เพื่อให้ได้ดาวมาประดับบนบ่า
จากทีเคยล้อเลียนตำรจ ต่อมาเขาก็มาเป็นเสียเอง
ผู้เข้าชมรวม
87
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เพื่อให้ได้ดาว.. มาประดับบนบ่า
ถึงสูงศักดิ์ อัครฐานสักปานไหน ถึงวิไลเลิศฟ้าสง่าศรี
ถึงฉลาดเก่งกล้าปัญญาดี ถ้าไม่มีคุณธรรมก็ต่ำคน
คำกลอน ที่ผมนำประกอบเรื่องนี้ เป็นพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ ๕ เพื่อเป็นการเตือนสติ..ให้เพื่อนๆ น้องๆและลูกศิษย์ ที่รับราชการได้ย้อนกลับมาทบทวน บทบาทหน้าที่ของตนมากกว่า เรื่อง..ยศถาบรรดาศักดิ์ ที่คนส่วนใหญ่อยากได้ อยากมี และอยากเป็น.แต่ไร้คุณธรรม.ก็ต่ำคน พูดถึงข่าวคราวเรื่องการซื้อขายยศตำแหน่ง ในทุกวงการ มีลือหนาหูเสมอๆ ไม่ไกลไปจากตัวผมมากนักก็คือ ในที่ทำงานของผมเอง เพื่อนๆร่วมงานของผมหลายคน ได้ดิบได้ดี เพราะใช้เงินซื้อตำแหน่ง
ในการบริหารงานบุคคล ถือว่าเป็นหัวใจของการบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นราชการพลเรือน ราชการตำรวจ หรือราชการทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงที่มีการโยกย้ายหรือการเลื่อนตำแหน่งนั้น ถือว่าเป็นหนทางของการเข้าสู่อำนาจ หากข้าราชการตำรวจกระทำการวิ่งเต้นและใช้เงินซื้อตำแหน่งแล้ว ย่อมทำให้ต้นธารของกระบวน การยุติธรรมบิดเบี้ยวโสมม และไม่อาจนำไปสู่ความยุติธรรมในสังคมได้ เมื่อสังคมปราศจากความยุติธรรม ความสามัคคีในสังคมก็ยากที่จะเกิด
ย้อนกลับไปสมัย เมื่อผมเป็นเด็กชั้นประถม ครั้งเรียนวิชาลูกเสือสำรองตอน ป.3- 4 ผมใฝ่ฝัน อยากจะได้ดาวมาติดหน้าหมวกลูกเสือ.เพราะดูแล้วเท่ห์..ผมจึงพยายามตั้งใจเรียน..ฝึกภาคสนาม สอบข้อเขียนและได้สอบผ่านเกณฑ์ที่กำหนด. แล้วในที่สุด.ผม และเพื่อนๆที่เรียนวิชาลูกเสือสำรอง ก็ได้ติดดาวที่หมวกสมใจอยาก..ตอนป.3 ผมได้ติดดาว 1 ดวง ตอนป.4 ได้ติดอีก1 ดวงรวมเป็น 2 ดวง ทุกวันพฤหัสบดี ที่มีการแต่งเครื่องแบบ หลังจากผมแต่งเครื่องแบบมายืนส่องที่หน้ากระจก ..ดูแล้วมันเท่ห์ไม่เบา.. นอกจากจะได้ดาวมาติดหมวกแล้ว ผมยังอยากได้อาร์มมาประดับหน้าอก- ไหล่ จึงต้องพยายามทำกิจกรรมต่างๆให้ผ่านตามเกณฑ์ที่ครูกำหนด
ความใฝ่ฝันของผมในช่วงการเรียนในระดับมัธยม เคยฝันอยากจะเป็นนายอำเภอ. .เป็นเพราะช่วงในวัยเด็กผม เห็นคนทั้งอำเภอให้การต้อนรับนายอำเภอและคุณนายอย่างดียิ่ง เวลามีงานใดๆ จะเห็นนายอำเภอคือคนแรกที่ต้องมาพูดมาปราศรัย ช่วงจะเรียนมหาวิทยาลัย ผมมีทางเลือกที่จะเดินบนเส้นทางข้าราชการอยู่ 2 สาย คือมหาดไทย กับกระทรวงเกษตร เพราะในเวลาเดียวกันนั้น ผมได้เรียนคณะรัฐศาสตร์ และคณะเกษตรไปพร้อมๆกัน แต่วิีถีชีวิตของผม ต้องมาเป็นอาจารย์สอนที่วิทยาลัยด้านการเกษตรที่ลำปาง
