ตอนที่ 62 : -25-
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำเอาคนที่กำลังอ่านหนังสืออยู่หน้าเตาผิงชะงักการกระทำและเบือนดวงตาคมกริบไปที่บานประตู
“เข้ามา”
ฮยอนซูเอ่ยก่อนจะต้องประหลาดใจเมื่อเห็นดวงหน้าขาวจัดของชายหนุ่มที่ได้ขึ้นชื่อว่าลูกบุญธรรม แววตาสีอำพันที่หยิ่งยโสนั่น...มองออกได้ชัดเจนว่าคือลูกชายคนไหน
“ฮยอกแจ?”
เจ้าของชื่อเม้มปากแน่น พยักหน้ารับก่อนจะเดินมาทรุดตัวลงนั่งตรงกันข้ามกับอีกคน ดวงตาสีอำพันจับจ้องพ่อเลี้ยงของตนนิ่งไม่วางตา ก่อนจะบิดเป็นรอยยิ้มเยาะ
“คงมีแค่คุณคนเดียวเนี่ยแหละ ที่ถึงแม้จะไม่รู้จักอึนฮยอก...แต่ก็ยังจำฉันได้”
“ใครจะจำเด็กที่ฉันเลี้ยงมากับมือตลอดยี่สิบปีไม่ได้กันมั่งเล่า”
ฮยอนซูเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก เปิดหนังสือขึ้นอ่านต่อ เป็นอีกครั้งที่คนตรงหน้าแสดงอาการเย็นชา...อีกครั้งที่ฮยอกแจรู้สึกเทิดทูลพ่อเลี้ยงของตนอยู่ลึกๆ แม้ในสายตาของใครต่อใครพวกเขาจะแลดูไม่ถูกกันก็ตามที
“คุณเรียกฉันมาเป็นการส่วนตัว?”
แทนคำพูดใดๆ เอกสารแผ่นนึงถูกยื่นให้ ดวงตาสีอำพันหลุบต่ำก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นแผ่นโอนหุ้นทั้งหมดของคนตรงหน้า...มอบแด่เขา
“ทำหน้าประหลาดใจซะจนไม่สมกับเป็นแกเลยนะ...” ฮยอนซูเอ่ยพลางเปลี่ยนหน้าหนังสือ สังเกตอีกคนห่างๆแม้จะไม่เงยหน้าขึ้นมองตรงๆ
“...หากต้องเซ็นสัญญาระดับโลก อย่าทำหน้าแบบนี้ให้คู่สัญญาเห็นเป็นอันขาด”
“ทุกอย่างที่คุณสอนฉัน...ฉันจำขึ้นใจดี แต่นี่...ไม่ใช่สิ่งที่คาดฝันเลยสักนิด”
“ทำไม? จะบอกว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติพอกับตำแหน่งประธานของโรสมาร์คอย่างนั้นเหรอ?”
“มันน่าจะเป็นของ...สายเลือดของคุณ”
ดวงตาสีอำพันหลุบมองภาพของเด็กน้อยที่วางอยู่ใกล้กับอีกคน ก่อนจะถามเสียงเบา
“...หรือจะให้ฉันรักษาการณ์แทน”
“ต่อให้แทมินโตขึ้นมา ฉันก็ไม่คิดจะยกบริษัทให้เด็กคนนั้นหรอก” ฮยอนซูเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว
“โรสมาร์คจะต้องเป็นของคนที่คู่ควรเท่านั้น ไม่สิ...ต้องเป็นของอี ฮยอกแจแค่เพียงเท่านั้น”
“เพราะคุณ...อยากให้ยัยนั่น ‘รัก’ อย่างนั้นเหรอ”
คำถามที่หลุดออกไป ทำเอาดวงตาคมกริบนั่นละจากหน้ากระดาษมาประสานสายตากับเขาทันควัน อี ฮยอกแจเหยียดยิ้มเหมือนสมเพชคนตรงหน้า
“ฉันบอกคุณแล้ว...ตั้งแต่เมื่อแปดปีก่อน ว่าอี นาบีไม่มีทางรักใครนอกจากตัวเอง”
“เธอไม่ได้รักตาแก่นั่นใช่ไหมล่ะ!? เธอไม่ได้รักอี ฮยอนซูเลย...ต่อหน้าฉันจะกล้าโกหกไหมเล่า!!!?”
“ใช่! ฉันไม่รักไอ้แก่นั่น! พอใจหรือยังเล่า!!!”
ฮยอนซูหลุบตาต่ำลง ก่อนจะหลับลงอย่างเจ็บปวด ฮยอกแจมองมันแล้วเหยียดยิ้มออกมา ขนาดเขาช่วยส่องทางสว่างให้แล้วแท้ๆ
“เสียงทะเลาะกันใครคราวนั้น...ไม่มีทางที่คุณจะไม่ได้ยินหรอก ทำไมกันนะ คนเก่งๆอย่างคุณต้องมาพ่ายแพ้กับอีเรื่องแค่นี้ แค่ผู้หญิงเพียงคนเดียวถึงกับยอมทำได้มากขนาดนี้เลยเหรอ”
“เพราะผู้หญิงคนนั้น...คือคนที่ฉันรัก”
“...”
“...และเพราะเธอ...เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของฉัน”
“...”
“คนที่จะเป็นลูกชายของฉันได้ มีเพียงอี ฮยอกแจแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น”
ฮยอกแจเม้มปากแน่น ก่อนจะเหยียดยิ้มออกอย่างหยามเหยียด
“ก็เพราะคุณเป็นอย่างนี้ไง...”
“...ฉันถึงไม่เคยเรียกคุณว่า ‘พ่อ’ เลยสักครั้ง”
อี ฮยอนซูมองลูกเลี้ยงของตนนิ่งๆ ฮยอกแจหยิบปากกามาก่อนจะเซ็นชื่อรับกรรมสิทธิ์หุ้นทั้งหมด นับจากนี้...เขาคือประธานเต็มตัวแห่งโรสมาร์ค
“ฉันจะทำตามที่คุณต้องการ โรสมาร์คจะเติบโตขึ้นในกำมือของฉัน ให้หุ้นมาแบบนี้ก็หมายความว่าไม่คิดเก็บน้องชายแท้ๆของตัวเองเอาไว้แล้วสินะ?”
