ไทรโยคแห่งความหลัง
ผู้เข้าชมรวม
124
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
ไทรโยค แห่งความหลัง
นัยนา..เป็นสาวเหนือ ที่มาเรียนที่คณะเกษตร ลาดกระบัง แม้เธอจะอยู่ในวัยเดียวกันกับผม แต่เธอกลับเรียนสูงกว่าผมไปหนึ่งชั้นปี เพียงครั้งแรกที่ผมเห็นติ๋ว ในช่วงวันฟรีเดย์ ที๋โดมริมสระน้ำ ซึ่งเป็นที่จัดกิจกรรมของคณะ นับแต่การใช้เป็นที่ซ้อมร้องเพลงเชียร์ช่วงการรับน้องใหม่เป็นที่จัดแสดงดนตรีให้พี่น้อง ในสถาบันได้ชมได้ผ่อนคลาย ใครๆ ที่เรียนในสถานศึกษาแห่งนี้ย่อมรับรู้ และเคยผ่านการมานั่งตัวเกร็งเพื่อต้องซ้อมร้องเพลงเชียร์ ทั้งยังต้องบริจาคเลือดให้ยุงกินจนอิ่มหนำจนท้องใหญ่ถึงกับบินไม่ไหวต้องนอนนิ่ง ผมได้สัมผัสและความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนกับติ๋วเพียงแค่ช่วงสั้นๆ และเมื่อเธอเรียนจบระดับปวสแล้ว จึงไปสมัครสอบบรรจุ เป็นครู สอนหนังสือที่จังหวัดลำปาง ในขณะที่นัยนาเข้าทำงานแล้ว แต่ผมยังเรียนไม่จบ. บ่อยๆ ครั้งที่ผมเหงาจึงต้องอาศัยต้นมะพร้าว ในสวนบริเวณบ้านเช่า นั่งพิงเพื่อมองแมงปอล้อคลื่น และบางครั้งก็มองลงในร่องสวน เพื่อดูฝูงปลากำลังแหวกว่ายไปมา
..............................................................................
“ นานมากแล้วสินะ ที่เราไม่มีคน เป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่ใจ ดังเหมือนก่อนที่ไอ้ติ๋ว ยังเรียนหนังสืออยู่หลายครั้งที่ เธอจะแวะมาเยี่ยมเยียนบ้าง (ผมคิดถึงเรื่องราวครั้งก่อนที่เพิ่งผ่านาไม่นาน) คราใดที่เธอมาเยี่ยม มาอ่านหนังสือที่บ้านเช่าที่ผมพัก แม้เรามิได้แนบแน่นขนาดเป็นแฟนกัน แต่หลายๆครั้ง ติ๋วก็ยอมตามใจเราบ้าง เช่น ยอมให้นอนหนุนตักผมก็ส่งสายตาออดอ้อน ขอความเห็นใจเธอขอความรัก การได้จับมือเธอมาจุมพิตเบาๆมันก็มีความสุขมากแล้ว(ผมคิด )
ไม่ว่าใคร หากอยู่คนเดียว บางครั้ง.มันอาจเหงาได้เหมือนผม ในเวลานี้
มีหลายครั้ง. ที่ติ๋ว มาปรับทุกข์ พร้อมแสดงสีหน้าเศร้าๆ จนผมก็ต้องใช้มือโอบศรีษะเธอมาแนบชิดบนอกเพื่อให้กำลังใจเธอก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร ทั้งยังยินยอมแต่โดยดี การกระทำเช่นนี้ ผมมิได้มีเจตนาที่จะ หาเศษหาเลยหรือจ้องหาจังหวะเอาเปรียบสตรีเลย
“อย่าคิดมากหากเธอไม่สบายใจอะไร ก็แวะมาที่บ้านหลังนี้เราและเพื่อนๆ ในบ้าน จะช่วยแก้และคิด หาทางแก้ไขและช่วยเหลือให้” ผมพูด
แค่เพียงติ๋ว มาเยี่ยมที่บ้าน ได้มานั่งคุยมาทำส้มตำกิน ทำกับข้าว มาร้องเพลง มากินข้าวร่วมวง มานั่งอ่านหนังสือ มานอนเล่นที่เปลญวน ผมก็มีความสุขแล้ว นี่ขนาดความสัมพันธ์ของผมเป็นแค่ตัวรอง ยังมีความสุขมากขนาดนี้ หากเป็นตัวเอกของเรื่อง มีหรือที่ผมจะไม่มีความสุขขั้นสูงสุด เพียงแค่ปีเดียว ความรู้สึกที่เราทั้งสองคน มีใจให้แก่กัน และเข้าใจกันได้ขนาดนี้ก็นับว่าเกินเป้าหมายแล้ว
........................................................................................
