จะมีใครให้โอกาส เขาบ้าง - จะมีใครให้โอกาส เขาบ้าง นิยาย จะมีใครให้โอกาส เขาบ้าง : Dek-D.com - Writer

    จะมีใครให้โอกาส เขาบ้าง

    เมื่อถูกรุ่นพี่บังคับ และด้วยวัยเขาจึงกระทำไป จนต้องติดคุก

    ผู้เข้าชมรวม

    125

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    125

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  13 ต.ค. 65 / 05:58 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

                                                จะมีใครที่ให้โอกาส  เขาบ้าง

             เมื่อปี 2537 มีนักศึกษาแห่งเมืองพญากง ได้มาขอเช่าพักอาศัย ที่บ้านแม่.(ยาย) 4 คน  ทั้งสี่คนเป็นนักศึกษาระดับปวส.1สองคนและปวส 2. สองคน พวกเขาเข้าพักห้องละคน  ทุกคนมาจากจังหวัดเดียวกัน  เวลาเขาพูดคุยกันเสียงจะเหน่อ.มาก  ผมชอบที่จะฟังสำเนียงแบบนี้ .โต้งกับดำ เพิ่งมาเรียนได้เพียงเทอมเดียว ทั้งคู่เป็นคนไม่ค่อยพูดค่อยจา การพักอาศัยของนศ.ในอดีต จะมีสภาพความเป็นอยู่แบบเรียบง่ายคือแต่ละห้องใช้ไม้ไผ่ตีแผ่ออก ทำเป็นฟากกั้นห้อง และทำพื้นเรือน หลังคามุงด้วยหญ้าคา นศ.จะเสียค่าเช่าเดือนละ 200 บาท น้ำฟรี. แต่ต้องช่วยจ่ายค่าไฟฟ้าบ้าง  ด้วยการติดมิเตอร์แยกให้เขาต่างหาก

            ผมเป็นอาจารย์ในฝ่ายกิจการนักศึกษา หน้าที่หลักคืองานสวัสดิการ งานหอพัก งานนันทนาการและชมรม ทั้งยังเป็นที่ปรึกษาสโมสรนักศึกษา ชมรมต่างๆ ดูแลควบคุมวงดนตรีและเป็นโค้ชกีฬา งานที่ผมทำแม้จะเหนื่อย  แม้จะเครียดกับเพื่อนร่วมงานที่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือ แต่ผมก็มีความสุข ที่ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ ชีวิตที่ดีให้แก่ลูกศิษย์..

     จริงๆ แล้ว การทำงานในฝ่ายกิจการนักศึกษา อาจารย์ผู้ดูแลนักศึกษาควรจะต้องเคยมีประสบการณ์ ในช่วงวัยการเป็นนักศึกษามาก่อน ต้องผ่านประสบการณ์ชีวิต ทั้งด้านบู๊และบุ๋น ต้องมีความรักในงานที่จะทำ  ต้องทุ่มเท เสียสละ รับผิดชอบและอดทนต่อปัญหาใดๆ ที่จะเกิดขึ้น    จากประสบการณ์ในการทำงานของผมกับงานในด้านนี้ผมมีความรู้สึกสุขและสนุกอย่างมาก งานหลายๆอย่างที่ผมริเริ่มมีมากมายได้อยู่เบื้องหลังของความสำเร็จที่คนรุ่นหลังๆที่มาทำงานใหม่ๆ ไม่รู้ อาทิ งานกีฬา ที่ผมคนริเริ่มจัดกีฬามวยสากลสมัครเล่นขึ้นครั้งแรก งานอาสาพัฒนาชนบทก็เป็นผู้บุกเบิก  จนเข้าที่เข้าทาง สร้างชื่อเสียงให้กับสถาบัน  งานศิลปวัฒนธรรม ก็เป็นคนอยู่เบื้องหลังความสำเร็จ  การจัดงานวันลอยกระทง  ผมก็เป็นผู้ริเริ่ม..ศูนย์วัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในสถาบัน ผมก็ร่วมสร้างกับมือเป็นคนแรก