“ความเป็นพี่ทำให้ฉันต้องปกป้องแฮซอกมาโดยตลอด แต่ถ้ามีผู้บริสุทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้อง...ก็คงจะยอมไม่ได้อีกต่อไป”
“คุณควรจะคิดได้แบบนี้ตั้งแต่พ่อของอี ทงเฮเสียไปแล้ว”
ดวงตาสีอำพันเย็นเยียบ มองคนตรงหน้าด้วยสายตาของคนที่ ‘รู้แจ้ง’ ถึงทุกสิ่งทุกอย่างนี้ นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ฮยอนซูตัดสินใจเลือกเขาเป็นลูกบุญธรรม เพราะเรามีอะไรที่เหมือนกันมากเหลือเกิน...
ยิ่งภายนอกเข้มแข็งมากเพียงไร ภายในก็อ่อนแอมากเพียงนั้น
“ฮยอกแจ...” ฮยอนซูเอ่ยออกมาท่ามกลางความเงียบอีกครั้งหนึ่ง
“...พ่อคนนี้คงทำให้ลูกต้องผิดหวัง”
**
การตัดสินใจรวมตัวกันของทั้งโรสมาร์ค และไลอ้อนจิวเวอร์รี่ทำให้สั่นสะเทือนกันไปทั้งวงการเพชรพลอย เพราะต่างก็เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในทวีปเอเชียและทวีปยุโรป ยอดขายในปีต่อปีก็สูสีคู่คี่กัน จนแม้ตอนนี้จะมีบริษัทเปิดใหม่หลายบริษัทแต่ก็ไม่สามารถลดทอนอำนาจของยักษ์ใหญ่ทั้งคู่นี้ได้เลย
อึนฮยอกรู้สึกอึดอัดกับการออกงานเป็นครั้งแรก หลังจากที่ถูกเปิดตัวกลางที่ประชุมเล่นเอาเหล่าผู้บริหารต่างพรึงเพริศกันไปตามๆกัน ถึงเขาจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานที่บริษัทแล้ว...แต่ในเรื่องงานสังคมก็พูดได้ว่ายังมีส่วนที่ต้องเกี่ยวข้องอยู่เยอะ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อี อึนฮยอกต้องมาเดินตามพี่ชายของตัวเอง ขนาบข้างด้วยคิม คิบอม และอี ทงเฮแบบนี้
“นี่น้องชายฝาแฝดของคุณที่เพิ่งหากันเจอเหรอครับ เหมือนมากเลยนะ”
อึนฮยอกจำได้ว่าได้ยินประโยคแบบนี้มมาหลายครั้งจนตาลาย ผู้คนมากหน้าหลายตาวนเวียนกันเข้ามาทักทายพี่ชาย ท่าทางของอี ฮยอกแจในมาดประธานบริษัทดูดีเสียจนเขาไม่กล้าเทียบชั้น นึกสงสัยตัวเองอยู่เหมือนกันว่าปลอมตัวเป็นอีกฝ่ายตั้งนานสองนานได้ยังไง
“มานั่งข้างพี่สิ อึนฮยอก”
ฮยอกแจเรียกน้องชายตัวเองพลางตบเบาะให้นั่งลงข้างๆ วันนี้เราสองคนใส่ชุดสูทดำเหมือนกันจนคนมองแยกไม่ออกเลย ถ้าหากไม่ใช่คนที่รู้จักกันดีน่ะ
“ฉันปวดตากับปวดหัวยังไงก็ไม่รู้”
ทงเฮบ่นออกมาเป็นคนแรก ไม่ต้องถามถึงอี จุนกิที่เพิ่งทราบความจริง กับควอน จียงที่เดินตาต้อยๆอยู่ด้านหลัง ทุกคนสามัคคีกันเงียบกริบเพราะวางตัวไม่ถูกไปตามๆกัน
คิบอมทรุดตัวลงนั่งข้างอึนฮยอกแล้วยิ้มให้คนที่เหลือ ทงเฮเลยเพิ่งทราบว่าใครเป็นใคร ทรุดตัวลงนั่งข้างฮยอกแจเตรียมดูแฟชั่นโชว์เครื่องเพชรที่กำลังจะเปิดตัวในปีหน้า แต่ละบริษัทต่างอวดความสามารถกันบนเรือนร่างของนางแบบ และฟีนาเล่คือ...ชุดที่มีเครื่องเพชรของทุกบริษัทพรั่งพร้อม
“อึนฮยอก...”
เสียงเรียกเบาๆจากด้านหลังทำเอาอึนฮยอกหันไปมอง ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อสบดวงตาสีอ่อนของเพื่อนสนิทที่ตอนนี้ดวงตาแดงก่ำ อึนฮยอกลุกขึ้นยืนแล้วแทบจะหันไปโอบกอดกับอี ซองมินเลยด้วยซ้ำ
“ซองมิน!”
“นายจริงๆด้วย! ฉันนึกว่านายตายไปแล้วจริงๆนะ!!” ซองมินเอ่ยพร้อมกอดอีกคนแนบแน่น ท่ามกลางสายตาของใครหลายคน
คิม ฮีชอลเยี่ยมหน้ามาหยิกแก้มน้องชายที่เริ่มบึ้งตึงด้วยความหวง ขณะที่ข้อศอกก็แซะคิม เรียวอุคที่จ้องอี ซองมินเขม็ง
“พวกนายแทรกเข้าไปไม่ได้หรอก สองคนนั่นเป็นเพื่อนรักกันนะ”
ฮีชอลเอ่ยบอกพลางหัวเราะคิกคัก หันไปยิ้มๆให้ฮยอกแจที่ยังนั่งมองน้องชายของตัวเองนิ่งๆ ประธานแห่งโรสมาร์คไม่ว่าอะไร แต่พอหันมาสบตากับคิม เรียวอุคก็เอ่ยทักออกมาเบาๆ
“ว่าไงไอ้เตี้ย~”
“ย่าส์~ ทักทายแบบนี้สิพี่ฮยอกแจตัวจริง!”