เมื่อก่อน สมัยที่พวกเราเรียน ในคณะเกษตร ฯ ลาดกระบัง จะมีสตรี ที่เข้าเรียนไม่ถึง10 คน ในรุ่นของติ๋ว มีเพียง 3 คนเท่านั้น คือนัยนา ไมตรี และสุนารี ... นัยนาเป็นคนลำปางไมตรีเป็นคนลำพูนและสุนารีเป็นคนกาฬสินธุ์ สุภาพสตรีที่กล้า มาเที่ยวที่บ้าน ที่เราเช่า มีเพียงนัยนาเท่านั้น ติ๋ว เป็นคนร่างเล็ก กะทัดรัด เอวบางแต่สะโพกออกจะใหญ่ หน้าตาสวย ช่างพูดช่างคุย ร่าเริง และเป็นกันเองกับเพื่อนๆ ทุกคนที่เรียนร่วมชั้น แม้ผมจะไม่ได้เรียนด้วยกับเธอเลย แต่ผมได้พึ่งพาอาศัยให้เธอช่วยทำรายงานส่งอาจารย์ อยู่เป็นระยะๆ ผมพอจะทราบอยู่บ้างว่า เธอมีคนอยู่ในใจของเธอแล้ว ที่เป็นรุ่นพี่สมัยเรียนอยู่ที่โรงเรียนเดิม แต่ด้วยความเสน่หาของผมที่มีต่อนัยนาจึงคิดว่า ..ผมขออาสา เป็นตัวสำรองไปก่อน
“เอางี้นะติ๋ว... หากวันใด ที่แฟนของเธอ สลัดความรักทิ้งจากเธอไป เราขอเป็นคนที่จะมาดามหัวใจ ให้เธอเอง”ผมพูดจริงจัง
“ก็ได้ขลุ่ยวันนี้ เรายังรักเธอไม่ได้จริงๆนะ เพราะเรามีแฟนแล้ว “
“ เราจะรอนะ.ติ๋ว และเราก็คง จะไม่ทำให้ความรักของเธอ ที่มีต่อกัน ต้องเสื่อมคลายเพราะเราเป็นมือที่สาม “ผมพูด
“ขอบใจมากจ๊ะ.. ขลุ่ย “
ผมต้องชื่นชมติ๋วอย่างมากที่รักษาสัจจะกับรุ่นพี่ ที่มีความรักต่อกัน ...ผมได้ติดตามข่าวคาวของคู่รักคู่นี้ เพื่อเป็นกำลังใจให้เขาทั้งสองคนได้สมหวังดังปรารถนา แม้จะรู้ตัวว่าเราคือตัวสำรองของฝ่ายหญิง แต่..ยังคงมีความหวังว่า. หากวันหนึ่งข้างหน้า ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดคำสัญญา วันนั้น.ผมอาจได้มีโอกาสได้ขยับสถานะจากเพื่อนเป็นแฟนเสียที
ผมไม่เคยลืม วลีที่กล่าว่า รักแท้ แพ้ใกล้ชิด ... แม้เราจะสนิทกันพอสมควร จะชวนกันมาเดินห้างในกรุงเทพเพื่อซื้อของใช้ และกินอาหารบ้าง แต่ก็มา.ในฐานะเพื่อนเท่านั้น ยิ่งช่วงหลังติ๋ว ระแคะระคาย ว่าแฟนของเธอ มีคนรักใหม่แล้ว ผมยิ่งมีโอกาสได้สนิทสนมกับเธอมากขึ้นๆ
“ตอนนี้ เรามั่นใจแล้ว ว่าฝ่ายชายนอกใจเราไปมีคนใหม่แล้ว “ ติ๋วพูด
“แน่ใจเหรอใจเย็นๆนะติ๋วค่อยเช็คข่าวให้ชัวร์ นะ”
“แน่ใจ ยิ่งกว่าแน่ใจ เราตรวจสอบ จากเพื่อนๆ ของพี่เขามากกว่าห้าคน ต่าง บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า พี่ชัชชัย มีแฟนในที่ทำงานด้วยกัน แล้วเขาก็ออกหน้าออกตาด้วย ”ติ๋วพูด