           หอพักนศ..มีกระจัดกระจายไปทั่ว ตั้งแต่บ้านใหม่ ต้นยาง ปงวัง ดอนมูล ห้วยยาง ห้วยน้ำเค็ม ทุกๆเย็นตั้งแต่เวลา  17 น. ผมจะขี่จักรยานบ้าง มอเตอร์ไซด์ของหลวงคันเก่า ไปแวะตรวจเยี่ยมนักศึกษา สอบถามทุกข์สุขในทุกๆเรื่อง ใครมีปัญหาอะไรก็ต้องหาแนวทางช่วยแก้ไขปัญหาให้..  กิจวัตรของผมกระทำเช่นนี้เกือบทุกๆวัน เว้นแต่ผมต้องไปประชุม หรือเดินทางไปต่างจังหวัด   ในเทอม 2  โต้งกับดำ เริ่มคุ้นเคยสภาพสังคมในรั้วของสถาบันแล้ว บ่อยๆครั้งในวันเสาร์อาทิตย์ เขาจะไปเที่ยวหาซื้อของกินของใช้ ดูหนังในเมืองบ้าง เดินในห้างบ้างหรือบางครั้งหากรุ่นพี่ชวนไปกินเหล้า เขาก็ต้องไปด้วย

           ช่วงหลังผมไปๆ มาๆ ระหว่างบ้านพักหลวง กับบ้านพักของแม่ยาย ซึ่งมีระยะทางห่างกัน เพียงหนึ่งกิโลเมตรเท่านั้นโดยช่วงเช้า ผมจะนำลูกมาฝากให้ยายเลี้ยง ช่วงเย็นๆ ผมจึงจะมารับกลับจากบา้นแม่  เท่าที่ผมได้สังเกตุดูโต้งกับดำมาตลอดหนึ่งเทอม เห็นได้ชัดว่าคนทั้งสอง นิสัยดี มีความประพฤติเรียบร้อย ผลการเรียนอยู่ในระดับค่อนข้างดี  เขาเรียนสาขาสัตวศาสตร์ เมื่อทั้งสองคนได้คลุกคลีกับสังคม ย่อมมีรุ่นพี่ที่ชี้นำในทางดีและไม่ดี  

            “ไอ้โต้งกับไอ้ดำ เอ็งต้องใช้ความสามารถ ช่วยกันถอดดิสเบรค มาอย่างน้อยให้ได้ สองอันนะโว้ย” รุ่นพี่กำชับและบังคับขณะนั่งดื่มสุรา ก่อนคืนวันลอยกระทงหนึ่งวัน

            “ครับ พี่ ”โต้งกับดำรับปากกับรุ่นพี่่ ที่พักในหอเดียวกัน

                  ****************************************************************************

           ในคืนงานวันลอยกระทง โต้งกับดำ ถูกรุ่นพี่บังคับ ให้ไปลักอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ คือดิสเบรค  โดยรุ่นพี่บังคับให้ทั้งสองคน ต้องไปถอดมาให้ได้สองอัน วันแรกที่ไปเที่ยวงานลอยกระทง  โต้งกับดำช่วยกันถอดออกมาจนเป็นผลสำเร็จ… คนหนึ่งคอยดูต้นทาง คนหนึ่งใช้ความสามารถในการแกะอุปกรณ์ออกมา หลังถอดดิสเบรคได้ เขาจึงนำเอามาให้รุ่นพี่.  จากครั้งแรกที่ถูกบังคับให้ทำ แล้วทั้งคู่ก็สามารถทำได้โดยง่ายดาย  ต่อมาทั้งคู่จึงมองว่าช่วงงานลอยกระทง 7 วัน 7 คืน หากเขาจะหาเงินใช้ในช่วงเวลานี้ จึงน่าจะง่ายดายที่สุด ทั้งคู่จึงนัดแนะและไปขอยืมมอเตอร์ไซด์ของรุ่นพี่ ไปลักถอดดิสเบรคในงานประเพณีเ พื่อนำไปขายต่อที่ร้านซ่อมมอเตอร์ไซด์  ด้วยความชะล่าใจและความประมาทของทั้งสองคน เมื่อเจ้าของรถกลับมา ในจังหวะที่ทั้งสองคนกำลังจะถอดอุปกรณ์ของรถออกมาได้อยู่แล้ว

           ทั้งสองคนตกใจ แต่ก็ยังไหวตัวทัน จึงขี่จักรยานยนต์หนีกลับมาบ้าน  ด้วยไหวพริบของเจ้าของรถ เขาได้จดเลขทะเบียนรถไว้ แล้วเข้าแจ้งความกับตำรวจในคืนเดียวกันนั้น 

           สายๆ ของวันรุ่งขึ้น ตำรวจได้ไปหาเจ้าของรถคือ รุ่นพี่ของโต้งและดำที่กำลังนั่งเรียนในห้อง 