ช่วงที่ผมเป็นอาจารย์.ผมมักจะออกไปสัมผัสกับนศ.โดยตรง หอพักแถวหลังวัดและทุกหอพักในละแวกวิทยา ลัย ผมได้ไปเยี่ยม ไปนั่งกินข้าวกินเหล้ากับนศ.มาหมด นี่คืองานมวลชนกับน้องๆที่เป็นลูกศิษย์ ด้วยวัยที่ห่างจากพวกเขาเพียง 2-4 ปีเท่านั้น การที่ผมได้ออกมาเยี่ยมนศ.ตามหอพัก โดยการสัมผัสทางตรง ทำให้ผมกับนศ. มีความสนิทชิดใกล้ ไม่มีช่องว่างระหว่างวัย ในการสื่อสารอันเป็นอุปสรรคขวางกั้น ผมคิดเสมอว่า ผมมีความจริงใจ บริสุทธิ์ใจ..กาลเวลา.จะเป็นเครื่องพิสูจน์คนว่า ผมเป็นคนอย่างไรแรกๆส่วนใหญ่ นศ. จะมองผมว่า ผมคงถูกอาจารย์ ในฝ่ายกิจการนศ.ให้มาหาข่าว ว่านศ. ทำอะไรกันบ้าง. จากสัปดาห์เป็นเดือน เป็นเทอม..เป็นปี ผมยังคงเสมอต้นเสมอปลาย ในการพบปะเยี่ยมเยียนกินข้าวด้วยกันเฮฮาด้วยกัน นานเข้าพวกเขาจึงไว้วางใจและเคารพผมเสมือน พี่ชาย เมื่อมีปัญหาใดๆเขาจึงมักมาขอคำแนะนำปรึกษา และผมก็จะให้คำแนะนำไปในทางสร้างสรรค์ บริเวณหอพักข้างวัด ที่บ้านเจ๊แปงลูกลุงเย็นคนงานประจำแผนกเนิสเซอรรี่ จะมีนักศึกษามากินข้าวและผูกปินโตที่บ้านของเธอ ในเวลาหกโมงเย็นทุกวัน
เจ๊แปง เป็นคนขาว สวยหุ่นดี อายุของเธอขณะนั้นประมาณ 20 ต้นๆ นศ.ที่เป็นลูกค้าบางคน ได้จีบเธอถึงขั้นสนิทกันดังกับคู่รัก พ่อของแปงคือลุงเย็นเป็นคนเฉยๆ ดื่มเหล้าบ้าง บ่อยๆครั้ง ผมมีโอกาสนั่งคุยกับลุง ดูเขาเป็นคนธรรมมะ ธรรมโม ใจเย็น ชอบเข้าวัดทำบุญ จากที่ผมมานั่งบ้านลุงเย็นหลายครั้ง. ได้สังเกต เห็นว่ามี นศ.คนหนึ่ง คือ ศุกร์สิน ซึ่งพักอาศัยอยู่ข้างๆวัด ดูเหมือนสีหน้าออกวิตกกังวล เขามารับเอากับข้าวไปกินที่หอพักทั้งสามมื้อ ศุกร์สินเป็นคนภาคเหนือ บุคลิกของเขาคือเป็นคนพูดน้อย สูง ขาว มีไฝใต้คาง วันหนึ่งที่เขาเจอกับผมระหว่างทาง มีอาการ มึนเมาสุราเล็กน้อย เขาจึงกล้าทักทายผม ด้วยการยกมือไหว้
“สวัสดีครับ อาจารย์ “
“สวัสดีสฺิน. เป็นไงบ้าง ครับ” ผมรับไหว้แล้วตอบรับคำทักทายจากเขา ด้วยพูดชื่อย่อสั้นๆ
"ผมกำลังจะมาเอากับข้าวบ้านเจ๊แปงครับ ผมขอเชิญอาจารย์ ร่วมแวะกินข้าวที่ตูบผม สักมื้อนะครับ “
“ยินดีครับ ผมอยากไปเยี่ยมกระท่อ มที่เราพัก ตั้งนานแล้วล่ะ “
