ลิขิตฟ้า ปริศนาจักรวาล - นิยาย ลิขิตฟ้า ปริศนาจักรวาล : Dek-D.com - Writer
×

    ลิขิตฟ้า ปริศนาจักรวาล

    โดย changlantian

    อี้เฉิน ชายหนุ่มลุกครึ่งไทย-จีน เดินทางไปยังท้องทุ่งกว้างนอกชานเมืองเพื่อถ่ายรูปฝนดาวตก จู่ๆ เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ฝนดาวตกพาเขาข้ามไปยังอนาคตหลายพันปีที่โลกได้กลายเป็นนรกบนดินไปเสียแล้ว

    ผู้เข้าชมรวม

    1,329

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    1.32K

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    17
    จำนวนตอน :  91 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  14 ส.ค. 66 / 14:34 น.

    อีบุ๊กจากนิยาย ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    บทนำ

     

    18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544

    ณ ทุ่งหญ้ากว้างแห่งหนึ่งแถบชนบท ประเทศไทย

         มันเป็นคืนที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งปราศจากเมฆหมอก ไร้ซึ่งแสงจันทร์รบกวนของคืนวันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544 ติณณภพ แซ่เซียว ชายหนุ่มลูกครึ่งไทย-จีน เขามีชื่อเล่นภาษาจีนว่า อี้เฉิน สะพายกระเป๋าเป้สีดำใบใหญ่ ภายในมีกล้องดิจิตอลคอมแพ็คตัวโปรด น้ำเปล่าขวดใหญ่ มีดพกแบบพับขนาดสี่นิ้ว สมุดโน้ตสีน้ำตาลเล่มเล็ก ปากกาน้ำเงินสองด้าม ฟิล์มสีสิบม้วน และช็อกโกแลตยี่ห้อโปรดสองห่อใหญ่ ดูเหมือนเจ้าของกระเป๋าเป้ใบนี้จะเตรียมพร้อมกับภาระกิจในค่ำคืนนี้อย่างเต็มที่ จะว่าไปแล้วพ่อหนุ่มอี้เฉินคนนี้เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ที่มีหน้าตาหล่อคมเข้มออกมาทางเชื้อสายไทยฝ่ายมารดามากกว่าฝ่ายบิดาซึ่งเป็นคนจีนเสียอีก นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนของเขาเต็มไปด้วยจินตนาการแห่งไฟฝัน เดินสะพายกระเป๋าเป้ใบใหญ่อยู่บนแผ่นหลังที่แข็งแกร่ง มือซ้ายถือขาตั้งกล้องที่พับขาเอาไว้อย่างเรียบร้อย มือขวาถือไฟฉายด้ามสีดำกระบอกใหญ่ ช่วงขาที่ยาวในชุดกางเกงทหารพรานก้าวลงไปยังทุ่งหญ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ต้นหญ้าที่สูงเกือบเมตรดูเตี้ยไปถนัดตา เมื่อเทียบกับความสูง 185 เซนติเมตรของชายหนุ่มวัย 18 ปีคนนี้ เขาใช้เท้าใหญ่สวมรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อสีดำเหยียบต้นหญ้าเพื่อเปิดทางให้ตัวเองสามารถเดินเข้าไปสู่ใจกลางทุ่งหญ้ากว้างได้สะดวกขึ้น