ติ๋ว..เริ่มมั่นใจแล้วว่า ฝ่ายชายผิดคำสัญญาในความรัก เธอซึมเศร้า ไปสักระยะหนึ่ง โอกาสนี้เพื่อนๆ ที่เป็นกองเชียร์ผม จึงบอกให้ผมรีบตีเหล็ก ช่วงที่กำลังร้อน คือต้องรีบเข้าไปปลอบใจและให้กำลังใจเธอ
“เขามีใหม่ได้ เอ็งก็มีใหม่ได้สิไอ้ติ๋ว “เพื่อนๆผมบอกกับนัยนา
เพื่อช่วยให้นัยนารู้สึกสบายใจและผ่อนคลาย..เรื่องความรักที่เธอมีต่อฝ่ายผู้ชายอย่างจริงจัง กลุ่มเพื่อนๆ ของผมที่พักในบ้านเช่าในสวน ข้างสถานีตำรวจ จึงได้ติดต่อเหมารถเพื่อจะชวนติ๋วไปเที่ยวที่เมืองกาญจนบุรี ในวันหยุดด้วยกัน ติ๋วได้ตอบตกลง ที่จะไปเที่ยวเมืองกาญจน์ด้วย ครั้งนี้............ผมไม่ทราบมาก่อนเลยว่า เพื่อนที่พักกับผม ได้วางแผนถึงสองชั้น โดยแอบไปคุยกับติ๋ว เพื่อทดสอบว่า ผมรักเธอมากน้อยแค่ไหน
................................................................
วันเดินทางไปเมืองกาญจน์มาถึง ผมรู้สึกสดชื่นและดีใจอย่างที่สุด ในรถที่เหมาไป มีเพียงสิบกว่าคน ส่วนใหญ่เป็นคนที่สนิทกัน เพื่อนๆ ได้วางแผนกันว่า จะให้ผมได้มีโอกาสได้อยู๋เคียงข้างกับนัยนาเพียงสองต่อสอ โดยไม่เป็นก้างขวางคอ ช่วงขึ้นรถหกล้อโดยสาร เราเตรียมสัมภาระด้านอาหาร เครื่องดื่ม ครบครัน เพื่อนๆ จัดที่นั่งให้ผมนั่งคู่กับนัยนาอีกทั้งยังมีสัมภาระช่วยคั่น ไม่ให้ใครเข้าไปนั่งใกล้ผม ผมรู้สึกขอบคุณเพื่อนที่รู้ใจและเป็นใจ
“ แต่งตัวสวย จังเลยนะติ๋ว. วันนี้ “ ผมทักทายเป็นประโยคแรก เธอยิ้มๆ
“จ๊ะ “เธอตอบสั้น ๆ
ระหว่างการเดินทาง ผมกับติ๋วได้มอง.และชมวิวสองข้างทาง ทั้งยังได้พูดคุยกันเรื่องต่างๆนาๆ และหลีกเลี่ยง ที่จะคุยเรื่องที่เธอ เพิ่งสะเทือนใจกับความรักมาไม่นาน วันนี้เป็นโอกาสดี ที่ผมจะได้ก้าวข้ามความเป็นเพื่อนเสียที ประมาณเกือบสามชั่วโมงรถก็มาถึงจังหวัดกาญจนบุรี ขณะนั่งรถ ผมคิดไว้อย่างคือ เมื่อถึงน้ำตกไทรโยคแล้ว ผมจะชวนเธอไปนั่งคุยในบรรยากาศโรแมนติค โดยหามุมมีร่มไม้ มองเห็นน้ำตกมีกิ่งไม้ เถาวัลย์ พลันห้อยระย้า แลดูงดงาม
................................. .. .......................... ......