เขาเดินนำหน้าผม แล้วมุ่งหน้ามาที่บ้านเจ๊แปง เพื่อแวะเอากับข้าว โดยมีผมเดินตามมาเป็นเพื่อน จากนั้นเขาก็พาผมมาที่หอพักมุงหญ้งคาที่เขาเช่าชาวบ้านอยู่ บริเวณหอพักมีชานบ้าน ยื่นออกมาพอประมาณ. ภายในกระท่อม (ตูบ) ที่ศุกร์สินพักดูเรียบง่าย ใต้ถุนพื้นเรือนมีจักรยานคันใหญ่ๆจอดไว้หนี่งคัน ศุกร์สินมีไว้ใช้ขี่ไปวิทยาลัยฯ เมื่อขึ้นบันไดหอพักแล้ว เขาเดินไปหยิบจาน ชาม ช้อนที่มุมห้องอีกด้านหนึ่ง เมื่อแกะถุงกับข้าวแล้ว ก็เทลงในชาม กับข้าวมื้อเย็นมี 2 อย่างคือแกงหยวกกล้วย กับตำขนุน สำหรับกับข้าวทั้งสองอย่าง ที่เจ๊แปงทำจำหน่ายให้กับนศ. ใช้วัตถุ ดิบ ราคาไม่แพง กล้วยหนึ่งต้น (หยวกกล้วย)สามารถทำแกงหยวกได้เป็นหม้อๆ ขนุน..ที่มาทำยำขนุน ก็หาได้ไม่ยากเมื่อถึงฤดูกาลของมัน แม้ผมจะยังไม่คุ้นรสชาติอาหารเมืองเหนือ แต่ก็ต้องกินให้ดูว่า อาหารอร่อยมาก. ศุกร์สินมีข้าวนึ่ง ที่นึ่งเองไว้ตั้งแต่เช้า ใส่ในแอ๊บข้าวที่สานจากไม้ไผ่วางไว้ตรงกลางระหว่างที่ผมและเขานั่ง
“เป็นยังไงบ้างครับ อาจารย์ ลำก่อครับ อาหารทางเหนือ เคยกินมั๊ยครับ”
“ไม่เคยกินมาก่อน แต่พอกินได้ครับ อีกหน่อยคงชินไปเอง”
แม้เขาจะมีอาการมึนเมาเหล้าบ้าง แต่จะอย่างไร ผมก็มองว่าเขา ยังเป็นคนที่ค่อนข้างพูดน้อยเหมือนเดิม ขณะที่กินข้าวกันไป ผมก็ได้ถามไถ่ สารทุกข์สุกดิบ เรื่องการเล่าเรียน ผลการเรียน มีปัญหาอะไรบ้าง และมีปัญหาอะไรที่จะให้ผมช่วยเหลือได้บ้าง
“อาจารย์ครับ ผมค่อนข้างเครียดมากเลยครับ ตอนนี้ใกล้สอบแล้ว “
“เป็นไง เหรอ”
. “ดูหนังสือสอบไม่ทัน อาจารย์บางคนสอนเร็ว เรียนไม่รู้เรื่อง เกรดเฉลี่ยผมไม่ถึง 2 ผมกลัวโดนรีไทร์ ครับ “
“เอาน่า. อาจารย์จะช่วยเหลือเรื่องเกรด ในวิชาที่อาจารย์สอนก็แล้วกัน ส่วนวิชาอื่นๆเราต้องพยายามขยันดูหนังสือให้มากขึ้นอีกนิด พยายามอย่าให้ติด F ก็แล้วกัน”
“ครับ ผมจะพยายามตั้งใจฟังอาจารย์ ที่สอนในชั้นเรียน หากติดขัดและมีอะไรไม่เข้าใจ ผมจะมาสอบถามอาจารย์ “
หลังจากได้พูดคุยกับเขาในคืนวันดังกล่าวแล้ว ท่าทีของเขาดูจะมีความมั่นอกมั่นใจมากขึ้น. ภาพครั้งหนึ่งที่ผมประทับใจศุกร์สินอย่างมากคือตอนที่เขาเรียนอยู่ปีสุดท้าย เขายอมที่จะแต่งตัวเป็นตำรวจในงานกีฬาสี ซึ่งปีนั้นนศ.ได้จัดขบวนแห่รอบเมือง ขบวนแห่ของนศ มีการแต่งชุดแฟนซีล้อเลียนสังคม เหมือนกิจกรรมกีฬาฟุตบอลประเพณี จุฬา –ธรรมศาสตร์