เรียวอุคยิ้มหวาน ก่อนจะเตรียมตัวคุยจ้อหากแสงไฟโดยรอบไม่ดับลงเสียก่อนเพราะถึงเวลาเดินแฟชั่นโชว์
กลุ่มคนบางกลุ่มก้าวเข้ามาท่ามกลางความมืด แต่ด้วยรูปลักษ์ที่โดดเด่นพ่วงดีกรีเป็นเจ้าของบริษัทเครื่องเพชรขนาดใหญ่ สายตาของคนทั่วไปเลยเผลอจับจ้องไปที่คนของไลอ้อนจิวเวอร์รี่ไม่ได้
ดวงตาคมกริบสีดำขลับของพญาราชสีห์แห่งไล้อ้อนจิวเวอร์รี่กวาดมองคนที่นั่งอยู่อีกฟากของเวทีแคตวอค คนสองคนที่เหมือนกันราวกับพิมพ์เดียว ต่างกันตรงที่พอคนนึงเห็นเขาก็หันมาวาดยิ้มทักทายตามมารยาทต่างกับอีกคนที่เบือนหน้าหนีแทบจะทันที
“ผมว่าเขามองพี่อยู่นะ”
อึนฮยอกหันไปกระซิกระซาบ น่าเสียดายที่ไฟมันมืดไปหน่อยเลยไม่เห็นว่าพี่ชายตัวเองตอนนี้ทำหน้าตายังไง อึนฮยอกเห็นชเว ซีวอนจ้องเขม็งที่ฮยอกแจไม่วางตาเหมือนมองออกว่าใครเป็นใคร และเป้าหมายของชายหนุ่มก็ไม่ใช่เขาด้วย
“หมอนั่นจะจ้องอะไรนักหนา”
คิบอมเอ่ยออกมาอย่างไม่ชอบใจ ยังไงเขาก็ไม่ชอบชเว ซีวอน...ไม่ว่าคนที่อีกฝ่ายหมายปองจะเป็นอี อึนฮยอกหรืออี ฮยอกแจก็ตาม
แต่อึนฮยอกคิดว่า...อีกคนยังหวงพี่ชายของตัวเอง
ทงเฮแย้มรอยยิ้มออกมาอย่างอ่อนหวานเมื่อประสานสายตากับโจ คยูฮยอน รองประธานไลอ้อนจิวเวอร์รี่ยิ้มน้อยๆตามมารยาท แม้ไม่มีอะไรลึกซึ้ง หากก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจรังงอนเหมือนเก่าก่อน ขณะที่ควอน จียงปั้นหน้ายากใส่ชเว ซึงฮยอน ท่าทางภายในคืนนี้เขาต้องหลบหลีกตัวเองให้ดีๆซะแล้ว
เครื่องเพชรชุดสุดท้ายที่ประดับกายนางแบบสาวก้าวออกมาจากหลังเวทีและกลับเข้าไป เหล่านักออกแบบเครื่องเพชรจะต้องก้าวขึ้นเวทีไปเรียงตัวกันเพื่อโค้งคำนับขอบคุณ ตอนนั้นหลายคนรู้สึกเหมือนเห็นว่านักออกแบบของไลอ้อนจิวเวอร์รี่ตรงเข้าไปกุมมือนักออกแบบของโรสมาร์คแล้วพากันโค้งด้วยกัน ก่อนจะโดนควอน จียงสะบัดรักใส่เมื่อเดินลงเวที
“ชิ! ไอ้บ้านั่นมือไวชะมัดเลย!”
จียงบ่นอุบอิบก่อนจะเงียบกริบเมื่อคนของไลอ้อนจิวเวอร์รี่เดินตรงมายังพวกเขา
“ฮยอกแจ...”
ชเว ซีวอนเรียกใครบางคนเสียงนุ่ม พอดวงตาสีอำพันวาววับนั่นหันมองเขาอย่างไม่แน่ใจ ก็เอ่ยอีกครั้งพร้อมรอยยิ้ม
“...ผมเรียกคุณนั่นแหละอี ฮยอกแจ”
ฮยอกแจมองอีกคนอย่างพินิจ เหมือนจะยิ้ม...หากก็เหมือนจะพยายามกลั้นยิ้มยินดีของตัวเองเอาไว้ ถามกลับเสียงแข็งเหมือนเง้างอดใส่
“จำได้ด้วยเหรอ?”
ซีวอนยิ้ม พร้อมพยักหน้ารับ ไม่สนใจสายตาขวางๆของคิม คิบอมเลยสักนิด ประธานหนุ่มของไลอ้อนจิวเวอร์รี่เอ่ยอีกครั้ง
“ขอคุยด้วยจะได้ไหมครับ”
อี ฮยอกแจทำหน้าประหลาด ไม่ทันได้เอ่ยอะไรเสียงของคิม คิบอมก็แทรกเข้ามาราบเรียบ
“งั้นก็คุยตรงนี้...” ดวงตาคมกริบสองคู่สบกัน คิบอมเน้นย้ำคำพูดของตนอีกครั้ง
“...คุยต่อหน้าผู้บริหารของพวกเรานี่แหละ”
ความเงียบปกคลุมทั่วพื้นที่ เหมือนคนสองคนกำลังเล่นสงครามเงียบกันอยู่อย่างนั้น ฮยอกแจเอ่ยตัดบท
“งั้นไปคุยกันที่โต๊ะอาหารน่าจะดีกว่า”
.
.
.
“บริษัทร่วมอย่างนั้นเหรอ?”
ฮยอกแจเอ่ยทวนคำพูดของอีกคนเสียงสูง ซีวอนพยักหน้ารับก่อนจะขยายความ
“ถ้าหากเราจะผลิตสินค้าด้วยกัน ทั้งคุณและผมก็คงจะไม่อยากเดินทางไปทำงานที่บริษัทของอีกคนหรอกนะ แต่หากเราตั้งพื้นที่ที่ทำงานขึ้นมาใหม่ พนักงานคงสบายใจในการทำงานขึ้นเยอะ เพราะเราทั้งสองต่างก็เป็นศัตรูกันมาตั้งนาน”
“นั่นก็จริง...” ฮยอกแจยอมรับเสียงเบา
“...แต่โรสมาร์คตอนนี้กำลังประสบกับปัญหา ‘หนอนบ่อนไส้’ มันคงจะยากสัหน่อยที่จะทำตามที่นายเสนอ นายเองก็คงจะไม่อยากให้ผลงานของไลอ้อนจิวเวอร์รี่หลุดรอดออกไปภายนอกเหมือนโรสมาร์คใช่ไหมล่ะ”
“ถึงเป็นอย่างนั้น ทั้งผมทั้งคุณต่างก็คงต้องคัดเลือกคนที่มาทำงานที่บริษัทร่วมนี่ เอาคนที่แต่ละฝ่ายไว้ใจมากที่สุดเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ฝ่ายของผม...โจ คยูฮยอน ชิม ชางมิน และชเว ซึงฮยอนคือคนที่ผมไว้ใจได้มากที่สุด”
อี ฮยอกแจนิ่งไปนิด หันมองผู้บริหารของตัวเองก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงราบเรียบ
“ฝ่ายโรสมาร์ค...คิม คิบอม อี ทงเฮ และควอน จียง”