        เมื่อเดินมาถึงใจกลางทุ่งหญ้ากว้างดังที่ตั้งใจแล้ว อี้เฉินหลับตาสูดกลิ่นไอสดชื่นของทุ่งหญ้ายามค่ำคืนเข้าจนชุ่มปอดและค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ เปิดตาขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มพอใจ เขากวาดสายตามองไปรอบๆ 360 องศา ทุกอย่างเงียบสงบและมืดสลัว ไม่มีอะไรจะสมบูรณ์แบบเท่าค่ำคืนนี้แล้ว อี้เฉินคิดในใจ ทั้งสถานที่และบรรยาอากาศ มันเหมาะที่สุดที่จะเก็บภาพฝนดาวตกที่น่าตื่นตาตื่นใจในคืนนี้ได้อย่างดีเยี่ยม ฝนดาวตกที่มีมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศไทยและอาจจะทั่วโลก ซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มันช่างน่าตื่นเต้นอะไรเช่นนี้ สำหรับช่างภาพอิสระอย่างเขา นี่แหละคือเวลาที่ยอดเยี่ยมที่จะเก็บภาพน่ามหัศจรรย์นี้ไว้เป็นความทรงจำที่แสนวิเศษ และแน่นอน มันสามารถทำเงินให้เขาได้ด้วย หลังจากขายภาพดาวตกให้กับนิตยสารหรือรายการโทรทัศน์ประเภทสารคดีและท่องเที่ยวต่างๆ แล้ว เขาคงพอมีเงินยาไส้ไปได้อีกสักเดือนสองเดือน นึกถึงตรงนี้รอยยิ้มภูมิใจก็ระบายออกมาบนใบหน้าคมเข้ม ดวงตาเปล่งประกายมองไปรอบๆ เพื่อหาที่วางกระเป๋าสัมภาระหนักอึ้ง เท้าใหญ่ล้มหญ้าจนราบไปกับพื้นเป็นวงกว้างประมาณสองเมตร ก่อนจะวางอุปกรณ์ต่างๆ ลงไปที่พื้นหญ้า ก่อนหน้านี้หนึ่งอาทิตย์ที่เขาจะมายืนอยู่กลางทุ่งหญ้ากว้างใหญ่แห่งนี้เพื่อถ่ายภาพฝนดาวตก อี้เฉินได้ฟังรายงานข่าวทางโทรทัศน์ว่า ในคืนวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544 ไปจนถึงก่อนรุ่งเช้าของวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544 นั้น จะเกิดปรากฏการณ์ฝนดาวตกลีโอนิค ซึ่งจะมีอัตราฝนดาวตกสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์กว่าครั้งไหนๆ ที่เคยมีมา นั่นคือ 2,000 – 15,000 ดวงต่อชั่วโมง และช่วงเวลาที่ฝนดาวตกจะตกลงมาจากฟากฟ้าให้ได้เห็นลำแสงอันน่ามหัศจรรย์มากที่สุดก็คือ ช่วงเที่ยงคืนครึ่งถึงตีหนึ่งครึ่งของคืนวันที่ 18 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงต่อของเช้าวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544 และช่วงเวลานี้แหละที่อี้เฉิน จะได้เก็บภาพแห่งความมหัศจรรย์ของฝนดาวตกนับหมื่นดวงจากฟากฟ้าเอาไว้เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงในชีวิตช่างภาพอิสระของเขาอีกชิ้นหนึ่ง

      หลังจากจัดแจงตั้งขากล้องบนพื้นดินที่คิดว่ามั่นคงที่สุดแล้ว เขาจึงนำกล้องถ่ายภาพดิจิตอลออกมาจากกระเป๋าเป้ใบใหญ่วางติดกับฐานแป้นบนสุดของขาตั้งกล้องถ่ายภาพและล็อกมันไว้อย่างแน่นหนา

       “โอเค เรียบร้อย” 

    นี่คือประโยคแรกที่ติณณภพหรืออี้เฉิน พูดหลังออกจากบ้านตอนหัวค่ำและเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวของเขา ซึ่งตอนนี้มันจอดสนิทอยู่ที่ลานจอดรถของร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่งในหมู่บ้านต่างจังหวัดที่เขาเลือกเป็นสถานที่ถ่ายภาพฝนดาวตกในคืนนี้ ก่อนที่เขาจะเดินเท้ามาถึงทุ่งหญ้ากว้างแห่งนี้ 