ศุกร์สิน ได้ยืมกางเกงสีกากีของคนรู้จักมาใส่ เขาใส่เสื้อยืดคอกลมสีขาว และใส่รองเท้าบูทที่เคยเรียนรด. ในขบวนแห่ มีคนแต่งกายเป็นชาวนา เป็นข้าราชการ เป็นนักธุรกิจ เป็นขอทาน ฯลฯ ในขบวนแห่ ศุกร์สิน ยอมลงทุนที่จะแบกคันไถ ในมืออีกด้านก็ถือเตารีด เพื่อสื่อสารให้ชาวบ้านร้านตลาดแปลความหมายว่าในสังคมไทยยังมีข้าราช การ ประ พฤติ - ปฎิบัติตน รีดไถประชาชนอยู่ นับเป็นการกล้าแสดงออกของเยาวชนที่ต้องการนำเสนอออกมา.. ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ระยะหลังๆมีเพื่อนในเมืองมารับผมเข้าเมืองบ่อยๆ ผมจึงไม่ค่อยได้เจอศุกร์สิน แต่.ในที่สุด ศุกร์สินก็สำเร็จการศึกษาได้.อย่างหวุดหวิด
อีก10 ปีต่อมา..เมื่อผมต้องไปหาเพื่อนนายตำรวจที่เรียนในระดับปริญญาโทด้วยกัน ที่กองบังคับการตำรวจ เพื่อพูดคุยธุระเรื่องงานวิจัย เนื่องจากผมไม่เคยมาที่นี่มาก่อนเลย ผมจึงเดินไปที่ป้อมยาม.เพื่อสอบถามหาที่นั่ง ที่ทำงานของเพื่อนที่เป็นนายตำรวจ
“ขอโทษครับ ผมต้องการมาขอพบพตท.ธวัธชัย พอจะทราบมั้ยครับ ว่าเขานั่งตรงไหน.ชั้นไหนครับ ““ ผมพูด กับพลตำรวจคนหนึ่ง ที่กำลังปฎิบัติหน้าที่ซึ่งพอมองแล้ว เหมือนจะเคยคุ้นหน้ามาก่อน
“ชั้นสามห้องแรก ครับ”เขาพูดพลางชี้ไปยังจุดหมาย ด้วยผมต้องเร่งรีบจึงไม่ได้ดูป้ายชื่อที่หน้าอกด้านซ้ายของเขา แต่ในขณะเดินไปก็คิดพลางว่า
“ พลตำรวจคนนี้ เหมือนเรา เคยคุ้นหน้าเขาอย่างมากเลย”
เมื่อเสร็จจากธุระ ผมก็เดินกลับมาเอา จยย. ที่ผมขี่มา กลับที่ทำงาน .เมื่อมองเข้าไปในป้อมก็ไม่เห็นเขาแล้ว.. ต่อมาอีกหลายครั้ง ที่ผมมาหาเพื่อนนายตำรวจ.. ผมได้บอกกับสารวัตรธวัธชัยเพื่อนใหม่ของผมว่าผมเห็นพลตำรวจคนหนึ่งหน้าตาคล้ายลูกศิษย์ผมมากเลยแต่ผม งง มากว่า..ทำไมลูกศิษย์ผมคนนี้ เขาจำผมไม่ได้ ผมพยายามมองโลกในแง่ดีว่า เขาอาจจะจำผม ไม่ได้จริงๆก็ได้
***********************************************************************************
เวลาผ่านมาอีก 2- 3 ปี.ในขณะที่วันหนึ่งผมขี่จักรยานยนต์จะกลับมาบ้านที่ห้วยยางนา ตรงบริเวณบ้านสวนใกล้บ้าน วังหน้าก็เห็นตำรวจจราจรรูปร่างสูง มีไฝใต้คาง เขาสวมเครื่องแบบเต็มยศ ยืนอยู่คนเดียวและโบกรถให้ผมจอด.. ผมให้ความร่วมมืกับเขาทุกอย่าง เมื่อรถจอดสนิทแล้ว ผมเห็นชัดเจนว่าตำรวจคนนี้เราเคยเห็นที่หน้าป้อมตำรวจที่กองบัญชา การตำรวจในเมืองเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว
“ขอดูใบขับขี่หน่อยครับ ทำงานที่ไหน ”พลตำรวจถาม
"วิทยาลัยเกษตรครับ หมู่มาเป็นตำรวจที่นี่ ได้กี่ปีแล้วครับ “ ผมตอบและถามเขากลับไป
