กู ไม่กลัวมึง - กู ไม่กลัวมึง นิยาย กู ไม่กลัวมึง : Dek-D.com - Writer

    กู ไม่กลัวมึง

    ผู้เข้าชมรวม

    139

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    139

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  9 ต.ค. 65 / 09:34 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

                                                     กู ไม่กลัวมึง

       ผมเพิ่งทราบข่าวเมื่อไม่ถึงห้านาที ที่ผ่านมา   บังเอิญเปิดไป ที่เพจสมาคมศิษย์เก่าของสถาบัน  ได้ไปเจอภาพคณาจารย์ในคณะที่เคยสังกัดมายืนถ่ายภาพหมู่ ในโอกาสมาสักการะไหว้ศาล เจ้าพ่อที่ปากประตูทางเข้าลองเลื่อนดู.. ข่าวสาร อีกสองสามภาพ  ก็ได้เห็นข้อความ ข่าวการเสียชีวิตของศิษย์เก่ารุ่นแรก(ชื่อคุณ เชิงชัย   เชาวนประยูรกิตต์)  เพียงแค่เห็นชื่อ.ก็จำเขาได้ โดยมิอาจลืมเพราะในอดีตเมื่อเกือบสี่สิบปีก่อน เขากับผมเคยมีความขัดแย้งกันรุนแรงจนเกือบเลือดตกยางออก

        เมื่อปี 2527 ผมได้รับมอบหมายจากฝ่ายกิจการนักศึกษา  ให้ทำหน้าที่ควบคุมวงดนตรี ของวิทยาลัยร่วมกับอาจารย์อีกคนหนึ่ง อาจารย์คนนี้ จะเก่งในด้านการดูแลเครื่องเสียง เครื่องไฟฟ้า การซ่อมอุปกรณ์ดนตรี ส่วนผมมีความ สามารถเกี่ยวกับเรื่องการร้อง การเล่นดนตรี เราจึงแบ่งหน้าที่ในการทำงานกัน ในอดีตวงดนตรีของวิทยาลัย เคยประกวดวงสตริงของจังหวัดลำปางและได้รับรางวัลชนะเลิศ ถึงสามรางวัล ชื่อเสียงนี้จึงทำให้หน่วยงานต่างๆ ได้ทำหนังสือขอเชิญ ให้นักดนตรีได้ไปแสดงในโอกาสต่างๆ อาทิ ขึ้นบ้านใหม่ งานฉลองป้ายหมู่บ้าน  ฉลองตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน กำนัน งานหารายได้หมู่บ้าน หารายได้ให้กับทางวัด 

       ช่วงแรกๆที่ผมมาทำงานใหม่ๆ แทบจะพูดได้ว่าวิชา ที่ผมได้สอนกับนักศึกษา มีน้อยมาก  เพียงสองวิชาเท่านั้น  งานมอบหมายอื่นๆที่ได้รับคือ งานพัสดุวันๆก็จะคอยรับเรื่องลงบันทึกการขอซื้อ การเดินเรื่องเพื่อจัดซื้อวัสดุการเรียนการสอนให้กับอาจารย์ เพื่อนำมาเกี่ยวข้องกับงานสอนและงานฟาร์ม ของวิทยาลัย  อีกงานที่ผมได้รับมอบหมายคือ งานด้านการตลาด หากแผนกหรือสาขาใดๆมีผลผลิตจากแผนกงานฟาร์มมาก เช่นไข่ไก่ ไก่ นมสด พืชผัก ดอกไม้ ผลไม้  เต้าเจี้ยว ซอส  ซีอิ๊ว ข้าวเกรียบ ผลไม้กระป๋องและไวน์  ผมก็จะนำออกไปประชาสัมพันธ์ขาย ในทุกแห่งในในตัวเมือง และอำเภอใกล้เคียง 

     “สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวที่เคารพรัก เสียงที่ท่านได้ยิน อยู่นี้ คือเสียงจากหน่วยรถเคลื่อนที่  จำหน่ายผลิตผล    ราคาถูกและถูกหลักอนามัยของวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา (พูดไปเท่าที่อยากพูดอะไร  )

