มันอยู่ในโลง - มันอยู่ในโลง นิยาย มันอยู่ในโลง : Dek-D.com - Writer

    มันอยู่ในโลง

    ปกติจะไปช่วยงานศพ งานนี้ขณะกำลังจะเอียงโลงศพ พระที่กำลังสวดพระอภิธรรม ต้องห้าม.. .ไว้

    ผู้เข้าชมรวม

    64

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    64

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  อื่นๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  15 ก.ย. 65 / 09:13 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

                                                     มัน..อยู่ในโลง

              คนเราจะยากดีมีจน  ทุกคนย่อมหนีความตายไปไม่พ้น  นี่คือ…. . เครื่องสะท้อนสัจธรรมของมนุษย์อย่างแท้จริง บทเพลง เพลงหนึ่งชื่อเพลงสัปเหร่อซึ่งครูไพบูลย์ บุตรขันธ์ ได้ประพันธ์เอาไว้เนื้อเพลงตอนหนึ่งได้กล่าวว่า “ทุกคนไม่พ้ที่เชิงตะกอน เหลือตัวล่อนจ้อน ที่หลับที่นอนเหมือนกันคือโลง ”

             จากประสบการณ์ของผม ได้เห็นชีวิตของเพื่อนร่วมโลกที่มี คนเกิดแก่เจ็บตาย  ตัวผมเองก็เคยผ่านประสบการณ์ความทุกข์ยากลำบากแสนเข็ญ จำได้ว่าเคยไปซื้อข้าวปลาย ที่เขาซื้อไว้ให้ไก่กินที่ร้านป้าน้อยครั้งละลิตร เวลานำมาหุงกินนีเล๊ะๆแหยะๆเหนียวๆชอบกล บ้านที่แม่ผมเช่าบริเวณตลาดในที่ตำบลอรัญฯมีห้องแถวยาวติดกันสักยี่สิบห้อง    ห่างจากบ้านผมไปสักสี่ร้อยเมตรมีวัดหลวงเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในเขตเทศบาลตำบลอรัญ    วัด คือสถานที่ประกอบศาสนกิจ เกือบทุกอย่าง ใครจะตั้งชื่อลูก ดูฤกษ์ ดูยามวันเกิด วันแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ ต้องไปอาศัยให้หลวงพ่อช่วยดูฤกษ์ดูยาม    ที่สำคัญกว่านั้น คือการตายของคนที่จะต้องทำพิธีกรรม วัดจะทำหน้าที่ให้ทุกขั้นตอนจนถึงขั้นการฌาปนกิจ (เผา)

             ในสังคมเมืองอรัญฯ เมื่อตอนที่ผมอยู่ช่วงวัยเด็ก พอมีข่าวใครเกิด ใครแต่งงาน ใครตายจะรู้ไปทั่วเมือง ครั้งที่ผมไปรับศพไอ้เล็ก ผมได้ไปกับรถมูลนิ ธิสว่างเที่ยงธรรมในรถมีเพียงเราเพียงสามคนคือคนขับรถ มีผมและพี่ชายไอ้เล็กหลังจาก เจ้าหน้าที่ทำความสะอาดชำระล้างศพไอ้เล็กแล้ว พี่ชายของไอ้เล็กก็ไปเซ็นรับศพออกจากโรงพยาบาล      ศพได้ถูกยกมาจากห้องดับจิต ซึ่งห่อด้วยผ้าขาว จากนั้นเจ้าหน้าที่ ได้นำศพไอ้เล็กมาวางลงที่เสื่อบนรถของมูลนิธิ   ศพไอ้เล็กถูกวางยาวขนานไปกับตัวรถ จากอำเภอสระแก้วมาอรัญ มีระยะทางห้าสิบกิโลเมตรพอดี รถได้เคลื่อนตัวมาอย่างช้าๆ ความเร็วเฉลี่ยหกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้วยเพราะเป็นทางลูกรังเป็นหลุมเป็นบ่อตลอดทาง โชเฟอร์จึงมิได้ขับรถเร็วนัก

             บริเวณด้านหลังรถที่เอาศพไอ้เล็กวาง แรกๆไฟในรถยังเปิดสว่างเป็นปกติดี ตอนนั้นผมไม่ได้นึกไม่ได้คิดอะไร ในใจนึกว่าเราไปรับศพเพื่อน  เขาคงไม่อุตริมาแกล้งมาหยอกล้ออะไร เวลาล่วงผ่านมาอีกสิบห้านาที เพราะแรงสะเทือนของรถศพที่วางไว้แนวตรงเก้าสิบองศา พอกระเทือนบ่อยๆ ศพมันเลยเอียงเข้ามาตัวคนนั่งเฝ้าศพ ทั้งไฟในรถ ยังดับอีกต่างหาก เล่นเอาหัวใจผม แทบหยุดเต้นเพราะความกลัว  

