วิบากกรรมของพ่อหลวง - วิบากกรรมของพ่อหลวง นิยาย วิบากกรรมของพ่อหลวง : Dek-D.com - Writer

    วิบากกรรมของพ่อหลวง

    เคราะห์ซ้ากรรมซัด กับผู้ใหญ่บ้านที่เขาต้องรับภาระต่างๆ ชีวิตเขาช่างน่าเห็นใจ

    ผู้เข้าชมรวม

    131

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    131

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    1
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  12 ต.ค. 65 / 05:07 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

                                              วิบากกรรม  ของพ่อหลวง   

      ช่วงที่ผมได้ช่วยเหลือกับกิจกรรมงานสังคมในจังหวัดลำปางหลายๆด้าน  ไม่ว่าจะเป็นงานด้านการพัฒนาอาชีพ งานป้องกันและฟื้นฟูผู้เสพยาเสพติด ของโครงการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง   งานส่งเสริมและพัฒนาการกีฬา  งานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ งานรักษาสิ่งแวดล้อม  ส่งเสริมศิลปและวัฒนธรรม ฯลฯ  เนื่องจากที่บ้านธงชัย เพิ่งมีการเลือกตั้งและเพิ่งมีผู้ใหญ่บ้าน (พ่อหลวง) คนใหม่ ได้ไม่ถึงเดือน เป็นจังหวะที่พี่แอ๊ด..โชเฟอร์ขับรถระหว่าง วัดศรีธงชัย -ในเวียง ซึ่งเป็นกรรมการหมู่บ้านได้พบผม ขณะที่ผมกำลังตกแต่งขบวนรถเพื่อส่งประกวดงานวันสับปะรด ของจ.ลำปาง

     “สวัสดีครับอาจารย์”บุรุษร่างใหญ่ ซึ่งผมรู้เพียงว่า เขาเป็นโชเฟอร์ขับรถสองแถว บริเวณนี้ได้เอ่ยปากทักทายผม 

      "สวัสดีครับพี่ " ผมตอบเขา และยกมือรับไหว้เขา 

      "ออกแบบ ขบวนรถได้สวยมากเลย ว่างๆไปช่วยที่หมู่บ้านของผม มั่งสิ " โชเฟอร์พูด

      "มันจะดีเหรอ พี่  "

     "ดีสิครับ ที่หมู่บ้านของผม ยังถกเถียงกันไม่เสร็จ อีกสัปดาห์เดียวจะส่งขบวนรถไปร่วมประกวดกันแล้ว ไม่รู้จะทำเสร็จทัน หรือเปล่าไม่รู้ "       

      "ไว้เป็นปีหน้า ดีกว่าครับ ปีนี้ผมขอช่วยหมู่บ้านนี้ ไปก่อนนะ "

      “ก็ได้ครับ ช่วงนี้หากอาจารย์ว่าง ผมอยากให้อาจารย์ ไปช่วยแนะนำให้สักนิดก็ยังดี ”  

      "ก็ได้ครับ งั้นพรุ่งนี้เย็น ผมจะแวะไปหาพี่แอ๊ดที่บ้าน  "   

     หลังจากที่ผมได้รับปากกับพี่แอ๊ดแล้ว วันต่อมา.ผมได้ไปหาพี่แอ๊ดที่บ้าน ได้เห็นชาวบ้านประมาณสี่ห้าคน กำลังตกแต่งขบวนรถอย่างหน้าดำคร่ำเครียด หนึ่งในห้าที่กำลังลงมือทำคือพ่อหลวง. พี่แอ๊ดได้แนะนำตัวผม ให้ทุกคนรู้จัก

       "หมู่เฮา นี่.อาจ๋าน จากวิทยาลัย ตี้ผมไปติ๊ดต่อ ฮื้อเปิ้นมาจ้วย ออกแบบขบวนรถ "