           “นักศึกษา ใครที่เป็นเจ้าของรถ หมายเลขทะเบียน กจ. 2144  ขอให้มาพบครูหน่อย” อาจารย์ฝ่ายปกครอง บอกกับนักศึกษาที่อยู่ในห้องเรียน ครู่ต่อมา.. เจ้าของรถที่เป็นรุ่นพี่ของโต้งและดำ ได้แสดงตนและไปพบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ รุ่นพี่บอกว่ามีรุ่นน้องยืมไปในเมือง เพื่อเที่ยวงานลอยกระทงเมื่อคืนนี้ เมื่อตำรวจสอบปากคำกับเจ้าของรถซึ่งเป็นรุ่นพี่แล้ว จึงให้รุ่นพี่นำพามาที่หอที่โต้งและดำพัก  เมื่อมาถึงหอพัก ตำรวจได้ขออนุญาตขอค้นในหอพักและก็ได้เจออุปกรณ์ของรถมอเตอร์ไซด์หลายชิ้น นี่จึงเป็นวัตถุพยานว่า  ทั้งสองคนได้ลักทรัพย์จากผู้อื่นมาจริงๆ  เมื่อจำนนต่อหลักฐาน โต้งกับกับดำ จึงถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวไปโรงพักในเมือง..

           เขาทั้งสองถูกกักขังบนสถานีตำรวจและถูกอัยการสั่งฟ้อง.. ในระหว่างที่เขารอขึ้นศาล..เพื่อรอฟังชะตากรรม ตามข้อเท็จจริงและกฎแห่งกรรม  ผมในฐานะอาจารย์ ในฝ่ายกิจการนักศึกษาที่จะต้องดูแลนศ.ทุกคนกับอาจารย์อีกสองคนที่เป็นที่ปรึกษาของเขาก็วิ่งไปปรึกษาทนายความ..จากที่ได้พูดคุยกับทนายความ .เขามองว่า นศ.ของเรากระทำความผิดชัดเจน  ของกลางก็มี พยานบุคคลก็มี พยานวัตถุที่เป็นของกลางทึ่ตำรวจมาค้นเจอภายในหอพัก ก็มีอย่างชัดเจน. ทางหนึ่งที่ทนายแนะนำไว้คือ เวลาที่ขึ้นศาลให้นศ. ยอมรับสารภาพไปตามความจริง ซึ่งศาลท่าน อาจจะกรุณา-ปราณี ลดหย่อนโทษ จากหนักเป็นเบาก็ได้ ช่วงเวลานั้น ผมกับอาจารย์อีกสองคน พยายามวิ่งหาเอกสารต่างๆ ที่จะยื่นต่อศาลว่านักศึกษาทั้งสองคนที่กระทำความผิดเป็นคนที่มีความประพฤติดี.เคยมีคุณงามความดี ในการกระทำกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ การกระทำของเขาในครั้งนี้ เป็นเพราะอาจจะกระทำไป โดยมิได้ตั้งใจ  ..

            นับเป็นครั้งแรก และเป็นครั้งเดียวในชีวิต ที่ผมเข้าไปในที่ทำการศาลยุติธรรม. ในความรู้สึกตอนนั้น   รู้สึกตื่นเต้น อย่างบอกไม่ถูก..  มาตราการรักษาความปลอดภัยของที่นี่  ค่อนข้างเคร่งครัดมาก..กระทั่งของเล่นที่ผมซื้อเพื่อจะเอามาให้ลูกก็ยังมิอาจเอาเข้าไปภายในศาลได้  จึงต้องฝากไว้ที่ด้านนอกก่อน เมื่อถึงวันชี้ชะตากรรมของทั้งสองคน เขาได้ถูกเบิกตัวให้มาฟังคำพิพากษา  บทสรุปของทั้งสองคน คือมีความมผิดฐานลักทรัพย์ ในยามวิกาลซึ่งโทษสูงกว่า การลักทรัพย์โดยทั่วไป  ความผิดสองกระทงๆกระทงละ 2 ปี  จึงถูกพิพากษาลงโทษฐานความผิด 4 ปี แต่ด้วยมีเหตุต่อการลดหย่อนที่ได้รับสารภาพไว้จึงถูกพิพากษา 3 ปี โต้งกับดำจึงอยู่ในเรือนจำกว่า 2 ปี จึงได้รับการอภัยโทษเป็นอิสรภาพ ในระหว่างการถูกจองจำที่เรือนจำกลางลำปาง ไม่เคยมีพ่อมีหรือญาติของทั้งโต้งและดำ มาเยี่ยมเยียนเลย สักครั้งเดียว.  