    วันจันทร์ถึงศุกร์ ตั้งแต่เวลา 14.00 น ผมต้องมาเตรียมจัดผลผลิต  เพื่อนำไปจำหน่าย อาจารย์พิทยา จะมาช่วยติดตั้งลำโพงฮอร์น พร้อมลองเครื่องเสียงให้ จะมีนักศึกษาไปช่วยผมวันละสองคนวันเสาร์- อาทิตย์ หากมีผลผลิตมาก  เราจะ เริ่มเดินสายตั้งแต่แปดนาฬิกา จนหกโมงเย็นจึงกลับเข้าบ้าน ไม่ว่างานอะไร ที่ได้รับมอบหมาย ผมจะสนุกและมีความสุขกับมัน

     “ปีนี้อาจารย์ ขลุ่ย ต้องได้สองขั้นแน่ๆ “เสียงวิพากษ์วิจารณ์และคาดการณ์จากเหล่าเพื่อนๆในที่ทำงาน เนื่องจากทั้งปริมาณงานและคุณภาพงาน ของผมโดดเด่นกว่าใครๆ แต่เมื่อผลออกมาคือคนที่มิได้เป็นตัวเก็งแต่เป็นคนใกล้ชิด และมีความอาวุโส ก็คว่้าพุงปลาไปกิน

     อาจารย์พิทยา ได้สองขั้น ปีเว้นปี อาจเป็นเพราะ เขาและแม่เข ามีความสนิทสนมกับผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายบริการการศึกษา  ซึ่งมีบ้านติดกัน ผู้ช่วยฯ คนนี้มักจะเป็นฝ่ายพึ่งพาบ้านอาจารย์พิทยาเนืองๆเช่นเรื่องฝากท้องกินข้าว ด้วยเพราะแม่อาจารย์พิทยา  เปิดร้านขายข้าวแกง ของหวานและเครื่องดื่ม  ผู้ช่วยคนนี้ สามารถไปทานได้ฟรีตลอดเวลา ผมไม่เคยนึกอิจฉาเพื่อนคนนี้  แต่ก็มีนึกน้อยใจอยู่บ้าง  ที่ทำไม.. สิ่งที่เสียงส่วนใหญ่ ที่คนเห็นกลับไม่ได้รับการพิจารณาและสนองในความถูกต้อง  ใครๆก็สามารถรู้ และเห็นว่า ใครมีปริมาณมากน้อยแค่ไหน  งานพัสดุ ที่ผมทำ ผมก็บริการให้อาจารย์ พนักงาน อย่างรวดเร็ว ใครต้องการสิ่งใด บอกผม.. อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง  ผมก็ช่วยประสานงานและเนรมิต กับสิ่งที่เขาต้องการให้  นี่คือการทำงานที่รวดเร็ว ความรับผิดชอบและเป็นนิสัยของผม ตลอดชีวิตราชการ

     ทุกๆค่ำ  หลังจากผมกินข้าวเย็นเสร็จ  ผมมักจะแวะมาที่ห้องซ้อมดนตรี .เพื่อดูนักศึกษาซ้อม เล่น -ร้องเพลง  ผมจะช่วยแนะนำวิธีการให้พวกเขาสอบถามถึงเรื่องปัญหาที่พวกเขามี

    “นิพิธ เป็นหัวหน้าวงเหรอ เป็นไงบ้างวงดนตรีของพวกเรา  “ผมสอบถามปัญหากับหัวหน้าวงดนตรี 

    "วงของผม มีปัญหาเรื่องสถานที่ฝึกซ้อมครับ ในห้องที่พวกเราซ้อม ร้อนและอบอ้าวมาก ไม่มีช่องระบายอากาศเลย อยากมีสถานที่แห่งใหม่ครับ “นิพิธ พูด

    ผมรับฟังปัญหาจากนักดนตรี และได้ปรึกษากับอาจารย์พิทยา ที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับผม ซึ่งได้เป็นที่ปรึกษาชมรมดนตรีสากลอยู่แล้ว และมีความสนิทสนมกับผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายบริการการศึกษาซึ่งเขามีหน้าที่เกี่ยวกับแผนกอาคารสถานที่

