สายฝนในลมหนาว - นิยาย สายฝนในลมหนาว : Dek-D.com - Writer
×

    สายฝนในลมหนาว

    ความรัก มันเกิดได้ทุกเมื่อ แต่อยู่ที่ว่าเราจะรักษามันไว้ได้นานเท่าใด

    ผู้เข้าชมรวม

    386

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    386

    ความคิดเห็น


    4

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    จำนวนตอน :  10 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  10 ม.ค. 50 / 10:59 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ตอนแรก...แรกเจอ
     หลังจากสะสางงานให้เสร็จก่อนที่บริษัทจะปิดงบประมาณในวันจันทร์ พรุ่งนี้เป็นวันหยุด  กฤษไม่อยากเข้ามาทำงานต่อ   เขาจึงนั่งปั่นงานหน้าคอมพิวเตอร์จนหัวฟู กว่าจะเสร็จปาเกือบจะ 4ทุ่ม  เขารีบเดินออกจากออฟฟิศ เพื่อไปขึ้นรถไฟฟ้า  เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เขารีบรับทันทีกลัวว่าทางต้นสายจะมาโวยว่ารับสายช้า
     เพิ่งเสร็จงาน กำลังจะไปขึ้นรถไฟฟ้า เขาบอกกับทางต้นสายให้รับทราบว่าเขากำลังทำอะไรอยู่
     แล้วตัวเองทำอะไรอยู่  ทานอะไรหรือยัง   มันเป็นคำถามเดิม ๆ ที่เขาถามทุกครั้งเมื่อถึงเวลาที่คุยกันไม่ว่าจะเป็นช่วงตอนเที่ยง หรือช่วงกลางคืน  ทั้งสองจะคุยกันแค่นี้ทุกครั้งที่โทรมาหากัน ในระยะเวลา เกือบ 3  ปีที่ต้องอยู่ห่างกัน  แต่ถ้าหากมีเรื่องอะไรที่ตื่นเต้นหรือพิเศษไปกว่านี้ก็จะมีการบอกกล่าวเล่าความกันไปอีกสักพักหนึ่ง และถ้าหากไม่มีอะไรก็จะจบการสนทนาในประโยคเดิม ๆ เช่นกัน
     เดี๋ยวออกไปเที่ยวนะ พี่เอกเขาชวนไป ทางต้นสายบอกกล่าวถึงจุดประสงค์ที่เขาโทรมาก่อนเวลา
     แล้วมีตังค์เหรอ ไหนบ่นว่าไม่ค่อยมีตังค์ นี่จะไปเที่ยวอีก กฤษย้อนถามกลับไป
     พี่เอกเขาเลี้ยง  ถ้าเขาไม่เลี้ยงก็ไม่ไปหรอก ทางต้นสายอ้างเหตุผล
     รู้สึกว่าช่วงนี้มีแต่คนเลี้ยงบ่อยนะ เดี๋ยวคนนั้นเลี้ยงหนัง เดี๋ยวคนนี้เลี้ยง ฟูจิ พิซซ่า เห็นมีแต่คนมาเลี้ยงตลอด ไม่ใช่ว่าเขาหวังอย่างอื่นด้วยนะ กฤษพูดไปอย่างไม่สบอารมณ์ที่มีใคร ๆ มาคอยชวนคนรักตัวเอง ไปโน้นไปนี้ตลอดเวลา
     ก็พี่  ก็เพื่อนกันทั้งนั้น ไม่ได้คิดอะไรกันเกินเลยสักอย่าง ทางโน้นตอบกลับมาอย่างไม่ค่อยพอใจเช่นกัน
     ก็ตามใจนะ อย่ากลับดึกแล้วกัน กลับมาแล้วโทรหาด้วยละ ถึงปากจะพูดออกไปอย่างนั้น  แต่ในใจมันรุ่มร้อนด้วยความหวงและห่วง แต่จะห้ามไม่ให้ไปก็ไร้ประโยชน์ ถึงยังไงคนทางโน้นก็จะดึงดันไปอยู่ดี ปล่อยให้ไปเถอะ เดี๋ยวขี้เกียจมามีเรื่องทะเลาะกันเปลืองค่าโทรศัพท์เปล่า ๆ 
