ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สายฝนในลมหนาว

    ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่สิบ...ร้างลา

    • อัปเดตล่าสุด 10 ม.ค. 50


    ตอนที่สิบ...ร้างลา

                ตอนหัวค่ำ  ณพมาถึงสถานีขนส่งอย่างทุลักทุเล ฝนที่ตกเมื่อวานยาวต่อเนื่องจนถึงวันนี้ ถึงมันไม่ตกมากแต่ก็ปรอย ๆ พอทำให้อากาศหนาวเย็นจับใจเหลือเกิน  แม่ฝากของไปให้กฤษเยอะแยะ ส่วนมากเป็นของที่กฤษกับณพชอบ ๆ ทั้งนั้น

                ฝนตกมาตลอดทางเลย แอร์ของรถก็ช่างเย็นเหลือเกิน ผ้าห่มที่ให้ไม่พอสำหรับป้องกันความหนาวในคืนนี้แน่ ๆ ณพจึงหยิบเสื้อแขนยาวมาสวมทับอีกตัวหนึ่ง ซึ่งพอบรรเทาความหนาวเย็นไปได้บ้าง พรุ่งนี้เช้ากฤษก็คงมารับเขาที่หมอชิตเช่นเคย

                หลังจากที่ตินรู้จากกฤษว่าณพจะลงมากรุงเทพฯ  คืนนี้เขานอนกอดกฤษราวกับกฤษเป็นหมอนข้าง และกอดแน่นเหลือเกินเหมือนเขากลัวว่ากฤษจะหายไปไหน มันจะอึดอัดอยู่บ้าง แต่กฤษก็รู้สึกอบอุ่นอยู่ไม่น้อย

    ....................................................

                กฤษตื่นแต่เช้าไปรับณพที่หมอชิต  ส่วนตินนั้นก็ตื่นพร้อมกับกฤษเช่นกัน  เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าพร้อมที่จะย้ายไปพักกับเพื่อนชั่วคราว

                เช้านี้ท้องฟ้าก็ยังดูมืดครึ้มอยู่เช่นเดิม  เหมือนกับเรื่องบางเรื่องที่ยังอึมครึมอยู่ในใจกฤษไม่จางหาย รอวันนี้วันที่ทุกอย่างจะกระจ่างขึ้นมา หากว่าณพต้องการจะร้างลา กฤษก็ไม่ว่ากัน วันนี้กฤษพร้อมทุกอย่างพร้อมที่จะเผชิญความโหดร้ายที่จะเข้ามากระทบต่อความรู้สึกและจิตใจ เพราะว่ากฤษยังมีอีกคนหนึ่งที่ค่อยห่วงใยและให้กำลังใจยามที่เขาไม่มีใคร

                กฤษไปรับณพมาถึงที่ห้อง ณพรีบจัดการทำธุระส่วนตัวพร้อมกับเปลี่ยนเสื้อเพื่อ ไปสัมภาษณ์งานตามที่นัดไว้ โดยที่มีกฤษไปเป็นเพื่อนเช่นเคย

                ตอนสาย ๆ เริ่มมีแสงแดออกมารำไร  เสียงนกกระจอกร้อง จิบ จิบ บินว่อนออกหากิน   บรรยากาศเริ่มดีขึ้น เป็นลำดับ กฤษนั่งรอณพหน้าสำนักงาน  เขาให้ณพทำข้อสอบประเมินผล แต่ที่จริงก็ทำเป็นพิธีเท่านั้น เพราะฝ่ายบุคคลแจ้งให้ณพไปเปิดบัญชีที่ธนาคารประจำของบริษัทเอาไว้ พร้อมกับให้ถ่ายสำเนาไปยื่นไว้กับฝ่ายบุคคล  เมื่อณพจัดการธุระเสร็จทั้งสองนัดกันว่าจะไปเดินเล่นห้างสรรพสินค้าสักหน่อยและจะไปหาอะไรทานด้วย แต่แล้วก็ไม่มีอะไรแน่นอน จู่ๆ เมฆฝนก็ตั้งเค้าอีกครั้ง พร้อมกับเม็ดฝนที่หยดลงมาเป็นสายน้ำ  ทั้งสองคนจึงต้องจำใจหาอะไรทานกันแถวนั้นไปก่อน 

    .....................................

