คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ตอนที่เก้า....ร้าวราน
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด
เสียงมือถือปลุกตอนเช้าดังขึ้น กฤษตกใจตื่นขึ้นมา ท่านอนในขณะนี้กฤษนอนหนุนไหล่ของติน โดยที่ทั้งสองต่างก็โอบกอดกันไว้ กฤษค่อยยกมือของตินออกอย่างช้า ๆ กฤษมองดูหน้าของติน เขาหลับตาพริ้มนอนหลับอย่างมีความสุข กฤษอดใจตัวเองไม่ไหว ค่อยๆ ก้มลงจุมพิตหน้าผากตินเบา ๆ ตินขยับกายเปลี่ยนท่าเป็นนอนคะแคง กฤษจึงลุกจากเตียงเดินเข้าห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว
กฤษแต่งตัวเสร็จ ขณะที่กำลังจะออกจากห้อง เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดเครื่องดู พบข้อความที่ส่งมาให้3ข้อความจากณพ เป็นข้อความตำหนิถึงการปิดมือถือของเขา กฤษอ่านเสร็จก็ลบทิ้งอย่างไม่สนใจใยดี ก่อนออกจากห้องกฤษหันไปมองดูคนที่นอนอยู่บนตียงอีกครั้ง
ท้องฟ้าดูครึ้มมาตั้งแต่เช้าดูเหมือนฝนทำท่าจะตก กฤษไม่มีกะจิตกะใจทำงาน เพราะเรื่องของณพยังหลอกหลอนอยู่ไม่หาย ตอนกลางวันกฤษจึงไม่ลงไปทานข้าวเขาฝากรุ่นน้องซื้อใส่กล่องมาให้ที่ออฟฟิศ ตลอดช่วงบ่ายฝนเทลงมาอย่างไม่ขาดสายราวกับว่าท้องฟ้ากำลังร้องไห้แทนกฤษ เพื่อน ๆ ที่ทำงานก็ก็อดสงสัยไม่ได้ว่ากฤษเป็นอะไร ดูซึม ๆไป แต่ก็ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าไปซักถาม
เสียงโทรศัพท์ออฟฟิศดังขึ้น สักพักหนึ่งพนักงานคนหนึ่งก็เรียกกฤษไปรับสายบอกว่ามีเพื่อนโทรมาหา กฤษเดินไปรับโทรศัพท์ในใจสงสัยว่าเพื่อนคนไหนโทรมา เพราะเขาไม่ค่อยให้เบอร์ออฟฟิศให้กับใครไว้สักเท่าไหร่
“สวัสดีครับ” กฤษกรอกเสียงทักทายไปตามสาย
“นี่เป็นอะไร ปิดมือถือทำไม” ต้นสายที่โทรมาคือณพนั่นเอง
“มือถือไม่ดี” กฤษตอบเลี่ยง ๆ ไป
“แล้วทำไมไม่โทรมาบอก” ณพยังต่อว่ามาอีกชุดหนึ่ง
“งานยุ่ง ๆ ครับ ก็กะว่า เดี๋ยวจะโทรไป ตัวเองก็โทรมาก่อน” กฤษตอบเสียงเนือยๆ พร้อมกับการแก้ตัวแบบน้ำขุ่น ๆ
“ตัวเอง พรุ่งนี้เขาจะลงไปสัมภาษณ์งานที่กรุงเทพฯ เมื่อกี้ทางสาขาที่นี้เขาเรียกเข้าไปคุย แล้วบอกว่าให้ลงไปสัมภาษณ์ที่กรุงเทพฯ อีกครั้งพอเป็นพิธี เพราะว่ายังไงก็รับเข้าทำงานอยู่แล้ว” ณพพูดถึงบริษัทใหม่ที่เรียกตัวเขาให้เข้าไปทำงานพร้อมกับเสนอเงินเดือนที่มากกว่าที่เดิม