     อี้เฉินพรูลมออกจากปากของเขาอย่างรู้สึกผ่อนคลาย มือเรียวใหญ่ยกขึ้นมาขยับหูฟังจากเครื่องเล่นไอพอตให้กระชับขึ้น จากนั้นค่อยๆ หย่อนก้นลงนั่งบนพื้นหญ้าที่ใช้เท้าเหยียบจนราบเป็นเบาะรองนั่งชั้นดี มือใหญ่จับด้ามไฟฉายส่องไปรอบๆ เพื่อให้แน่ใจว่า จะไม่มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญ เช่น งู หรือตะขาบ มานั่งชมฝนดาวตกเป็นเพื่อนด้วย ตอนนี้ทุกอย่างพร้อมแล้ว เหลือเพียงแต่เวลาเท่านั้น เวลาที่จะได้เห็นความยิ่งใหญ่อลังการของฝนดาวตกนับหมื่นดวง อี้เฉินเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า มันช่างเป็นคืนที่เจ๋งสุดๆ เป็นคืนที่ท้องฟ้ายอดเยี่ยมไร้ซึ่งเมฆหมอกและแสงสว่างใดๆ ที่จะมาเป็นอุปสรรครบกวนความงามของฝนดาวตก รอยยิ้มสุขใจระบายขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาอีกครั้ง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจับจ้องอยู่ที่บริเวณส่วนหัวของกลุ่มดาวสิงโตที่เริ่มโผล่พ้นจากขอบฟ้าทางทิศตะวันออกทีละน้อย เขาก้มลงดูนาฬิกาข้อมือสีดำเรือนใหญ่ เข็มนาฬิกาเรืองแสงบอกเวลาขณะนี้เที่ยงคืน 15 นาที ใกล้แล้วสินะ ความอลังการของฝนดาวตกใกล้เข้ามาทุกขณะ ชายหนุ่มยิ้มตื่นเต้นที่มุมปากบางของเขา เวลาที่เหลืออีก 15 นาที ดูจะยาวนานเหลือเกิน เขาขยับตัวอย่างกระสับกระส่าย เอื้อมมือไปคว้ากระเป๋าเป้ใบใหญ่มาใกล้ตัว มือขวาล้วงลงไปในเป้เพื่อควานหาอะไรบางอย่าง แต่ด้วยของที่มีอยู่มากมายในเป้ จึงทำให้เขาหาสิ่งที่ต้องการไม่เจอสักที มือข้างซ้ายจึงหยิบไฟฉายที่วางส่องแสงสว่างอยู่ที่พื้นหญ้าใกล้ๆ ตัวขึ้นมาส่องเข้าไปในเป้เพื่อหาของที่ต้องการ เมื่อแสงสว่างจากไฟฉายส่องให้เห็นของที่ต้องการในเป้ นั่นคือ ถุงช็อกโกแลต แล้วอี้เฉินก็ต้องชะงักกึกด้วยความแปลกใจ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนมีแสงวาบผ่านปลายตาเขาไปอย่างรวดเร็ว มันเป็นแสงวาบสีขาวแค่ไม่ถึงเสี้ยววินาที คิ้วดำหนาของเขาเริ่มย่นเข้าหากัน เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจากเป้แล้วมองไปรอบๆ ลานกว้างของทุ่งหญ้า

       “อะไรวะ” เขากระซิบถามตัวเอง “ไม่ใช่หรอก เหลือเวลาอีกตั้ง 15 นาที เอ่อ...ไม่สิ 13 นาที” เขายกนาฬิกาเรืองแสงขึ้นดูอีกครั้ง แล้วส่ายหน้าช้าๆ ยิ้มบางๆ ออกมาพร้อมหัวใจที่เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะมากขึ้นทุกขณะ และก่อนที่จะก้มหน้าลงไปหยิบช็อกโกแลตในเป้อีกครั้ง เขาก็ต้องชะงักกึก สีหน้าที่เต็มไปด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นลูกไฟแดงส้มขนาดเท่าลูกแตงโมพุ่งมาจากขอบฟ้าทางทิศตะวันออกในมุม 20 – 30 องศา แล้วหายลับไปในอากาศ

    “อะไรกันวะ...เวลาสำคัญแบบนี้ ยังจะมาจุดพุไฟเล่นกันอีก ไหนวันก่อนเจ๊ที่ร้านอาหารนั่นบอกว่าแถวนี้ไม่มีบ้านคนไง บ้าฉิบ...” 