           ปี 2537 ผมถูกลดบทบาทและไม่ได้รับมอบงานให้ทำงาน ในฝ่ายกิจการนศ.แล้ว.   เพราะแนวความคิดของผมและผู้ช่วยผู้อำนวยการแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง  การที่ผมได้เข้าไปช่วยเหลือโต้งกับดำในเวลานั้น เพราะด้วยความห่วงใย และด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม ในฐานะที่เขาคือลูกศิษย์ของผม.  พูดก็พูดงานที่ฝ่ายกิจการนักศึกษา ตั้งแต่วันแรกที่ผมทำงาน.จนกระทั่งจะเกษียณอายุราชการ ผมยังไม่เคยเห็น ไอ้หน้าไหน ที่จะห่วงใย ลูกศิษย์ อย่างจริงจัง.. เก่งแต่ที่จะใช้อำนาจ บ้าอำนาจกับนศ. อย่างเดียว   เวลานศ.ไปหายามมีเรื่องทุกข์ร้อน พวก(มัน)เขากับมองว่า ไม่ใช่หน้าที่ และ ธุระไม่ใช่.อย่างกรณีของโต้งกับดำ  คนเป็นผช ผอ. ไม่เคยใส่ใจที่จะดูแลลูกศิษย์เลยแม้แต้น้อยนิด.. ดีแต่แอ็คอาร์ต. .วางฟอร์มสอพลอแต่คนมีอำนาจเท่านั้น..สองปีเศษที่โต้งกับดำอยู่ในเรือนจำกลาง..ทุกๆ คนอาจลืมไปหมดแล้ว..  แต่คนอย่างผม ยังไม่ลืม ยังรอคอยการกลับคืนสู่อิสรภาพของเขาเสมอ ….

            ห้องนอนสองห้อง ที่เขาได้เช่าที่บ้านแม่ยายผม..ถูกปิดประตูตาย เสื้อผ้า อุปกรณ์การเรียนของเขายังอยู่ในสภาพคงเดิม รุ่นพี่ของเขาไปเรียนต่อปริญญาตรี เพื่อนๆของเขาในรุ่นเดียวกัน ก็จบไปเรียนต่อปริญญาตรี  ส่วนเขาทั้งสองคนไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยทัณฑสถาน หลังจากที่พวกเขาพ้นโทษแล้ว ก็มุ่งหน้ามาที่หอพักเก่าที่เคยพัก เพราะรุ่นพี่ก็จบไปกันหมดแล้วเพื่อนเก่าก็จบการศึกษา.  ในลำปาง เขาไม่มีญาติพี่น้องเลยสักคน ในอดีตการติดต่อสื่อสารยากมาก ..เมื่อเขากลับมาที่หอพักหลังเก่าที่เคยพัก  

            “ลุงครับ .ป้าครับ ผมเพิ่งโทษออกมาจากเรือนจำวันนี้เอง  ผมจำเป็นจะต้องขออาศัยหอนอนสักอาทิตย์ แล้วผมจะกลับบ้านที่เมืองกาญน์นะครับ “ 

           “บ่อ เป็นหยัง”(ไม่เป็นไร )ผู้สูงวัยตอบ เพราะนึกสงสารในชะตากรรมที่เขาได้รับมาแล้วทั้งสองคนเริ่มเข้ามาพัก..เขายังมีอุปกรณ์หม้อหุงข้าวใบเล็กไว้หุงข้าวกิน เช้าๆวันถัดมาทั้งสองก็ได้เดินออกไปตลาด เพื่อไปซื้อกับข้าวมาทำกินกันเอง ช่วงนี้ทั้งสองเก็บตัวในห้องเงียบๆ

          ผมได้รับรู้ว่าเขาพ้นโทษแล้ว.และวันหนึ่ง ขณะที่ผมมารับลูกที่บ้านยาย เขาจำเสียงรถมอเตอร์ไซด์ของผมได้ทั้งสองจึงเดินเข้ามาทักทาย

             “สวัสดี ครับอาจารย์  “

             “สวัสดี โต้งกับดำมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ “

            “ ผมถูกปล่อยตัวมาหลายวันแล้ว ครับ และก็มุ่งมาที่บ้านนี้เลย”

            ”ตามสบายนะ..ยังไงก็ คิดถึงเรื่องอนาคตบ้าง ว่าจะทำอย่างไร  ลองคิดดูนะ “ ผมพูดให้ทั้งสองคน สบายใจในการเข้ามาพัก