    กฤษวางสายแล้วรีบเดินมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟฟ้า ขณะที่เขากำลังจะก้าวขึ้นบันไดของสถานี สายตาของเขาเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มอายุราว ๆ 16-17  ตัดผมทรงสกินเฮด รูปร่างค่อนข้างผอมบาง  สูงโปร่ง  ผิวขาว จมูกโด่งรับกับริมฝีปากบาง ๆสีชมพู  เด็กคนนี้สะพายกระเป๋าเป้ใบใหญ่นั่งอยู่บนแผงกั้นถนนที่ตั้งอยู่เชิงบันไดทางขึ้นสถานีรถไฟฟ้า กฤษเดินขึ้นบันไดไป แต่รู้สึกเอะใจยังไงไม่รู้ เขาจึงหยุดเดินแล้วหันมาดูเด็กคนนี้อีกครั้ง แล้วเขาก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนี้ เพราะที่เขาสังเกตเห็นได้อย่างเด่นชัดก็คือหน้าผากบริเวณใกล้ขมับด้านซ้ายของเด็กหนุ่มคนนั้นมีพลาสเตอร์ปิดแผลปะอยู่ แล้วดวงตาทั้งสองข้างยังแดงๆ เหมือนเพิ่งจะผ่านการร้องไห้มา  เด็กคนนั้นนั่งซึมเหมือนคนกำลังตกอยู่ในห้วงของความทุกข์
    เอ..น้องเขาเป็นอะไร กฤษคิดในใจ
    อย่าไปยุ่งเลย รีบกลับดีกว่าเหนื่อยมากแล้ว ความคิดนี้แวบขึ้นมา กฤษจึงเดินขึ้นบันไดไปจนถึงข้างบนที่จำหน่ายตั๋ว แต่ในใจเขาสับสนรู้สึกเป็นห่วงเด็กคนนั้นอย่างบอกไม่ถูก  เขาจึงตัดสินใจเดินกลับที่ตรงบันไดแล้วชะโงกดูเด็กคนนั้นอีกครั้ง  ความรู้สึกเขามันบ่งบอกว่าเด็กคนนี้มีอาการที่น่าเป็นห่วง เขาสังเกตเห็นเด็กเอามือปาดไปที่ดวงตาเบาๆ เหมือนคนกำลังเช็ดน้ำตา  มันคงเป็นเรื่องที่ทุกข์ใจมาก ไม่งั้นเด็กผู้ชายคงไม่มานั่งร้องไห้ข้างถนนแบบนี้หรอก กฤษยืนดูอยู่สักพักภายในใจก็เถียงกันอยู่นั่นแหละ
    อยากรู้ก็ลงไปถามสิ  ฝ่ายซ้ายของจิตใจเอ่ยขึ้นมา
    ถ้าถามแล้ว น้องเขาไม่มีอะไร พี่เป็นใครมายุ่งกับผมทำไม  หน้าแตกเลยคราวนี้ ฝ่ายขวารีบห้ามปรามเพราะไม่อยากยุ่ง
    แต่น้องเขาน่าสงสารนะ  ดูสิเช็ดน้ำตาอีกแล้ว ฝ่ายซ้ายขอความเห็นใจอีกครั้ง
    รีบกลับเถอะ ดึกแล้วง่วงแล้ว ฝ่ายขวาไม่ยอม
    ลงไปถามสักหน่อย ถ้าไม่มีอะไรก็ค่อยกลับ ไม่เห็นน่าอายเลย 
    สองฝ่ายภายในใจมันกำลังตีกัน จนกฤษรู้สึกเริ่มจะเบลอ ๆ มึน  ๆ  แต่แล้วในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้
    ลงไปดูหน่อยก็แล้วกัน เมื่อตัดสินใจได้ เขาก็รีบสาวเท้าลงบันไดตรงไปยังเด็กหนุ่มคนนั้นที่ยังนั่งอยู่ในท่าเดิม
    ................................