            ******************************************************************************

             เมื่อผมได้มาทำงานที่ลำปาง หลายๆครั้ง เมื่อผมมาร่วมงานศพของชาวบ้าน  เห็นเจ้าภาพจะเขียนชื่อผู้ล่วงลับไว้ข้างโลงศพทั้งสองด้าน  เพื่อบอกให้รู้ว่าคนตายชื่ออะไร เกิดเมื่อไหร่ ตายเมื่อไหร่ ด้วยที่ผมทำงานมวลชน ชอบช่วยเหลืองานชาวบ้าน เมื่อเห็นว่าเจ้าภาพมีงานยุ่งๆ กับการต้อนรับขับสู้กับแขก ต้องเตรียมงานอื่นๆอีกมากมาย   เพื่อเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระเจ้าภาพ ผมก็เลยรับอาสาทำงานที่เจ้าภาพนึกอะไรไม่ออก ลำดับแรก เมื่อผมไปร่วมงานศพ  ผมจะสอบถาม เรื่องรูปภาพที่ต้องมาติดตั้งหน้าศพเพื่อให้แขกไหว้รูปของผู้ล่วงลับ ว่ามีหรือยัง   ได้ติดต่อโลงศพหรือมีประสาทหรือยัง  งานศพครั้งนี้ จะทำอาหารอะไรเลี้ยงแขกบ้างมีพิธีกรนำพระสวดและนิมนต์พระหรือยัง   

             “เจ้าภาพจะให้ผมช่วยเหลืออะไร ไม่ต้องเกรงใจนะ ผมยินดีช่วยเหลือเต็มที่ ”  ผมบอกกับเจ้าภาพทุกๆงาน ที่ผมไปร่วมช่วยเหลือ

             งานศพของคนจนๆที่ต้องการมีภาพไว้เป็นที่ระลึก ผมจะอาสาเป็นช่างภาพและถ่ายภาพให้ตลอดงาน ฟรีทุกอย่าง  การมาร่วมงานศพ ผมคิดว่ามันมีความสุขที่ได้พบปะผู้คน ส่วนใหญ่ชาวบ้านเกือบทุกหมู่บ้าน เขาจะให้ความเคารพนับถือผม  สิ่งที่ผมไม่อยากจะถ่ายภาพเลยในงานศพคือตอนที่จะเผาศพ เพราะเขามักจะเรียกลูกๆหลานๆ ไปดูสังขาร ดูหน้าตาผู้ล่วงลับเป็นครั้งสุดท้าย เก้าในสิบครั้งเจ้าภาพจะขอร้องให้ผมช่วยถ่ายภาพคนตายไว้เป็นครั้งสุดท้ายด้วยเช่นกัน

             “อาจารย์ เจ๊า ช่วยถ่ายภาพแม่ของข้าเจ้า ไว้ให้ด้วย  ”

              “ครับ ”ผมตอบและไม่กล้าปฎิเสธ

             ผมจึงต้องตกในภาวะจำยอม ต้องถ่ายภาพให้ ศพบางศพน่ากลัวมาก อีกทั้งมีกลิ่นเหม็นด้วย ทุกครั้งพอเปิดฝาโลง  ลูกๆ หลานๆที่เห็นศพ ต่างร้องระงมเซ็งแซ่มันเศร้าสะเทือนใจไม่น้อย  ผมก็ต้องพลอยได้เห็นบรรยากาศสะเทือนใจไปด้วยทุกครั้ง  โลงศพของชาวบ้านผมจะเขียนชื่อ -นามสกุล วันชาตะและมรณะให้ทั้งสองด้านเพื่อจะได้รู้ว่าเป็นศพของใคร โดยปกติช่วงเขียนชื่อข้างโลงศพให้ชาวบ้าน  ส่วนใหญ่ผมจะเขียนไว้ก่อนล่วงหน้า  ก่อนจะนำศพบรรจุลงในโลง เมื่อหลังเสร็จจากพิธีสวดพิธีถอนดวงวิญญาญแล้ว โลงศพจึงถูกนำขึ้นปราสาทอีกครั้ง    