คำพูดนั้นเหมือนเป็นการยอมรับข้อสเนอของไลอ้อนจิวเวอร์รี่โดยปริยาย ไม่มีฝ่ายใดคัดค้าน เพราะเป็นเรื่องของผลประโยชน์ร่วมกัน
“แล้วเรื่องสถานที่ล่ะ...” คิบอมเอ่ยออกมาพร้อมหรี่ตาลงอย่างจับผิด
“...เราคงไม่เลือกใช้สถานที่ของไลอ้อนจิวเวอร์รี่แน่ๆ”
“มีบริษัทร้างแห่งหนึ่งที่เปิดให้เช่าไม่ใกล้ไม่ไกลจากบริษัทของคุณและผม หากบูรณะนิดหน่อยก็คงจะสามารถใช้งานได้ง่ายๆ คุณเองก็จะมีส่วนร่วมก็ได้นะครับคุณคิบอม”
ซีวอนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม คิบอมเบือนหน้าไปทางอื่นเหมือนไม่ชอบใจอยู่ลึกๆหากก็ขัดเสียไม่ได้ แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องของงาน...ความรู้สึกส่วนตัวก็จำเป็นจะต้องตัดทิ้งเสียให้หมด หากกระนั้นคิบอมก็ยังไม่อยากมองหน้าซีวอนอยู่ดีนั่นแหละ
“เอาตามนี้ก็ได้...” ฮยอกแจเหลือบมองคิบอมอย่างเกรงใจเล็กน้อย ก่อนจะหันมาเอ่ยเสียงเรียบ
“...โรสมาร์คยินดีที่ได้ร่วมงาน คุณซีวอน”
ซีวอนขยับรอยยิ้มอีกครั้ง
“ไลอ้อนจิวเวอร์รี่ก็เช่นกันครับ”
**
“เรียวอุค พี่ว่านายเลิกเกาะแกะซองมินแล้วปล่อยให้เพื่อนเขาได้คุยกันจะดีกว่านะ” คังอินเอ่ยบอกน้องชายตัวเองพร้อมจิกหัวมันออกมา
“...เขาไม่ได้คุยกันตั้งห้าปีแล้ว ตามสบายนะครับซองมิน คุณอึนฮยอก”
บอกอีกสองคนที่กำลังยืนกุมมือกันโดยมีดวงตาของเรียวอุคมองค้อนเสียวาววับ ซองมินพยักหน้ารับให้ประธานบริษัทของตนเองก่อนจะหันมามองอึนฮยอกตาวิบวับ
“ฉันไม่นึกว่าจะมีวันนี้อีกจริงๆนะเนี่ย...” ดวงตาที่ยังดูกลมหวานนั่นคลอไปด้วยหยาดน้ำตา
“...คุณคิบอมบอกว่าเราเคยไปทานข้าวด้วยกัน นายน่าจะบอกให้ฉันรู้...ถ้าฉันรู้...”
“ขอโทษนะซองมิน...” อึนฮยอกตรงเข้าซุกกับบ่าของอีกคนอย่างออดอ้อน เป็นสิ่งที่ทำเป็นประจำเมื่อยามเด็ก และโตขึ้นมาเขาก็ยังทำเช่นนั้น
“...ฉันกลัวว่าความจะแตกน่ะ แต่รู้มั้ยว่าฉันดีใจแทบตายที่เห็นว่านายสบายดี...ฮึก...ดีใจจริงๆนะ”
“อย่าร้องสิ...” ซองมินเอ่ยเสียงสั่น กอดอีกคนไว้แนบแน่น
“...นายจะทำให้ฉันร้องไห้ตามไปด้วยแล้วรู้ไหม”
อึนฮยอกพยักหน้ารับพร้อมยกผ้าขาวขึ้นซับน้ำตาของตัวเอง ตอนนี้เขาไม่ควรที่จะร้องไห้...ทุกอย่างกำลังไปด้วยดี ตัวเขาควรที่จะมีรอยยิ้มที่สดใส ให้กับอี ซองมินเพื่อนเก่า และโลกใบใหม่ของตัวเองด้วย
“ฉันดีใจที่เห็นนายสบายดีนะซองมิน ตอนที่รู้ว่าพี่เขาทำอะไรกับไลอ้อนจิวเวอร์รี่...ฉันล่ะกลัวว่านายจะ...”
อึนฮยอกหยุดพูดคำต่อจากนั้น ถึงซองมินจะไม่เป็นอะไร แต่พนักงานคนอื่นๆของไลอ้อนจิวเวอร์รี่ก็คงไม่ได้มีอนาคตที่เลิศหรูเหมือนเพื่อนสนิทหรอก...บางครั้งอี ฮยอกแจก็ทำเกินไปจริงๆ แต่จะว่าก็ไม่ได้...พี่ชายทำเพื่อใครล่ะ หากไม่ใช่เขา
“พี่ชายของนายดีกับฉันมากอึนฮยอก...” ซองมินเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“...ไม่ว่าจะตอนที่ฉันยังอยู่ไลอ้อนจิวเวอร์รี่ หรือว่ามาทำงานที่ตระกูลคิม พี่ของนายดีกับฉันมากๆ นายโชคดีนะที่มีพี่ชายแบบคุณฮยอกแจ”
“พี่ชอบ...ทำเกินกว่าเหตุอยู่เรื่อยเลย” อึนฮยอกเอ่ยเสียงเหนื่อยอ่อน
“...หลายคนรวมทั้งพี่ด้วย ต้องมาลำบากเพราะฉันแท้ๆ”
“เพราะอย่างั้นฉันถึงได้บอกว่านายเป็นคนที่โชคดียังไงล่ะ...” ซองมินหัวเราะออกมาเบาๆ
“...ตั้งแต่เด็กจนโต ฉันไม่เคยเห็นใครไม่พยายามปกป้องนายเลยรู้มั้ย”
อึนฮยอกถึงกับนิ่งงัน...ใช่ เขามีแต่คนปกป้อง มีแต่คนยื่นความรักมาให้ ถึงคราแรกพบหน้าอาจจะมีหมันไส้หรือขี้หน้ากันบ้าง แต่ก็มีไม่น้อยที่หันมารักใคร่เขาราวกับเป็นเพื่อนรัก ช่วยเหลือยามยาก เพราะอย่างนี้ไง...ถึงได้อ่อนแอมาโดยตลอด
“นายเองก็โชคดีนะซองมิน คุณเรียวอุคท่าทางจะหวงนายมากอยู่”
เปลี่ยนมากระแซะเพื่อนรัก พยักเพยินไปที่คิม เรียวอุคที่มองพวกเขาราวกับเหงาหงอย ซองมินหัวเราะ
“ไม่เท่าคุณคิม คิบอมของนายหรอก”
คำเย้านี้ทำเอาอึนฮยอกถึงกับหน้าขึ้นสีเรื่อ ใช่...คิบอมยังจับจ้องพวกเขาไม่วางตามาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว
“นายจะไปคุยกับคยูฮยอนไหม?”
