จากดิน สู่เมฆา - จากดิน สู่เมฆา นิยาย จากดิน สู่เมฆา : Dek-D.com - Writer

    จากดิน สู่เมฆา

    ผู้เข้าชมรวม

    95

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    95

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  8 ต.ค. 65 / 16:46 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

                                                                                                                                                                                           ากดิน  สู่เมฆา   

         
               เรื่องที่จะบอกเล่า ต่อไปนี้ มิได้มีเจตนาที่จะลำเลิกบุญคุณกับใครๆเลย  เพราะโดยนิสัย ส่วนตัวของผม เมื่อคิดจะทำดีอะไรกับใครๆ  มักทำด้วยจิตบริสุทธิ์  จริงๆแล้วในใจผมคิดอยู่เสมอว่า หากจะทำดีอะไรกับใคร ช่วยเหลืออะไรกับใครแล้ว ไม่จำเป็นต้องได้รับสิ่งตอบแทนกลับคืนมาเช่นกับพี่น้อง-ญาติ เพื่อนๆ หรือองค์กรต่างๆ ผมมั่นใจว่าคนที่เคยสัมผัสกับชีวิตของผมย่อมรู้ดีว่าสิ่งที่ผมกล่าวไว้ข้างต้นเป็นจริงหรือไม่ 

     เป็นเพราะความบังเอิญ ที่ผมได้รู้จักกับพ่อของบังอรคือลุงขาว ชาวบ้านที่เป็นเกษตรกรจนๆคนหนึ่งในละแวกใกล้ที่ทำงาน ลุงขาวชื่อขาวแต่เป็นคนผิวคล้ำ ศีรษะล้าน   ทุกๆ เย็นหากผมว่าง ผมมักจะแวะไปเยี่ยมเยือนชาวบ้านที่อยู่ใกล้กับวิทยาลัย ลุงขาว คือชาวบ้านที่ผมได้รู้จักและคุ้นเคยเป็นพิเศษ  ด้วยเป็นเพราะแกเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดี  วันหนึ่งขณะที่ผมไปนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ ที่ตลาดสดบ้านห้วยยางนาจึงได้พบกันโดยบังเอิญ
              "อาจ๋าน  ยะหยัง(ทำอะไร)"คำทักทายของลุงขาวเอ่ยขึ้นมาในขณะที่ผมกำลัง ก้มหน้าก้มตาอ่านข่าวฆ่าเวลา จนไม่ได้สนใจ ว่าใครกำลังทำอะไรจึงไม่ได้ยินทักทาย จนชายสูงวัยอารมณ์ดี  ต้องเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
              "อาจ๋าน ยะหยัง  "     
              "อ่านหนังสือพิมพ์ครับลุงได้อะไรไปกินบ้างล่ะครับ ลุง " ผมตอบ พร้อมมีคำถามย้อนกลับไปด้วย เพราะเห็นแกหิ้วของพะรุงพะรังติดมือมาด้วย
                             