    ชายหนุ่มบ่นอย่างหงุดหงิด ไม่ว่าคนที่จุดพุไฟเมื่อครู่จะเป็นใคร แต่เขาก็สรุปในใจไปแล้วว่า ต้องเป็นพวกเด็กแสบประจำหมู่บ้านที่อยากจะสร้างความสับสนให้กับคนที่มาดูฝนดาวตกอย่างเขาเป็นแน่ เขาถอนหายใจอย่างหงุดหงิด หันหน้ากลับมาที่ถุงช็อกโกแลตในมือ เขาฉีกมันออกแล้วเทช็อกโกแลตหลากสีลงบนฝ่ามือใหญ่ แล้ววางถุงช็อกโกแลตลงบนเป้ ดวงตาคมกริบและคิ้วที่ขมวดมุ่นเป็นปมมองจ้องไปยังขอบฟ้าอีกครั้งอย่างอารมณ์เสีย รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจับตาดูพุไฟจากเด็กมือบอนมากกว่าฝนดาวตกเสียแล้วตอนนี้ ระหว่างนั้นมือข้างหนึ่งก็หยิบช็อกโกแลตเม็ดจากฝ่ามืออีกข้างของตัวเองขึ้นมา ขณะที่ช็อกโกแลตกำลังจะเข้าปาก มือใหญ่ของเขาก็ต้องชะงัก พร้อมกับปากที่อ้าค้างอยู่ ดวงตาของเขาเบิกโพลงขึ้นเมื่อเห็นลูกไฟสีขาวพุ่งออกมาจากขอบฟ้าที่เดิมอีกครั้ง ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นจากพื้นอย่างอารมณ์เสีย ดวงตาจ้องเขม็งไปที่ขอบฟ้าด้านทิศตะวันออกซึ่งเป็นต้นตอของลูกไฟสองลูกที่เพิ่งผ่านตาเขาไปเมื่อครู่

     “ไอ้เด็กบ้าพวกนี้นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะเว้ย” อี้เฉินขบฟันพูดอย่างหมดความอดทน โยนช็อกโกแลตเม็ดที่เหลือในมือทั้งหมดเข้าปากแล้วเคี้ยวด้วยความโมโห มือทั้งสองข้างยกขึ้นเท้าเอวยืนจังก้ามองไปยังต้นตอของพุไฟด้วยสายตาขุ่นเคือง “ถ้าจุดพุอีกครั้งละก็ได้...” เขาหยุดอยู่แค่คำว่า “ได้” เท่านั้น ขณะที่ดวงตาคมกริบเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ ปากบางอ้าค้างอยู่แบบนั้น เมื่อสิ่งที่เห็นตรงหน้าขณะนี้ คือลูกไฟหลากสีนับสิบดวงที่พุ่งผ่านขอบฟ้าแล้วหายไปในอากาศต่อหน้าต่อตาเขา ชายหนุ่มรีบยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนครึ่ง

     “คุณพระ! อย่าบอกนะว่านั่นมัน...” พูดยังไม่ทันขาดคำ ลูกไฟนับไม่ถ้วนก็พุ่งลงมาจากฟากฟ้าอีกหลายชุด หัวใจอี้เฉินเต้นรัวอยู่ในอกจนแทบจะทะลุออกมาข้างนอก เนี่ยน่ะหรือที่เขาเรียกว่า - - ฝนดาวตก - - ที่คิดไว้มันไม่ใช่แบบนี้เลย เป็นเพราะไม่เคยเห็นฝนดาวตกมาก่อน เขาจึงจินตนาการไปว่า ฝนดาวตกก็คงจะเหมือนกับดาวตกธรรมดาที่เป็นดวงเล็กๆ สีขาวคล้ายเม็ดฝนที่เคยเห็นทั่วไปยามค่ำคืน แต่นี่มันไม่เล็กเท่าเม็ดฝนแล้วนะเนี่ย นี่มันเหมือนอุกกาบาตลูกไฟจากฟากฟ้าที่เคยดูในภาพยนตร์มาชัดๆ อี้เฉินพูดกับตัวเองในใจ ก่อนที่เขาจะร้องออกมา