อึนฮยอกเสเปลี่ยนเรื่อง ถามเย้าถึงอดีตเก่า...เขาจำได้ว่าเพื่อนรักชื่นชมหนุ่มอารมณ์ดีคนนั้นมากแค่ไหน
“ฉันไม่มีความรู้สึกแบบนั้นกับคุณคยูฮยอนเขาแล้วล่ะ...” ซองมินตอบตามตรง เขาไม่รู้สึกอะไรจริงๆนอกจากความเกรงใจในฐานะนายเก่า
“...นายควรจะพูดคำนั้นกับคุณทงเฮมากกว่านะ ฉันได้ข่าวว่าสองคนนั้นเคยคบกันอยู่ครั้งหนึ่ง ก่อนที่พี่ชายของนายจะถล่มไลอ้อนจิวเวอร์รี่ และหลังจากนั้น...คุณคยูฮยอนก็หมั้น”
“...”
อึนฮยอกถึงกับนิ่งงัน ปะติดปะต่อเรื่องราวของโจ คยูฮยอนและอี ทงเฮได้อย่างง่ายดายขึ้นมาทันที
“ฉันว่าคุณคยูฮยอนเขาไม่มีความสุขที่ได้หมั้นกับคุณเฮริมหรอกนะ...” เพราะเป็นอึนฮยอก อี ซองมินถึงได้กล้าแสดงความคิดเห็นออกมา
“...คุณคยูฮยอนคนที่มองโลกในแง่ดีและขี้เล่น...เขาหายไปตอนไหนก็ไม่รู้ ตอนนี้ทุกครั้งที่ฉันมองคุณคยูฮยอน...ท่าทางเขาเศร้าๆ เก็บกดยังไงก็ไม่รู้”
นี่ก็เป็นอีกคนสินะ ที่ได้รับผลพวงจากการแก้แค้น
อึนฮยอกหลับตาลงอย่างเจ็บปวด...ทุกอย่างมันน่าจะเกิดขึ้นเพราะความอ่อนแอของเขานี่แหละ
“อีกเดี๋ยวโรสมาร์คกับไลอ้อนจิวเวอร์รี่ก็จะรวมกัน ฉันนึกไม่ออกจริงๆนะว่าเขาสองคนจะทำงานด้วยกันยังไงน่ะ”
“แต่ฉันคิดว่า...” อึนฮยอกเอ่ยขึ้นมาหลังจากเงียบไปนาน
“...ฉันต้องคุยกับฮยอกแจซะหน่อย”
เพราะฉันเป็นตัวต้นเหตุ...
...และฉันต้องแก้ไขมันด้วยตัวเอง
**
“นี่...”
อี ฮยอกแจเอ่ยเสียงเครียด พร้อมพยายามดึงมือออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย เอ่ยโดยไม่ยอมหลบสายตาเลยสักนิด
“...เดี๋ยวมีคนเห็นน่า”
“ใครเขาจะมาสนใจคุณกับผมกันเล่า”
ซีวอนเอ่ยหน้าตาย ดวงตายังจับจ้องเครื่องประดับในตู้โชว์ด้วยท่าทางไม่รู้ไม่ชี้จนฮยอกแจรู้สึกอึดอัดพิลึก จริงอยู่ว่าหลังจบแฟชั่นโชว์และแขกเหรื่อเริ่มทยอยกลับบ้างแล้ว แต่พวกเขาเป็นถึงประธานบริษัทโรสมาร์คกับไลอ้อนจิวเวอร์รี่เชียวนะ คิดว่าจะไม่มีใครมองเลยหรือยังไง
ในที่สุดฮยอกแจก็กระชากมือของตัวเองกลับออกมาจนได้
“ฉวยโอกาส”
ว่าเข้าให้...ซีวอนรู้สึกเหมือนเห็นลูกแมวกำลังขู่ฟ่อใส่อย่างไม่น่ากลัวเลยสักนิด
“ก็ผมคิดถึงคุณ”
หันมาสบตาแล้วเอ่ยเสียงเรียบ คราวนี้ฮยอกแจถึงกับปั้นหน้าไม่ถูก พยายามตีหน้านิ่งแล้วพยักเพยินไปที่น้องชายฝาแฝดของตนเองที่ยืนอยู่ไกลๆ
“คิดถึงอึนฮยอกมากกว่ามั้ง แต่งานนี้มีคิบอมคอยเฝ้า...นายเลยเข้าไปหาเจ้าตัวไม่ได้ล่ะสิ”
“คิม คิบอมเป็นคู่หมั้นของคุณ หากผมอยากจะเข้าไปหาอึนฮยอกจริงๆแล้วล่ะก็...ย่อมมีเหตุผลมากพอที่จะโต้กลับเขาได้อยู่แล้ว แต่ที่ผมยืนอยู่ตรงนี้เพราะคุณต่างหาก” ดวงตาสีเข้มเหลือบมองอฮยอกแจแล้วยิ้มน้อยๆ
“โกหก”
ดวงตาสีอ่อนนี่ก็กำลังเอ่ยบอกว่า...ไม่มีทางเชื่อที่เขาพูดเด็ดขาด
“ทำไมชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับน้องนักนะ”
ซีวอนเอ่ยออกมาเหมือนเหนื่อยหน่าย นานๆทีจะได้เจอกันสักที ทำไมฮยอกแจชอบตั้งแง่ใส่เขาอยู่เรื่อยเลยนะ
“ง่ายจะตาย...”
ฮยอกแจเบือนหน้ากลับมามองเครื่องเพชรของเหล่าบริษัทคู่แข่ง แต่ใจสิไม่ได้จดจ่ออยู่ตรงนั้นเลยสักนิด
“...นายเคยเกลียดขี้หน้าฉัน แต่ก็ยังคงช่วยฉัน เพราะอี อึนฮยอก...”
“...”
“...แล้วนายเองก็เคยบอกว่าฉันไม่สมควรได้รับความรักมากเท่าน้องชายของตัวเองด้วย”
ซีวอนนิ่งงันเมื่ออีกคนเบือนดวงตาหลบสายตาเขา คำพูดที่ทำร้ายอีกคนไม่รู้ตัวยังคงจำฝังใจอีกฝ่าย ตัวตนที่แท้จริงยังอ่อนแอแม้ภายนอกจะแข็งกร้าวมากขนาดไหน ร่างสูงยิ้มบางก่อนเลื่อนมือไปวางบนหลังมือขาวเนียนนั่น พออีกคนหันมาสบตาอย่างตระหนกเขาก็จับมันเอาไว้ไม่ให้อี ฮยอกแจหนีไป
“น้อยใจผมอยู่เหรอ?”
