คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ㄨ the sound of angel
#thesoundofangel
ครืนนน ~ ครืนนน ~
ดูเหมือนจะเป็นเรื่องตลกที่ภายในห้องชุดกลางยังคงมีชายหนุ่มคนนึงยืนเหม่อมองออกไปยังบานหน้าต่างที่ถูกฉาบทับไปด้วยสีดำทะมึนของท้องฟ้า ราวกลับกลายเป็นหูดับไปโดยฉับพลันร่างกายของเขามันดูเหมือนจะไม่ตอบรับกับสิ่งเร้ารอบตัวอย่างน่าประหลาด เสียงฟ้าร้องที่ดังกระหึ่มแต่สำหรับเขามันกลับฟังดูเหมือนเสียงฝนตกพรำ ๆ อากาศภายในห้องที่เย็นเฉียบหากแต่ร่างกายของเขากลับมีเพียงเสื้อยืดตัวบางที่ถูกหยิบขึ้นมาต่อสู้กับมัน ไม่รู้สึกถึงความพ่ายแพ้ ราวกับว่าความร้อนรุ่มภายในจิตใจมันส่งพลังงานออกมาเผื่อแผ่ร่างกายของเขา
ทุกอย่างรอบตัวดูเหมือนจะฝังแฝงความรู้สึกหดหู่จนแทบอยากอาเจียน
ทุกอย่างมันเกิดตั้งแต่ฝ่ามือของเขาสัมผัสลงบนปกหนังสือเล่มนั้น ....
พรึ่บบบ
เสียงตอบโต้ออกมาราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต เรียกร่างบางหันขวับไปมองยังต้นเสียงของมันด้วยอารามตกใจ แผ่นกระดาษสีขาวสะดุดตาที่ตีพัดไปมาราวกับวางอยู่ท่ามกลางกระแสลมแรง อดจะทำให้คนที่กำลังจ้องมองรู้สึกพิศวงขึ้นมาอย่างเสียมิได้ ค่อย ๆ สาวเท้าเรียวไปหยิบมันขึ้นมาถือไว้อย่างเบามือ ก่อนที่มันจะร่วงลงบนพื้นแทบจะทันทีด้วยมือคู่เดียวกัน
“ อะไรกันเนี่ย ! ”
สบถออกมาอย่างตกใจพร้อมกับดวงตาคู่สวยที่จดจ้องไปยังปกหนังสือสีขาวมุขที่ถูกฉาบไปด้วยสีแดงสด คล้ายกันกับสีของโลหิตที่ไหลทะลักออกมาจากร่างกาย ยกมือเรียวขึ้นมาขยี้ดวงตาตัวเองเบา ๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับมาเป็นปรกติยามเมื่อเขาเปิดตาขึ้นมาอีกครั้ง
ไม่ใช่เป็นเพราะจิตใจของเขามันอ่อนแอเกินไป จนทำให้ดวงตาพร่ามัวไปฉับพลับอย่างนั้นหรือ
เสาะหาเหตุผลโง่ ๆ มาสนับสนุนความคิดตัวเองพร้อมกับมือบางที่เอื้อมลงไปหยิบหนังสือเล่มเดิมขึ้นมาถือไว้ ปัดป้องมันเบา ๆ ราวอยากจะขอโทษที่เผลอทำอะไรไร้เหตุผลลงไป ถ้าหนังสือเล่มนี้เป็นมนุษย์ก็คงต้องรู้สึกโกรธแค้นเขาไม่เบา …
แต่อย่างไรเสียหนังสือก็เป็นเพียงแผ่นกระดาษที่ถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือของมนุษย์
มันเป็นสิ่งไม่มีชีวิตจิตใจ
เหตุใดเขาต้องไปใส่ใจมันมากขนาดนั้นด้วยหล่ะ
จ้องมองเล่มหนังสือในมือด้วยสายตาที่ผิดแพลกไปจากเดิม เดินไปวางมันลงข้างแลปท็อปที่เปิดค้างไว้ตั้งแต่เมื่อเย็นอย่างไม่นึกใส่ใจ อยากจะหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับความดำมืดของยามรัตติกาลอีกครั้งหากแต่เสียงเรียกร้องของบางสิ่งบางอย่างที่ดังขึ้นมาทำเอาเรียวขาสวยต้องหยุดชะงักโดยพลัน
ตุ๊บ !