           "จิ้น(เนื้อ)ควายจะเอาไปยะลาบกิ๋น ลุงขอเจิน อาจ๋านไป แอ่วตี้เฮือนตวย"ลุงพูด 
           "ไปไก๋ ก่อครับ " (ไปไกลมั้ย )
           "บ่อไก๋(ไม่ไกล) ไปพร้อมกับลุง บ่าเดี๋ยวนี่ "
           ผมจ่ายตังค์ค่าขนมหวาน ให้แม่ค้าพร้อมลุกจากที่นั่ง แล้วเดินตามลุงขาวไปต้อยๆที่บ้านแกติดกับถนนใหญ่ระยะทางจากตลาดมาที่บ้านลุงขาวไม่ไกลนัก ประมาณว่าน่าจะ150 เมตรเมื่อถึงบ้านลุงขาวแล้ว เจ้าบ้านได้เดินขึ้นบันไดพร้อมกวักมือเรียกให้ผมตามขึ้นไปข้างบน 
          ที่บ้านลุงขาวเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวยกพื้น ด้านล่างเป็นใต้ถุนโปร่ง เนื้อที่ของบ้านขนาดพอดี กับคนในครอบครัว  วันนี้เป็นวันแรก ที่ผมได้มีโอกาสมาเยือนชาวบ้านแบบถึงลูกถึงคน 
         ยังไม่ทันก้าวพ้นบันไดดี ผมก็มองเห็นควันไฟ ลอยละล่อง เสียงกระดาษกระพือให้เกิดลมที่หน้าเตาไฟ เพื่อให้ไฟในเตาถ่านลุกโดยคนกำลังโบกพัดคือภริยาของลุง
        "อาจ๋าน มาแอ่วบ้านเฮา น่า .. " ลุงขาวบอกภริยาให้รู้ ยังไม่ทันที่ผมยกมือสวัสดี ป้าคำแก้วก็เป็นฝ่ายทักทายและยกมือสวัสดีมายังผมก่อน
        “ซะวัดดี จ้าว. อาจ๋าน”ป้าคำแก้วทักทาย 
        "สวัสดี ครับป้า"ผมรับไหว้ภริยาลุงขาวด้วยท่าทีเคอะเขิน เพระกลายเป็นว่าคนด้อยอาวุโสต้องมาเป็นคนรับไหว้ ผู้อาวุ โสกว่า 
         ด้านหน้าบนบ้านหลังนี้ มีห้องครัวติดกับทางขึ้น ตรงกลางบ้านเป็นห้องโถง ถัดไปเป็นห้องนอนมีสามห้องยาวเรียงรายติดกัน ช่วงห้องโถงมีพื้นยกสูงกว่าห้องครัวประมาณ7-8 นิ้วช่วงที่ลุงขาวเดินไปห้องครัว สายตาผมได้มองสำรวจบริเวณบนบ้านจากที่เห็นก็มีสภาพเหมือนบ้านของคนชนบททั่วไป คือต้องมีรูปเก่าๆ ชองตนเองและครอบครัว ติดไว้ที่บริเวณฝาบ้าน มีตู้เก็บเสื้อผ้ามีบานกระจกบานใหญ่ไว้ส่อง มีปฎิทิน มีนาฬิกาแขวนไว้ดูวันเวลา ขณะที่ลุงขาวเดินเข้าห้องครัว ครู่ต่อมา... เขาก็ได้หยิบแก้วเหล้าพร้อมเหยือกมาถ่ายเหล้า(เถื่อน)ที่ซื้อมาจากหลังตลาดเมื่อครู่นี้ เพื่อให้ผมซึ่งเป็นแขกพิเศษ ได้ลิ้มรส บนบ้านของลุง มีผมกับเขาเพียงสองคน เมื่อไฟติดดีแล้ว ป้าคำแก้วก็จัดการปรุงลาบควายดิบ อย่างพิถีพิถันและสุดฝีมือ 
         " จ๋าน กิ๋น ลาบควายได้ก่อ "ลุงถาม 
        "  ได้ครับ "        