คำถามง่ายๆหากฮยอกแจตอบแทนด้วยการมองอีกคนอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
“คำพูดและความรู้สึกแบบนั้นน่ะนะ ผมพูดมันออกไปก่อนที่จะได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของคุณเสียอีก แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้วนี่...ผมไม่มีทางพูดคำพูดร้ายกาจแบบนั้นตอกใส่คุณอีกเป็นอันขาด...”
มืออุ่นกระชับแนบแน่นยิ่งขึ้น จนผู้ที่ได้รับเริ่มรู้สึกได้...ฮยอกแจเบือนหน้าไปทางอื่น ชเว ซีวอนเอ่ยอีกครั้งอย่างหนักแน่นยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
“อย่าคิดว่าตัวเองต่ำต้อยมากเลย คุณมีค่ามากกว่าที่คุณคิดเอาไว้เยอะ เชื่อผมสิ”
อี ฮยอกแจกัดริมฝีปากของตัวเองแน่น ก่อนที่ดวงหน้าจะขึ้นสีเรื่อเมื่ออีกคนเอ่ยออกมาเหมือนหยอกเอิน
“อย่างน้อย...ผมก็ซาบซึ้งบุญคุณของคุณในคืนนั้นนะ”
“ไอ้บ้า!!!...”
หันมาฟาดผลัวะด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล ขนาดซีวอนว่าตัวเองใส่สูทจนหนาแล้วยังแสบไปทั่วรูขุมขนเลย ฮยอกแจหน้าแดงก่ำก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเครียด
“...ลืมมันไปให้หมดเลยนะ!! เรื่องในคืนนั้นน่ะ!”
ซีวอนหันมารับมือที่จะฟาดลงมาอีก ลอยหน้าลอยตาเอ่ย
“ลืมเรื่องเมื่อห้าปีก่อนน่ะมันได้ แต่ไอ้เรื่องในคืนนั้นน่ะยังไงมันก็ลืมไม่ลงหรอก หลับตายังเห็นภาพคุณอยู่เลย”
“ไอ้ทุเรศ!!”
ฮยอกแจตวาดเสียงดังจนหลายคนหันมอง ซีวอนทำหน้าดุใส่ เอ็ดด้วยท่าทางจริงจังเสียงเบา
“เบาๆสิ ไม่ได้อยู่กันแค่สองคนนะ เดี๋ยวคนอื่นเขาก็รู้เรื่องของเรากันพอดีหรอก”
“ไม่มีเรื่องของเรา ชเว ซีวอน...” ฮยอกแจเอ่ยเสียงเครียด ดวงหน้าสวยจัดนั่นแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด
“...ลืมเรื่องทุกอย่างไปให้หมด แล้วนายกับฉันจะได้เป็นแค่ผู้ร่วมงานกัน เข้าใจไหม?”
“งั้นก็เลิกเขินตอนอยู่ต่อหน้าผมสักทีซิ”
“ชเว ซีวอน!!”
**
“แผล...”
เสียงเอ่ยเหมือนกล้าๆกลัวๆดังขึ้น คยูฮยอนหันไปมองคนที่เดินมายืนข้างๆเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“...หายดีแล้วเหรอ”
ทงเฮก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนะ แต่เดิมเขาเป็นคนที่มีความกล้าเผชิญกับแทบทุกสิ่ง แต่ยามนี้กลับรู้สึกขลาดเขลายังไงก็ไม่รู้เมื่อเผชิญหน้ากับโจ คยูฮยอน ที่ถ้าเป็นเมื่อห้าปีก่อน...เขาคงคุยกับอีกคนได้อย่างสบายๆ
“หายดีแล้วครับ ต้องขอบคุณคุณมากเลยนะ”
คยูฮยอนวางท่าทีเป็นมิตร หากกระนั้นก็ยังคงรักษาระยะห่างเอาไว้ นั่นทำเอาผู้บริหารแห่งโรสมาร์คเม้มปากแน่นเป็นเส้นตรง
“ก็...ดีแล้ว”
จะจบบทสนทนาลงเพียงเท่านี้น่ะเหรอ...ทั้งๆที่ทงเฮอยากจะอยู่ใกล้ๆอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ มากกว่าเวลาที่อีกคนนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล หรือเมื่อคราวที่เคยอาศัยร่วมชายคาเดียวกันพักใหญ่ๆ บางทีนะ...ทงเฮก็เพิ่งเข้าใจความรู้สึกของคยูฮยอน ตอนแรกเริ่มที่อีกคนเดินเข้ามาในชีวิตเขาใหม่ๆ เมื่อนั้นเขาแทบไม่ได้สนใจไยดีอะไรอีกฝ่ายเลย
เก้อกระดากเกินกว่าจะชวนคุยประโยคต่อไป ไม่มีอะไรจะคุยอีกด้วย เรื่องงานคุยกันบนโต๊ะอาหารจบแล้วก็คือจบเลย หากชวนคุยมากๆเข้าคยูฮยอนอาจจะหาว่าเขาเซ้าซี้ก็ได้มั้ง
“ทงเฮมีอะไรอยากจะคุยกับผมหรือเปล่า?”
คยูฮยอนถามออกมาเมื่อเห็นร่างเล็กอ้ำอึ้ง ทงเฮช้อนตามองอีกคนอย่างกล้าๆกลัวๆ รู้สึกเหมือนตัวเองเด็กลงจนอายุน้อยกว่าคนตรงหน้า ทั้งที่ความเป็นจริงเขาอายุมากกว่าถึงสองปีเชียวนะ
“ฉันอยากไป...สวนสนุกน่ะ” พูดเพียงแค่นั้น ก่อนจะรวบรวมแรงใจถามออกไปอีกครั้ง
“...นายพาฉันไปสวนสนุกอีกครั้งจะได้ไหม?”
ร่างสูงถึงกับนิ่งงัน สถานที่แห่งความทรงจำ ที่ๆเขาไม่เคยคิดเข้าไปเหยียบอีกเลยหลังจากเหตุการณ์เมื่อห้าปีก่อน ที่ที่เคยชื่นชอบมากที่สุด...กลับกลายเป็นสถานที่ที่แสนเกลียดเสียแล้ว
“ไม่ได้หรอก...”
เหมือนรู้ความนัยที่เอ่ยมา คยูฮยอนเม้มปากแน่นเป็นเส้นตรงเมื่อสบดวงตาของอีกคน มันฉายแววผิดหวังอย่างชัดเจน ทั้งที่ความจริงใจของอีกฝ่ายเป็นที่ประจักษ์แก่ใจแล้ว แต่เป็นเขาเองในตอนนี้ที่ไม่อาจตอบสนอง จนแล้วจนรอด...