"เพิ่งย้ายมาที่สถานีนี้ ได้ยังไม่ถึงปี “เขาตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เขาเดินเข้ามาที่รถของผม สำรวจดูป้ายภาษีกระจกรถและดูว่าผมสวมหมวกนิรภัยหรือไม่..เขาดูจนพอใจแล้ว จากนั้น เขาก็ตะเบ๊ะ.ทำความเคารพ . แล้วโบกมือให้รถของผมเคลื่อนที่ได้.. ผมมองไปที่ป้ายชื่อเขาพลางนึก.ชื่อหมู่..คนนี้ไม่ใช่ คนที่เราเคยรู้จักมาก่อนเลยแต่นามสกุลยังคงเหมือนเดิม .. หน่้าตาเขาคนนี้ มันเหมือนนายศุกร์สิน ยังกับแกะ ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า ต้องใช่เขาแน่นอน..แต่เขาคงอาจจะเปลี่ยนชื่อก็ได้ ผมเก็บความสงสัยเรื่องนี้อยู่นานปี จนมาเจอเพื่อนร่วมรุ่นของศุกร์สิน
" พจน์ อาจารย์อยากถามหน่อยนะ ว่า เจ้าศุกร์สิน มันเป็นตำรวจ หรือเปล่า ดูเหมือนอาทิตย์ที่แล้ว เขามาโบกรถ เพื่อขอตรวจใบขับขี่ผม “
“ใช่แล้ว ครับอาจารย์ ไอ้สินมันย้ายมาลงที่สถานีตำรวจบ้านเรา ตอนนี้มันเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น"สงคราม "แล้วครับ “
“อ้อ.นั่นสิ.ผมยังงงจนวันนี้ ดูเขานิสัยเปลี่ยนไปนะ” ผมแย็ปด้วยคำถามที่อยากรู้ ว่าพจน์จะตอบอย่างไร
“เพื่อนๆผมส่วนใหญ่ ก็บอกว่ามันเปลี่ยนไปมาก.ไอ้ห่านี่ เดี๋ยวนี้ ไม่เหมือนก่อน มันหัวสูง ผมชวนมันกินเหล้าเถื่อน มันบอกคนอย่างกู.กินไม่ได้ “ ..
ผมพยักหน้ารับทราบ จากนั้นพจน์ก็พูดเพิ่มเติมอีกว่า
“พอมันเรียนจบปวส. แล้วมันก็ไปเรียนที่รร.ตำรวจภูธร จากนั้นเขาก็บรรจุมันอยู่ในเมือง มันทำเรื่องขอย้ายมาอยู่ที่สภ.ที่นี่ เพราะเมียมันเป็นครูสอนที่รร.ในพื้นที่แถวนี้นายจึงอนุมัติให้ ”
“เขาเคยมาหาพจน์ที่บ้านเหรอ “ ผมถาม
“ใช่ครับ มันมาหาผมที่ไร มันก็ขอให้ผมซื้อเหล้าฝรั่งมาเลี้ยง ผมก็จำต้องซื้อเหล้ามาเลี้ยงมันเพราะความสนิทสนมกันนั่นเอง”
“นี่มันบอกกับผมว่า ขอให้ผมช่วยไปเป็นคนค้ำประกันซื้อรถยนต์คันใหม่ให้เมีย ผมก็จำต้องไปค้ำประกันให้มัน มันเคยมาขอกู้เงินผม ผมบอกกับมันว่ากูไม่มี. เพราะกูทำธุรกิจ ต้องใช้เงินหมุนเวียน “
“เขาต้องการเอาเงินไปทำอะไร”ผมถามเพราะความอยากรู้
"มันเคยบอกกับผมว่า มันอยากจะไปสอบเป็นนายตำรวจสัญญาบัตร เพื่อมีดาวมาประดับบนบ่า จำเป็นต้องใช้เงินเพื่อติวเพื่อวิ่งเต้นให้คนช่วยเหลือ ผมบอกกับมันว่า ต่อให้มึงมีเงินวิ่งเต้นเป็นแสนๆแต่มึงเส้นเล็ก มึงก็ไม่มีสิทธิ์ที่ ติดดาวบนบ่า ผมพูดกับมันตรงๆ อย่างนี้ คืนนั้นมันโกรธผม และผละออกจากวงเหล้าทันที จนไม่เข้าบ้านผมหลายเดือน..”