            “ที่ผ่านมาแล้ว ก็ถือว่าแล้วกันไป  ทุกคนย่อมมีเรื่องผิดพลาดกันได้ ที่ผ่านมาคือบทเรียนที่สำคัญ ที่จะต้องคิดและพิจารณานะ”  ผมให้แง่คิดกับทั้งสองคน

             “ครับ “ 

             “กินข้าวกินปลากันหรือยัง “

              ”กำลังจะกิน พอดีเลยครับ “

             ”ตามสบายนะ“ ผมบอกเขา  จากนั้นผมจึงมารับลูกกับไปนอนที่บ้านพักในที่ทำงาน .                      

              สัปดาห์หนึ่งผ่านไป.. จากเดิมเขาบอกว่าจะขอพักเพียง1 สัปดาห์แล้วจะกลับ เมืองกาญจน์เลย แต่นี่ ดูท่าทีแล้วว่าเขาคงน่าจะอยู่อีกยาวนาน ผมพยายามเก็บความรู้สึกไว้.แม้จะเริ่มรู้สึกอึดอัดอยู่บ้างก็ตาม   หลายครั้งที่เป็นเวลาหลับนอนของคนทั่วไป แแต่…ทั้งสองคน กลับยังไม่หลับไม่นอน  ห้องก็ได้พักอาศัยฟรี น้ำไฟ ก็ใช้ฟรี เพราะไม่รู้จะเก็บเงินเขาได้อย่างไร ทั้งพ่อและแม่ของภริยา ดูจะไม่ค่อยจะสบายใจเลย. วิตกกังวลว่า คนมีประวัติด่างพร้อย อาจจะไม่สำนึกในการกระทำที่ผ่านมา.. 

                              ************************************************************************

              ช่วงดึกๆคืนหนึ่ง ผมขี่จักรยานออกจากบ้าน เพื่อมาแอบดูพฤติกรรมของเขา.ซึ่งคนในบ้านของพ่อกับแม่ก็ไม่มีใครรู้  ผมค่อยๆ ย่องไปที่ร่องที่เป็นรูและมองเข้าไป เห็นทั้งสองคนกำลังนั่งสูบกัญชากันอย่างเพลิดเพลิน  ทั้งคู่ถอดเสื้อ เพราะอากาศอบอ้าว จนเห็นรอยสักยันเต็มแผ่นหลังทั้งคู่ ทั้งคู่หัวเราะคิกคัก เพราะฤทธิ์กัญชา   .. 

             “ ไม่น่ากระทำเลยนะ สองคนนี้ ทำไมจึงไม่รู้สึกเกรงอกเกรงใจกับผู้มีอุปการะคุณบ้าง เขาให้ทั้งที่หลับที่นอน กลับมาสร้างความเดือดร้อนอีก” ในใจผมนึก. แต่อีกใจหนึ่งก็อยากจะให้เรื่องมันจบๆ ไปเลยเสียคืนนี้เลย  พยายามนึกทบทวน อยู่หลายครั้งว่า ควรพูดถึงปัญหาที่ผมเจอเดี๋ยวนี้เลยแล้วตะเพิดเขาทั้งสองออกจากหอโดยทันที หรือจะยอมอดทนอีกนิดแล้วค่อยๆ พูดกับเขาในวันต่อมา เมื่อมีโอกาส 

           ในที่สุด. ผมยอมที่จะข่มใจ ที่จะยอม อดทนรอ.เพื่อหาโอกาสที่ดีกว่านี้

           วันเสาร์ซึ่งผมว่างจึงถึงโอกาสมาเยี่ยมเขาที่หอพัก.เห็นเขากำลังนั่งสานแห..

          “ โต้ง ทำแหเป็นด้วยเหรอ  “

          “เป็นครับ  ตอนอยู่ข้างใน เขาสอนการทำแหด้วย ”

           “แล้วนี่ ทำแหไปทำไม” 

           ”อ๋อ..ครับ ผมจะทำแหไว้ทอดหาปลา ที่คันเหมืองชลประทานที่หน้าบ้านครับ เผื่อได้ปลามาไว้กิน ไว้ขายบ้าง ” โต้งตอบ