    “พี่ปรัชญา เด็กอยากขอเปลี่ยนสถานที่แห่งใหม่ เพื่อจะฝึกซ้อมดนตรี ผมจึงอยากขอใช้หอพักเก่า ที่ตอนนี้  ไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้วและอีกอย่างมันใกล้บ้านผมด้วย  พี่ปรัชญาจะว่าอย่างไร“ อ.พิทยาพูด

      เขาได้เข้าปรึกษากับผู้ช่วยผู้อำนวยการ ที่มีบ้านใกล้กัน

     "พิทยา ทำเรื่อง บันทึกมาเลย ผมจะได้ทำหนังสือบันทึกต่อ ให้ผู้อำนวยการอนุมัติ “ผู้ช่วยผู้อำนวยการพูด 

     แรกๆที่ผมมาทำงานใหม่ๆยังไม่ได้รับมอบหมายให้ดูแลควบคุมวงดนตรีอย่างเป็นทางการ  จนเมื่อช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ผมได้รับเชิญ ขึ้นร้องเพลงต่อหน้าคณาจารย์กว่าสองร้อยคนและกล้าแสดงออกได้ร่วมแจมกับผู้บริหารในการตีกลองทอม ตีฉิ่ง ประกอบการร้องเพลงเป็นหางเครื่องเพื่อสร้างสีสันเพื่อความสนุกสนาน    เขาจึงทราบว่าผมมีความสามารถในการร้องเล่นดนตรี ..นี่จึงเป็นเหตุผลให้ผมได้มามีโอกาสคุมวงดนตรีของนักศึกษา.. เรื่อยมา

    ในจังหวะและโอกาส.ที่ผู้บริหารได้เห็นว่ามีอาจารย์รุ่นใหม่ที่เข้ามาทำงาน มีความสามารถในการเล่นดนตรีเกือบสิบคน ผู้บริหารสถาบันจึงสนับสนุนให้อาจารย์ในวิทยาลัย ตั้งวงดนตรีชาวทุ่งขึ้น ผมจึงได้เป็นนักร้องนำและเป็นคอนดักเตอร์ เมื่อใด ที่มีแขกจากสถาบันอื่นๆ มาแวะเยี่ยมชมงานหรือทัศนศึกษา ในลำปาง พวกเขามักจะแวะขอพักค้างคืน เจ้าภาพก็จะจัดเลี้ยงพบปะสังสรรค์ระหว่างเจ้าบ้านและผู้มาเยือน วงดนตรีชาวทุ่งของพวกเราที่ฝึกซ้อมกันเป็นประจำ  จึงได้นำเสนอภาคความบันเทิง

     และแน่นอนว่า เพลงแนวนุ่มๆ เบาๆสบายๆ จะถูกนำเสนอเป็นช่วงแรกๆ 

                           “เรือนแพ  สุขจริงอิงกระแสธารา หริ่งระงมลมพริ้วมา
                                     กล่อมพฤกษา                   ดังว่า ดนตรี

                           หลับอยู่ในความรักและความชื่น   ชั่ววันและคืนเช่นนี้
                                   กลิ่นดอกไม้ รัญจวน  ยังอบอวนยวนยี   สุดที่จะพรรณนา

     เสียงนุ่มทุ้มๆด้วยเพลงหวานๆสบายๆ  คนฟังตั้งใจและรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย   ทุกครั้งที่เพลงจบ  … เมื่อมีเสียงปรบมือผู้ขับร้องก็จะปิติ ผมโค้งคำนับ ตามด้วยอีกหนึ่งเพลงก่อนจะสลับฉากให้เพื่อนในวงร้องต่อ   