หันไปมองหนังสือเจ้าปัญหาที่เขาพึ่งวางมันลงบนโต๊ะทำงานด้วยมือของตัวเอง แต่ตอนนี้มันกลับร่วงลงบนพื้นอีกครั้งราวกับอยากจะเรียกร้องความสนใจจากเขา ไร้ซึ่งความกลัวเกรง ร่างบางตัดสินใจเดินเข้าไปหยิบมันขึ้นมาถือไว้
ถ้าอยากให้อ่านมากนัก
เขาจะอ่านมันก็ได้
ไล่รีดเข้าไปในเล่มหนังสือในมือด้วยความรู้สึกครุกกรุ่น ไม่ว่าจะเป็นใคร หรือคน ๆ นั้นจะต้องการอะไร แค่เปิดเข้าไปอ่าน
ทุกอย่างมันจะจบใช่ไหม ?
“ ยังเขียนไม่จบงั้นเหรอ ? ”
ส่งเสียงออกมาเบา ๆ เมื่อดวงตาคู่สวยที่ไล่สอดส่องเข้าไปในเล่มหนังสือตรงหน้าเจอเข้ากับความว่างเปล่าที่กินพื้นที่เกือบครึ่ง
หนังสือที่ยังเขียนไม่จบมันจะตีพิมพ์ออกมาได้อย่างไรกัน ?
พลิกเปิดไปยังหน้าสุดท้ายที่ถูกพิมพ์ขึ้นด้วยความรู้สึกฉงนเสียจนเขาอดจะแสวงหาความจริงไม่ได้ ค่อย ๆ ขยับริมฝีปากเล็กตามตัวหนังสือที่ถูกตีพิมพ์ลงไปอย่างประณีต
สงครามที่กินเวลายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ กัดกร่อนพลังของสรวงสวรรค์ให้มองดูไร้ค่าราวกับขุมนรก ความโลภที่มนุษย์หลงเหลือติดตัวขึ้นมามันดูน่าหวาดกลัวเกินกว่าชาวสวรรค์จินตนาการถึง แทบไม่หลงเหลือผู้ที่ยังคงอยู่ ความชั่วร้ายกำลังจะกำชัยชนะ นักรบของสวรรค์กำลังจะพ่ายแพ้ เพียงไม่นาน ความไม่มีจะเป็นสิ่งเดียวที่อยู่รอด ทุกสิ่งอย่างจะต้องถูกทำลายล้าง ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวของมันเอง ....
สะดุ้งตัวขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับหนังสือในมือที่ปิดลงอย่างรวดเร็ว ราวกับตกอยู่ในภวังค์ ความรู้สึกหดหู่ที่ฝังแฝงอยู่ในตัวหนังสือเหล่านั้นกำลังจะทำให้น้ำตาของร่วงไหลลงมา เขาต้องหยุดยั้งมัน
นิทานปรัมปราที่ใช้หลอกเด็กมันไม่มีค่าพอที่จะได้เห็นหยดน้ำตาของเขาหรอกนะ
เป็นอีกครั้งที่ร่างบางสาวเท้าเข้าไปยืนอยู่หน้าแลปท็อปตัวเก่ง วางหนังสือที่ถือค้างอยู่ในมือลงบนโต๊ะ ก่อนจะเอื้อมมือไปควานหาหนังสือนิตยสารที่วางอยู่เกลื่อนกลาดบนโต๊ะมาวางทับไว้อีกที จัดการดีลีทเรื่องราวไร้สาระที่เขาพบเจอในวันนี้ลงถังขยะความคิดที่เขาเก็บกักมันไว้ส่วนในสุดของสมอง ถึงเวลาที่เขาควรพักผ่อนแล้ว
ถึงร่างกายของเขามันอ่อนล้าเสียจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่ …
แต่กลับเป็นเสียงกระซิบของจิตใจของเขาต่างหากที่มันเรียกร้องให้ปิดสวิตท์ตัวเองลงเสียที
พ่อข้า โปรดสงสารลูกด้วย ~
ขอให้พวกเขาชนะศึก ~
พ่อข้า ขอให้ท่านอวยยพรให้พวกเขาชนะศึก ~