     กฤษเปิดประตูห้อง เปิดไฟ เอากระเป๋าใบเก่งโยนลงไปบนเตียงนอน
     อ่าว...เข้ามาดิ เดี๋ยวยุงก็เข้าห้องหรอก กฤษบอกกับติน เด็กหนุ่มที่เขาเจอนั่งร้องไห้อยู่ทางขึ้นสถานีรถไฟฟ้า  ตินรีบเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับปิดประตูเบาๆ
     หิว หรือเปล่า เรานะ  กฤษ ถามอีกครั้ง
     ไม่หิวครับ ตินตอบเบา ๆ ใบหน้ายังก้มมองที่พื้น  ไม่กล้าจะสบตากับกฤษสักเท่าไหร่
     ถ้าหิว ก็หาอะไรในตู้เย็นกินรองท้องไปก่อนนะ  เออ..เดี๋ยวพี่เอาผ้าเช็ดตัวให้นะ  อาบน้ำอาบท่าให้สบาย พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน กฤษเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบผ้าขนหนูเอาออกมาให้ติน  เด็กหนุ่มรับผ้าเช็ดตัวไว้ แต่ก็ยังไม่ขยับไปทางไหน
     ตามสบายนะ ไม่ต้องเกรงใจ พี่ขอพักสายตาสักงีบ เมื่อพูดเสร็จก็ล้มตัวนอนลงบนเตียงนอน
     ตินมองดูชายหนุ่มอายุ 20 กว่าวัยทำงาน ที่ล้มตัวนอนบนเตียงแล้วหลับไป  ตินดีใจที่มีคนมีน้ำใจหยิบยื่นความห่วงหาอาทรให้กับตัวเขา  แต่เรื่องเลวร้ายที่เพิ่งผ่านมาหยก ๆ ในช่วงหัวค่ำก็ยังมาหลอกหลอนเขาอยู่
     ฉันจะให้แกเรียนราม แกไม่ต้องไปสอบเอนทง เอนทรานซ์อะไรหรอก ถึงแกสอบได้ฉันก็ไม่มีปัญญาส่งแกเรียน ถ้าแกอยากเรียน แกต้องต้องมาทำงานช่วยฉันแล้วเรียนรามไปด้วย เสียงพ่อของเขายังก้องอยู่ในหัว ตินสะบัดหัวเบา ๆ ไปมาแล้วถือผ้าขนหนูเดินเข้าไปในห้องน้ำ  เสียงน้ำฝักบัวกระทบกับพื้น ดังซ่า ซ่า  กฤษลืมตาอย่างช้า ๆ เขานอนมองไปยังที่ประตูห้องน้ำที่มีแสงไฟลอดออกมา ถามอะไร ก็ไม่ตอบ บอกอย่างเดียวว่าทะเลาะกับที่บ้าน นี่กูพาเด็กมาที่ห้อง ที่บ้านเขาจะแจ้งจับกูข้อหาพรากผู้เยาว์ไหมเนี่ย กฤษนอนคิดอยู่ในใจ แล้ว ค่อยๆ หลับตาลงอีกครั้งหนึ่ง
    ..........................
    เสียงรถวิ่งไปมา เสียงคนเดินตึงตัง เสียงคนคุยจอแจ  เสียงการ์ตูนจากโทรทัศน์ดังก้องไปทั่วตึก วันนี้เป็นวันเสาร์ เด็ก ๆ ตื่นกันแต่เช้ามาดูการ์ตูน  กลิ่นกับข้าวโชยลอดเข้ามาทางหน้าต่าง ตลบอบอวลรบกวนคนอื่นไปทั่ว  
    สงสัยยายป้าข้างห้องคงทำคะน้าปลาเค็ม กินกับข้าวต้มอีกแน่นอน กฤษพูดออกมาเบา ๆ พร้อมกับลืมตาขึ้นมาดูนาฬิกาข้อมือที่ถอดไว้ข้าง ๆ หมอน
    จะ 8 โมงแล้วเหรอเนี้ย  ขี้เกียจตื่นจัง...อ้าว! ตายห่าละ เขาเพิ่งฉุกใจ คิดอะไรออกมาได้อย่างหนึ่ง
    แล้วไอ้ตินหายไปไหน หรือว่ามันกลับบ้านไปแล้ว กฤษคิดขึ้นมาได้พร้อมกับมองไปรอบๆ ห้อง  จู่ๆ  ก็มีอะไรขยุกขยิกอยู่พื้นห้อง ข้าง ๆ เตียง  กฤษก้มลงมองดู  เห็นหนุ่มน้อยนอนหลับตาพริ้ม ๆ อยู่ 
