ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ภารตเทวะ เทพเจ้าแห่งชมพูทวีป

    ลำดับตอนที่ #1 : พระตรีมูรติ การกำเนิดของสรรพสิ่งตามคติฮินดู

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.36K
      3
      25 ม.ค. 57




    พระตรีมูรติ
    รูปของพระเป็นเจ้าสูงสุดทั้งสาม 


     

          ศาสนาฮินดูมีการนับถือพระเป็นเจ้าทั้งสาม อันได้แก่ พระพรหม พระนารายณ์ และ พระศิวะ เป็นพระเป็นเจ้าสูงสุด ซึ่งแต่ละพระองค์แบ่งหน้าที่กันสร้าง (พระพรหม) รักษา (พระนารายณ์) และทำลาย (พระศิวะ) ซึ่งพระเป็นเจ้าทั้ง 3 ได้ถูกนำมารวมกันเป็นหนึ่งเดียวคือ ตรีมูรติ ดังในรูปด้านบน ซึ่งสันนิษฐานว่าเหตุการณ์ที่นำเทพเจ้าทั้งสาม มารวมเป็นพระองค์เดียวในเทพเจ้าที่มีนามว่า "ตรีมูรติ" คงเนื่องจากการรวมนิกายและลัทธิของฮินดูที่มีการกระจัดกระจาย เช่น นิกายไวษณพ บูชาพระนารายณ์เป็นสรณะ (สำคัญ) นิกายไศวะ นับถือพระศิวะเป็นสรณะ (สำคัญ)
          ส่วนพระพรหมนั้นเป็นพระเป็นเจ้าสูงสุดในศาสนาฮินดูมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ก่อนการปรากฏขึ้นของพระนารายณ์กับพระศิวะเพราะในพระเวทยุคแรกยังไม่ปรากฏพระนามของเทพเจ้าทั้งสอง (พระนารายณ์และพระศิวะ) ซึ่งพอเทพเจ้าทั้งสองปรากฏขึ้นในพระเวทยุคหลังก็ได้รับความนิยมจากประชาชนเป็นหลัก จึงทำให้พระพรหมถูกลดบทบาทลงจนไม่มีผู้นับถือให้พระองค์เป็นสรณะ(สำคัญ) ซึ่งมีข้อสังเกตในคัมภีร์วิษณุปุราณะ (คัมภีร์ว่าด้วยเรื่องของพระนารายณ์) บันทึกถึงการกำเนิดของพระพรหมว่าบังเกิดจากพระนาภี(สะดือ)ของพระนารายณ์ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าพระนารายณ์เป็นผู้สร้างพระพรหมขึ้นมา จึงเป็นแสดงให้เห็นว่าพระนารายณ์ยิ่งใหญ่กว่าพระพรหม
          จนในที่สุดจึงเกิดการผนวกเทพเจ้าทั้งสามมาเป็นหนึ่งเดียวในนามเทพเจ้าอีกพระองค์ คือ พระตรีมูรติ รูปลักษณ์ทางประติมาวิทยามีหลากหลายรูปแบบในการสร้างรูปเคารพ เช่น การสร้างเทวรูปทั้งสามพระองค์ประทับเคียงข้างกันในเทวาลัย หรือบางทีสร้างเป็นเทวรูปของเทพเจ้าที่มีสามพระพักตร์แต่มีสัญลักษณ์ของเทพเจ้านั้นๆแสดงให้ทราบว่าพระพักตร์ดวงไหนเป็นพระพักตร์ของเทพเจ้าพระองค์นั้น อาทิเช่น พระพักตร์ที่มีดวงจันทร์เสี้ยวประดับบนเกศาแสดงให้ทราบเลยว่าพระพักตร์นั้นเป็นพระพักตร์ของพระศิวะ และมีบางรูปเคารพสร้างให้พระศิวะเป็นองค์ประธานแล้วมีพระนารายณ์กับพระพรหมออกมาจากสีข้างของพระศิวะ เป็นต้น 


     
     