หลังจากรถจอดให้พวกเราเดินไปชม-สัมผัสน้ำตกไทรโยค เพื่อนๆ และน้องๆ ก็แยกทางกันเดินชมบริเวณน้ำตก ทุกคนดูจะมีความสุขที่ได้มาสัมผัสกับธรรมชาติ บริสุทธิ์ ผมกับนัยนา เกี่ยวแขนและเดินคุยกันไปอย่างช้าๆ ผมยังชวนเธอชมนกชมไม้ และชี้ให้เธอชมธรรมชาติสองข้างทาง
“อากาศเย็นสบายดีจังเลย .นะขลุ่ย“ ติ๋วพูด
“ใช่ “ผมตอบ
สองหนุ่มสาว ที่เพิ่งจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ให้เพื่อนๆ และน้องๆ ที่มาเที่ยวด้วยได้รับรู้ และเป็นสักขีพยาน ผมรู้สึกภูมิใจ และติ๋วก็ยอมรับแล้วว่าเราคือคนที่จะมาสืบสานความสัมพันธ์ ความรักต่อไป
เมื่อถึงด้านหน้าของน้ำตกไทรโยค ที่เป็นแอ่งน้ำ ผมปลีกตัวจากเธอ แล้วเดินไปชายขอบริมธารที่มีน้ำตื้นๆ ลองวักน้ำเล่น
“ติ๋ว ลงมาที่ลำธาร ที่เรายืนตรงนี่สิ น้ำใส ไหลเย็น เห็นตัวปลาเลย มา, เร้ว “ ผมพูดชักชวนเธอ
“ไม่หรอก แค่ยืนดูเธอเล่นก็พอ..ละ”เธอตอบ
กิริยาอาการของเธอดูปกติ และสดชื่น ท่าที ที่แสดงออก จากนัยน์ตา เธอ จะเห็นได้ว่าเธอคงน่าจะตื่นเต้น กับความสวยงามของน้ำตกแห่งนี้ เธอมองไปรอบๆ บริเวณน้ำตก น้ำที่ไหลจากเบื้องบนลงกระทบกับผาด้านล่าง กระเซ็นเป็นฝอยกระจาย ดังน้ำทิพย์จากสวรรค์ ผมมองเธอ เห็นแววตาดูอิ่มสุข อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้เราจะเคยไปเที่ยวเป็นกลุ่ม ครั้งก่อนที่วังตะไคร้ แม้จะเป็นบรรยากาศที่คล้ายกันแต่เธอก็ไม่แสดงอาการให้เห็นดังเช่นวันนี้
“สวยมากเลยนะ ติ๋ว เธอเคยมาเที่ยวเมืองกาญจน์ บ้างมั้ย “
“ เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยแหละ นี่ถ้าไม่มีพวกนาย ไม่มีไอ้ชาย ไอ้จี๊ด ไอ๊อ๊ะ ชาตินี้ เราเองก็ไม่แน่ใจหรอกว่าเรา จะมีโอกาสได้มาเที่ยวน้ำตกไทรโยคแห่งนี้ ...แล้วนายล่ะขลุ่ย
“น้ำตกไทรโยค เราก็เพิ่งเคยมาครั้งแรกเหมือนกันน่ะ สวยมากเลยนะ เราได้แต่เพียงจินตนาการจากเพลงน่ะ ติ๋ว วันนี้ได้มาเห็นกับตา ได้มาเดินชม รู้สึกดีใจที่สุดเลย”ผมตอบ
“เสียดายนะที่พวกเราไม่มีใครมีกล้องถ่ายรูปเลยจะได้เก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก “
“นั่นน่ะสิ ติ๋ว เราก็รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ยืมกล้องจากไสว “ผมพูด
“ไสว เขาขี้หวงจะตายไม่มีทางที่เขาจะให้เธอยืมหรอก ขนาดเราขอถ่ายภาพเดี่ยวในสถาบัน เขายังให้เราถ่ายภาพหมู่ หนำซ้ำ ยังพูดจากวนประสาทอีก “ติ๋วพูด
“เขาว่าไงเหรอ “ ผมอยากทราบคำตอบ
“ ถ่ายภาพเดี่ยวให้คนไม่สวย เปลืองฟีล์มดูนายไสว มันพูดกับเรา สิ “ ติ๋วพูด
“เออใช่จริงด้วยไอ้ไสว มันพูดถูก ฮ่ะๆๆ “ ผมกระเซ้า เพื่อสร้างสีสัน ผมหยุดนิ่งไปครู่..