    มันก็น่ารักดีแฮะ เขาพูดออกมาเบา หลังจากที่เมื่อคืนมองหน้าก็ไม่ชัดเพราะมันมืด อีกทั้งเขาก็รู้สึกเบลอ ๆ เพราะอยากจะนอน   แต่ตอนเช้านี้ ท้องฟ้าโปร่งใส แสงแดดสว่างจ้า  หัวสมองปลอดโปร่งมันทำให้เขาเก็บข้อมูลได้ดีขึ้นกว่าเมื่อคืน เขาค่อยพยุงตัวเองจากเตียงนอนแล้วเดินอ้อมตัวเจ้าตินไปเข้าห้องน้ำ ชำระสะสางร่างกายที่หมักหมมมาตั้งแต่เมื่อคืน หลังจากที่อาบน้ำเสร็จเขาก็รีบวิ่งออกมาห้องน้ำ เพราะนึกอะไรออกได้อย่างหนึ่ง
    เมื่อคืน ณพมันโทรมาหรือเปล่าน่ะ เมื่อกี้ก็ลืมดูโทรศัพท์ กฤษคิดอยู่ในใจพร้อมกับรีบหยิบโทรศัพท์มือถือมาดูปรากฏว่าไม่มีเบอร์อะไรโทรมาเลยสักเบอร์ เขาจึงตัดสินใจกดโทรไปถามทันที
    ตื่นยัง  กฤษถามคำถามแรก
    ยังเลยครับปลายสายตอบกลับอย่างงัวเงีย
    แล้วไปทำงานหรือเปล่า กฤษถามต่อ
    ไปครับ เสียงปลายสายยังดูสะลึมสะลือ เหมือนไม่อยากจะคุยสักเท่าไหร่
    แล้วเมื่อคืนกลับกี่โมง  กลับมาแล้วทำไมไม่โทรบอก นี่จะให้บอกกี่ครั้ง จะดึกยังไงกลับมาถึงบ้านให้โทรบอกด้วย กฤษต่อว่าต่อขานไปเป็นชุดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
    ก็บ้านเกือบตีสี่แล้ว มาถึงก็นอนเลยเลยไม่ได้โทรหา เสียงณพเริ่มแข็งขึ้น มันยิ่งทำให้อารมณ์กฤษพุ่งขึ้นไปมากกว่าเดิม
    ตีสี่  แต่เธคเลิกตั้งแต่ตีสอง  ถามจริงเถอะไปไหนกับใครมากันแน่ กฤษเริ่มพาลหาเรื่อง  เพราะในใจเขาคิดเตลิดเปิดเปิงไปใหญ่ว่า ณพไปค้างกับใครมาแน่นอน
    นี่ไม่ต้องมาเรื่องนะ เธคเลิกตีสอง  กว่าจะออกมารอคนนั้น คนนี้อีก แล้วไปกินข้าวกันต่อกลับถึงบ้านก็จะตีสี่แล้ว ปลายสายต่อว่ากลับมา
    ขอให้มันจริงเถอะ กฤษยังไม่ลดลาวาศอก
    นี่ไม่เคยเชื่อใจกันเลยใช่ไหม  ณพเริ่มมีอารมณ์โกรธขึ้นมาบ้าง  ง่วงก็ง่วง นี่ยังมาหาเรื่องตั้งแต่เช้า
    แล้วทำให้เชื่อใจได้ไหมล่ะ กฤษหาเรื่องต่ออย่างไม่หยุด
    นี่คุณ จะไม่ให้ผมมีสังคมเลยเหรอ จะให้ผมทำงานแล้วกลับบ้าน ไม่ให้ผมคบค้าสมาคมกับใครเลยเหรอ
    ก็ไม่ได้ว่าอะไรเลยนี่ไม่ได้ห้าม คุณจะคบกับใคร คุณจะไปทำอะไรกับใครก็ตามใจคุณ ใครก็อยากจะได้คุณอยู่แล้วนี่
    นี่ไม่ต้องดูถูกกันมากเลยนะ
    หรือมันไม่จริงละ เพื่อนที่คุณคบอยู่ส่วนมากก็เริ่มต้นรู้จักกันด้วยเซ็กส์ พอจบก็คบกันเป็นเพื่อนกัน หรือไม่พวกเพื่อนทาง เอ็มเอสเอ็น คิดเหรอที่เขามาคุยกับคุณ เขาไม่หวังที่อยากได้คุณ  กฤษคุ้ยแคะเรื่องเดิมๆ เอามาพูดทั้งที่ใจไม่อยากหาเรื่องแต่มันก็ทนไม่ไหว
    แล้วคุณละ ไปกับคนนั้น  คนนี้ แล้วก็บอกว่าไม่มีอะไร สุดท้ายมาก็บอกว่ามี คุณมันน่าเชื่อใจได้ตรงไหน ณพก็สวนกลับมาอีกครั้ง