เสียงพึมพำที่ถูกส่งออกมาอย่างน่าเวทนาดังแว่วเข้ามาในหูคนที่กำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงนิทราอย่างไร้การควบคุม สติของร่างบางเริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อยเมื่อรู้สึกว่าเสียงพวกนั้นมันเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับกำลังร่ำร้องอยู่ในห้องของเขา ความรู้สึกหวาดกลัวคือสิ่งแรกที่ยื่นมือออกมาต้อนการกลับออกมาจากห้วงแห่งนิทรา พยายามข่มตาลงพร้อมกับปิดกั้นทุกสัมผัสที่ร่างกายตอบรับ ไม่มีอะไรดีขึ้นไปกว่าเดิม เสียงเว้าวอนนั้นยังคงดังก้องกังวาลอยู่รอบ ๆ ตัวเขา และดูเหมือนมันยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ตามรอบเดินของเข็มนาฬิกา
โปรดมองดูเรา …
โปรดมองเห็นเรา …
โปรดช่วยพวกเราด้วย …
ปฏิเสธไม่ได้ว่ายิ่งฟังน้ำเสียงเว้าวอนที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ นั้นมันฟังดูน่าเวทนาเสียจนสามารถทำลายความหวาดกลัวให้หายออกไปจากจิตใจของเขาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ดวงตาคู่สวยค่อย ๆ ถูกเจ้าของมันเปิดขึ้นมาช้า ๆ เพื่อมองดูความฝันของตัวเองให้เต็มตา ไม่ว่าจะเป็นความฝันหรือความจริงการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เป็นสิ่งที่เขาพึงกระทำมันอยู่ตลอดเวลา
เว้นเสียแต่ครั้งนี้ คนที่เขาคิดจะยื่นมือไปช่วย มันอาจจะไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตแบบเดียวกันกับเขาอย่างที่ผ่านมา
พ่อข้า โปรดได้ยินเสียงลูกด้วย …
จดจ้องดวงตาคู่สวยไปยังร่างงามสง่าของหญิงสาวที่กำลังนั่งระทมทุกข์อยู่เบื้องหน้า เรียวปากสวยได้รูปที่กำลังร่ำร้องออกมาไม่ได้ดึงดูดความสนใจของเขาเท่ากับปีกนกขนาดใหญ่ที่เชื่อมติดอยู่กับแผ่นหลังของเธอ ยังมีอีกหลายสิบชีวิตที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ตรมเช่นเดียวหญิงสาวผู้นี้ กวาดสายตามองไปรอบ ๆ บริเวณที่ดูแตกต่างจากห้องนอนของเขาอย่างไม่ต้องนึกสงสัย ยันตัวลุกขึ้นมาจากเสาปูนต้นใหญ่ของวิหารที่ตอนนี้กลายเป็นซากประหลักหักพังเหมือนกับว่ามันคือที่ตั้งของสนามรบ เสียงเว้าวอนถึงที่พึ่งอันหนึ่งเดียวยังคงขับกล่อมฝ่าเท้าของเขาให้ออกเดินไปตรงหน้า ไม่หลงเหลือกับทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้น ราวกับกำลังเดินหลงทางอยู่ในสมรภูมิรบ
ขอพร เว้าวอน สิ้นหวัง
ความรู้สึกพวกนี้มันชัดเจนเสียจนเขาอยากจะร้องไห้ออกมา
เปรี้ยงงง !!