                                              ***************************************       

             ในวันหนึ่งที่ร้านขายขนมจีน ขณะที่ผมนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ได้พบลุงรัล ผู้อาวุโสในหมู่บ้าน เขาได้เอ่ยปากขึ้นมาว่า 

            "อาจารย์ครับ ผมขอเชิญอาจารย์ไปร่วมงานศพ นายแดงหน่อยสิ " ลุงรัล พูด

            “งานศพอยู่ที่ไหน ”ผมสอบถาม

     " โน่นไง .ที่บ้านหลังต่ำๆ" ลุงรัลตอบ พลางชี้ไปทางด้านใต้ของร้านค้า

              ผมมองไป.เห็นมีคนอยู่ประปรายไม่ถึงสิบคน พลางคิดในใจทำไมงานศพ.มันจึงเงียบจัง คุยไปคุยมาพอจับประเด็นได้ว่าคนตายคนนี้  เป็นคนที่บ้านห้วยยางนา ไปทำงานกรุงเทพได้ถูกไฟฟ้าดูดจนเสียชีวิต ญาติพี่น้องก็ไม่ค่อยมี     ยากจนอีกต่างหากไม่มีเงินที่จะซื้อโลงศพ  ศพได้ถูกแช่ในตู้เย็นของวัดมาแล้วสามคืน    วันนี้เป็นวันที่ต้องเอาโลงศพลงประสาเมื่อญาติคนตายไม่มีเงินซื้อโลงศพ ชาวบ้านจึงช่วยกันเรี่ยรายให้ แต่เงินก็ยังไม่พอที่จะซื้อโลงบรรจุศพอยู่ดี  จนทางวัดได้อนุเคราะห์ซื้อให้และได้สั่งโลงมา จวนเจียนที่จะเอาศพลง  หลังจากผมรับปากกับลุงจรัลแล้ว… พอถึงใกล้เวลาเอาศพลง  ผมจึงเตรียมอุปกรณ์เขียนโลงศพซึ่งมี ภู่กัน สีพลาสติคสีดำ ไม้บรรทัด แอลกอฮอล์, เมื่อมาถึงงานศพแล้ว ผมเห็นชาวบ้านกำลังนั่งพนมมือและฟังพระสวดพระอภิธรรม 

              ผมมาที่หลังกว่าใครๆ จึงคิดไปว่าศพยังคงอยู่ในตู้แช่เหมือนศพคนอื่นๆ เมื่อเห็นโลงศพตั้งอยู่ใกล้ผนังห้อง   ผมจึงบอกชาวบ้านให้ช่วยขยับตัวออกไปเพื่อ ผมจะได้นั่งเขียนโลงศพได้ถนัดๆ ทุกครั้งเวลาที่ผมจะเขียนโลงศพ ผมจะต้องเอียงโลงเพื่อมันจะได้เขียนง่ายและสีจะไม่ไหลย้อยลงด้านล่าง ผมพยายามจะเอียงโลงศพด้วยตัวผมเอง แต่วันนี้..

            “เอ๊ะ. ทำไมโลงศพวันนี้.. มันหนักผิดปกติ ” ผมนึกในใจ  

           ผมเรียกให้ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆมาช่วยเอียงโลงศพให้ ชาวบ้านก็เดินมาตามคำร้องขอเราสามคนจับโลงศพเอียงพิงข้าง ฝาห้องแต่มันหนักมากพระสงฆ์ที่ได้รับกิจนิมนต์มาคงสวดต่อไป แต่มีอยู่รูปหนึ่งบังเอิญท่านมองมาที่ผม ท่านต้องหยุดสวดทันที  แล้วให้ชาวบ้านเรียกผมไปหา ผมเดินและก้มตัวลงต่ำแล้วคลานเข้าไปหาท่านชี้มาที่โลงและพูดว่า 

             " มันอยู่ในโลงแล้ว " พระสงฆ์ พูด  

               อ้อ..ในโลงบรรจุศพไปแล้วนี่ ถึงว่ามันหนักและเหม็นมาก  ผมรับทราบ   

             “ขอให้พระสวดเสร็จก่อน พอเอาศพวางบนประสาทแล้วอาจารย์ จึงค่อยเขียนก็ได้ ”  พระสงฆ์พูดบอกกับผม ผมจึงรอเสร็จพิธีก่อน