     
           พระตรีมูรติบางคนอาจเข้าใจว่า เป็นการร่วมเทพเจ้าสูงสุดสามพระองค์มาเป็นร่างเดียวกัน อย่างเทวาลัยที่มีในประเทศอย่างที่เซ็นทรัลเวิร์ค แต่ความเชื่อนี้ที่เข้ามาในประเทศไทยเป็นความเชื่อที่ผิดในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูจากชมพูทวีป แต่มีความเป็นมาดังนี้

          มีฤษีนามว่า "อะณิมาณฑวยดาบส" กำลังเข้าฌาณอยู่ที่อาศรม เกิดมีโจรวิ่งหนีเจ้าหน้าที่ผ่านอาศรมของฤษีพอดี เจ้าหน้าที่ตามโจรมาถึงอาศรมนี้ ก็แวะเข้าถามฤษีว่า เห็นโจรวิ่งผ่านมาทางนี้ไหม
    แต่ฤษีก็ไม่ยอมตอบเพราะกำลังเข้าฌาณโดยไม่สนใจสิ่งใด

      เจ้าหน้าที่จึงคิดว่าฤษีตนนี้คงเป็นโจรแกล้งปลอมตัวเป็นฤษี จึงจับฤษีส่งให้พระราชาโดยหาว่าเป็นโจร พระราชาก็ทรงคิดเช่นนั้นก็สั่งประหารฤษี โดยการใช้สามง่ามแทงทะลุลำต้วแล้วนำไปปัดไว้ที่ยอดเขา ระหว่างนั้นมีหญิืงสาวชาวบ้านนามว่า "ศีลวตี" เป็นหญิงที่ซื่อสัตย์ต่อสามีมาก นางให้สามีของนางขี่คอโดยนางพาสามีไปเที่ยวบ้านของหญิงแพศยา อยู่ๆเกิดฝนตกหนักทำให้เส้นทางที่จะเดินทางไปนำต้องเดินทางอย่างลำบาก ผู้เป็นสามีคิดว่า ฝนตกหนักเช่นนี้เป็นเพราะฤษีที่ถูกโทษประหาร จึงด่าทอฤษีอย่างหยาบคาย ฤษีได้ยินจึงสาปแช่งว่า หากพระอาทิตย์ขึ้นหัวของเจ้าจะแตกเป็นเจ็ดเสี่ยงในทันที นางศีลวตีไม่อาจยอมให้สามีของตนตายได้ จึงอธิษฐานต่อพระสุริยเทพไม่ให้พระองค์เสด็จขับราชรถพระอาทิตย์ขึ้นท้องฟ้าเพราะหากพระองค์เสด็จสามีของตนต้องตายแน่


     
     

      พระสุริยเทพได้ยินแรงอธิษฐานของนางจึงเห็นแก่ความซื่อสัตย์ของสตรีที่จงรักภักดีต่อสามีพระองค์จึงไม่เสด็จขึ้นยังท้องฟ้า ทำให้โลกตกอยู่ในความมืดมิด เหล่าเทวดาไปวิงวอน พระพรหม พระนารายณ์ และ พระศิวะก็หามีมหาเทพพระองค์ใดสามารถทำให้พระอาทิตย์ขึ้นได้เลย เหล่าเทวดาเห็นมีทางเดียวโดยขอให้ นางอนุสูยา นางก็ยอมรับคำขอของเหล่าเทวดาจึงไปหานางศีลวตี และกล่าวว่า สามีของนางจะไม่ตายเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นอย่างแน่นอน นางศีลวตีดีใจจึงถอนคำอธิษฐาน พระสุริยเทพจึงทรงราชรถพระอาทิตย์ขึ้นเฉิดฉายบนท้องฟ้าอีกครั้ง พระพรหม พระนารายณ์ และพระศิวะ เห็นซึ่งความจงรักภักดีที่ศีลวตีมีต่อสามี จึงถามนางว่าต้องการสิ่งใดจะประทานให้ นางศีลวตีจึงทูลต่อมหาเทพทั้งสามว่า ขอมหาเทพทั้งสามมาเป็นบุตรของตน มหาเทพทั้งสามจึงทำตามสัญญามาเป็นบุตรของนางศีลวตี โดยนางศีลวตีมีบุตรชาย 3 คนด้วยกันดังนี้ 