...................................................... ...........
“สมัยที่เราไปเที่ยวดอยอินทนนท์ ไอ้ไสว มันเอากล้องถ่ายรูปของมันไปหากิน ถ่ายรูปให้เราเบลอแทบจะไม่เป็นคน กว่าจะขอร้องให้มันถ่ายรูปให้เราได้ ต้อง ไหว้มัน ต้องเอาใจมันสารพัด บอกมันว่า มึงจะคิดรูปในราคาเท่าไหร่ กูก็ยอมล่ะ ในชีวิตกูก็เพิ่งมาที่ดอยอินทนนท์ เป็นครั้งแรก ขอให้กูได้เก็บภาพประวัติศาสตร์ ครั้งหนึ่งในชีวิตเถอะ จนมันใจอ่อนยอมถ่ายให้ ผลรูปถ่ายออกมาหน้ายังกับลิงกัง ไอ้ห่า... ผมพูดเสียยาว
“ใช่สิ ขลุ่ยเคยให้เราดูภาพที่เธอให้ไสว ถ่ายตอนนั้น เธอใส่ยีนทรงเดฟ เป้าฟิดเปี๊ยะเลยนะ ฮ่าๆๆ” ติ๋ว ชอบใจ
“มันคิดค่าฟีล์ม ค่าล้าง ค่าอัดขยาย ตอนนั้นฟีล์มสีเพิ่งมีใหม่ๆ เสียด้วย”เราต้องจ่ายค่าภาพภาพละยี่สิบบาทภาพถ่ายออกมาก็ห่วยแตก ภาพสั่นไหว จนมองตัวเอง ไม่ใช่ตัวเอง “ผมพูด
“รุ่นน้องที่มาเที่ยวในวันนี้ คงน่าจะมี ใครพกเอากล้องถ่ายรูปมาด้วยมั๊ง “ ติ๋วเอ่ยขึ้นมา
“เป็นไปได้” ผมตอบ
ผมกับติ๋วชื่นชมกับน้ำตกไทรโยคได้เพียงครู่เดียว กลุ่มสมชาย ที่เดินตามหลังมา ได้ยืนมองผม ที่ยืนอยู่ริมธาร
“ทำไรวะ.. ขลุ่ย “สมชายทักทาย
“จะชวนไอ้ติ๋วลงมาเล่นน้ำด้วย “ผมตอบคำถาม
“ไหน ล่ะไอ้ติ๋ว. โน่น มันเดินไปกับไอ้เอี้ยง ควงกันกระหนุงกระหนิง เห็นมั้ย “สมชายพูด
“อ้าว...เป็นไปได้ไง “ (ผมคิดในใจ เมื่อครู่ยังคุยเรื่องกล้องถ่ายรูปกันอยู่เลย ) เมื่อมองไป ก็เห็นตามภาพที่ไอ้ชายว่า
ระยะหลัง ผมเห็นไอ้เอี้ยง ชอบมาป้วนเปี้ยน หยอกล้อกับติ๋ว ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ มันไม่เคยสนิทสนมกับติ๋ว ผมหัวเสีย หงุดหงิดในทันทีทันใด แทนที่จะได้ชื่นชมความสุนทรีย์ของธรรมชาติ ที่ไม่เคยได้มาชม