“ครับ” กฤษตอบรับทราบไป
“เดี๋ยวเย็นนี้เขาจะไปซื้อตั๋วรถก่อนนะ แล้วได้รถเที่ยวกี่โมงเขาจะโทรบอกให้อีกที”
“ครับ”
“ตัวเอง เป็นอะไร พูดแต่ครับครับ อย่างเดียว” ณพเริ่มไม่พอใจที่กฤษดูไม่กระตือรือร้นกับการไปกรุงเทพครั้งนี้ของเขา
“ไม่มีอะไรหรอกครับ งานยุ่งนะ เดี๋ยวยังไงค่อยคุยกันตอนที่ตัวเองมาถึงกรุงเทพก็แล้วกัน เขาไปทำงานก่อนนะ” กฤษตัดบทไป
“แล้วมือถือจะใช้ได้เมื่อไหร่ล่ะ” ณพยังพูดต่อไม่เลิก
“เย็นนี้ครับ เพราะเอาไปฝากให้ร้านดู เขาบอกว่าเย็นนี้ให้ไปรับได้” กฤษโกหกไปอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้น เย็นตอนที่เขาซื้อตั๋วเสร็จแล้วจะโทรหานะครับ”
“ครับ สวัสดีครับ” กฤษกดสายวางทันที
ฝนยังตกกระหน่ำอย่างไม่มีท่าจะหยุด ผู้คนต่างก็เลิกงานเริ่มทยอยกันกลับบ้าน บางคนก็ยังติดฝนอยู่ที่บริษัท คนที่มีธุระก็รีบกลับ น้ำบนถนนเริ่มเจิ่งนองขึ้นมา สาเหตุเพราะว่าน้ำระบายลงท่อไม่ทัน จึงทำให้เกิดท่วมน้ำขนาดย่อม ๆ ในถนนบางสาย กฤษเดินลุยฝนไปที่สถานีรถไฟฟ้า แต่ใจจริงเขาก็อยากอยู่ที่ออฟฟิศรอให้ฝนหยุดก่อน แต่เจ๊จ๊อดเอาของที่สั่งมาให้ อีกทั้งเจ๊แกก็รีบกลับบ้านด้วย เพราะว่าลูกชายแก เจ้าโดโด้ สุนัขพันธุ์ชิสุ เจ๊จ๊อดขังไว้ตรงระเบียงป่านนี้คงจะหนาวตายแล้ว กฤษไปถึงสถานีก็เห็นเจ๊แกมายืนรออยู่ เมื่อเห็นกฤษจ๊อดไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรรีบยื่นซองเอกสารให้ เสร็จแล้วก็ก็วิ่งขึ้นบันไดไปทันที
กฤษหยิบกระดาษสีขาวที่อยู่ข้างในซองออกมาอ่านอีกครั้ง อ่านแล้วอ่านอีก เพื่อที่หัวใจที่มันชอกช้ำจะได้เย็นชามากขึ้น พร้อมจะรอรับความจริงที่จะเกิดขึ้นอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
ฝนเริ่มซาลงแล้ว แต่ก็ยังตกปรอยอยู่ วันนี้ไม่ใช่แค่ที่กรุงเทพที่เดียวเท่านั้นที่ฝนตก ดูเหมือนฝนจะตกทั่วทั้งประเทศ ณพรู้สึกเซ็ง ๆ ในเรื่องของกฤษ เขาไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอย่างไรดี เขาไม่อาจจะทิ้งกฤษได้ เพราะเวลานำพาให้เขากับกฤษมาผูกพันกันมากเกินไป จนกลายเป็นคนในครอบครัว