้ทุนเมื่อกี้ มีโบนัท พิเศษ กูเก็บเงินได้อีกสามสิบกว่าบาท "ผมบอกเพื่อน
“ ดี.พรุ่งนี้ ได้เหล้าขาว อีกสองขวด บุหรี่ซองนึง”(เหล้าขาวขวดละ18 บาทบุหรี่กรุงทองซองละ 5 บาท) ไอ้ขลุ่ยมึงจัดการ ไปเตรียมซื้อมาเลยที่ร้านเบตง”สมชายพูด
“ได้.. เดี๋ยวพรุ่งนี้ กูจัดการเอง “ ผมรับปาก
ความยากลำบากเพียงลอดใต้ถุนไม่ถึง 10 นาที.กับตาลปัตรจากยาจก เป็นผู้มีอันจะกินในบัดดล ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ.
ขลุ่ย บ้านข่อย
๑๔ ตุลาคม ๖๕
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย
ความคิดเห็น