       หลังจากพี่แอ๊ด ได้แนะนำตัวผม ให้ทุกคนได้รู้จักแล้ว ผมได้ช่วยแนะนำให้พวกเขา ทำขบวนรถ ตามที่เขาได้คิดตามแบบไว้ก่อนแล้ว และได้ให้กำลังใจกับทุกคน นี่เป็นวันแรก.ที่ผมได้รู้จักผู้ใหญ่บ้านบ้านธงชัย  พ่อหลวงก่อ เป็นคนร่างเล็ก ผอมสูงประมาณ160 เซนติเมตร ยิ้มง่าย ท่าทางใจดี อารมณ์ดีตลอดเวลา เขามีอายุประมาณห้าสิบปีต้นๆ อาชีพหลัก คือเป็นพนักงานขับรถบรรทุกขนปฎิกูลจากโรงงานไปทิ้ง   

      เพียงได้รู้จักกันไม่นานนัก ดูเขาเป็นจริงจังและทุ่มเทการทำงานอย่างมาก ยอมรับว่าผมถูกชะตากับเขามาก ผมคิดว่าหากผู้ใหญ่บ้านคนนี้ ได้ที่ปรึกษาดีๆในหมู่บ้านแห่งนี้ จะสามารถพัฒนาหมูบ้านให้เป็นแบบอย่างแก่หมู่บ้านอื่นๆ ได้อย่างแน่นอน  หลังจากเสร็จจากงานวันสับปะรดในปีนั้นแล้ว ผมได้ให้สุทิน อดีตนักศึกษาที่มีครอบครัวกับชาวบ้านให้ช่วยทำหน้าที่แทนผม  ผมเริ่มเข้ามาช่วยงานในหมู่บ้านธงชัย ในฐานะที่ปรึกษาอย่างเป็นทางการ  ยามว่างทุกเย็น และวันหยุดราชการ ผมจะแวะมาทำความคุ้นเคยกับกรรมการหมู่บ้านทุกคน ผมได้ช่วยทำบอร์ดโครงสร้างการบริหารหมู่บ้าน แนะนำ ให้กรรมการทุกคน ได้รู้จักบทบาทหน้าที่ตน ที่หมู่บ้านธงชัย มีสถานที่สำคัญๆ ที่จะต้องรับผิดชอบ ได้แก่ วัดพระธาตุศรีธงชัย สถานีอนามัย โรงเรียนและศูนย์อนุบาลเด็กเล็ก 

      “พ่อหลวง..สิ่งแรกที่ผมอยากจะทำงานให้เป็นผลงานกับพ่อหลวงคือ การทำซุ้มประตู เพื่อเทิดพระเกียรติในหลวงตรงบริเวณหน้าป้อมตำรวจ”ผมพูด

       "อาจ๋านจะยะ จะได(จะทำอย่างไร)  "

       "ผมมีไม้อัด อยู่ที่บ้านสามแผ่น ตั้งใจว่าจะเอาสีขาว มาทารองพื้นจากนั้นผมจะวาดรูปในหลวงให้ ยังไงพ่อหลวง วานพี่แอ๊ดให้ไปเอาไม้อัดที่บ้านผมด้วยและบอกให้(ช่าง)สล่าคำช่วยทำโครงไม้ให้  หลังจากผมวาดรูปในหลวงเสร็จแล้ว พวกเราก็มาช่วยกันทำซุ้มเพื่อจัดกิจกรรมในวันพ่อไง" ผมพูด

       ผมเริ่มเข้ามาทำงานพัฒนาในหมู่บ้านธงชัย อย่างจริงจัง และเริ่มสนิทสนมกันกับกรรมการหมู่บ้านและชาวบ้าน ที่บ้านของพ่อหลวงคือจุดนัดพบ ให้พวกเราได้มาประชุมหารือในการทำงานเพื่อพัฒนา บวร คือบ้าน  วัด โรงเรียน ไปพร้อม ๆ กัน 

       ผลงาน ที่ผมทำให้กับหมู่บ้านแห่งนี้คือทำสัญญาณป้ายจราจร ทั้งหมู่บ้านเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ  การส่งเสริมอาชีพด้วยการผลิตกระเช้าผลไม้ จากต้นไมยราบยักษ์  การประดิษฐ์ล้อเกวียนจำลอง เพื่อประดับดอกไม้ วางโชว์ห้องรับแขก ทั้งยังคิดให้ทางกลุ่มแม่บ้านทำดอกไม้ประดิษฐ์จากกระดาษใยสับปะรด