“...เพราะผมเกลียดสวนสนุก”
...โจ คยูฮยอนก็ยังคงเป็นผู้ชายที่เลือกครอบครัวมากกว่าความรักอยู่วันยังค่ำ
อี ทงเฮรู้สึกเหมือนขอบตาของตัวเองร้อนผ่าวขึ้นมาในทันที เขาก้มหน้ารับสภาพพร้อมฝืนยิ้มเหมือนอยากให้อีกคนสบายใจ ไม่ว่ายังไงเราสองคนก็ยังคงต้องร่วมงานกันอยู่วันยังค่ำ
“นั่นสินะ นายเป็น...”
ร่างบางหลุบตาลงต่ำ ภาพพรมบนพื้นมันพร่าเลือน...น้ำตาของเขากำลังไหลออกมา กลืนก้อนแข็งๆลงคอพร้อมน้ำตาของตัวเองด้วย
“...คนแบบนี้นี่น่า”
เจ็บชะมัดเลย...
คยูฮยอนมองคนตรงหน้าก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น เหมือนไม่อาจมองภาพตรงหน้าได้อีกต่อไป
“นี่...”
ทงเฮไม่คิดว่าเขาจะกล้าเอ่ยปากคำนั้นออกมา ที่ตรงนี้อยู่ในมุมอับพอประมาณ ยื่นมือสั่นเทา...เหมือนวิงวอนอย่างไร้ศักดิ์ศรี
“...ขอแค่อีกครั้งเดียว...”
โจ คยูฮยอนกัดริมฝีปากของตนแน่นจนเลือดออก
“...ฉันขอกอดนาย...ได้มั้ย?”
ไม่มีคำพูดใดๆ ไม่มีแม้การตอบรับจากคนที่ตัวสูงกว่า อี ทงเฮกำลังถือวิสาสะ เดินเข้าไปโอบกอดคนที่ยืนแข็งทื่อราวหุ่นไม้ โจ คยูฮยอนนิ่งงันเมื่อสัมผัสได้ถึงไออุ่นในความหมายที่ไม่ได้รับมานานแสนนาน ขอบตาของรองประธานแห่งไลอ้อนจิวเวอร์รี่กำลังร้อนผ่าว ขณะที่น้ำตาของอี ทงเฮกลับไหลเป็นสาย
“ขอโทษนะ...”
บอกซ้ำๆ บอกมาหลายต่อหลายครั้ง แทบทุกครั้งที่เจอหน้ากัน แต่เขาก็รู้สึกเหมือนคำๆนั้นมันยังสื่อไปไม่ถึงอีกคนเลยสักนิด น้ำตาไหลอาบแก้ม...ที่แนบอยู่กับแผ่นอกแกร่ง
“ถ้าย้อนเวลาของเรากลับไปได้...ฉันจะไม่ทำอะไรโง่ๆแบบนั้น”
เสียงหวานเอ่ยออกมาอย่างสั่นเครือ คยูฮยอนรู้สึกเหมือนเกราะของตนเองกำลังปริ...และแตกร้าว
“ฉันจะไม่มีวันบีบบังคับให้นายต้องตอบคำถามอะไรบ้าๆแบบนั้น...”
ทงเฮซุกหน้ากับแผ่นอกแกร่ง เหมือนจะซึมซับความรู้สึกของอีกคนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ น้ำตาของเขากำลังเปื้อนสูทตัวเก่งของอีกคนเป็นด่างดวง
“...ฉันจะไม่มีวันทำร้ายคนที่...ฉันรักแบบนั้น”
“...”
คำพูดของอี ทงเฮเหมือนคำสาป และมันกำลังสาปให้คยูฮยอนแข็งเป็นหิน ตอบรับไม่ได้ ปฏิเสธไม่ได้ แม้แต่จะหายใจ...ยังทำไม่ได้
“นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันอาจจะได้พูดคำนี้...และไม่ว่านายจะเชื่อมันหรือไม่ก็ตาม...”
พอได้แล้ว...
“...ฉันจะพูดมันอีกครั้ง และอาจจะไม่มาให้นายเห็นหน้าอีกจนกว่าโปรเจคของสองบริษัทจะเริ่มขึ้น...”
...เจ็บจะตายอยู่แล้ว...
หญิงสาวคนนึงกำลังจะก้าวตรงมาทักทายพวกเขา เธอหยุด...ชะงักและกำลังจะถอยออกไป รวดเร็วพอๆกับที่คยูฮยอนเอ่ยออกมาเสียงดังลั่น
“...ฉันน่ะ...”
“หยุดนะ!...”
อี ทงเฮกลืนคำพูดต่อไปของตนเองลงคอ คยูฮยอนหลบตาเขา เอ่ยออกมาพร้อมด้วยน้ำเสียงสั่นระริก
“...อย่าไปนะ...”
ดวงตาสีสนิมเบิกกว้าง เมื่อสบดวงตาสีเข้มที่จริงจังยิ่งกว่าครั้งไหน
“...เพราะทุกครั้งที่ผมมองไม่เห็นทางสว่าง ผมจะพยายามมองหาคุณ และทุกครั้งที่ผมลังเลหรือสับสนผมอยากจะได้ยินเสียงของคุณ จนตอนนี้ผมแน่ใจแล้วว่าผมมันอ่อนแอมากแค่ไหนหากไม่มีคุณ...”
อี ทงเฮสูดลมหายใจลึก โจ คยูฮยอนก้าวเข้ามา และ...
“...แต่งงานกับผมนะ ชอง เฮริม”
...เดินผ่านเขาไป
โจ คยูฮยอนคุกเข่าลง...ต่อหน้าหญิงสาวที่หันมามองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง ไม่มีแหวนเพชรจะยื่นให้...หากชายหนุ่มก็กอบกุมมือนั้นเอาไว้ด้วยแรงอันสั่นเทา
“ต่อจากนี้...และตลอดไป ช่วยนำทางคนโง่อย่างผมด้วยเถอะนะ”
ชอง เฮริมถึงกับนิ่งงัน ก่อนที่ดวงตาคู่สวยจะรื้นน้ำตาและปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาเป็นสาย หญิงสาวสะอื้นแล้วพยักหน้ารับไวๆ โผเข้ากอดอีกคนไว้แนบแน่น ทั่วทั้งงานปรบมือให้ขณะที่ใครบางคนถึงกับยืนคว้าง
ทงเฮมองคนสองคนตรงหน้านิ่ง ก่อนจะพยายามฝืนยิ้มที่เขาคิดว่าทำได้ยากที่สุดในชีวิต เอ่ยออกมาเมื่อประสานสายตากับว่าที่เจ้าสาวซึ่งกำลังมีความสุข
“ยินดีด้วยนะฮะ คุณเฮริม”
ชอง เฮริมพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มเปี่ยมสุข ทงเฮหลุบตาลงต่ำก่อนที่จะรู้สึกหนักที่ช่วงแขน เงยหน้าขึ้นมา...คิม คิบอมกำลังมองเขาด้วยแววตาห่วงใยยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
“พาฉันออกไปจากที่นี่...”