เมื่อเห็นติ๋วกับไอ้เอี้ยงเดินเคลียคลอแถมยังคุยหยอกล้อต่อกระซิกยังกับคนรักที่รักกันมาช้านาน ผมรู้สึกโกรธคนทั้งสองที่ทำลายและทำร้ายจิตใจผมอย่างมาก ฝ่ายชายก็เพื่อน อีกคนคือฝ่ายหญิงที่กำลังคบหาเป็นแฟน แต่นี่มันมาหักหลังและทำกับเราซึ่งหน้า
“ นังทรยศ เมื่อไม่มีใจต่อกันแล้ว ก็ให้เรื่องมันจบลง กันที่แห่งนี้แหละ “ ผมคิด หลังจากยืนนิ่งไปสักครู่ ได้เดินแบบซังกระตาย จนพบน้องๆ ที่กำลังนั่งดื่มสุรา ผมแวะนั่งรินสุราดื่มอย่างไม่บันยะบันยัง
“เบานะพี่ ขลุ่ย กลางวันยังไม่ได้รองท้องเลย ซัดแต่เหล้า เมาตายห่า กับแก้มก็ไม่กิน “ รุ่นน้องว่า
“ไอ้เอี้ยง. ตัวแสบ มึงทำกับกูได้ถ้าไอ้ติ๋ว มันรักไอ้เอี้ยง กูจะยกให้มันเลย จากนี้ทางใครก็ทางมัน “ ผมพูดกลางวงเหล้า กับกลุ่มน้องๆ แม้ผมจะรู้สึกโกรธ กับติ๋ว กับไอ้เอี้ยง แต่ผมก็พยายามทำว่า ผมไม่มีความทุกข์ร้อนใดๆอีกแล้ว บางช่วงก็ร้องเพลง ให้น้องๆฟัง
..........................................................................
สองคนนี้มีเจตนา จะสร้างอารมณ์ให้ผมโกรธ เขาพยายาม เดินผ่านมาตรง บริเวณที่ผมนั่งดื่มเหล้า
“เส้นทางเส้นอื่นมี ตั้งหลายเส้นทาง ทำไมมึงจงใจ เดินผ่านตรงที่กูนั่งด้วยวะไอ้ เอี้ยง “ผมพูดด้วย อารมณ์โกรธ
“มันเป็นความพอใจของกูกับติ๋ว มึงจะทำไม “ ไอ้เอี้ยง พูด
“มึงจงใจจะแกล้งกู มึงจะรักกันชอบกันมึงก็รักไป แต่กูขอร้อง มึงอย่ากวนประสาทกู “ผมพูดด้วยอารมณ์แค้น
“กูพอใจ กูจะทำ มีอะไรมั้ย “ไอ้เอี้ยง ยั่วโทสะ
“มีสิ.. มึงมาดวนหมัด กับกูเลยไอ้เหี้ย “ ผมพูด
ก่อนเรื่องราวจะบานปลายน้องๆ และสมชามาห้ามศึกได้ทัน ไอ้เอี้ยงและติ๋วเดินผละออกไป ทั้งหันมามองผมอย่างยียวน
. ............................................. .