    “ถ้าอย่างนั้นที่ฉันเห็นก่อนหน้านั้นก็ไม่ใช่พุไฟนะสิ เวรเอ้ย! ฝนดาวตกเป็นอย่างนี้นี่เอง สุดยอดไปเลยแม่เจ้าโว้ย” อี้เฉินตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ ชายหนุ่มรีบหันมาที่กล้องถ่ายภาพสุดรักที่ตั้งอยู่บนขาตั้งกล้อง เขารีบเข้าประจำที่ทันที ตอนนี้เลือดของการเป็นช่างภาพกำลังสูบฉีดพลุ่งพล่านไปทั่วตัวเขาจนแทบจะควบคุมความตื่นเต้นดีใจของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ มือเรียวใหญ่สั่นระริกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

    “บ้าจริง หยุดสั่นสิวะ” 

    เขาตีมือตัวเองเพื่อเรียกสมาธิกลับมา พลางสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วพ่นออกมาจากจมูกโด่งเป็นสันอย่างช้าๆ วิธีนี้ทำให้จิตใจของเขาค่อยๆ สงบและลดอาการตื่นเต้นได้ทุกครั้งในเวลาแบบนี้ ไม่ถึงหนึ่งนาที มือเขาหายสั่นและกลับเป็นปกติ เขาจึงเริ่มต้นกระบวนการถ่ายภาพฝนดาวตกสุดอลังการของเขาได้อีกครั้ง อี้เฉินเริ่มปรับรูหน้ากล้องให้กว้างที่สุดและปรับปุ่มตั้งเวลาในการถ่ายภาพฝนดาวตกมาที่Bจากนั้นจึงกดชัตเตอร์ค้างไว้โดยใช้สายลั่นชัตเตอร์ และทำแบบนี้หลายครั้งเพื่อถ่ายภายฝนดาวตกอย่างสนุกและสุขใจ จนกระทั่งถึงช่วงเวลา 01.00 น. ที่รายงานข่าวบอกว่า เป็นช่วงเวลาที่ฝนดาวตกมีอัตราสูงมากที่สุดถึง 15,000 ดวงต่อชั่วโมง อี้เฉินรีบเปลี่ยนฟิล์มม้วนที่ 4 เพื่อให้ทันถ่ายภาพฝนดาวตกชุดใหญ่ในช่วงเวลาต่อจากนี้ ชายหนุ่มจ้องมองฝนดาวตกชุดใหม่ที่พุ่งกระจายสุกสว่างไปทั่วม่านฟ้าผ่านเลนส์กล้อง เขากำลังปรับมุมกล้องเพื่อถ่ายภาพฝนดาวตกให้ได้มุมที่ดีที่สุด เพื่อภาพที่เขาถ่ายออกมาจะได้สวยที่สุดเมื่ออยู่บนหน้าปกนิตยสารฉบับใดฉบับหนึ่งต่อจากนี้ ทันใดนั้น ดวงตาคมเข้ม นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นก็เบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจผ่านเลนส์กล้อง เมื่อลูกไฟลูกใหญ่ ซึ่งแน่นอนมันคือลูกไฟของฝนดาวตกกำลังพุ่งตรงมาที่เขาอย่างไม่ต้องสงสัย และมันไม่มีทีท่าว่าจะมอดหายไปกลางอากาศเหมือนลูกไฟฝนดาวตกดวงอื่นๆ 

    “เวรแล้วไง!” 

    ก่อนที่อี้เฉินจะทันขยับตัวหนี เขาก็พบว่ามันสายเกินไปเสียแล้ว ลูกไฟดวงนั้นมาถึงตัวเขาแล้ว แสงสว่างฉายวาบแผ่กระจายไปทั่วทุ่งหญ้ากว้าง แต่แปลกที่มันไม่ทำให้เกิดเสียงใดๆ เลย หลังจากแสงสว่างวาบนั้นหายไป ร่างของอี้เฉิน พร้อมด้วยอุปกรณ์ทั้งหมดของเขาก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้เพียงก้อนหินอุกกาบาตสีดำไหม้เกรียมขนาดเท่ากำปั้นมือที่ยังร้อนจัดจนควันขึ้นขาวกลางทุ่งหญ้ากว้างภายใต้กลุ่มฝนดาวตกที่สวยตระการตา

     

     

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    คำนิยม Top

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    คำนิยมล่าสุด

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    ความคิดเห็น