                กฤษกับณพเดินออกจากโรงภาพยนตร์มา ก็แวะทานอาหารญี่ปุ่นบุฟเฟ่ต์ ซึ่งเป็นร้านที่กฤษกับณพทานเป็นประจำทุกครั้งที่ณพมากรุงเทพฯ  ทั้งสองก็คุยกันเหมือนปกติทุกอย่าง รวมไปถึงการวิจารณ์หนังที่ดูมาเมื่อกี้ ราวกับว่าไม่มีเรื่องขุ่นเคืองในใจ  

                เมื่อกลับมาถึงห้องณพก็ขอตัวอาบน้ำก่อน เพราะวันนี้เขารู้สึกเพลียเหลือเกิน  นานๆ ทีมากรุงเทพปรับตัวไม่คอยจะทัน ณพเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบผ้าเช็ดตัวพลนสายตาเขาเหลือบเห็นเสื้อยืดตัวหนึ่ง เป็นเสื้อวัยรุ่นคงไม่ใช่เสื้อของกฤษแน่นอน เขารู้ดีว่ากฤษชอบใส่เสื้อผ้าแบบไหน  เดี๋ยวเขาขอตัวอาบเสร็จก่อนค่อยมาถามไถ่

                ณพเดินเข้าห้องน้ำไป  พอปิดประตูสักพักกฤษก็หยิบโทรศัพท์มือถือของณพขึ้นมาดูข้อความที่เขาได้รับหรือข้อความที่เขาส่งออก  ข้อความที่เขาได้รับนั้นไม่ค่อยเท่าหรอก  แต่ข้อความส่งออกนะสิ  ทุกประโยคทุกตัวอักษรมันช่างบาดลึกลงไปก้นบึ้งหัวใจของกฤษ  มันเป็นการตอกย้ำว่าทุกอย่างต้องรู้เรื่องกันภายในวันนี้  กฤษหยิบซองสีน้ำตาลขึ้นมาวางไว้บนที่นอน เพื่อว่าจะได้หยิบสะดวกเวลายื่นให้ณพอ่าน

                ณพออกจากห้องน้ำมาแต่งตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า กฤษนั่งดูทีวีไปพลาง ๆ  เมื่อณพเปลี่ยนเสื้อเสร็จเขาไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร หยิบเสื้อยืดแปลกตาตัวนั้นออกมาถามทันที

                ตัวเองนี่เสื้อใคร  กฤษหันไปมองที่ณพ หัวใจวูบลงตาตุ่มทันที   เสื้อเจ้าติน กฤษลืมสำรวจความเรียบร้อยก่อนที่จะออกไปรับณพ

                เสื้อของเขา ตัวเองทำไมเหรอ  กฤษแก้ตัวไปน้ำขุ่น ๆ แล้วหันหน้าไปดูทีวีต่อเพื่อกันการจับพิรุธ

    แล้วกางเกงบ๊อกเซอร์ตัวนี้ละ ตัวเองอย่าบอกของตัวเองนะ   ณพหยิบกางเกงบ๊อกเซอร์จากชั้นเก็บกางเกงในขึ้นมาให้กฤษดูอีกตัวหนึ่ง

    ก็ของเขาซื้อมา ทำไมหรอ  กฤษยังไม่ยอมรับ

    นี่ตัวเอง พาใครมาที่ห้องก็บอกเขาได้ เขาไม่ว่าอะไรหรอก  ไม่ต้องมาปิดบังกัน ณพพยายามหว่านล้อมให้กฤษรับสารภาพ

    แล้วตัวเองละมีอะไรจะเล่าให้ฟังไหมล่ะ ที่ปิดบังเอาไว้  กฤษย้อนถามกลับคืน

    เขาไม่อะไรที่ต้องปิดบังตัวเองนี่  ณพยืนยันถึงความบริสุทธิ์ของตัวเอง ณ ตอนนี้ เพราะเขาไม่อะไรจริง ๆ  สำหรับพัฒน์มันก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว

    แล้วนี่ล่ะ มันคืออะไร  กฤษยื่นซองสีน้ำตาลให้ณพ

    ณพรับซองมาพร้อมกับเปิดหยิบกระดาษสีขาวในซองขึ้นมาอ่านทีละแผ่นที่ละแผ่น

    วันนี้ช่างมีความสุขเหลือเกิน ไปเล่นน้ำด้วยกันมาแล้ว หลังจากเที่ยวผับเสร็จ เราทั้งสองยังขับรถขึ้นมาดูวิวบนจุดชมวิว บรรยากาศตอนดึกแบบนี้มันช่างสุขใจเหลือเกิน ยิ่งอยู่ใกล้เขาผมก็ยิ่งมีความสุข….. นี่เหรอสิ่งที่บอกว่าไม่ได้ทำ  ถ้าไม่ได้ทำแล้วจะเอามาโพทะนาทางเนตทำไม อยากให้คนอื่นได้รู้สิว่าตัวเองกำลังมีความรักที่หวานซึ้ง ช่างมีความสุขเหลือเกิน กฤษปล่อยคำประชดชุดใหญ่ชุดแรกออกไป

    ณพอึ้งเงียบไปพักใหญ่  กฤษเห็นณพไม่พูดอะไรกลับมายิ่งทำให้อารมณ์ที่เก็บกดอยู่ข้างในมันพุ่งพล่านมากขึ้น

    ไหนบอกเขาว่าเป็นแค่เพื่อนกัน เพื่อนกัน ทำไมตัวเองทำกับเขาแบบนี้  ทั้ง ๆที่เขาไม่เคยทำร้ายตัวเอง แต่ตัวเองกลับทำร้ายเขาตลอด กี่ครั้งแล้วที่ตัวเองทำแบบนี้ กฤษส่งระเบิดชุดสองออกมาอีก

    เรื่องมันตั้งนานแล้ว ณพพยายามอธิบาย

    เรื่องมันตั้งนาน สงกรานต์เนี้ยนะ นาน มันเพิ่งผ่านมาไม่กี่อาทิตย์  แล้วที่ตัวเองบอกว่าไปเที่ยวกับพี่เอก แต่ตัวเองกับไปเที่ยวกับคนชื่อพัฒน์ ทำไม่บอกเขาตรง ๆ บอกมาสิ เขาไม่ห้ามหรอก เขาเคยห้ามตัวไหมล่ะ ว่าตัวเองจะไปไหนกับใครใครเคยห้ามไหม ไม่เคยเลย   แต่ขอให้ตัวเองบอกเขาตามตรง ๆ ว่าไปกับใคร  ถามจริงเถอะตัวเองรักคนชื่อพัฒน์ใช่ไหม  กฤษพูดออกมาทุกอย่าง แบบที่ใจตัวเองต้องการ

    ณพเงียบไม่ยอมตอบ เบือนหน้าหนีไปทางอื่น

    ถามจริงเถอะ เขาเป็นอะไรสำหรับตัวเองกันแน่  เขาไม่ต้องการคำตอบเดิมๆ  ที่บอกว่าตัวเองสงสารเขา  ถ้าหากตัวเองไม่ต้องการเขาแล้วก็ปล่อยเขาไปเถอะ

    ณพรู้สึกผิดที่เขาทำร้ายจิตใจของกฤษมากขนาดนี้  เขารู้ว่ากฤษอาจจะมีนอกลู่นอกทางบ้าง แต่ก็ไม่เคยนอกใจจากเขา แต่เขาไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรดี  ณพหันไปมองดูรอบ ๆ ห้องเพื่อที่จะหาคำแก้ตัว แต่สายตาเจ้ากรรมของเขาพลันไปเห็นรองเท้านักเรียนวางอยู่ใกล้ชั้นวางรองเท้า อารมณ์ที่รู้สึกผิดเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน

    แล้วตัวเองล่ะ มีอะไรปิดบังเขาไว้  พาใครมาอยู่ที่ห้อง ณพเป็นฝ่ายรุกบ้าง

    เปล่า กฤษยังปฏิเสธเสียงแข็ง

    แล้วรองเท้านักเรียนคู่นั้นล่ะ อย่าบอกว่าเป็นของคุณ  ณพเริ่มเป็นสรรพนานเรียกกฤษว่าคุณ

    ทำไมถ้าไม่ใช่ของผม แล้วจะเป็นของใคร กฤษก็เปลี่ยนสรรพนามเรียกตัวเองว่าผมเช่นกัน  การทะเลาะเริ่มจะเข้มข้นมากขึ้น มากขึ้น