ไม่รู้ว่าเสียงของตนเองสั่นเครือและแหบแห้งมากแค่ไหน เขารู้เสียงแค่เขาแทบทรุดลงไปหากอีกคนไม่ยื่นมือมาประคองเอาไว้อย่างทันท่วงที
“...ขอร้อง ฮึก...พาฉันกลับบ้านนะ”
คิบอมกัดริมฝีปากของตนเองแน่น พยักหน้ารับแล้วกึ่งอุ้มกึ่งพยุงให้อีกคนออกจากถานที่แห่งความปิติตรงนั้น...อย่างรวดเร็ว
**
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

คือแบบน่ารัก กุ๊กกิ๊กอ่านเเล้วอมยิ้ม เเต่เรื่องพ่อของฮยอกก็ต้องเจ็บเล็กๆละนะ
เเต่มันไม่เท่าคยูเฮเเน่!
คือโอ้โห นี่มันสุดยอดเลยย อ่านเเล้วล้มตึง
เข้าใจนะว่าเรื่องก่อนหน้านี้ทำคยูเจ็บ พอมาตอนนี้ก็เลยกลายเป็นเฮเจ็บแทน
เเต่คราวนี้มันเหมือนกับไม่มีทางเหมือนเดิมอีกต่อไป
คยูก็นะ..ใจจริงก็ยังรักอยู่เเต่เรื่องครอบครัวสำคัญกว่า
โอยย คู่นี้อะกว่าจะรักกว่าจะอะไรนี่มันทรหดสุดเลย
คิดบ้างป่าว ว่าทำแบบนี้ จะมีกี่คนต้องเจ็บ
สงสารเฮหง่ะ
สงสารทงเฮมากเลยอะ
ทำให้เข้าใจว่าทำผิดต่อคนที่รักตัวเองเพียงครั้งเดียว
ก็ไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้อีก
เจ็บแทนด๊อง
คยูไม่ได้รักด๊องอีกแล้วใช่มั้ย ความรู้สึกที่ด๊องกำลังบอกมันก็ไม่สามารถ
รับรู้อีกแล้วใช่มั้ย
การที่พูดประโยคพวกนั้นกับเฮริมทั้งที่ด๊องอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น
มันเท่ากับไม่ได้สนใจความรู้สึกด๊องเลย
ทำไมต้องเป็นทงเฮด้วย??? ตั้งแต่แรกกับคิบอมก็ทงเฮที่เจ็บปวด
พอครั้งนี้กับคยูฮยอน ก็ทงเฮที่เจ็บปวด
ไรท์เตอร์มาต่อเร็วๆนะ
บอกเฮหน่อยก็ได้ ถึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน แค่เข้าใจกันก็พอ
ที่ใจร้ายกว่าใคร คือไรเตอร์ ช่างทำร้ายกัน -*-
พูดอะไรออกมาหน่ะ
ทำไมถึงได้ดื้อแบบนี้ T T
วอนฮยอก -////- เขิน 555555
นี่คยูเฮ T^T โอ้ เราช็อคเลย
คยูอนนนนนนนนนนนน ไม่จริงดิ T^T ไม่ไม่ใช่
ไม่เอาไม่ให้แต่งงงง โอ๊ยทงเฮ T^T *กอดปลอบ*
พอมาอ่านคยูเฮ แทบกรีดร้อง
มันเจ็บปวดเกินไปอ่า
สงสารทั้งคยูและเฮนะ
แงงงงงงงง
มาต่อไวๆเลย เศร้าาาาาาTT
มันแบบว่า โอ่ยยย!! มันงุ๊๊งงิ๊ง..งุ๊งงิ๊งมากเลย มีงอน มีง้อ แล้วก็มีการท้าวความถึงคืนอันเร่าร้อน อั๊ยย๊ะ!! >///<
คยูเฮท่าจะดราม่าหนัก ㅠ.ㅜ สงสารทงเฮจริงๆ ทำไมกันนะ ไม่สมหวังตั้งแต่คิบอมแระ ยังจะคยูฮยอนอีกหรอ ㅠㅅㅠ
คยูฮยอนนายใจร้ายมาก นี่ไม่ใช่วิธีที่ดีเลยนะ นายกำลังหนีปัญหา นายกำลังกลัวความเจ็บปวด
และสิ่งที่นายกำลังทำอยู่ตอนนี้มันไม่ใชแค่ทำให้ทงเฮเจ็บคนเดียวนะ คนที่เจ็บอีกคนก็คือนายนั่นแหละ ดูท่าแล้วจะเจ็บมากกว่าทงเฮด้วยแน่ๆ
ปูลู >> มินอุค/อุคมิน อะไรกัน??!!!?? (O[]o)(o[]O)
เพราะว่าเฮทำไว้เมื่อ 5 ปีก่อน
ส่วนฮยอกก็เริ่มแสดงความอ่อนแอออกมามากขึ้น
หวังว่าฮยอกจะมีช่วงที่มีความสุขบ้างอะไรบ้างน่ะ
หมดคำพูดเลย จริงๆ
เราเขินวอนฮยอก ^/////^
เชอะๆทำมาเล่นตัววว แต่งงานกับผู้หญิงเพื่อขฃจะได้ลืมด๊องได้เหรอ
ด๊องงงหนีไปมีแฟนใหม่เลย สวยๆยังงี้
คู่สอนฮยอกก็น่ารักกก
คยูเล่นขอสาวแต่งงาน ทั้งที่เฮกำลังจะพูดบางอย่าง
อึนฮยอก จะช่วยแก้ปัญหาไงล่ะเนี่ย
สงสารทงเฮมากอ่ะ ทำไมทำเเบบนี้ T^T
เเค่ฟังครั้งสุดท้ายก็ไม่ได้เหรอ?? ก็เข้าใจว่าเจ็บมาเยอะเเต่เราสงสารพี่ทงงงงง
เเล้วจะเสียใจที่ทำเเบบเน้~~~~~~~
คู่วอนฮยอกนี่ให้ฟีลคนละด้านกับคยูเฮเลยนะ หยอกเอิ้นน่ารัก
คืนวันนั้นมันให้ผลดีกว่าที่คิดเยอะะะ 5555++
สงสารหมวยอ่ะ คยูใจร้ายยยยยย