    ผมกับลุง นั่งกินเหล้ากันเพียงแค่สองคน ลาบควายดิบถูกตักใส่จานมาวางไว้ด้านหน้าของวงเหล้า สีของเลือดควาย ที่ถูกสับไปกับเนื้อควายจนละเอียดแดงแจ๋.จนน่ากลัว แต่ผมก็ชินกับอาหารพื้นบ้านมาตั้งนานแล้ว เมื่อนั่งดื่มเหล้าไปได้สักครู่ ผมได้สอบถามบุคคลในครอบครัวว่ามีกี่คน แล้วเขาเหล่านั้นทำอะไรกัน คำตอบของลุงขาวทำให้ผมไดรู้ข้อมูลเบื้องต้น 
         "ลุงมีลูกบ่าวนึ๊งคน เป็นคนเก๊า(โต) มีลูกแม่ญิงสามคน  "
        "แล้วลูกๆ ทำอะไรกัน ล่ะ"
        "คนเก๊า(โต) ขับรถสองแถว ลูกแม่ญิงสองคน ทำงานตี้ห้างในเวียง(เมือง)คนหล้ากำลังเฮียนชั้นมอห๊ก รร.ประจำจังหวัด
        "ที่บ้านลุง ไม่มีใครเรียนสูงๆเลยหริอ "
        "แม่น(ใช่ละ) ไอ้คนหล้าจื่อ บังอรกำลังจะเฮียนจ๊บมอห๊กแล่ว ลุงก็จะฮื้ มัน ไปยะงานตี้ห้างกับพี่สาว "
        "ผมคิดว่า ลุงควรให้เขาเรียนต่อสูงกว่านี้ อีกสักหน่อย จะดีมั้ย"
        "ลุงบ่อมีปัญญา บ่อมีเงิน ส่งเสีย ฮื้อมันแล่ว อาจ๋าน"
        "เอาเถอะลุง  เดี๋ยวผมจะลองคุยกับพี่ๆของบังอรดู หากขาดเหลืออะไร แล้วผมยินดีจะช่วยเหลือให้ครับ  "
                                                                                                                                                        " ก็แล้วแต่ อาจ๋าน จะจ้วย เหลือมัน ลุงขอบคุณจ้าด นัก"
         หลังจากได้คุยกันเบื้องต้นกับลุงขาวแล้ว  วันต่อมา.ผมได้ไปเที่ยวบ้านลุงขาวอีก  ได้มีโอกาสพบกับพี่ๆ ของบังอรทั้งสามคน ผมได้บอกกับพวกเขาว่าหากในบ้านนี้มีคนได้เรียนสูงสักคน  น่าจะเป็นสิ่งที่ดี ทำให้เพื่อนบ้านและคนแถวๆนี้ ให้ การยอมรับ ทั้งยังเชิดหน้าชูตาให้แก่วงศ์ตระกูล ในที่สุดพี่ๆทั้งสามคน ยินดีที่จะยอมช่วยกันส่งเสียให้น้องคนเล็กได้เรียนต่อ เป็นจังหวะโอกาสที่ดีเมื่อ บังอรจบม. 6  วิทยาลัยฯได้ประกาศรับสมัครสอบเข้าเรียนต่อทั้งระดับปวส และปริญญา…. สาขาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในขณะนั้นคือวิทยาศาสตร์การอาหาร  บังอรได้ขอคำแนะนำจากผมว่าควรจะเลือกเรียนสาขาอะไรดี ผมเห็นว่าบังอรเรียน ม.ปลายโปรแกรมวิทยาศาสตร์ จึงควรที่จะเลือกเรียนสาขาวทอ.เพื่ออย่างน้อยจบมา ยังสามารถทำงานอิสระเลี้ยงชีพตนเองได้
          "อย่าลืมไปสมัครสอบนะที่อาคารอำนวยการ" ผมบอกเธอโดยเน้นย้ำเป็นพิเศษ
          “ค่ะ”บังอร รับปาก
          เท่าที่ผมสัมผัสและรู้จักกับเด็กคนนี้ ดูเธอเป็นคนขี้อายพูดน้อย ออกเย่อหยิ่งไปด้วยซ้ำ ผมได้ตัดความรู้สึกเหล่านี้ออกไป เพราะเห็นแก่อนาคตของเธอและครอบครัว 