    ก็ใช่สำหรับผม  เซ็กส์ก็คือเซ็กส์    เพื่อนก็คือเพื่อน  อย่างน้อยผมก็ไม่คิดจะเอาคนที่มาคบเป็นเพื่อนมามีเซ็กส์ด้วยหรอก  อ่าว เงียบทำไม  ทำไมไม่พูด กฤษหาเรื่องมาพูดเพื่อจะเอาชนะณพให้ได้ ใครจะผิดใครจะถูก ก็ช่าง กฤษไม่สนใจขอเป็นฝ่ายชนะอย่างเดียวเท่านั้น
    สายแล้ว เดี๋ยวผมจะไปอาบน้ำ แล้วจะรีบไปทำงาน ณพรีบตัดบทพูดออกไป  เขาไม่อยากทะเลาะเรื่องไม่เป็นเรื่องมากไปกว่านี้ ยังไงเขาก็รู้ว่ากฤษต้องการเอาชนะเขาอยู่แล้ว  เงียบไปดีที่สุด
    อืม  งั้นก็แค่นี้นะ กฤษวางสายไป แต่ในใจยังครุกรุ่นด้วยความร้อนรุ่มของอารมณ์โกรธ  ทำไมต้องมาทะเลาะกันเรื่องนี้เกือบทุกครั้ง ตั้งแต่ที่แยกกันอยู่คนละที่ พยายามจะปล่อยวางแล้ว  แต่พอเอาเข้าจริงก็ก็ทำไม่ได้สักที 
    กฤษหันไปเอาโทรศัพท์โยนลงบนที่นอน ตินนั่งมองเขาอย่างงงวย ในสภาพของคนเพิ่งตื่น
    ตื่นแล้วเหรอ   กฤษถามไปอย่างคนอารมณ์ที่ยังไม่ค่อยปกติเท่าไหร่นัก
    ครับ เป็นประโยคแรกที่หลุดออกจากหนุ่มน้อยคนนี้
    ไปอาบน้ำซะ เดี๋ยวพี่หาอะไรให้ทาน เออ..แปรงสีฟันพี่วางไว้หน้ากระจกแล้วนะ
    ครับ  ตินรับคำเบา พร้อมกับลุกขึ้นไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่ตัวเองเอาผึ่งไว้ที่ระเบียงห้องเมื่อคืน แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ  กฤษมองตาม เกิดคำถามในใจ
    นี่กู หาเหาใส่หัวตัวเองหรือเปล่าเนี่ย ช่างเถอะเดี๋ยวค่อย ๆ กล่อมให้กลับบ้านคงไม่ยาก เด็กสมัยนี้ก็เป็นแบบนี้กันแหละ เขาส่ายหัวเบา แล้วกลับไปจัดการกับเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ใส่
    กฤษตอกไข่ใส่ชามเซรามิค  เอาหมูบดใส่ลงไป พร้อมกับฉีกปูอัดเป็นเส้น ๆ  ตีให้เข้ากันเติมเครื่องปรุงลงไป เติมน้ำลงไปนิดหนึ่ง ตามด้วยต้นหอมหั่นโรยหน้า แล้วปิดปากชามด้วยพลาสติกถนอมอาหารจับยัดใส่ไมโครเวฟ ตั้งเวลาไว้ที่10 นาที  เมื่อปฏิบัติการไข่ตุ๋นเสร็จ ก็เริ่มทำต้มจืดเต้าหู้สาหร่ายต่ออีกอย่าง กลิ่นหอมของข้าวในหม้อหุงข้าวที่กำลังเดือดคลุ้งขึ้นมา ตามด้วยกลิ่นหอม ๆ ของไข่ตุ๋นในไมโครเวฟ  ท้องของกฤษเริ่มร้องโครกคราก โครากคราก เมื่อได้กลิ่นเหล่านี้  เพราะเมื่อคืนเขาไม่ได้ทานอะไรเลย  เมื่อกับข้าวทุกอย่างเสร็จ  ตินก็ออกมาจากห้องน้ำพอดี
    เดี๋ยวกินข้าวกันเลยนะ พี่หิวแล้ว เมื่อคืนไม่ได้ทานอะไรเลย พี่ทำไข่ตุ๋น กับแกงจืด ทานได้ไหม กฤษถามตินขณะที่กำลังจัดการกับถ้วยชามบนโต๊ะทานข้าว
    ครับ เป็นคำพูดคำที่สามสำหรับเช้านี้ของเขา  ตินหยิบเสื้อผ้าในกระเป๋าใบเขื่องมาเปลี่ยน หลังจากนั้นทั้งสองคนก็มานั่งกินข้าวกันอย่างเงียบๆ จนกระทั่งกฤษรู้สึกเริ่มจะอิ่ม ๆ เขาจึงตั้งคำถามแรกขึ้นมาทันที