       ในส่วนการพัฒนาวัดพระธาตุศรีธงชัย ผมได้ริเริ่มจัดงานแห่เทียนพรรษาขึ้นเป็นครั้งแรก ส่งเสริมงานประเพณีสงกรานต์ จัดงานประเพณีเดือนห้า ช่วยประสานงานเชิญเยาวชนจากโรงเรียนต่างๆมาร่วมแสดงการฟ้อน นำดนตรีจากวิทยาลัยมาแสดงให้ประชาชนชมฟรี  

      "อาตมา ต้องขอบคุณโยมอาจารย์ ที่ได้เข้ามีส่วนผลักดันทำให้งานประเพณีเดือนห้า ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของวัด ซึ่งที่อื่นๆ ในลำปางไม่มี" 

     "ไม่เป็นไรครับหลวงพ่อ ผมยินดีและตั้งใจจะทำงานท่ี่ผมชอบอยู่แล้วครับ " ผมตอบ

     ขอบคุณป้อหลวงตวย ตี้ต้องทุ่มเท จ้วยงานจนสำเร็จ" หลวงพ่อกล่าวขอบคุณผมกับผู้ใหญ่บ้าน หลังจากเสร็จจากงานประเพณีแล้ว ต่อมา.ผมได้รับคำเชิญจากผอ.รงเรียนวัดศรีธงชัย เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ทุกๆงานผมกับผู้ใหญ่บ้านจะเข้าร่วมทำงานกันอย่างทุ่มเท จนมีผลงานเป็นรูปธรรม หมู่บ้านแห่งนี้ จึงเปรียบเสมือนบ้านหลังใหม่ที่อบอุ่นอย่างยิ่งสำหรับผม

               *************************************************************************************

     พ่อหลวงกับแม่หลวง ดูจะมีอุปนิสัยที่แตกต่างกันมาก พ่อหลวงเป็นคนยิ้มง่าย มีมนุษยสัมพันธ์ดีมาก ส่วนแม่หลวงเป็นคนนิ่งพูดน้อยจนดูน่ากลัวแรกๆที่ผมเจอเธอ ค่อนข้างอึดอัดใจอยู่พอสมควร เพราะการที่แม่หลวงขรึม ไม่แสดงท่าทีอะไรมันเหมือนเดาใจเธอค่อนข้างยาก ทำให้ผมเกร็งและเกรงใจ  เนื่องจากการทำงานมันต้องมีการหารือและประชุมกันบ่อยๆและสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ หลังเลิกประชุมกรรมการหมู่บ้านมักชวนสมาชิกให้นั่งดื่มสุรากันต่อ  บ่อยครั้งที่พวกเขาดื่มกันจนดึกดื่น นั่นย่อมทำให้แม่หลวงต้องเป็นภาระ ในการเก็บแก้วถ้วยขามช้อนไปล้างในวันรุ่งขึ้น

    "แม่หลวงครับ ผมต้องขอโทษด้วยที่เมื่อคืน ต้องทำให้แม่หลวง ต้องรอเก็บอุปกรณ์ต่างๆมันก็เป็นอย่างนี้แหละที่คน  เวลากินเหล้าแล้วติดลม" ผมบอกกับแม่หลวง ในช่วงเย็นของวันถัดมา 