       1. พระพรหม เป็น พระจันทร์

       2. พระนารายณ์ เป็น พระทัตตาเตรยะ

       3. พระศิวะ เป็น พระทุรวาส


     


       บางตำนานก็มีความแตกต่างกันไป เช่น นางอนุสูยา เป็นชายาฤษีนามว่า "อัตริ" ทรงเป็นโอรสองค์ที่2 แห่งพระพรหม นางนั้นมีความจงรักภักดีต่อสามีมาก จนกล่าวขานกันในหมู่เทพยดาบนสวรรค์ มหาเทพทั้ง 3 ได้แก่ พระพรหม พระนารายณ์ และ พระศิวะ ทรงอยากรู้ว่าเป็นจริงอย่างที่กล่าวขานกันหรือเปล่า จึงปลอมองค์เป็นฤษี เข้าไปหานางอนุสูยาในขณะที่สามีไม่อยู่ นางเห็นว่ามีฤษีผู้อาวุโสเดินทางผ่านอาศรม นางก็หมายอยากทำอาหารถวาย จึงนิมนต์ให้เข้ามารับประทานอาหารในอาศรม นางก็ดีแสนดีเตรียมปูอาสนะ ล้างเท้าฤษีทั้ง 3 ด้วยเครื่องหอมและดอกไม้ แล้วจัดอาหารอย่างดีถวาย แต่ฤษีทั้ง 3 ได้กล่าวว่า ต้องให้นางเปลือยกายเสียก่อนจึงจะรับประทานอาหาร นางเองก็หนักใจ ทำไม่ทำก็ไม่ได้เพราะหากฤษีไม่รับประทานอาหารที่ถวาย เท่ากับว่่าเจ้าบ้านนั้นบาปและผิดธรรมเนียมอย่างมหันต์ นางจึงตั้งสมาธิรวบรวมจิตแล้วอธิษฐานว่าข้อให้ฤษีทั้ง 3 กลายเป็นเด็กทารกเสีย จากนั้นพอนางแก้ผ้าออก ฤษีทั้ง 3 กลับกลายเป็นเด็กทารกไปทันที นางก็สวมผ้าดังเดิมแล้วนำเด็กทารกทั้ง 3 ไปนอนที่เบาะ พอดีอัตริฤษีกลับมาพอดี แล้วเห็นเด็กทารก 3 คน ด้วยทิพยเนตร ก็ทราบว่า เด็กทารกนั้น คือ มหา้เทพทั้ง 3 อัตริฤษีจึงกราบเด็กทารกเป็นการทำเคารพ แล้วเด็กทารกก็กลับสู่สภาพของมหาเทพ มหาเทพทั้ง 3 พอพระทัยกับความซื่อสัตย์ของนางอนุสูยามาก จึงถามว่านางต้องการสิ่งใด นางบอกว่าต้องการพระองค์ทั้ง 3 มาเป็นบุตรของนาง มหาเทพก็ยินดีจึงกลับเป็นทารกอีกครั้ง

     