    ติน  บ้านอยู่แถวไหน 
    ผมอยู่แถว ๆ ป้อมปราบฯ ครับ เป็นประโยคที่ยาวขึ้นกว่าเดิม
    อืม ๆ กฤษพยักหน้ารับรู้กับคำตอบที่ได้รับ แต่เขาก็เริ่มที่จะซักไซ้ไล่เรียงต่อไปอีก
    แล้วที่บ้านอยู่กันกี่คนล่ะ
    อยู่ด้วยกัน 4 คนครับ มีผม มีพ่อ มีน้องชาย แล้วก็น้าครับ เออน้าเขาเป็นแม่น้องชายผมครับ  ตินเลี่ยงที่จะใช้คำว่าแม่เลี้ยง เป็น น้าแทน
    แล้วเรา เรียนม.อะไร  อายุเท่าไหร่ล่ะ  กฤษตามต่อด้วยความอยากรู้
    ผมเรียนจบ ม.6ปีนี้ครับ  อายุ ย่าง 18 แล้วครับ
    แล้วทำไมถึงหนีออกจากบ้านล่ะ กฤษยิงคำถามที่แทงใจดำออกไป เพราะเขาอยากรู้สาเหตุที่ให้เด็กคนนี้หนีออกมาจากบ้าน
    แต่คำตอบที่ได้คือความเงียบ และการก้มหน้านิ่งๆ ของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง
    ไม่อยากบอก ก็ไม่เป็นไร กฤษพูดออกมาเพื่อทำลายความเงียบที่เกิดขึ้น
    อิ่มหรือยัง
    ครับ ตินตอบเบา ๆ
    กฤษรวบรวมจาน ชาม ช้อน ที่เพิ่งใช้งานเสร็จนำไปที่อ่างล้างจาน
    พี่...ผมช่วยครับ ตินเดินตามมาพร้อมขออาสาช่วยล้างจาน
    ไม่เป็นไร พี่ล้างเองดีกว่า ไปนั่งดูทีวีเถอะ กฤษบอกปัดความช่วยเหลือ
    ตินมองหน้ากฤษสักพักก่อนที่จะพูดออกมา
    พี่กฤษ  ที่ผมออกจากบ้านเพราะผมทะเลาะกับพ่อเรื่องที่พ่อไม่ให้ผมเรียนต่อมหาวิทยาลัย พ่อบอกให้ผมออกมาทำงานขับรถส่งข้าวสารช่วยพ่อ แล้วให้ผมเรียนที่ราม หรือเรียนที่ มสธ แทน แต่ผมสอบแอดมิชชั่นไปแล้ว  ผมอยากเรียนวิศวะ ผมอธิบายเหตุผลให้พ่อฟัง  แต่เขาไม่ยอมฟัง  ก็เลยมีปากเสียงกัน ผมก็เลยหนีออกจากบ้าน
    ตินตัดสินใจเล่าเรื่องถึงสาเหตุที่เขาหนีออกจากบ้านให้กฤษฟัง
    แล้วทำไมไม่ไปบ้านเพื่อนล่ะ กฤษถามต่อ เพราะเขาสงสัยว่าทำไมตินไม่ไปอยู่บ้านเพื่อน
    ผมไม่อยากให้เพื่อนเดือดร้อนครับ อีกอย่างทีแรกผมคิดว่าจะหนีไปต่างจังหวัดไปให้ไกลเลย แต่พอดีมาเจอพี่เสียก่อน ตินเล่าต่อ
    เออ...เป็นอย่างงั้นไป กฤษถอนใจกับความคิดเด็ก ๆ
    แล้วคิดจะกลับหรือเปล่า พี่จะได้ไปส่ง กฤษยื่นขอเสนอแนะให้ โดยล้างจานไปพูดไป เขาไม่ได้มองหน้าติน เลยไม่ได้สังเกตสีหน้าที่สลดของติน
    ถ้าพี่ไม่สบายใจ เดี๋ยวผมไปที่อื่นก็ได้
    กฤษรีบหันไปมองหน้าติน
    เฮ้ย...ไม่ใช่ พี่ไม่ได้คิดอย่างนั้น  ถ้าพี่ไม่เต็มใจช่วย พี่ไม่เดินเข้าไปคุยด้วยหรอก กฤษรีบพูดออกตัวทันที
    พี่แค่ถามเฉย ๆ เท่านั้นเอง   เสร็จแล้ว ไปนั่งคุยกันดีกว่า กฤษจัดการกับพวกจาน ชาม ช้อนนำไปคว่ำที่เก็บจานเสร็จ ก็ชวนตินไปนั่งคุยกันต่อ
    ............................................
    เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง กฤษค่อย ๆ ใช้มือควานหาแถว ๆ หัวนอนตัวเอง อย่างสะลึมสะลือ พร้อมกับกดรับสาย
    ฮัลโหล กฤษกรอกเสียงตามสายไป
    ตัวเองทำไรอยู่ ณพถามมาอย่างอ่อนโยน
    นอนครับ
    อะไร  นอนอีกแล้ว ณพทำเสียงล้อเล่น
    ก็ตี่นแต่เช้า เพราะห่วงคนบางคนที่ไปเที่ยวเมื่อคืนไง แล้วก็นอนไม่หลับ นี่เพิ่งมางีบตอนบ่ายนี่เอง กฤษลุกมานั่งขัดสมาธิบนเตียง มองดูล่างเตียงเจ้าตินนอนอุดตุอยู่
    อยู่กับใครล่ะ นั่น
    อยู่คนเดียวครับ  ถ้ามีคนอยู่ด้วยก็ดีสิ  กฤษโกหกกับณพไป เขาไม่อยากมานั่งอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้ณพฟัง เพราะเขารู้ว่า พูดไปยังไงณพก็ไม่เชื่ออยู่ดี  อีกอย่างหนึ่งเขาก็คิดว่ามีหลายเรื่องเหมือนกันที่ณพ โกหก หรืออาจจะปิดบังเขาอยู่
    กินไรหรือยัง ณพถามต่อ
    กินตอนเช้าไปแล้ว เดี๋ยวบ่ายแก่ ๆ ค่อยลงไปหาอะไรทานข้างล่าง แล้วตัวเองล่ะ ทานอะไรหรือยัง กฤษถามกลับไป
    ก็กำลังหาอะไรทานอยู่ เหมือนกัน คิดไม่ออกว่าจะทานอะไรดี
    งั้นก็หาอะไรทานเถอะ เดี๋ยวเขาเข้าห้องน้ำก่อนน่ะ กฤษหาประโยคที่พูดตัดบทไป เขาขี้เกียจคุยมากกว่าอยากเข้าห้องน้ำ พูดกันแบบนี้ทุกวันประโยคเดิม อยู่กับใคร ไปไหนมา กินข้าวหรือยัง มันเป็นเหมือนการเวลารายงานตัวมากกว่าการโทรมาเพราะความคิดถึง
    ครับ งั้นเขาไปหาอะไรกินก่อนนะ เดี๋ยวว่าง ๆ จะโทรหาอีก  ณพพูดสำทับอีกที
    ครับ บ๊าย บายครับ  กฤษกล่าวคำลาอีกครั้ง
    ครับ บายครับ แล้วสายก็หลุดไป  กฤษวางโทรศัพท์ลงบนที่นอนพร้อมมองดูคนที่นอนหลับสนิทอย่างไม่รู้เรื่องอยู่ข้างเตียงอย่างสบาย   เด็กหนอเด็ก  ความคิดเด็ก พูดจาไม่ลงรอยกับพ่อกับแม่ก็หนีออกมาจากบ้าน ปัญหาครอบครัวสมัยนี้มันช่างซับซ้อนเหลือเกิน  บางเรื่องมันเป็นเรื่องดินพอกหางหมูมาเนิ่นนานยากเกินกว่าที่จะแก้ไขได้ แต่บางเรื่องก็เป็นเรื่องเล็ก ๆ คนเรามาทำเป็นเรื่องใหญ่  ส่วนเรื่องของตินเท่าที่กฤษฟังมาน่าจะแก้ไขกันได้อย่างน้อยด้วยการจับเข่าคุยกันดีๆ เดินเข้าหากันคนละครึ่งทาง  น่าจะดีกว่าให้เด็กดี ๆ คนหนึ่งเตลิดเปิดเปิงเสียอนาคตไป
    ติน  ติน  ตื่นได้แล้ว  ติน กฤษเรียกตินให้ตื่น หลังจากที่นั่งคุยกันไปดูทีวีกันไปแล้วเขาก็ผล็อยหลับไปเสียอย่างนั้น ก็ตื่นอีกทีเมื่อณพโทรมาหาเขาเมื่อครู่ที่ผ่านมา
    ครับ ตินตอบรับด้วยอาการงัวเงีย  เมื่อคืนกว่าจะได้งีบก็ปาไปเกือบเช้า   แต่ก็ยังดีที่ได้มางีบอีกครั้งตอนเที่ยง แต่ก็รู้สึกเหมือนว่ายังนอนไม่อิ่ม  เขาดันตัวเองขึ้นมานั่ง ตาก็ยังไม่ค่อยลืม กฤษมองเห็นแล้ว หัวเราะออกมาเบา ๆ ด้วยความน่ารักแบบเด็ก ๆ ของเจ้าติน
    ติน  เออ  พี่ขอเบอร์ที่บ้านตินได้ไหม  พี่คิดว่าพี่จะโทรบอกพ่อตินสักหน่อย ว่าตินอยู่กับพี่  กฤษบอกจุดประสงค์ที่ปลุกให้ตินตื่นขึ้นมา
    พี่จะโทรบอกเขาทำไม  เขาไม่สนใจหรอกว่าผมไปอยู่ไหน จะเป็นจะตายยังไง  ตินพูดโพล่งออกมา
    ตินฟังพี่นะ  ตอนนี้เราไม่รู้หรอกว่าพ่อเขาจะคิดอย่างไร เขาจะสนใจหรือไม่สนใจตินก็ช่างเขา แต่เราควรบอกให้เขารับรู้ไว้ว่าเราอยู่ที่ไหน   อีกอย่างตินก็ยังเด็ก ถ้าที่บ้านไปแจ้งความว่าตินหายออกจากบ้านไป จู่ๆ เขาทราบมาว่าอยู่กับพี่ เขาไม่เอาตำรวจมาจับพี่เหรอ กฤษให้เหตุผลไปเพื่อให้เขาได้คิด
    ครับ  ได้ครับ
    เอาจดใส่กระดาษนี้ให้พี่ก็แล้วกัน กฤษยื่นกระดาษกับปากกาให้ ตินรับมาอย่างเสียไม่ได้ เขาค่อย ๆ บรรจงจดตัวเลขลงไปในกระดาษ เมื่อเขียนเสร็จก็ส่งกลับไปให้กฤษ
    ขอบใจนะที่ไว้ใจ  พี่ กฤษรับมาพร้อมยิ้มให้อย่างจริงใจ
    ครับผม
    กฤษรับกระดาษมาพลางในใจก็คิดว่า เดี๋ยวกล่อมอีกทีก่อน ถ้าได้ผลก็จะไปส่งที่บ้าน ถ้ายังไม่ยอมก็ค่อยโทรบอกก็แล้วแล้วกัน
    ไปล้างหน้าล้างตาซะ เดี๋ยวออกไปหาอะไรทานกันดีกว่า
    ครับผม ตินรับคำแล้วค่อยลุกไปเข้าห้องน้ำ
    .......................