หันขวับไปมองทิศทางของเสียงที่ดังเสียจนหูของเขาดับไปชั่วขณะ เหล่านางฟ้ารีบพากันวิ่งไปยังเส้นสีแดงที่ขีดกั้นพวกนางเอาไว้จากสนามรบ เสียงสวดออดวอนเริ่มชัดเจนมากยิ่งขึ้นเมื่อด้านในสนามปรากฏร่างของชายหนุ่มรูปร่างงามสง่าสองคน ทั้งสองไม่รอช้าที่จะฟาดฟันอาวุธใส่กันเมื่อฝ่าเท้าเตะลงกับซากของวิหาร มีฝ่ายหนึ่งกำลังเพี้ยงพลั้งเขารับรู้ได้จากเสียงสวดที่ดังกระหึ่มจนเริ่มรู้สึกปวดแก้วหู ร่างกายสูงโปร่งถูกอาวุธของอีกฝ่ายฟาดลงกลางลำตัวจนล้มลงไปแน่นิ่งอยู่กับพื้น มองตามว่าที่ผู้ชนะที่กำลังเดินตรงไปยังร่างของชายหนุ่มผู้น่าสงสาร เสียงสวดออดวอนเริ่มกลายเป็นเสียงร้องไห้ ความสิ้นหวังกำลังเดินมาถึงจุดจบ หอกยาวถูกคนที่ยืนอยู่ยกมันขึ้นมาช้า ๆ ก่อนที่เขาจะพุ่งมันลงบนร่างของคนตรงหน้าอย่างไร้ความปราณี
“ ม่ายยยยย !! ”
Lalalaaa Lalalaa
หันใบหน้าขาวสวยที่ชุ่มแฉะด้วยเม็ดเหงื่อไปยังเครื่องมือสื่อสารที่ส่งเสียงร้องอยู่ข้างตัวด้วยอารามตกใจ รู้สึกวิงเวียนเล็กน้อยจากการสะดุ้งตัวขึ้นมาทั้ง ๆ ที่หัวสมองของเขายังคงจมดิ่งอยู่กับความฝันอันแสนประหลาดนั่น
หัวสมองที่กำลังร้อนรุ่มหากแต่จิตใจกลับรู้สึกหนาวเหน็บอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ความรู้สึกสับสนตีตื้นขึ้นมาบนอกบางมันอึดอัดเสียจนเขาแทบหายใจไม่ออก
ความฝันที่มันชัดเจนเสียยิ่งกว่าความจริง
สาบานเถอะ เรื่องราวที่พึ่งเกิดขึ้นมันน่ากลัวเสียจนเขาแทบคลั่ง
Lalalaaa Lalalaaaa
เป็นอีกครั้งที่เสียงร้องของโทรศัพท์กลายเป็นสิ่งที่ดึงรั้งสติของเขาให้กลับคืนสู่ร่างกาย เอื้อมไปหยิบมันขึ้นมากดรับสายอย่างไม่มีอารมณ์จะมองดูว่าเจ้าของเบอร์นั่นเป็นใคร
แต่ในเวลาแบบนี้ คงไม่มีทางเป็นใครได้นอกเสียจาก ....
“ ตื่นสายเหรอครับ หรือว่าพี่ปิดเสียงไว้ ”
เสียงใส ๆ ที่ถูกส่งออกมาจากคนปลายสายทำให้ร่างบางรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย ใบหน้าสวยเริ่มมองดูชุ่มชื่นขึ้น หากแต่ภายในจิตใจของเขามันยังคงหมองหม่นไปด้วยความรู้สึกหดหู่อย่างน่าประหลาด
“ พี่พึ่งได้ยินมันหน่ะ”
“ เหรอครับ ว่าแต่ .... ทำไมเสียงพี่ดูไม่ค่อยดีเลยหล่ะ ”
“ พี่ไม่เป็นอะไรหรอก.... เตนล์ .... ”
“ ครับ ?”