    "บ่.เป็นหยัง อาจ๋าน ข้าเจ้าฯเกยชินแล่วเจ้า " แม่หลวงตอบ

    ผมได้มาช่วยงานในหมู่บ้านแห่ง นี้ประมาณสามปี..จึงคุ้นชินกับชาวบ้านทุกคนทุกหลังคาเรือน เมื่อพวกเขาเจอหรือพบผม มักจะเรียกให้เข้าไปนั่งกินข้าว กินน้ำ กินเหล้าดังกับญาติ ยิ่งช่วงสงกรานต์  แทบพูดได้ว่าตัวผมถูกรดน้ำ จนเปียกปอน ทุกๆสิบนาที เท่าที่ผมสัมผัสและได้ทำงานกับพ่อหลวง พอที่จะได้รู้ถึงสภาพครอบครัวและสภาพความเป็นอยู่ของคนในครอบครัวว่า พ่อหลวงมีบุตร2 คน คนโตชื่อกฤชอายุ19 ปี คนเล็กคือหนิงอายุ 17 ปี กฤชมีนิสัยเกกมะเหรกเกเร ชอบก่อเรื่องให้พ่อต้องเดือดร้อนเสมอๆ เขามักเป็นหัวโจกเที่ยววิวาทกับนักศึกษาและวัยรุ่นต่างหมู่บ้าน  เพราะพ่อหลวงเป็นคนดี น่าเคารพ บุตรชายของพ่อหลวงจึงรอดพ้นจากการถูกตำรวจจับกุมในข้อหาต่างๆ

    “พ่อหลวง.ผมอยากให้พ่อหลวงช่วยดูแลลูกชายด้วย หลายครั้งแล้วนะครับ ที่เขาชอบนำเพื่อนไปก่อเรื่องชกต่อยในงานวัด” ตำรวจประจำป้อมยามพูด

    "ครับนายดาบ ลูกผมคนนี้ผมเคยเตือนเขาตลอดเวลาไม่เชื่อถามอาจารย์ดูก็ได้ "พ่อหลวงตอบทั้งยังใช้ชื่อผมอ้างอิง

    ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมกฤช ได้กระทำตนและชอบสร้างเรื่องเสื่อมเสีย ให้พ่อต้องเดือดร้อนเสมอๆ  ใจจริงผมสงสารพ่อหลวงอย่างมาก ที่เขาต้องมากลัดกลุ้มและทุกข์ใจกับลูกชาย ผมบอกกับพ่อหลวงว่า หากวันใดมีโอกาสผมจะช่วยคุยกับกฤช ให้เขาเข้าใจถึงหัวอกของพ่อ

    "ใจเย็นๆครับพ่อหลวง เด็กเขาอยู่ในช่วงวัยรุ่น อยากสร้างจุดเด่นให้เพื่อนๆเห็นคงต้องค่อยๆใช้จิตวิทยา ผมจะหาโอกาสคุยกับเขาครับ "

    "ขอบคุณครับอาจารย์ ยังไงอาจารย์ช่วยแนะนำให้ลูกชายผม กลับเนื้อกลับตัวหน่อย ผมชักจะหมดความอดทนกับลูกคนนี้แล้ว ผมเป็นผู้ใหญ่บ้านปกครองลูกบ้าน แต่ลูกผมมาทำตัวเป็นอันธพาล เป็นแบบอย่างที่ไม่ดี  อย่างนี้มันเสียการปกครองหมด "พ่อหลวงพูดด้วยความรู้สึกโกรธ

    "ผมขอเวลา สักหน่อยนะ พ่อหลวง "

     หลายๆครั้งที่พ่อหลวงยังไม่กลับจากงานขับรถให้โรงงาน หากผมมีธุระที่จะต้องมาคุยเรื่องงานกับเขา จำเป็นต้องนั่งรอ  ผมมีโอกาสได้พบกฤช จึงฝากให้เขาไปช่วยซื้อสุรามาให้  หลังจากกฤชซื้อสุราได้แล้ว  ผมจึงได้ชวนให้เขานั่งดื่มด้วยนี่คือ.จังหวะและโอกาสครั้งแรก ที่ผมจะได้พูดคุยกับเขาเพื่อขัดเกลานิสัย ให้เกิดสำนึกในความเป็นลูกที่ดีและไม่ทำให้พ่อหนักใจและทุกข์ใจในพฤติกรรมที่เขากระทำ

