ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานภูตผีปีศาจญี่ปุ่น

    ลำดับตอนที่ #58 : จิกินินกิ เปรตกินศพ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.84K
      5
      25 มี.ค. 53






    จิกินินกิ
    เปรตกินศพ
           จากการศึกษาแล้วผีญี่ปุ่นตนนี้มาพร้อมกับความเชื่อทางพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่เคยคิดเลยว่าญี่ปุ่นเขาจะมีเหมือนกัน "เปรต" บ้านเราก็จะเชื่อกันว่า ด่าพ่อ ด่าแม่ ตีพ่อ ตีแม่ เมื่อตายไปจะเกิดเป็นเปรต ซึ่งหากลองคิดดูแล้วที่ญี่ปุ่นจะมีเปรตก็ดูไม่ผิดเพราะที่ประเทศจีนแต่ก่อนก็เคยมีความเชื่อเรื่องผีเปรตเช่นกันในช่วงราชวงศ์ถังที่เป็นช่วงพระพุทธศาสนารุ่งเรืองที่สุด ซึ่งเป็นไปได้ว่าผีตนนี้เกิดด้วยเหตุที่มาทางพระพุทธศาสนา เพราะในตำนานเรื่องเล่าหรือนิทานของพระพุทธศาสนามักจะเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ใครทำสิ่งใดไว้ ทำดีผลดีย่อมสนอง หากทำชั่วแล้วผลแห่งความชั่วยังตามสนองอย่างเรื่องที่จะเล่้าต่อไป...



          จิกินินกิ เป็นผีเปรตที่เกิดจากผลกรรมร้ายที่เขาทำไว้ตอนยังเป็นมนุษย์ พอสิ้นบุญไปจุติยังโลกหน้าแล้ว ผลกรรมที่ทำเอาไว้ได้บันดาลให้เขากลายเป็นเปรตต้องอดทุกข์ทรมานด้วยความหิวโหย แต่เปรตพวกนี้ด้วยผลกรรมของพวกเขาทำให้มันต้องกินศพเป็นอาหาร ซึ่งเป็นที่น่ากลัวและน่าเวทนาต่อผู้ที่พบเห็นเป็นอันมาก เลยมีตำนานเป็นนิทานเล่าถึงผีเปรตพวกนี้เป็นตัวอย่างให้ประกอบผลกรรมดีไว้จะได้ไม่มาเป็นเปรตกินศพอย่างนี้



        เรื่องมีอยู่ว่า... มีพระสงฆ์รูปหนึ่งนามว่า "มุโซ โคะกุชิ" ได้ออกธุดงค์เข้าเขตจังหวัดมิโนะ และท่านก็เกิดหลงทางอยู่ในหุบเขาหาทางออกไม่ได้ ท่านหลังว่าจะพบหมู่บ้านเพื่อพักค้างแรม แต่ฟ้าก็ใกล้จะมืดเสียแล้ว ท่านจึงเลือกที่จะพักในป่า จนท่านมีพบกับกระท่อมหลังหนึ่ง ท่านเขาไปหวังจะขอพักแรม แต่พอไปถึงกระท่อมกลับมีเจ้าของเป็นพระเ้ช่นกันแต่แก่ชรามาก
        "อาตมาเดินทางมาไกลและหลงทางในเขานี้มานานแล้วขอท่านค้างแรมคืนนี้ในกระท่อมของท่านได้หรือไม่ขอรับ"