“ ตอนบ่ายสาม พี่ขอเวลานายซักครึ่งชั่วโมงได้ไหม ”
อากาศร้อนระอุในช่วงบ่ายของฤดูใบไม้ผลิเป็นเหมือนเครื่องผลิตเม็ดเหงื่อให้ออกมาจากร่างกายของเขามากกว่าปรกติ สาวเท้าเรียวสวยเข้าในร้านกาแฟร้านหรูที่อากาศภายในมันน่าอภิรมย์เสียจนร่างกายของเขาคลายความรู้สึกร้อนรุ่มออกมาได้ไม่น้อย กวาดตามองหาคนที่นัดไว้ ก่อนที่ใบหน้าเล็ก ๆ ที่ถูกปิดคาดด้วยหน้ากากอนามัยสีขาวสะอาดจะมองดูสะดุดตาเสียจนเขาไม่รอช้าที่สาวเท้าเข้าไปยังมุมในสุดของร้าน ค่อย ๆ หย่อนตัวลงตรงข้ามกับคนตัวเล็กที่รีบพับหนังสือในมือลงทันทีที่มองเห็นเขา
“เคลียร์งานเสร็จแล้วเหรอครับ ”
“อืม ขอโทษนะที่ต้องให้รอ”
“ ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมก็พึ่งมาถึงเอง”
เอ่ยบอกคนเป็นพี่อย่างยิ้ม ๆ พร้อมกับมือบางที่ย่นหนังสือเล่มหนาลงบนเป้ที่เปิดค้างไว้ เมื่อจัดการกับของของตัวเองเสร็จเรียบร้อย คนตัวเล็กกว่าก็ไม่รอช้าที่จะหันไปเผชิญหน้ากับคนเป็นพี่นั่งนิ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามทันที
“ พี่เรียกผมมา มีอะไรหรอครับ ”
เอ่ยถามคนตรงหน้าอย่างมีมารยาทหากแต่ดวงตาเรียวยาวที่จ้องมองมายังเขากลับแฝงไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นอย่างปิดไม่มิด ไม่ใช่แค่เตนล์คนเดียวที่รู้ว่าคนอย่างเขาเป็นมนุษย์ที่ไม่ชอบเข้าสังคมซักเท่าไหร่ จึงไม่แปลกที่คนตัวเล็กจะรู้สึกตื่นเต้นแปลก ๆ ยามเมื่อเขาเป็นคนเอ่ยปากเรียกหา ร่างบางเผลอถอนหายใจออกมาเบา ๆ พร้อมกับดวงตาคู่สวยที่เงยขึ้นสบคนตรงหน้าด้วยท่าทีที่ดูจริงจังเสียจนคนเป็นน้องต้องรีบหุบรอยยิ้มของตัวเองลงโดยทันที
“ นายรู้อะไรเกี่ยวกับสงครามระหว่างเทพบ้างไหม ?”
หลุบดวงตาต่ำลงเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่าคำถามของคนตรงหน้ามันดูแปลกประหลาดเสียจนเขายังไม่นึกอยากจะตอบโต้อะไรออกไป กักเก็บความขุ่นข้องไว้ในใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปสบกับคนด้านหน้าอีกครั้ง วาดรอยยิ้มขึ้นมาบนดวงตาเรียวสวยก่อนจะมองตรงไปยังคนเป็นพี่ที่กำลังรอคอยคำตอบของเขาอย่างใจจดใจจ่อ
“ ก็พอรู้มาบ้างหน่ะครับ เทพฝ่ายดีกับเทพฝ่ายร้ายก่อสงครามขึ้นด้วยจุดประสงค์ที่แตกต่างกันไป อีกฝ่ายก็พยายามช่วงชิงดินแดนแห่งสวรรค์มาเป็นของตน กับอีกฝ่ายที่ยึดตัวขึ้นมาปกป้องเหล่านางฟ้าและดินแดนที่เคยสงบสุขของตนเอง ส่วนตอนจบเข้าอีหรอบเดิม ๆ .... ยังไงพระเอกต้องเป็นฝ่ายชนะ ”
“ …………… ”
“ แล้วถ้าไม่ใช่หล่ะ ”
.
.
“ หา ? ”
นักเขียนหนุ่มส่งเสียงร้องออกมาเบา ๆ เมื่อได้ยินคำพูดของคนที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ตรงหน้า มองตามมือบางที่ล้วงลงไปหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาวางบนโต๊ะ ก่อนที่หนังสือเล่มหนาที่ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าจะทำให้หนอนหนังสืออย่างเขาตาลุกวาวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ หนังสือเล่มนี้ถูกตีพิมพ์แค่ครึ่งเรื่อง หน้าสุดท้ายเขียนถึงเรื่องราวของสงครามที่เกิดขึ้นบนสวรรค์ ที่ดูเหมือนผู้ที่ชนะ .....”