       ************************************************************************************* 

        การที่ผมได้ทำกิจกรรมสมัยเรียน ในทุกๆแนวทุกรูปแบบและยังมีอาจารย์หมอธเนศ พาท่องโลก ท่องประสบ การณ์ในเมืองกรุงและต่างจังหวัดอย่างโชกโชนและยังจำได้ดีว่า ครั้งหนึ่งอาจารย์เคยพาผมไปนั่ง ที่ห้องอาหารแถวสะพานอรุณอัมรินทร์ที่สุเทพ  วงศ์กำแหง ร้องเพลงประจำ ณ ที่นั่น  จึงเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่พวกเราได้ร้องเพลง  “บ้านเรา “  ร่วมกับสุเทพ  วงศ์กำแหง

     คุณสุเทพ ยังส่งไมค์ลอย ให้อาจารย์หมอธเนศ ร้องด้วยท่อนหนึ่ง นี่คือทรงจำที่ผมไม่ลืมและประทับใจมาก

    **********************************************************************************************

      ณ ห้องทำงาน… ที่ผมนั่งประจำ

    “อาจารย์ขลุ่ย คืนนี้…ช่วยไปดูแลนักศึกษาที่จะไปเล่นดนตรีที่บ้านน้ำโท้ง ตำบลบ่อแฮ้ว ด้วยนะ ผมติดธุระ คงไม่ได้ไปช่วย “อ. พิทยาพูด

     “นัดนักดนตรีไว้ ที่ไหน “ผมสอบถาม 

      “ห้องซ้อม ครับ  “เขาตอบ

    เมื่อถึงเวลานัดหมาย ผมกับนักดนตรี ก็ช่วยกันขนของ อุปกรณ์เครื่องไฟ ครั้นเมื่อคนมาครบแล้ว เราจึงออกเดินทางด้วยรถฮิโน่ หกล้อของสถาบัน ผมมาทราบว่าในงานนี้เป็นงานของหมู่บ้าน ที่จะจัดการประกวดธิดาบ่อแฮ้วด้วย ครั้นมาถึงสถานที่จัดงานทุกคนก็ช่วยกันขนอุปกรณ์ดนตรี ที่มีกีต้าร์  คีย์บอร์ด กลองทอม และอุปกรณ์ กำกับจังหวะอื่นๆ เช่น แทมมาลีน ลูกแซค 

     เจ้าภาพจัดโต๊ะอาหารและเครื่องดื่มไว้ให้พวกเรา… ในวงดนตรีของพวกเรา มีนักดนตรีเป็นชายหกคน หญิงสองคน ผู้ควบคุมวงคือผมอีกหนึ่งคน คนขับรถอีกหนึ่งคน รวมเป็นสิบคนพอดี  แน่นอนว่า.ในช่วงวัยของผมขณะนั้นคือ 27 ปี          “เหล้าหมดแล้ว เดี๋ยวอาจารย์จะแวะบ้านผู้ใหญ่บ้าน เพื่อซื้อเพิ่มไว้กินที่ข้างๆเวทีประกวด “ผมบอกกับนักดนตรี

    “ครับ อาจารย์ “

    “พวกเราพร้อมแล้ว ก็ขึ้นไปลองเครื่องและหากเจ้าภาพให้แสดงได้ ก็เริ่มการแสดงเลย" ผมบอกและกำชับลูกวง 

    นักดนตรีทุกคนขึ้นเวทีแล้ว  แสงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า ชาวบ้านทยอยเข้ามาในงานข้างๆเวที มีโต๊ะจำหน่ายสุรา เพื่อหารายได้เข้าหมู่บ้าน มีกองเชียร์ของชาวบ้านทั้งชายและหญิงมารอเชียร์คนงามของหมู่บ้านของตน

    ก่อนจะมีการประกวดธิดาบ่อแฮ้ว พวกเราก็เล่นและร้องเพื่อสร้างความบันเทิงและหากช่วงใดที่จะให้สาวๆได้เดินโชว์ตัว เราก็หยุดผมพยายามประสานงานกับกรรมการผู้จัดงานตลอดเวลา ซึ่งงานก็เดินมา ด้วยความราบรื่น  ช่วงที่ผมมาที่บ้านผู้ใหญ่บ้านเพื่อซื้อสุรา ผมได้เห็นบุรุษร่างสูงเกือบ180 เซนติเมตรนั่งบนโซฟาพร้อม มีชายฉกรรจ์อีกหกคน อยู่ข้างกาย ผมไม่ทราบว่าเขาคือใครดูจากบุคลิกแล้วพอมองได้ว่าเขาเป็นคนมีการศึกษาและมีฐานะดี