            "อย่าเ้ลย...อาตมาต้องการความวิเวก แต่อาตมาจะบอกทางไปหมู่บ้านให้"
       พระชราก็ชี้ทางและให้คบเพลิงเพื่อให้แสงสว่างในยามค่ำแก่พระมุโซ
       พระมุโซเดินทางมาตามทางที่พระชราบอกก็พบกับหมู่บ้านกลางหุบเขา ท่านเดินเข้าไปยังในหมู่บ้าน เหล่าชาวบ้านก็ทำการต้อนรับเป็นอย่างดี ท่านพักในบ้านของชาวบ้านที่หลังใหญ่ที่สุด แต่วันนั้นเป็นวันที่ทางหมู่บ้านมีงานพิธี คือ พ่อของเจ้าของบ้านที่ใ้ห้พระมุโซพักแรมท่านเสียชีวิตเมื่อวาน และวันนี้เป็นวันจัดพิธีศพ เป็นเวลาเหมาะเพราะกำลังต้องการพระมาทำพิธีอยู่พอดี พอทำพิธีกรรมทางศาสนาสวดส่้งดวงวิญญาณไปสู่สุคติแล้ว ผู้เป็นลูกชายของผู้ตายก็เข้ามาพูดกับพระมุโซ
        "หลวงพี่ขอรับ...คือหมู่บ้านเราเมื่อมีคนตายหลังจากทำพิธีส่งดวงวิญญาณแล้ว เราทุกคนในหมู่บ้านก็จะทิ้งศพของผู้ตายพร้อมเครื่องเซ่นไหว้ไว้และไปค้างคืนที่หมู่บ้านข้างๆครับหลวงพี่"
       "ทำไมทำเช่นนั้นเหล่าโยม"
        "มันเป็นประเพณีครับหลวงพี่ เราทำก่อนมาแตุ่รุ่นทวดของทวด มันเป็นสิ่งที่เรามิอาจจะขัดต่อเจตจำนงของบรรพชนได้ เพราะมันจะมีสิ่งประหลาดที่น่ากลัวเกิดขึ้นครับหลวงพี่หากเราอยู่ต่อไปมันอันตราย"
       "เช่นนั้นพวกโยมไปกันเถอะ อาตมาขออยู่ที่นี้เป็นเพื่อนศพล่ะกัน จะได้แผ่เมตตาด้วย"
       จากนั้นชาวบ้านทุกคนย้ายเดินทางกันไปอยู่ที่หมู่บ้านใกล้เคียง หมู่บ้านเงียบสนิท แม้แต่เสียงของสัตว์อย่างแมลงหรือหนูก็ไม่มีให้ได้ยิน พระมุโซยังคงทำการสวดมนต์อยู่ในห้องที่ไว้ศพ ท่านนั่งสมาธิอยู่นั้น เพียงท่านลืมตาด้วยสัมผัสถึงความผิดปกติเท่านั่นเอง ภาพที่เห็นตรงหน้า ปีศาจรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวกำลังกินศพอย่างตระกะมันฉีกศพทั้งแขนและเครื่องในอย่างน่าสยดสยอง พระมุโซเห็นดังนั้นจะหนีก็หนีไม่ได้ราวกลับต้องอะไรบางอย่าง จึงขยับร่างกายไม่ได้ ท่านดูการกินของมันอย่างน่าสยดสยอง ปากของมันที่กว้างยักทุกสิ่งทุกอย่างลิ้นของมันที่เลียเมือกและเลือดอย่างเอร็ดอร่อย กระดูกของศพเองยังกัดเสียงดังกรอบกรอบ... ขวักลูกตาของศพกลืนอมให้ในปาก ศพของผู้ตายที่น่าสงสารแทนที่จะได้ฝังให้ลูกหลานไว้กราบไหว้ดังมากลายเป็นอาหารของปีศาจร้ายตนนี้ จากศพที่วางบนเตียงและแต่งด้วยดอกไม้ กลับหายไปในพริบตา ปีศาจร้ายมันลูบท้องไปมาแต่ยังมีเสียงท้องร้องซึ่งส่งเสียงดังรู้ไ้ด้เลยว่ามันยังไม่อิ่ม มันหันไปกินเครื่องเซ่นมากมายมันเขมือบอย่างตระกะมือของมันสาวได้สาวเอาหยิบได้หยิบเอาเข้าปากอย่างไม่หยุด พอเครื่องเซ่นหมดเท่านั้นมันก็ยังคงลูบท้องเสียงท้องยังคงดังอยู่ๆเรื่อยๆ และมันก็เดินหายไปในความมืด
       พระมุโซที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็ลุกขึ้นและเดินตามไปดูก็ไม่เห็นปีศาจตนนั้นแล้ว ท่านก็กลับมายังเตียงที่ไว้ศพ ท่านยกมือพนมขึ้นและสวดมนต์อีกครั้งและแผ่เมตตาให้แก่ปีศาจร้ายตนนั้น
        รุ่งเช้าชาวบ้านกลับมาและพากันไปหาพระมุโซซึ่งกำลังนั่งเตรียมของจะเดินทางต่อไป ลูกชายของผู้ตายเข้ามาถามพระมุโซ
       "หลวงพี่...โธ่พี่คิดว่าหลวงพี่จะแย่แล้ว..."