“………… ”
“ จะไม่ใช่เทพฝ่ายดีอย่างที่นายพูด ”
สายตาจริงจังที่ถูกส่งมาจากคนพี่มันทำให้รู้สึกชาวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่ชายหนุ่มที่เคยเอาแต่พร่ำบ่นเขาเกี่ยวกับการเบนส้นทางชีวิตไปในอาชีพที่มองดูไร้สาระเหลือเกินในขณะที่โลกกำลังเดินเข้าสู่ยุคโลกาภิวัฒน์เช่นนี้ กลับกำลังพูดถึงเรื่องราวที่ตัวเองเคยเกลียดแสนเกลียดด้วยท่าทีที่ดูจริงจังเสียจนน่าแปลกใจ
“ เกิดอะไรขึ้นกับพี่หรือเปล่าครับ”
เป็นไปตามคาดดวงตากลมโตที่เบิกโพลงขึ้นมาด้วยอารามตกใจ ยิ่งทำให้เส้นคิ้วเรียวยาวของเด็กหนุ่มผูกเข้าหากันแน่นยิ่งกว่าเดิม
“ นายรู้ได้ยังไง ”
“ ความน่าจะเป็นขั้นพื้นฐานหน่ะครับ ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไรเลยซักนิด”
เอ่ยบอกคนพี่ด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งรอยยิ้มเหมือนแต่เดิม จดจ้องไปยังคงที่กำลังทำท่าทางงุ่นง่านอยู่เบื้องหน้าด้วยความรู้สึกสับสนเสียจนอดไม่ได้ที่เอ่ยปากถามออกไปอีกครั้ง
พี่ยูตะไม่เคยเป็นแบบนี้ ตลอดระยะเวลาเกือบหกปีที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน
ในวันนี้ ความรู้หมองหม่นที่อยู่ครุกกรุ่นตัวของคนตรงหน้า มันชัดเจนเสียจนเขารู้สึกเวียนหัว
“ พี่ยูตะ ... ”
ส่งเสียงเรียกคนเป็นพี่เบา ๆ อย่างไม่ต้องการจะให้บรรยากาศมันมองดูน่าสะอิดสะเอียนไปมากกว่านี้ คนตรงหน้ามองมาที่เขาอย่างชั่งใจครู่หนึ่ง ก่อนที่ริมฝีปากคู่สวยจะค่อย ๆ เปิดออกอย่างช้า ๆ
“ เมื่อคืนพี่ฝัน สงครามของเทพ ทุกอย่างมันเหมือนจะยังไม่จบ .... ”
ถ้ายังไม่จบ.... แปลว่ามันกำลังเกิดขึ้นงั้นเหรอ ?
ครุ่นคิดกับตัวเองโดยไม่คิดสนใจคำพูดของคนตรงหน้าอีกต่อไป แพขนตาเรียวยาวกระพริบถี่ขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเขาลองเอาเหตุและผลจากเหตุการณ์ตลอดสามเดือนที่ผ่านมาประติดประต่อเข้าด้วยกัน
เขารู้ตัวเองดีว่าประสาทสัมผัสทางกลิ่นของเขามันผิดแผกไปจากมนุษย์ธรรมดามากแค่ไหน กลิ่นหอมแปลก ๆ ที่โชยออกมาจากร่างกายคนเป็นพี่ถึงมันจะรุนแรงแต่เขาก็ยังพอทนรับกับมันได้
แต่ตลอดระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมา....
เขากลับรู้สึกถึงกลิ่นที่โชยไปมาอยู่รอบ ๆ ตัว ทั้งที่แต่ก่อนมีเพียงคนแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เขาสามารถรู้สึกถึงมันได้
ราวกับเหล่าเทพกำลังแฝงตัวลงมาบนโลกมนุษย์เพื่อหลบหนีจากสงคราม
และถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ในอีกไม่ช้า .... โลกมนุษย์ของเขาจะมีสภาพเป็นอย่างไรกัน ?