นี่คือเหตุการณ์ ที่ผมได้รับรู้ด้วยตนเองและคำบอกเล่าของเพื่อนสนิทของศุกร์สิน ที่บอกถึงพฤติกรรมของเขา ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้กับคนที่เคยล้อเลียนตำรวจมาก่อน แต่นี่ยังไม่ใช่บทพิสูจน์ ว่าศุกร์สินเป็นคนไม่ดี. เมื่อวันหนึ่ง ที่ผมกำลังสอนช่วงบ่ายดูเหมือนว่าจะมีนักศึกษาขาดหายไปเกือบ15 คนที่ยังไม่เข้าชั้นเรียน.. ผมรออยู่ครู่หนึ่ง จึงมีนักศึกษาค่อยๆ ทะยอยเข้าชั้นเรียน
“ขออนุญาตเข้าชั้นเรียนครับ ขออนุญาตเข้าชั้นเรียน ค่ะ “
ผมเดาได้เลยทันทีเลยว่าไอ้สงครามชื่อที่เขาเปลี่ยนใหม่ที่เป็นรุ่นพี่นศ.ในปัจจุบัน ทำเหตุกับรุ่นน้องๆ ของเขาอย่างแน่นอน
ก่อนหน้าที่ผมเคยสอนลูกศิษย์รุ่นพี่ๆของนศ.รุ่นนี้ ผมยังเคยชื่นชมศุกร์สินว่าเขาเป็นตำรวจน้ำดี ปฎิบัติหน้าที่โดยไม่เลือกปฎิบัติ.. เมื่อเขาเจอผมที่เป็นอาจารย์เขาเอง เขายังเรียกเพื่อตรวจสอบวินัยจราจร ผมยังเคยบอกกับลูกศิษย์รุ่นก่อนว่า
“หากอาจารย์ทำผิด ก็ต้องดำเนินการ.. ไม่มีการยกเว้น ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก ผมจะไม่มีการใช้อภิสิทธิ์ใดๆทั้งสิ้น ”
*******************************************************************************************
ผมบอกกับลูกศิษย์ที่ถูกสงครามกักตัวในวันนั้นว่า..
“ นายดาบสงครามหรือศุกร์สินเขาเป็นรุ่นพี่ ที่เคยเรียนที่สถาบันนี้มาก่อน อาจารย์เคยสอนเคยช่วยเหลือเขา ในช่วงที่เขาเคยเกิดวิกฤตที่จะไม่จบการศึกษา แต่.วันนี้ เขาสามารถหาเงินบนหลังคน โดยเฉพาะการหากินกับน้องๆ ที่เป็นรุ่นลูกรุ่นหลานได้โดยไร้ความละอายหนำซ้ำยัง กล้าที่จะรีดไถประชาชนที่เป็นเกษตรกรอีก..
ผมมักเห็นนายดาบสงคราม ตั้งด่านตรวจจับใบขับขี่คนเดียวเสมอ .ทราบว่า ในแต่ละวัน ที่เขาตรวจจับ กวดขันวินัยจราจร พรบ.ขนส่งทางบก วันหนึ่งๆเขาได้ค่าปรับที่ไม่ต้องเขียนใบเสร็จ ไม่ต่ำวันละพันบาท .. นี่เอง.ภริยาเขาที่เป็นครูในโรงเรียนชนบท จึงมีรถเก๋งป้ายแดงขับอวดเพื่อนครูได้. ชีวิตครอบครัวของเขาวันนี้ สุขสบาย.กว่าแต่ก่อนมาก ผมได้ยินนักศึกษาในมหาวิทยาลัยบ่นให้ฟังว่ าไอ้ดาบตำรวจจราจร จอมรีดไถ.. เมื่อไหร่มันจะถูกย้าย ไปพ้นๆจากสถานีตำรวจ ที่นี่เสียที . เพราะเมื่อไหร่เจอมัน จะต้องถูกรีดเงิน ทุกครั้ง..ตั้งแต่ 20 บาท - 200 บาท
ผมสะอึกกับคำพูดของนศ รุ่นลูกๆ ที่พูดกับเขา.อย่างโกรธแค้น.. ต่อมาเกิดการร้องเรียน หรืออย่างไรไม่อาจทราบได้ วันนี้เขาจึงถูกย้ายมาอยู่ในเมือง ความฝัน ที่เขาอยากได้ดาวมาประดับบนบ่า วันนี้คงสมใจเแล้ว. เพราะเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน ผมได้เห็นเขายืนทำหน้าที่อำนวยความสะดวก ให้กับประชาชน จากที่เคยเห็นดาบไขว้คู่ของเขาในอดีต
วันนี้ ได้มีดาวมาประดับบนบ่า ข้างละดวงแล้ว ดีใจด้วยครับหมวดสงคราม
ขลุ่ย บ้านข่อย
( ๗ -๑๐- ๒๕๖๕)
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย
ความคิดเห็น