                        *****************************************************************************

    ก่อนหน้านี้ .ผมเข้าใจว่าพ่อหลวงมีบุตรเพียงคนเดียว แต่เมื่อมาถึงช่วงวันสงกรานต์  ผมจึงทราบว่าพ่อหลวงมีบุตรสาวอีกหนึ่งคนคือ(หนิง)ประไพ  หนิงจัดว่าเป็นคนสวยมาก ผิวขาว ขณะนั้นเธอมีอายุเพียง17 ปี เธอเพิ่งเดินทางมาจากกรุงเทพ เพื่อมาเยี่ยมพ่อและแม่  ประไพ.มาเยี่ยมพ่อกับแม่ได้สักสัปดาห์ ก็ได้เดินทางกลับกรุงเทพ เธอหายหน้าหายตาไปได้สองปี  ครั้งนี้เธอพาสามีพร้อมบุตรชายเดินทางมาบ้านเยี่ยมพ่อกับแม่ด้วย  ลูกชายของประไพที่เธอนำมาเยี่ยมพ่อกับแม่ในขณะนั้นยังแบเบาะ ตากับยายค่อนข้างจะเห่อกับหลานคนแรกอย่างมากพ่อหลวงกับแม่หลวง อาสา จะเป็นคนเลี้ยงดู ซีดานเอง เนื่องจากรู้ว่าหากให้ลูกสาว นำหลานกลับไปเลี้ยงที่กรุงเทพ คงหนีไม่พ้นที่จะต้องไปจ้างคนอื่นเลี้ยงอย่างแน่นอน

    สามีของประไพ มีเชื้อสายจีน อาชีพเป็นเชฟในโรงแรมมีชื่อ จากที่ผมได้พบและสัมผัสกับสามีของประไพ  ดุูเขาเป็นคนค่อนข้างออกจะหยิ่งๆ ทุกครั้ง ผมจะต้องเป็นฝ่ายทักทายเขาก่อนเสมอ การที่เขานำลูกมาฝากตาและยายเลี้ยง ระยะสองสามเดือน . ทั้งสองคนงจึงต้องแวะเวียนขับรถมาดูลูก  ผมสังเกตว่าสามีและภริยาคู่นี้ ช่วงอยู่ต่อหน้าพ่อกับแม่ เขาจะแสดงออกซึ่งความรัก ความห่วงใย กันและกัน แต่พออยู่ลับหลัง คนสองคน แทบจะไม่ได้พูดคุยดังเช่นสามี ภริยาทั่วไป

    "พ่อหลวง ผมเคยสังเกตเห็นลูกสาวพ่อหลวง ดูเขาจะมีท่าทีทุกข์ใจนะ " ผมเอ่ยปากบอกพ่อหลวง ด้วยความห่วงใย ว่าลูกสาว เขาน่าจะมีอะไรไม่สบายใจอยู่บ้าง

    "ผมก็ว่าอย่างนั้น นะอาจารย์ ดูระยะหลังเขากับสามี เหมือนจะมีเรื่องขัดใจหรือทะเลาะกันหรือเปล่า  ผมไม่แน่ใจ "พ่อหลวงตอบ 

     ผมเห็นตากับยายเลี้ยงหลาน อย่างทะนุถนอม บ่อยๆครั้งผมเห็นแม่หลวงไกวเปลกล่อมหลาน แม้จะหลับลงไปแล้ว แต่เชือกยังกระตุกไกวเปลไปโดยอัตโนมัติ จนเมื่อซีดานอายุสามขวบ..ผมได้ทราบข่าวว่า ประไพ ได้เสียชีวิต จากการฆ่าตัวตาย แม่หลวงดูเหมือนจะช็อคและทำใจไม่ได้ไปหลายเดือน ผมมีโอกาสมางานศพประไพ ดูเหมือนพ่อหลวงจะเสียใจไม่น้อยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    คนที่รู้จักกับประไพ..ไม่คาดคิดว่าประไพ จะตัดสินใจผูกคอตาย เสียงโจษขาน วิเคราะห์ หาสาเหตุการตายของเธอ มีหลายแนวทาง  บ้างก็ว่าสามี ของประไพ เป็นคนเจ้าชู้ บ้างก็ว่าสามีประไพติดการพนัน จนเป็นหนี้สิน จนถูกขับออกจากงาน ทำให้ทั้งสองต้องมาทะเลาะเบาะแว้งกันทุกวัน หลังจากเสร็จจากงานศพประไพ สามี ของเธอได้บวชอุทิศส่วนกุศลเรื่อยมาจนปัจจุบัน 