           การพูดระหว่างผมกับเขาเป็นไปด้วยดี .ท่าทีจากเมื่อคืนกับช่วงเช้านี้ เป็นหนังคนละม้วน จากที่ผมหงุดหงิดอย่างมากและโกรธเขามาตั้งแต่เมื่อคืน  ค่อยใจเย็นลง. ผมพยายามใช้จิตวิทยาสอบถามถึงอนาคต ว่าเขาคิดอะไ ร  จะทำอะไร ต่อ .เพราะคนเรามีอายุมากขึ้นๆทุกคนต้องมีเป้าหมายของชีวิต เมื่อได้คุยและเปิดอกคุยกันอย่างสุภาพบุรุษ อย่างครูกับศิษย์       

           “อาจารย์ไม่สบายใจเลยที่เราต้องกลับมาย้อนรอยเดิม   ..สิ่งใดดีสิ่งใดไม่ดี ทั้งสองคนก็เคยเห็นและเคยผ่านประสบ การณ์มาแล้ว ดูอย่างองคุลิมาลสิ  มีความผิดหนักหนาสาหัสกว่าเราหลายพันหลายแสนเท่ายังกลับเนื้อกลับตัวกลับใจได้ อาจารย์ ก็อยากฝากไว้ให้เป็นข้อคิดแค่นี้แหละ .. การได้รับโอกาสที่ดี แล้วไม่รู้จักใช้โอกาส นับเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย และเสียใจ ไม่มีใครแก่เกินเรียน อดีต ไม่สำคัญ..ลองคิดดูเอาเองนะ” ผมให้ข้อคิดคนทั้งสอง

            เขานั่งนิ่งเงียบ จะด้วยสำนึกและคิดอย่างไร ผมมิอาจรู้ได้.เมื่อพูดเสร็จ ก็ขอตัวกลับ เข้าบ้านพัก.   นับจากวันที่ผมพูดกับเขาแล้ว  ดูท่าทีพฤติกรรมของเขาดีขึ้น พ่อกับแม่บอกกับผมว่า ช่วงหลังไม่เห็นเขาสูบกัญชาอีกแล้ว 

           เขาได้มาสมัครสอบเรียนต่อ ที่สถาบันเดิมอีกครั้ง และก็สอบได้ ด้วยการที่ผมวิ่งล็อบบี้.กับอาจารย์ ที่เกี่ยวข้องว่า ควรให้โอกาสกับลูกศิษย์อีกสักครั้ง เพียงฐานความผิดฐานแค่ลักทรัพย์ มันไม่ได้เป็นฆาตรกร. ฆ่าใคร หากอาจารย์ ได้ให้โอกาสที่ดีกับศิษย์ อาจกลับมาสำนึกและทำดีได้ในที่สุด เมื่อถึงวันต้องมอบตัวเข้าศึกษา ผมรอดู เขาว่าจะมามอบตัวหรือไม่ ปรากฎว่าเงียบ  ..มาทราบภายหลังว่า.ทางบ้านเขาไม่ให้เรียนต่อ ที่สถาบันเดิมเพราะเกรงว่า..เขาจะถูกมองว่า เป็นไอ้ขี้คุก แล้วทั้งสองคนอาจจะทำใจไม่ได้ จนเกิดปัญหารุนแรง.

        ช่วงที่ผมรู้ว่า เขากลับเนื้อกลับตัวกลับใจที่จะเรียนต่อที่เก่า ผมดีใจอย่างที่สุด เพราะอย่างน้อย ต่อจากนี้ไป เขาคงได้อยู่ในความดูแลของผม. .ผมกำลังมองหางานให้เขาทำ  เพื่อเป็นรายได้เสริม.ในวันหยุด..  แต่เมื่อชะตาชีวิต กำหนดให้เขาเป็นเช่นนี้.. เขาจึงกลับไปบ้านเกิดที่เมืองกาญจน์.. ทั้งสองคนมาร่ำลาผมและพ่อกับแม่..

         “ ผมกราบขอบพระคุณลุงกับป้าและอาจารย์ที่กรุณาให้ผมพักมาสองเดือนกว่า  ผมคงกลับไปอยู่กับพ่อกับแม่ ช่วยทำไร่อ้อยครับ หากมีโอกาส ผมจะกลับมาตอบแทนพระคุณครับ “

         “  โชคดีนะ โต้งโชคดี นะดำ “

        เขาทั้งสองคน ยกมือไหว้ พร้อมค่อยๆ เดินออกจากที่พัก   สายตาของเขาสงบนิ่ง โบกมือ อำลา  พร้อมหันมามองกระท่อมหลังเก่า ที่เคยพัก..  

                                                         ขลุ่ย    บ้านข่อย  ..     

                                                          (๑๓   ตุลาคม   ๖๕  )

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×