    คุณไม่ต้องโกหกผมหรอก มีอะไรก็พูดมา

    แล้วคุณละ ความจริงของคุณคืออะไร คุณก็บอกมาสิ  กฤษก็อยากจะรู้ว่าณพจะเอาอย่างไรกันแน่ๆ

    ผมเคยรักเขา ณพเอ่ยปากออกมา

    เห็นไหม คุณก็ยอมรับว่าคุณรักเขา เอาเถอะต่างคนก็ต่างอยู่ก็แล้วกัน  กฤษตัดใจพูดออกไป ทั้ง ๆที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำได้หรือไม่

    ก็ได้ต่างคนต่างอยู่ งั้นก็เลิกกันเลย คุณก็จะได้อยู่กับเด็กเจ้าของ เสื้อผ้า รองเท้าคู่นี้อย่างสบายใจเฉิบ  อยู่ด้วยกันมานานแล้วสิ ถึงมีเสื้อผ้าเก็บไว้ที่นี่  ณพเริ่มเป็นฝ่ายระรานบ้าง

    ใช่แล้วจะทำไม  น้องเขามาอยู่กับผมเป็นเดือนแล้ว แต่เราไม่ได้คิดอะไรกัน เราเป็นพี่เป็นน้องดูแลกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ  กฤษเผยความจริงออกมาอย่างไม่เกรงใจต่อความรู้สึกของณพ

    เชื่อได้สิ  ว่าอยู่ด้วยกันเป็นเดือนแล้วไม่มีอะไรกัน คนอย่างคุณเชื่อได้นี่  ณพขุดเอาความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจมาพูดบ้าง

    ไม่เชื่อก็ตามใจ กฤษพูดออกไปอย่างไม่แยแส

    ก็ดี ก็ไม่ต้องคุยกันเลิกกันไปเลย  ณพตัดเยื่อขาดใย เพราะความน้อยใจที่กฤษเอาคนอื่นมาอยู่ที่ห้องโดยปิดบังเขา และน้อยใจที่กฤษไม่ยอมรับรู้ว่าเขากับพัฒน์นั้นเป็นแค่เพื่อนกันจริง  ๆ ณ. ตอนนี้  ส่วนกฤษนั้นเสียใจ น้อยใจกับคนรัก  ที่มาคอยทำร้ายความรู้สึกเขาอยู่เรื่อยมา  จนครั้งนี้มันทนไม่ไหวจริง ๆ

    คืนนี้กฤษลงมานอนข้างล่างเตียง  ปล่อยให้ณพนอนคนเดียว  ถึงแม้ว่าใจจะโกรธจะกลียดยังไง แต่ลึก ๆ กฤษก็ยังถวิลหาความอบอุ่นจากณพคนที่เขารักมาโดยตลอด แต่เมื่อทั้งสองลงเอยกันแบบนี้แล้ว ก็ต้องปล่อยให้มันจบไป กฤษนอนกระสับกระสายไปมา นอนไม่หลับทั้งคืน ส่วนณพก็เช่นกัน แต่ด้วยแรงทิฐิของทั้งสองจึงไม่มีคนไหนง้อคนไหนก่อน 

    พอถึงตอนเช้าณพก็เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า เดินออกจากห้องไป ไม่มองกฤษเสียด้วยซ้ำ กฤษมองณพเดินจากไป น้ำตามันไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว  ณพกลับบ้านด้วยรถทัวร์เที่ยวเช้าของวันนี้  ส่วนกฤษนั้นนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวในห้อง    ทุกอย่างมันจบแล้วความรักที่เฝ้าประคับประคองมาตลอดระยะเวลาหลายปี ตอนนี้ถึงเวลาอวสานของมันแล้ว  นี่คือสิ่งสุดท้ายที่ณพมอบให้กับเขาคือการเหยียบย่ำหัวใจแล้วก็เดินจากไป อย่างไร้เยื่อใยต่อกัน ทุกอย่างที่ผ่านมา มันก็เป็นแค่ธาตุอากาศที่ลอยผ่านมาและผ่านไป  กฤษนั่งจมอยู่กับความทุกข์หนึ่งวันกับหนึ่งคืนเต็มๆ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×