    เมื่อสามปีก่อน ผมได้พบกับพ่อหลวง เขาบอกกับผมว่าแม่หลวงได้เสียชีวิตลงด้วยโรคร้าย จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ ผมเคยพบแม่หลวงที่โรงพยาบาลสุขภาพตำบล  ผมแทบจำแม่หลวงไม่ได้เลย เพราะเธอซูบผอมและชราภาพลงอย่างมาก 

     "สวัสดีครับแม่หลวง ผมขอโทษด้วยนะที่ไม่ทักทายแม่หลวง ตั้งแต่แรกที่พบ เป็นเพราะผมไม่แน่ใจว่า จะเป็นแม่หลวงหรือไม่ อาการดีขึ้นบ้างหรือยัง" ผมทักทายและถามไถ่ แม่หลวงด้วยความห่วงใยจากใจจริง

      ***********************************************************************************

     แม่หลวงมีเรื่องทุกข์ใจกับลูกสาวที่เสียชีวิต  ทั้งตนเองต้องมามีภาระเลี้ยงดูหลาน ยังต้องทำมาค้าขายจนร่างกายทรุดลงเพราะเป็นมะเร็ง คงบอกว่าชีวิตขอแม่หลวง น่าเห็นใจยิ่ง ตลอดระยะเวลาที่ผมรู้จักเธอเป็นคนขยัน มีน้ำใจ  การจากไปของเขา ทำให้พ่อหลวงต้องมารับภาระเลี้ยงดูหลานชายซึ่งเป็นลูกของประไพ ผมได้พบพ่อหลวง เฉลี่ยสัปดาห์ละสองสามครั้ง เป็นเพราะเขาขับรถรับจ้างจากวัดศรีชัย เข้าในเวียง.. บางวันบางครั้งรถสวนทางกัน เขาจะยกมือไหว้หรือบีบแตรส่งสัญญาณทักทาย   ตลอดระยะเวลา..ที่ผมเป็นที่ปรึกษาของพ่อหลวง ผมกล้ารับประกันคุณภาพคุณงามความดีของผู้ใหญ่บ้าน คนนี้ว่า เป็นคนทุ่มเท เสียสละ ซื่อสัตย์และมีคุณธรรม มากกว่ากับผู้นำคนอื่นไที่ผมเคยสัมผัสมาเป็นร้อยๆคน

    ผมกับพ่อหลวงรู้จักกันมาตั้งแต่ปี2540 จนปัจจุบัน ไม่เคยเห็นความเปลี่ยนแปลงในทางไม่ดีของเขาเลยสักนิด  พ่อหลวงคนนี้มี ความเสมอต้นเสมอปลายคือมีความอ่อนน้อมถ่อมตนและมีน้ำใจ  ผมยังจำได้ว่าในครั้งหนึ่งที่พ่อหลวงเคยมาหารือกับผมด้วยท่าทีตระหนกและเกรงในอิทธิพลของนักการเมืองอย่างมาก  .

     "อาจารย์ทำไงดี  นักการเมือง.จะมาเล่นงานพวกผม  "

    "เกิดอะไรขึ้นหรือครับ .พ่อหลวง "ผมถาม

    "คือทางลูกน้องและคนสนิทของอดีต สส.เขาจะมาเอาเงินคืน เป็นเพราะในหมู่บ้านของผมไปลงคะแนนให้ลูกพี่เขาไม่ได้ตามเป้าหมายที่ตกลงตามที่สัญญากับเขาไว้ เขาบอกกับผมว่า หากไม่เอาเงินคืนให้ เขาจะไม่รับรองความปลอดภัย " 

    “พ่อหลวงไปรับปาก อะไรกับเขาไว้มั้ย”

     "ผมไม่ได้รับปากกับเขา ผมไม่ได้รับเงินกับเขาเลยสักบาทนะ แต่กรรมการบางคนไปรับเงินจากเขามา และสัญญากับลูกน้องของนักการเมืองไว้ "

      "อ้าว.ถึงอย่างไร เขาก็ได้เป็น สส.แล้วนี่ 

      "เขาจะเอาเงินคืน ท่าเดียว "