     เสียงรถเริ่มจอแจในช่วงย่ำเย็น แสงแดดหน้าร้อนเริ่มทอแสงสีแสดจาง ๆ   และอ่อนลง อ่อนลง จนกลายโพล้เพล้  และแล้วความมืดค่อยๆ คืบคลานเข้ามา ตินยืนตรงระเบียงมองดูออกไปตรงข้างหน้า เขาไม่รู้จะทำอย่างไรกับชีวิตดี  เขาอยากขอโทษพ่อกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขาไม่ได้ตั้งใจันเป็นอุบัติเหตุ แต่พ่อคงจะไม่ให้อภัยเขาแน่ ๆ 
    ช่างมันเถอะ ยังไงเราก็ไม่สำคัญสำหรับเขา ถ้าหากเขารักเราเขาคงไม่บังคับให้เราทำงานส่งข้าวสารแล้วให้เป็นเรียนมหาวิทยาลัยเปิดหรอก พ่อแม่ที่รักลูกจริง ๆ เขาต้องส่งเสริมลูกเขาสิ  นี่ไม่ใช่  ไม่ใช่สักอย่างเลย  แววตาของตินเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
     ตินตัดสินใจหรือยัง  เดี๋ยวพี่ไปส่ง แล้วพี่จะช่วยเคลียร์ให้รับรองไม่โดนด่าสักแอะ กฤษพยายามกล่อมให้ตินกลับบ้าน เพราะยังไงอยู่บ้านก็สบายกว่าที่อื่น  พ่อลูกกันจะเห็นกันเป็นอย่างอื่น เป็นไปไม่ได้
     ผมยืนยันคำเดิม แต่ถ้าพี่ไม่สบายใจจริงๆ ก็ไม่เป็นไรนะครับ ผมก็จะไม่รบกวนก็ได้ ตินเริ่มรู้สึกอึดอัดกับความหวังดีของกฤษ  เสียงเพลงริงโทนของมือถือดังขึ้น
     ผมขอตัวรับโทรศัพท์ ก่อนนะ พูดเสร็จตินก็เดินไปรับโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ
     ฮัลโหล  เมย์เหรอตินขานชื่อของคนทางต้นสาย
     ตินอยู่บ้านญาตินะครับ ไม่มีอะไรหรอกเดี๋ยวตินเล่าให้ฟัง แล้วเมย์อยู่ไหนละ ตินถามต่อไปอีก
     โอเค  งั้นเดี๋ยวตินออกไปหานะ โอเค เดี๋ยวเจอกันครับ ตินวางสายไปพร้อมกับเอ่ยปากบอกกับกฤษเบา ๆ
     พี่...ผมออกไปข้างนอกแป๊บหนึ่งนะครับ
     ออกไปหาแฟนเหรอกฤษย้อนถามกลับไป
     ครับ
     แล้วจะกลับมาที่ห้องเปล่า
     กลับซิครับพี่  พี่จะให้ผมไปนอนไหนล่ะ
     อาว..พี่นึกว่าจะไปค้างกับแฟน
     พี่ครับ  พวกผมยังเด็กไม่ได้คิดอะไรมากมายไปกว่านั้น
     จริงอ่ะ   พี่เห็นเด็กสมัยนี้ เรื่องเซ็กส์เป็นเรื่องปกติเปิดเผย
     ผมเป็นคนให้เกียรติผู้หญิงครับ
     ก็ดีแล้วหละ  กลับมาก็มาเรียกก็แล้วกัน
     ครับ ตินรับคำแล้วหยิบกระเป๋าเงิน เปิดประตูห้องเดินออกไป

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น