ถามเขาว่ายังรักกฤษอยู่ไหม ณ. เวลานี้เขารู้สึกเฉย ๆ มากกว่า หรือเพราะความเคยชินหรือเปล่า ส่วนพัฒน์คิดถึงคนนี้เมื่อใด เขายิ้มออกทุกครั้งมันช่างสุขใจเสียจริง ถามว่าตอนนี้เขารักพัฒน์หรือเปล่า มันก็คงใช่ อาการแบบนี้แหละที่เขาเรียกกันว่ารัก ยิ่งบรรยากาศฝนตกตอนเย็นแบบนี้ยิ่งทำให้เขาคิดถึงพัฒน์มากขึ้น ป่านนี้พัฒน์จะกลับบ้านหรือยังนะ อยากเจอพัฒน์มากที่สุดเลยในตอนนี้ ณพจึงตัดสินใจหยิบโทรหาพัฒน์ทันที
“สวัสดีครับ ขอสายพัฒน์ครับ” ณพกรอกเสียงที่ดูนุ่มนวลที่สุดลงไป เพื่อจะได้ให้คนรับสายรับรู้ว่าเขาคิดถึงแค่ไหน
“ณพเหรอ กลับบ้านหรือยังครับ” พัฒน์ถามไปอย่างคนที่ห่วงใย
“ยังเลยครับ สักพักรอฝนหยุดตกก่อนครับ คิดถึงพัฒน์จังเลยครับ” ณพรีบหยอดคำหวานไปทันที
“ฝนหยุดแล้วก็รีบ กลับบ้านนะครับ”
“ไปเจอพัฒน์ได้ไหมครับ มีเรื่องอยากจะคุยด้วย” เรื่องที่ณพจะคุยก็คือเรื่องที่เขาจะไปกรุงเทพฯ ในวันพรุ่งนี้ เพราะเขาจะต้องบอกพัฒน์ว่า ช่วงที่เขาอยู่กรุงเทพฯ อาจไม่สะดวกที่จะโทรหา
“ก็ได้ พัฒน์ก็มีเรื่องอยากคุยกับณพเหมือนกัน”
ณพดีใจ จนหัวใจเต้นตุบตับ หรือว่า สิ่งที่เขาพยายามอ้อนวอนกับพัฒน์มาโดยตลอด จะเป็นจริงแล้ว ถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง เขาจะดีใจที่สุดคนที่เขารักให้ความรักตอบกลับ แล้วคนที่รักเขาล่ะจะทำอย่างไรต่อไป ความสับสนภายในใจ เริ่มมาก่อกวนณพอีกครั้งหนึ่ง เขารู้ว่าตัวเองเป็นผู้ชายที่อ่อนแอเหลือเกินไม่กล้าตัดสินใจอะไรทั้งนั้น เพราะปัญหาที่เกิดที่ผ่านมามีแต่กฤษเท่านั้นที่ช่วยเขาแก้ไขปัญหา และช่วยเขาตัดสินใจ
ฝนหยุดลงเม็ดแล้ว แต่ท้องฟ้าก็ยังดูมืดครึ้มเช่นเดิม และมีทีท่าจะตกลงมาอีกในไม่ช้าแน่นอน กฤษหิ้วถุงกับข้าวเดินขึ้นอพาร์ทเม้นท์ อย่างช้า ๆ ในใจเขากำลังคิดว่าจะบอกตินอย่างไรเรื่องที่ณพจะมาวันพรุ่งนี้
กฤษเปิดประตูเข้าไปในห้อง ตินนั่งดูทีวีอย่างสนุกสนาน ดูไปหัวเราะไปอย่างคนอารมณ์ดี ตินเห็นกฤษเดินเข้ามา เขารีบลุกไปช่วยถือถุงกลับข้าวมาว้างไว้ที่โต๊ะ
“พี่กฤษจะทานข้าวเลยหรือเปล่าครับ” ตินมองหน้ากฤษ เหมือนกับขอคำตอบ แต่ใบหน้ากฤษเหมือนกันคนที่แบกภูเขาหิมาลัยไว้เต็มอก