        พระมุโซมองไปยังห้องไว้ศพ เห็นคนในครอบครัวทำการทำความสะอาดแต่แปลกประหลาดที่เขาไม่ร้องไห้หรือโศกเศร้าแต่ทำตัวเหมือนว่ามัีนเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว...
       "หลวงพี่เขา เมื่อคืนนี้หลวงพี่คงได้เห็นอะไรที่มันน่ากลัวแล้วใช่ไหมครับ"
        "โยม อาตมาขอถามหน่วยนะ การที่ศพหายไปนี้พวกโญมไม่คิดสงสัยหรือเศร้าเสียใจเลยหรือ"
       "ไม่ครับ...หมู่บ้านก็เป็นอย่างนี้ล่ะครับ ทุกคนที่มีคนตายศพก็มักจะหายไปและเป็นประเพณีที่ต้องทิ้งศพไว้เช่นนั้นครับหลวงพี่แต่ผมก็ยังประหลาดใจอยู่จึงอยากทราบว่ามันเป็นเพราะอะไรครับที่ศพหายไป..."
       พระมุโซได้บอกถึงเหตุการณ์ที่พบเห็นมาเล่าให้ลูกชายของผู้ตายและชาวบ้านฟังถึงปีศาจที่มากินศพ แต่ชาวบ้านกลับเฉยและรู้อยู่แล้ว
       "ที่หลวงพี่เล่ามานั้น พวกเราพอทราบบ้างแล้วครับ ผู้เฒ่าผู้แก่เคยเล่ากันมาเหมือนกัน"
        "และพระที่อยู่บนเขาไม่เคยมาทำพิธีศพในหมู่บ้านบ้างเลยหรือ"
        "พระที่ไหนครับหลวงพี่...บนเขานี้ไม่มีพระมาอยู่นานมากเลยนะครับ"
        หลังจากนั้นพระมุโซก็ร่ำลาชาวบ้าน แต่ท่านยังสงสัยอยู่ในพระชราที่พบเมื่อวานจึงขึ้นเขาไปอีกครั้งเพื่อไปดูให้รู้
        พระมุโซก็หากระท่อมนั้นพบและพระชรายังคงอยู่ในกระท่อมนั้น แต่ท่าทีของพระชราดูเปลี่ยนไป
       "ท่านผู้ทรงศีลเป็นบุญอย่างมากที่ท่านมาเยือนกระ่ท่อมที่ใกล้พังเช่นนี้"
       "หลวงตาอย่างดีพูดเช่นนั้น อาตมาต้องขอขอบพระคุณที่ท่านชี้บอกทางไปยังหมู่บ้านแก่อาตมา เช่นนั้นอาตมาคงไม่มีที่พักค้างแรมแน่ๆ"
        "ท่านผู้ทรงศีล การที่ข้าน้อยมิอาจจะให้ท่านพักในกระท่อมนี้ได้ เพราะข้าน้อยเกรงท่านจะไม่จำเริญตาจำเริญใจกับข้าน้อย"
        พระชราก็ร้องไห้ออกมา
        "ข้า้น้อยเป็นคนบาป ตายไปแล้ววิญญาณมิอาจจะไปไหนได้นอกจากกระท่อมหลังนี้ที่ตนสร้างไว้เป็นที่ปฏิบัติกรรมฐานวิปัสสนา รูปลักษณ์ของข้าน้อยก็น่าเกลียดน่ากลัว เพราะผลกรรมทำใ้ห้ร่างของข้าน้อย และยัีงกลายเป็นอสูรกายน่าเกลียดน่ากลัว และทรมานด้วยความหิวโหยเป็นเปรตที่ใครไม่ทำบุญให้ อาศัยกินศพของคนตายเพื่อดำรงชีพ ซึ่งความจริงไม่อยากจะกินเลยแต่ทนความหิวไม่ไหว...ท่านผู้ทรงศีลได้โปรดช่วยข้าน้อยให้ดวงวิญญาณพ้นจากสภาพนี้ทีเถอะ...."
        "และท่านก่อกรรมใดไว้จึงมารับผลกรรมเช่นนี้"
        "ข้าน้อยตอนยังเป็นมนุษย์ เคยบวชในพระพุทธศาสนาเป็นภิกษุสงฆ์ ออกธุดงค์และมายังเขานี้อาศัยพื้นที่สร้างกระท่อมนี้ขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน และชาวบ้านทราบว่ามีพระมาอยู่ที่เขาก็มักจะนิมนต์ไปทำการสวดส่งวิญญาณไปสู่สุคติ และพวกเขามักให้เป็นสิ่งของตอบแทนจนข้าน้อยเกิดกิเลศ เข้ามากๆก็เรียกสิ่งตอบแทนแพงขึ้น พอตายก็มาเป็นเปรตเพราะกรรมที่เคยหากินจากงานศพนี้ล่ะครับท่านผู้ทรงศีล"
        พอสิ้นคำพูดของพระชรานั้น พระมุโซมารู้ตัวอีกทีก็เห็นซากของกระท่อมและมีหลุมศพอยู่ ท่านเลยทราบว่าหลุมศพนี้เป็นของพระชรานั่นเอง และท่านก็ทำการบอกแก่ชาวบ้านให้ช่วยกันประกอบความดีและแผ่ผลบุญไปถึงพระชราที่เป็นเปรตด้วย... จากนั้นหมู่บ้านก็ไม่มีเปรตมากินศพอีกเลย....


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×