    “ป้อเลี้ยงจ้าว จ้วยเชียร์ ธิดา บ้านเฮาตวยเน่อ “สาววัยกลางคนพูดกับเขา

      “ได้สิ พี่ “เขาตอบเป็นภาษาภาคกลาง

     ช่วงที่เขาคุยกับชาวบ้านและกรรมการหมู่บ้าน ผมมิได้สนใจว่าบุรุษคนนั้นจะเป็นใคร  ผมได้แนะนำตัวเองว่า ผมเป็นอาจารย์ที่ควบคุมวงดนตรีมาช่วยงานนี้ เราคุยกันถูกคอ สักครู่ต่อมา. ผมจึงขอตัว ขึ้นเวทีไปดำเนินรายการบนเวที ดนตรีแสดงไปหนึ่งชั่วโมง จึงถึงคิวการจัดประกวดธิดาบ่อแฮ้ว  เดิมทีเดียว ผมเข้าใจว่านักดนตรี จะเข้าใจถึงเรื่องการเล่นเพลงประกอบการเดินโชว์ตัว  แค่ครั้น..เมื่อผู้ประกวดเดินโชว์ตัวบนเวที่  นักดนตรีในวงได้บรรเลงเพลงประกอบการเดิน ไม่ค่อยเข้ากับบรรยากาศเลย ผมจึงไปบอกกับลูกวงว่า รอบหน้าที่ผู้ประกวดมีการเดิน. ให้เล่นบรรเลงเพลงนางฟ้าจำแลง ของวงสุนทราภรณ์ โดยผมฮัมเพลงให้เขาได้ยิน เขาแกะเพลงสักครู่ก็พอเล่นได้  ผมเข้าไปที่เครื่องเล่นคีย์บอร์ดและเล่นให้พวกเขาฟังหนึ่งรอบ 

     ดูเหมือนบรรยากาศกองเชียร์ เริ่มส่งเสียงเชียร์ดังขึ้นเพราะฤทธิ์จากสุราส่วนหนึ่ง ช่วงที่พวกเราเล่นดนตรี ด้วยเพลงสตริงในยุคนั้นคนชมต่างชื่นชอบแนวเพลง  แต่จู่ๆ ก็มีบุรุษที่ผมเพื่งคุยถูกคอ กับเขาที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน ได้เดินขึ้นไปบนเวที พร้อมบอกกับหัวหน้าวงที่เป็นรุ่นน้องของเขา

     “พี่ชื่อเชิงชัย เป็นรุ่นพี่รุ่น 1  พี่อยากให้น้องๆเล่นเพลงเกษตรรำพัน “เขาสั่งให้รุ่นน้องเล่นตามคำสั่ง  ซึ่งเมื่อผมได้ฟัง จึงเดินไปบอกกับนักดนตรีว่า 

    “ทุกคนฟังผม  ผมดูแลพวกเราที่เวทีนี้ ไม่ใช่พื้นที่ของศิษย์เก่าของสถาบัน ดังนั้นพวกเราห้ามเล่นเพลงเกี่ยวกับสถาบันเพราะมันไม่ถูกกาลเทศะ”ผมพูด

    “คุณเป็นใคร  ผมพ่อเลี้ยงเชิงชัย แห่งตำบลบ่อแฮ้ว คุณถามดูว่าผมใหญ่ และมีอิทธิพลขาดไหน  “

    “ผมไม่สนใจหรอก ว่าคุณจะเป็นใคร  หรือจะเป็นพ่อเลี้ยง จะใหญ่ขนาดไหน ผมก็ไม่สนใจ “ผมพูด และท้าทาย 

     “คุณแน่เหรอ “

     “แน่ไม่แน่..คุณกับผม มาซัดกัน ตัวต่อตัว มั๊ย “

     เรื่องราวเกือบจะบานปลาย กรรมการจัดงาน ผู้ใหญ่บ้านหลายหมู่บ้าน ต่างเข้ามาเคลียร์ และพยายามบอกให้พ่อเลี้ยงเข้าใจ  ทุกคนเข้าใจ..ว่าผมไม่ได้ทำผิดอะไร 