ทุกคนร่วมมือกันทำกับผมอย่างแนบเนียน (เขาวางแผนกันไว้ล่วงหน้า) อารมณ์โกรธของผมทวีคูณเป็นอนันต์ ผมจะไม่ว่าสักคำหากเป็นคนอื่น แต่นี่ไอ้เอี้ยงที่เคยกินนอนในหอพักด้วยกัน เคยไปพักที่วัดหลวงแพ่งก็หลายครั้ง
ผมยิ่งดื่มเหล้าหนักขี้นๆจนใกล้จะกลับบ้าน ติ๋วจึงเดินมา ที่วงเหล้า…และชวนผมกลับ
“กลับกันเถอะขลุ่ย โชเฟอร์รอแล้ว น้องๆ ก็จะกลับแล้ว “ ติ๋วมาตาม เพื่อจะให้ผมขึ้นรถกลับ
“ ไปเลย.ยายตัวดี ไม่ต้องมายุ่งกับเราอีกต่อไปแล้ว “ ผมโพล่งอกไป
" น้องๆ ช่วยประคองพี่ขลุ่ยหน่อยเร็ว รถเขารอพวกเราแล้ว “ติ๋วบอกกับรุ่นน้อง
“ไม่ต้องประคอง เดี๋ยวกูเดินเอง “ ผมพูด เมื่อลุกขึ้นมาได้เพียงก้าวเท้า ก้าวแรก หัวก็ทิ่มลงพื้น สลบเหมือด น้องๆจึงประคองพาขึ้นรถ เมื่อลืมตาขี้นมา เห็นแสงไฟของรถส่องดวงตาจนต้องหลี่ตา
“ที่นี่ ที่ไหนวะ “ ผมเอามือขยี้ตาทั้งเอามือตบศรีษะของตนเบาๆ
“อ้าวเฮ้ย..นี่ กูนอนบนตักใครวะ เนี่ยะ“ ผมพูดเบาๆ พลางมองเจ้าของตักที่ยินยอมให้หนุนนอนในมือของคนที่ผมหนอนหนุนตัก เอาผ้าเย็นค่อยๆ ลูบที่ใบหน้า อย่างบางเบาความเมา ค่อยบรรเทาลงมาบ้าง
“จะถึงพระปฐมเจดีย์แล้ว เดี๋ยวลงไปกินอะไรร้อนๆนะ จะได้สร่างเมา “ ติ๋วพูด ด้วยความห่วงใย
“ไม่ไหว. คงไม่ลงหรอก จะนอนบนรถเนี่ยะ “ผมพูด
เมื่อรถมาถึงองค์พระปฐมเจดีย์ โชเฟอร์ ได้จอดรถ ให้พวกเราลงไปทานอาหารค่ำ และให้เวลารับประทานครึ่งชั่วโมงทุกคนลงจากรถ และแยกย้ายกันไปตามร้านอาหารที่ต้องการจะสั่งอาหาร
“ติ๋ว .ลงมาสิ ไปหาอะไรกิน “ สมชายบอก
“เราจะอยู่เป็นเพื่อนขลุ่ย น่ะ เดี๋ยวเธอซื้อข้าวหลามมาให้เรากับขลุ่ยนะ นี่ ฝากตังค์ไปซื้อด้วย “ติ๋วพูด
“ไอ้นี่ตบหัวแล้วลูบหลังเพื่อน.. ข้า”สมชายพูด
“เธอก็เป็นคนเจ้ากี้ เจ้าการวางแผนด้วย “ ติ๋ว สวนกลับ
ระหว่างอยู่บนรถ ผมก็ยังนอนหนุนตักติ๋ว เธอเอาผ้าเย็นพร้อม โปะโคโลญของสมชายที่เตรียมไว้เสมอ เวลามีการเดินทาง
“เราขอโทษนะขลุ่ย ที่ทำกับเธอ.วันนี้ เราอยากลองใจเธอว่า จะเรารักมั้ยเท่านั้นแหละ “
“เล่นกันแรงอย่างนี้เลย นะ”ผมพูด
“จากนี้ จะไม่ทำอีกแล้วล่ะ “
และนี่ คงเป็นวันที่ ผมจดจำได้ดี และยากจะลืมได้ …. เวลาเพียงชั่วสั้นๆ ตลอดเวลาที่เราคบหากัน มันมีทุกอารมณ์ ทั้งความทุกข์ สุข รอยยิ้ม ยิ้ม หัวเราะ น้ำตา เฮฮา บ้าๆ บอๆ วันนี้ ชีวิต เขาได้จากจากผมไปแล้ว คงได้แต่เหลือ ความทรงจำ คิดว่าการที่เรามิได้ครองชีวิต ร่วมกัน อาจเป็นเพราะ.พรหม ลิขิตนะ ติ๋ว…
คิดถึง นะ …
๖ พค ๖๔
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ่านข่อย ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ่านข่อย
ความคิดเห็น