                           ***********************************************************************    

             ขณะที่ผมเขียนข้างโลงศพมีคนมายืนดูมุงดูจนผมประหม่ามือจึงสั่นมาก.หลายคนเข้าใจว่า ผมคงกลัวผี  ยิ่งผมตั้งใจเขียน มือก็ยิ่งสั่นผมรู้สึกอายคนอย่างมากเมื่อลุงรัลเห็นสภาพผมแล้วแกจึงบอกชาวบ้านคนหนึ่งว่า 

           " ถอกเหล้าหื้อจ๊าน แก้ว " (เทเหล้าให้อาจารย์สักเป๊ก)  ลุงรัลพูด

             ผมรับแก้วเหล้ามาแล้วกระดก.. ก๊วบ  ลื่นลงคออย่างง่ายดาย  เมื่อเข้าที่แล้ว ความประหม่าเริ่มลดลง  ชาวบ้านเทมาให้อีกสองแก้วกระดกรวดเดียว โห.มือนิ่ง อักษรตรง และเขียนได้สวยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน   เสียงชื่นชม สายตาทุกคู่ มองผมอย่างฮีโร่  ผม ปลื้ม. ที่ได้ช่วยงานศพคนยากจนอีกงาน และมันอยู่ในโลงคงเป็นอุทาหรณ์ให้ผมต้องรอบคอบกว่านี้  เพราะการที่ผมไปช้า มันก็ต้องเจอแบบนี้ หลังจากผมกลับเข้ามาบ้านประมาณช่วงทุ่มเศษ เมื่อเข้ามาถึงบ้านทั้งๆ ที่บรรยา กาศโดยทั่วไปเป็นปกติ ไม่มีทีท่าว่าฟ้าฝนจะตกเพียงแค่ก้าวเข้าประตูบ้าน ผมก็ต้องสะดุ้ง 

          “โครม. ปัง”ประตูข้างบนบ้านชั้นสอง ที่แม่บ้านกำลังนั่งดูทีวี ซึ่งเปิดอยู่ก็ถูกลมกรรโชกให้ปิดลง  

           "เมามาแล้ว ละสิ  ไปหงุดหงิดใครมาถึงมาแสดงอารมณ์โกรธกับฉัน  " แม่บ้านผมพูด

           ผมงงไปกับเหตุการณ์ แต่ไม่โต้เถียงทำตัวสงบเงียบ แล้วถ่ายผ้าเตรียมอาบน้ำ ครั้นเข้าห้องน้ำไป ไม่ทันไร เสียงเคาะประตูห้องน้ำก็ดังขึ้น

           “มีอะไรเหรอ เคาะประตูทำไม” ผมตะโกน นึกในใจว่าแม่บ้านคงยังเคืองผมเมื่อครู่

           เงียบ ..หลังจากอาบน้ำเสร็จ เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจึงไปสอบถามแม่บ้านว่า เมื่อกี้เคาะประตูทำไม  เธอตอบว่า ไม่รู้เรื่อง..นั่งดูทีวีอยู่ ผมจึงหันกลับมาทบทวนเหตุการณ์ 

            อ้อ..ศพอนาถาในโลงเมื่อกี้ คงมาหยอกล้อ ผมแน่ๆ .. ผมไม่ระแคะระคายให้แม่บ้านรู้เกรงเธอจะตกใจ  จึงนิ่งเฉยเสีย

                                                   วันต่อมาเมื่อได้พบลุงรัล 

           "ไอ้แดงคนที่ตาย ได้ไปขอบคุณอาจารย์บ้างมั้ย..  มันมาขอบคุณลุงที่บ้านแล้วล่ะ จู่ๆ  คืนเอาศพลงลมก็พัดวูบอย่างแรงพร้อมกลิ่นธูปด้วย   "ลุงรัลพูด

            “อ้อ.ผมก็เจอเหมือนลุงแหละ..สงสัย เสียงเคาะประตู คงจะเป็นฝีมือไอ้แดง แน่ๆ”   ผมได้เล่าเรื่องราวที่เจอให้ลุงรัลฟัง

             "เขาคงมาขอบคุณอาจารย์ ที่ได้ช่วยเหลืองานศพเขาแน่นอน ลุงว่านะ" ลุงรัลพูด

            บ้านหลังนั้น ..ปัจจุบันกลายเป็นหอพัก ที่ไม่มีใครทราบมาก่อนว่าบ้านหลังนี้ เคยมีคนตายแบบอนาถา หากมีคนรู้ เขาจะกล้ามาเช่าอยู่หรือเปล่า ผมไม่แน่ใจ..

                                                         ขลุ่ย   บ้านข่อย

                                                       (๑๕ - ๙ -  ๖๕  )

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×