      "งั้นก็หาเงินไปคืน.ให้เขาก็จบ "

      "มันไม่จบนะสิครับ เขาเขม่นผม หาว่าผมไม่ยอมเป็นพรรคพวกและแช็งข้อ นี่ผมได้ข่าวว่าบางหมู่บ้าน ถูกเขาข่มขู่จะเอาชีวิตด้วยสิ  "

      "แย่..มาก ผมไม่นึกว่ามันจะมี นักการเมืองแย่ๆอย่างนี้นะ "

      นี่คือเหตุการณ์..ครั้งที่พ่อหลวง ต้องหวาดหวั่นและเกรงในอิทธิพลคนที่อาสาประชาชนมาทำงานการเมือง  และนี่ก็อาจเป็นสาเหตุให้พ่อหลวงต้องลาออกจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านก่อนเกษียณอายุราชการ

    เมื่อต้นเดือนเมษายน 2562 ขณะที่ผมมาทำธุระในเมือง ได้พบกับพ่อหลวงโดยบังเอิญ ตรงบริเวณศาลหลักเมืองลำปาง   

     "สวัสดีปีใหม่เมืองล่วงหน้าครับ อาจารย์ " สียงทักทายจากอดีตผู้ใหญ่บ้าน ที่ผมชื่นชมและศรัทธา จากการเป็นบุคคลที่เสมอต้นเสมอปลาย

     "สวัสดีพ่อหลวง  สบายดีนะครับ "

      "สบายดีครับจะไปไหน เหรออาจารย์ " 

      "จะมาหาซื้อเครื่องแกง ไว้ทำอาหารช่วงสงกรานต์ครับพ่อหลวงตอนนี้ ซีดานเรียนชั้นนั้นแล้วครับ  "

      "มอหก "

      "โอ้โห เป็นหนุ่มแล้ว ผมไม่เคยเห็นเขามาเลย ..สิบกว่าปีแล้ว "

      "อยากจะรบกวนให้อาจารย์ ช่วยฝากเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย  "ให้หน่อย " 

     “ได้เลยครับ ยินดีและเต็มใจอย่างยิ่ง” ผมรับปากพ่อหลวง....

     จากนั้น ผมจึงขอตัวมาตลาด.เพื่อซื้อเครื่องครัว ขณะเดินมาในใจ ก็คงนึกถึงภาพเก่าๆ ตั้งแต่รู้จักกับพ่อหลวงคนนี้    ได้เห็นภาพชายร่างเล็ก ผู้เสียสละ อุทิศตน ซื่อสัตย์และภาพรอยยิ้มของเขาที่จริงใจกับทุกคน 

     คิดไปแล้ว น่าเห็นใจ วิบากกรรมของพ่อหลวง ที่เขาต้องมาเจอกับเหตุการณ์ต่างๆ ในห้วงหนึ่งของชีวิต 

    นับแต่ต้องสูญเสียคนรัก คือลูกสาว ภริยา พ่อหลวงต้องมาทำหน้าที่ส่งเสียหลานชายและเลี้ยงดูให้เขาได้รับการศึกษา  ส่วนพ่อของซีดานหลายๆคนอาจมองเขาว่า ได้ตัดช่องน้อยพอตัวไปบวชพระ ตลอดชีวิตทิ้งภาระไว้ให้ตา เป็นคนเลี้ยงดูหลาน รายได้ของพ่อหลวงมีเพียงแค่ขับรถสองแถว หาเช้ากินค่ำจะส่งเสียเสียหลานได้สักเพียงไหน ไม่มีใครทราบ  บอกตรงๆว่าผม.เห็นใจเด็กที่ไม่รู้อิหน่งอิเหน่ อนาคตเขาจะเป็นเช่นไร..คาดเดาไม่ถูก. 

                           จะอย่างไร ผมคงต้องเข้าไปช่วยพ่อหลวง ดูแลอีกแรง แล้วล่ะ  

                                                   ขลุ่ย   บ้านข่อย

                                                  ๑๒   ตค   ๒๕๖๕

     

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×