     ***************************************************************************************
         ตลอดช่วงเวลาของการรับสมัครสอบหนึ่งสัปดาห์ จนหกวันผ่านไป แล้ว จากที่ผมตรวจสอบรายชื่อคนมาสมัครสอบ ไม่พบรายชื่อนางสาวบังอรมาสมัครสอบเลย  ด้วยที่เกรงว่า เธอจะเสียโอกาสในการเรียนในครั้งนี้  ในช่วงเย็นผมจึงไปที่บ้านลุงขาวพร้อมสอบถามถึงสาเหตุ การที่เธอไม่ไปสมัครสอบเพื่อเข้าเรียน ได้ความว่าทางโรงเรียน ยังไม่ออกใบรับรองผลการเรียนให้ รร.ได้นัดหมายให้เธอไปเอาผลการเรียนในวันพรุ่งนี้  ผมกำชับพี่ชายพี่สาวของบังอร ให้ช่วยเป็นธุระช่วยจัดการนำพาเธอมาสมัครเรียนให้ได้ เขารับปากว่าต้องพาน้องสาวคนเล็กของเขาไปสมัครสอบ ผมจึงคลายความกังวลใจลง
                                                                                                                                                        วันสมัครสอบ เข้าเรียนวันสุดท้าย.  ตลอดเวลานับตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงบ่ายสามโมงครึ่ง  ผมรอคอยบังอร เพื่อจะได้ให้ความช่วยเหลือแนะนำการเขียนใบสมัคร วินาทีแล้ววินาทีเล่า ที่ผมชะเง้อชะแง้ก็ยังไม่เห็นวี่แววและเงา จนนักการภารโรงได้ทยอยเก็บโต๊ะเครื่องเขียนและอุปกรณ์อื่นๆ  อีก15นาที จะถึงเวลาการปิดการรับสมัคร  ผมจึงเห็นบังอรและพีๆของเขา กระหืดกระหอบมาสมัครและเป็นคนสมัครคนสุดท้าย   ในใจผมตอนแรก นึกโกรธเธอและพี่ๆของเธออย่างมาก.   .ที่หวังดีกับพวกเขาแล้ว  แต่ตนเองต้องมาเสียความรู้สึกและทุกข์ใจกับความรับผิดชอบของพวกเขาแม้ในใจจะรู้สึกโกรธ  แต่เมื่อบวกลบกลบหนี้ กับสิ่งที่ผมมโน ในความฝันกับอนาคตของเด็ก ที่จะมีอนาคตที่ดี ก็ยอมละซึ่งความโกรธ เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเจื่อนๆ ผมได้บอกกับอาจารย์ที่รับสมัครว่าเป็นญาติของผมเอง
         การรับสมัครได้ดำเนินเสร็จสิ้นไป แม้จะไม่สมบูรณ์ดีนัก เพราะยังขาดเอกสารบางอย่าง ผมได้ไปช่วยพูดกับอาจารย์ผู้รับสมัครสอบว่าขอให้เด็กได้สอบก่อน หากสอบได้ในวันมอบตัวหากเอกสารไม่ครบเธอก็ไม่มีสิทธิ์จะได้เรียน
      " สัปดาห์หน้า เวลามาสอบข้อเขียน อย่าลืม นำเอาต้นขั้วใบสมัครมาด้วยล่ะ"
       "จ้าว " เธอตอบห้วนๆสั้นๆ ทั้งหน้าตายังบอกบุญไม่รับ
       "สนามสอบ ที่ในเมืองนะ อย่าลืมมาเช็คและตรวจสอบรายชื่อห้องสอบ ล่วงหน้าด้วย"
       "จ้าว"
          ในปีการศึกษานั้น นศ.ที่มาสมัครเข้าเรียนต่อ มีจำนวนหลายพันคนสถานที่สอบ ที่วิทยาลัยกำหนดไว้มีสองแห่งคือ โรงเรียนประจำจังหวัดชาย -หญิง   ผมได้รับมอบหมายให้เป็นกรรมการกำกับห้องสอบที่ รร.วาทยส  เมื่อถึงเวลาผมได้แจกข้อสอบและเดินไปให้นักเรียนเซ็นชื่อเข้าสอบ  ในห้องที่ผมคุมสอบ ยังมีผู้เข้าสอบยังขาดอก 2 คน และหนึ่งในสองก็คือบังอร ลูกลุงขาว ที่ผมกำชับกำชาให้ตรวจสอบสนามสอบให้ดี สิบนาทีต่อมา มีนักเรียนชาย ที่มาสายขอเข้าห้องสอบ ผมก็ได้ยินยอมและ อนุญาตให้เขาเข้าห้องสอบได้
                                                                                                                                                           25 นาทีต่อมา ผมจึงเห็นแม่สาวน้อยเจ้าเก่า ค่อยๆนวยนาด เดินมาที่ห้องสอบ อะไรกันนักหนา ยัยคนนี้ ทำกับผมอีกแล้ว  มันจะบังเอิญต้องมาเจอหล่อน กระทำพฤตืิกรรมที่ไร้ความรับผิดชอบอีกครั้ง กติกาการเข้าสอบ ได้กำหนดว่า ห้ามนักเรียนมาเข้าสอบช้ากว่า30 นาที เมื่อเธอมาสถานที่สอบในเวลาที่กำหนด ผมก็ยินยอมให้เข้าสอบ