“ เตนล์ .. นายฟังพี่อยู่หรือเปล่า ? “
ส่งเสียงเรียกเด็กหนุ่มที่กำลังนั่งพำพึมอยู่กับตัวเองอย่างนึกแปลกใจเมื่อเขาเปิดปากเล่าเรื่องความฝันของตัวเองจนจบสิ้นแต่กกลับไม่มีปฏิกริยาโต้ตอบส่งออกมาจากคนตรงหน้าอย่างที่ควรจะเป็น จ้องมองดวงตาเรียวสวยที่ค่อย ๆ เงยขึ้นมามองเขาช้า ๆ ที่ด้วยท่าทีที่ดูจริงจังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“ พี่ยูตะ .... ”
“ ถ้ามีมันอยู่แล้วไม่สบายใจ พี่ก็แค่กำจัดมันทิ้งไปก็พอ ”
กำจัดมันทิ้งไป ...
สิ่งที่ไม่สบายใจ ...
หนังสือเล่มนี้งั้นเหรอ ?
ยามเย็นที่เวลาเหยียบย่ำเข้าช่วงอัสดงเป็นช่วงเวลาที่ประสาทสัมผัสของเขาชัดเจนมากที่สุด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สองเท้าของเขาจะถูกเร่งเร้าให้เดินไปในที่ ที่ตัวเองคิดว่าปลอดภัย
ที่ ที่มีแต่กลิ่นของมนุษย์
ห้องพักของเขาที่ไม่อาจมีเทพองค์ใดแฝงกายเข้ามาได้
หน้ากากอนามัยถูกปลดออกเผยให้เห็นใบหน้างดงามที่น้อยคนนักที่จะได้ยลโฉมของมันอย่างเต็มตา ตั้งแต่เมื่อไรที่อุปกรณ์ปิดบังใบหน้าถูกยกขึ้นมาสวมทับความสวยงามให้ซุกซ่อนอยู่ภายใน ในสายตาของคนที่เดินผ่านไปมาเขาก็คงเหมือนเด็กขี้โรคคนนึงที่เอาแต่กักเก็บเชื้อโรคไว้กับตัวเอง ถึงมันจะเป็นสิ่งที่ดูน่ารังเกียจ
แต่ถ้าเลือกกับการเป็น ตัวประหลาด
เขายินยอมที่จะโดนรังเกียจไปแบบนี้เสียยังดีกว่า
สะบัดหัวกลมเล็กของตัวเองไปมาเบา ๆ เพื่อสลัดความคิดแปลก ๆ นั่นให้พ้นไปจากสมอง มือบางเอื้อมลงจับกลอนประตูก่อนที่มันจะต้องชะงักนิ่งอยู่กับที่เมื่อจมูกที่ไร้ซึ่งการป้องกันของเขารับรู้ถึงกลิ่นบรรยากาศที่ผิดแผกไปจากเดิม เหลือบตามองไปยังบานประตูห้องถัดไปที่ถูกแง้มออกเล็กน้อยราวกับมั่นใจถึงที่มาของมันอย่างไม่ต้องเสียเวลาตามหา เปลื่ยนทิศทางการเดินของฝีเท้าอย่างกระทันหันเมื่อกลิ่นของมันดูเหมือนจะมีอำนาจปลุกเร้าความอยากรู้อยากเห็นของเขาเสียจนหักห้ามใจไม่อยู่ สอดส่องสายตาเรียวยาวเข้าไปในรอยแยกของประตู ก่อนจะมองเห็นอะไรไม่ได้มากกว่าสีดำทะมึนที่วาดทับอยู่ภายใน แรงสะกิดเบา ๆ จากทางด้านหลังเรียกใบหน้าสวยให้หันไปมองยังที่มาของมันด้วยอารามตกใจ
“ คุณครับ เข้าห้องผิดหรือเปล่าครับ ”
To Be con ……
ความคิดเห็น