     “ป้อเลี้ยงใจเย็นๆเน้อ งานนี้ อาจารย์เปิ้นมาช่วยเฮานะ“กรรมการหลายๆคน พยายามจะพูดให้ พ่อเลี้ยงเชิงชัย  หยุดที่จะทำอะไรตามใจตนเอง

     “แม่งก็ดี แต่หมาหมู่ แหละวะ กูก็ผ่านเฉียดตายม าไม่รู้เท่าไหร่แล้ว “ ผมคิด 

     เขาหยุด.และเดินลงเวที อย่างหัวเสีย เขามองผมอย่างกับจะกินเลือดเนื้อ…ชาวบ้านหลายคนพูดให้ผมได้ยิน 

    “ป้อเลี้ยงเปิ้น มีลูกน้องนักเลยเน้อ อาจารย์ ขากลับไป พวกเฮาเป็นห่วงอาจารย์ “ ชาวบ้านพูด

      “อะไรจะเกิด ก็ให้มันเกิด “  ผมพูด

     “อาจารย์กลับก่อน ดีกว่ามั้ยครับ จะได้ทุกอย่าง มันบรรเทาเบาบางลงมาบ้าง ดูป้อเลี้ยง เปิ้นสั่งลูกน้อง ให้ปิดทางออกหมู่บ้านแล้ว “ชาวบ้านพูด

      “โถ  ไอ้หน้าตัวเมีย กูมาคนเดียวแท้ๆ  กูท้ามีงซัดตัวต่อตัว  มึงก็ไม่กล้า มึงสูงกว่า ใหญ่กว่ากูอีก“ผมคิด 

      “เห็นแก่ผม เถอะนะอาจารย์ เพื่อให้งานมันราบรื่น “ผู้ใหญ่บ้าน ขอร้อง 

      “แล้วใครจะดูแล ลูกศิษย์ของผม  ผมนำเขามา ผมก็ต้องนำกลับสิ “

      “ไม่ต้องเป็นห่วง  เดี๋ยวจะดูแลให้  “ผูู้ใหญ่บ้านพูด

              บรรยากาศ ในงาน/// ดูจะตึงเครียด   นักดนตรี ก็ไม่ค่อยจะมาสมาธิในการเล่น 

     “อาจารย์ครับ พวกผมไหว้ล่ะ  ผมว่าถ้าอาจารย์ ยังอยู่ในงานคืนนี้  สงสัยเกิดเรื่องใหญ่  ผมว่าอาจารย์ กลับไปก่อน  เขาเป็นรุ่นพี่ของผม.. และเมาด้วยยังไง ผมก็เข้าใจอาจารย์ ครับ”

    “ศักดิ์ศรีโว้ย ทุกคน มีศักดิ์ศรี “ ผมพูด

    “ผมเข้าใจครับ”หัวหน้าวงพูด

    กรรมการหมู่บ้านและ.ลูกศิษย์ ขอร้องให้ผมกลับก่อน////เมื่อผมคิดถี่ถ้วนแล้วจึงยอมรับฟัง เพื่อให้งานเดินต่อได้   

      “ไปที่บ้านผมก่อน“ผู้ใหญ่บ้านพูด 

      “เดี๋ยวอาจารย์ เปลี่ยนเสื้อผ้าและจำแลง แปลงร่างสักหน่อย เพื่อความปลอดภัย  “

      “เอากันขนาดนั้นเลยเหรอ “ผมพูด

       “ครับ “

      ภาวะจำยอม เพื่อให้ทุกอย่างราบรื่น และงานเดินต่อไป จนจบ  ผมจึงยอมเสีย  ศักดิ์ศรี 

                             ที่ยอมกลับนี้  ใช่ว่า “กู จะกลัวมึงหรอกนะ พ่อเลี้ยง  ”

                                                 ขลุ่ย   บ้านข่อย

                                                     ๙ ตค ๖๕

      

                                             

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×