      “มาเวลากระชั้นอย่างนี้ หากเจอกรรมการคุมสอบที่เข้มงวด เธออาจไม่มีสิทธิ์สอบเลยนะ บังอร ”ผมพูดกับเธอ ขณะนำกระดาษใบรายชื่อผู้เข้าสอบให้เธอลงลายมือ 
     “หนูเข้าใจผิด นึกว่าสอบที่ รร.กัลยาณี เลยมาช้า หนูขอโทษ”
     "เวลาคุณน้อยกว่าเพื่อนไปเกือบครึ่งชั่วโมง ต้องเร่งมือแล้วล่ะ "
      "จ้าว "
      หลังจากสอบเสร็จบังอร ก็ได้เข้าเรียนในสาขา ทอ .นับเป็นความโชคดีที่เธอสอบได้ เธอจึงได้มาเรียนในระดับปวส  สองปีต่อมาบังอรก็ได้สำเร็จการศึกษา นานๆครั้งผมจึงจะมีโอกาสไปเที่ยวบ้านลุงขาว ทุกคนในบ้านทุกคน ดูจะมีความสุขมาก สิ่งที่เคยบ่นว่าจะไม่สามารถส่งให้บังอรเรียนต่อได้ ถึงคราจริงๆพวกเขาก็ส่งเสียให้น้องเรียนจนจบ  บังอรไปเรียนต่อที่เชียงใหม่อีกสองปี และได้วุฒิปริญญาตรี
       เธอก็ได้ไปทำงานที่จังหวัดสมุทรสาครที่เป็นย่านอุตสาหกรรมอาหารทะเล  ปีหนึ่งๆจะมาเยี่ยมบ้านปีละครั้ง  เงินเดือนรายได้ของเธอนับว่าไม่เลว ทำงานได้เพียง5ปี เงินเดือนเธอสามารถแซงหน้าผมซึ่งรับราชการมาเกือบ10 ปี  อย่างไม่น่าเชื่อ  ผมเคยเจอบังอรเพียงสองสามครั้งในรอบ 20 ปีที่เธอจบไป 
       “สวัสดีจ้าว อาจ๋าน”เสียงทักทายที่ดังขึ้นมาที่ตลาด  ผมหันไปตามเสียงทักทายพร้อมยกมือรับไหว้
       "สวัสดีบังอร มาลำปางกี่วันแล้ว แล้วกลับเมื่อไหร่ "
       "เพิ่งมาค่ะ  อีกสองสามวันจะกลับค่ะ" เธอพูดภาษากลาง
       "พ่อกับแม่ เราเป็นไง "
       "เสียชีวิตไปหมดแล้ว ค่ะ"
        นี่คือครั้งที่ผมเจอกับบังอรแบบซึ่งๆหน้า และอีกหลายครั้งที่เธอมาลำปางแต่ผมไม่ทราบข่าว วันนี้บังอร ยังมีสถานะครองโสด ฐานะของเธอค่อนข้างดี เป็นเพราะด้วยเป็นคนประหยัด ไม่มีครอบครัว พ่อแม่สิ้นชีวิตไปหมดแล้ว  ผมทราบว่าวันนี้ เธอได้โอนเงินมาให้พี่สาว มาซื้อที่ดินหลายสิบไร่ ทั้งยังสร้างหอพักให้นศ.และชาวบ้านเช่าอยู่อาศัย    เมื่อผมเกษียณแล้วกลับมาย้อนนึกถึงเรื่องราวในอดีตและนำมาเรียบเรียงมีหลายเรื่องรู้สึกภาคภูมิใจ ที่ได้เป็นผู้ให้ชีวิตใหม่ ให้โอกาสกับเยาวชนมากมาย กรณีของบังอรถือเป็นเรื่องหนึ่งที่ผมภูมิใจที่ได้ทำให้ชีวิตของคนๆหนึ่ง ที่เกือบจะไม่มีโอกาสได้เรียนได้มีโอกาสเรียนจนจบปริญญา เธอมีคุณวุฒิที่สามารถเข้าทำงานและมีรายได้เลี้ยงตน -ครอบครัวได้เป็นอย่างดี  จากเด็กชาวบ้านธรรมดาๆคนหนึ่ง วันนี้คนข้างๆบ้านเรียกเธอว่า " แม่เลี้ยงบังอร"
                                                                                                                                               
      ในบ้านบังอร คงมีบังอร คนเดียวที่ได้เรียนสูงที่สุด และมีงานประจำทำ วันนี้เธอเป็นหัวหน้าแผนก ในโรงงานแห่งหนึ่ง หากลุงขาวและป้าคำแก้วยังมีชีวิตอยู่ แกคงดีใจภูมิใจไม่น้อย ที่ลูกสาวคนเล็กมีหน้าที่การงานที่ดี มีรายได้ดี และแกคงน่าจะได้บอกบังอรว่า

      "หากไม่มี อ.ขลุ่ยแล้ว พ่อคงไม่ยอมให้แก ไปเรียนหนังสือ อย่างแน่นอน "
                
        ผมสามารถปั้นเธอขึ้นมาได้ แค่ปุยเมฆ แค่นี้..ก็ภูมิใจแล้ว. ปุยเมฆก้อนนี้ ก็ทำให้ครอบครัวของเขา อยู่ดีมีสุขและอบอุ่น… 
                                                   ยินดีด้วยนะ ..บังอร

                                              ขลุ่ย   บ้านข่อย 
                                                    ( ๘  ตค  . ๒๕๖๕)
     



     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×