         อีกตำนานหนึ่งมีความคล้ายกับอันแรก แต่สามีของนางศีลวตีนั้นมีรูปร่างอัปลักษณ์และแก่ชรา ด้วยนางเป็นสาวน้อยแต่มีสามีที่แก่และอัปลักษณ์ ด้วยสามีเป็นคนมักมาก จึงให้นางพาตนขี่คอไปหาหญิงแพศยาเพื่อมาความสัมพันธ์และนางก็ยินยอมพาสามีไป ก็เหมือนตำนานแรกที่ถูกฤษีสาป และนางก็อธิษฐานไม่ให้พระอาทิตย์ขึ้น เหล่าเทวดาจึงวิงวอน นางอนุสูยา ให้ช่วย นางอนุสูยาจึงมาขอร้องให้นางศีลวตีถอนคำอธิษฐานเพื่อให้พระอาทิตย์ได้ขึ้นท้องฟ้าเพื่อมอบแสงสว่างแก่โลกและสวรรค์ นางก็ยินยอมแต่สามีของนางต้องตายหัวแตกเป็นเสี่ยงๆ นางอนุสูยาจึงประทานพร เสกให้สามีของนางศีลวตีฟื้นจากความตาย พร้อมด้่วยที่มีรูปร่างที่งดงามและเป็นหนุ่ม นางศีลวตีมีความสุขกับสามีที่เห็นใจในความจงรักภักดีต่อตน จึงรักนางมากและไม่มีหญิงอื่น ส่วนนางอนุสูยาได้รับดีความช่วย มหา้เทพทั้ง 3 จึงถามว่านางต้องการสิ่งใดตอบแทน นางกล่าวว่า ต้องการพระองค์ทั้ง 3 มาเป็นบุตรของนาง มหาเทพทั้ง 3 ก็มิได้ว่าอันใด ยอมเป็นบุตรของนาง โดยกำเนิดมาเป็น 

       พระจันทร์ = พระพรหม
       พระทัตตะ = พระนารายณ์
       พระทุรวาส = พระศิวะ 


     
     

      

         


           จากตำนานพระตรีมูรติที่นำมาเสนอข้างต้นนี้เพื่อให้เกิดความรุ้และความเข้าใจในการสร้างปรกรณัม (ตำนาน) ของบรรพชนอินเดียโบราณในการสร้างที่มาของเทพเจ้าที่ตนเคารพบูชา ดังนั้นเราจึงเห็นภาพบูชา พระตรีมูรติของอินเดียที่นิยมกันนั้นออกมาในรูปของ นักบวชที่มีศีรษะ 3 โดยมีสัญลักษณ์ของมหาเทพทั้งสามปรากฏเช่น ของวิเศษที่ทรงถือ เช่น ตรีศูล ของพระศิวะ คนโฑ ของพระพรหม สังข์กับตะบองของพระนารายณ์ เป็นต้น
          ซึ่งเหตุที่พระเป็นเจ้าทั้งสามกลายมาเป็นนักบวชสามพี่น้องในตำนานของพระตรีมูรติที่ถูกยกมาหลายสำนวนนั้นมีจุดร่วมตรงกันคือ เป็นตำนานที่แสดงพลอำำนาจของสตรีเพศ หรือ มีการสนับสนุนสตรีเพศเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกรณีความเป็นภรรยาที่ดี คือ นางศีลวตี กับ นางอนุสูยา แต่มีข้อสังเกตว่าตำนานของพระตรีมูรติทั้ง 3 ตำนานนี้มีจุดเหมือนและต่างบ้าง แต่ส่วนมากแล้วเป็นกรณีที่แสดงความภักดีของภรรยาที่มีต่อสามี ซึ่งอาจเป็นค่านิยมของผู้หญิงในสมัยบริบทของอินเดียสมัยโบราณที่แสดงให้ทราบว่าการเป็นหญิงที่มีคุณค่าคือการภักดีต่อสามี ซึ่งกรณีเช่นนี้ก็มีปรากฏตามวรรณกรรมอิงศาสนาและเทวตำนานมากมายในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เช่น วรรณกรรมเรื่องสาวิตรี และ เทวตำนานของพระแม่สตี เป็นต้น ซึ่งสิ่งที่พระเป็นเจ้ากลายเป็นพระตรีมูรติเช่นนี้ก็เพราะด้วยอำนาจแห่งความภักดีต่อสามีของนางศีลวตีกับนางอนุสูยา เพียงหญิงมนุษย์ธรรมดาสามารถทำให้พระเป็นเจ้าสูงสุดทั้งสามกลายเป็นเด็กได้ด้ยพลังอำนาจแห่งความจงรักและภักดีในสามีของนางนั้นเอง 
          



     

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×