“พี่.. พี่กฤษจะทานข้าวเลยไหมครับ เดี๋ยวผมจะได้เตรียมจาน” ตินถามย้ำอีกครั้งหนึ่ง
กฤษหันหน้ามามองตินช้า ๆ พร้อมกับยิ้มแบบเจื่อน ๆ คล้ายคนฝืนยิ้ม ฝืนตัวเองให้มีความสุข
“ทานเลยก็ได้ หิวละสิ พี่ก็หิวเหมือนกัน”
ตินจึงรับไปจัดการเอา จาน ชาม ช้อน พร้อมกับแกะถุงกับข้าวเทใส่จานดูเหมือนจะเป็นของโปรดของเขาทั้งนั้น จากนั้นตินก็คดข้าวใส่จานเตรียมพร้อมประทาน ในขณะที่รออีกคนเปลี่ยนเสื้อผ้า
ทั้งสองคนนั่งทานข้าวกันอย่างเงียบ ๆ แต่กฤษทานข้าวได้น้อยจนผิดสังเกต
“ไม่อร่อยเหรอครับ พี่” ตินถามขึ้นมาเมื่อเห็นกฤษรวบช้อน
“พี่ทานไม่ค่อยลง มันฝืดๆ คออย่างไงไม่รู้ สงสัยไม่สบาย” กฤษแก้ตัวไปน้ำขุ่น ๆ
“พี่ทานยาไหม เดี๋ยวผมหยิบให้” ตินวางช้อนทำท่าจะลุกจากเก้าอี้
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพี่ค่อยทานก่อนนอนก็แล้วกัน ทานต่อให้อิ่มก่อน” กฤษรีบห้ามทันที ก
“ครับ” ตินรับคำพร้อมกับนั่งลง ทานข้าวต่อ
“เออ....ติน เขาจะประกาศผล แอดมิชชั่นเมื่อไหร่” กฤษเรียบ ๆ เคียง ๆถามถึงผสอบที่มันเลื่อนไปมาอย่างไม่มีกำหนด
“ประมาณเดือนพฤษภาคมครับ พี่กฤษมีอะไรหรือครับ” ตินตอบไปทั้งที่ตัวเองยังก้มหน้าก้มตาทานข้าว
“เปล่า ไม่มีอะไร แล้วหายโกรธพ่อหรือยัง” กฤษแย็บถามเข้าเรื่องอีกนิด
“ก็ไม่โกรธอะไรแล้วนี้ครับ พี่อยากให้ผมกลับบ้านหรือครับ” ตินเงยหน้ามามอง พร้อมกับวางช้อนเบา ๆ
“ไม่ใช่อย่างนั้น ตินอยู่กับพี่ดีเสียอีก พี่หายเหงาไปเยอะเลย” กฤษพูดตามความรู้สึกของตัวเองจริง ๆ
“แล้วทำไม พี่ถึงถามเรื่องพ่อ เรื่องผลแอดมิชชั่น ถ้าพี่ไม่อยากให้ผมกับบ้าน” ตินเริ่มรู้สึกน้อยใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ไม่ใช่อย่างนั้น คือว่า....”
“คือว่าอะไรล่ะครับ พี่มีอะไรก็พูดมาสิครับ” ตินจ้องหน้ากฤษเพื่อหาคำตอบ
“คือว่า พรุ่งนี้ณพเขาจะลงมากรุงเทพฯ” กฤษพูดไปพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ คล้ายๆ ตัวเองยกภูเขาออกไปได้ลูกหนึ่ง แต่ก็ยังรู้สึกหนัก ๆ อยู่
“อ๋อ...แฟนตัวเองมาก็เลย จะเฉดหัวน้องนุ่งไปที่อื่นก็ว่ามาเถอะ” ตินพูดที่เล่นที่จริงออกมาเพื่อทำลายบรรยากาศที่ดูอึมครึม
“เปล่า ๆ พี่ไม่ได้คิดอย่างนั้นสักหน่อย” กฤษรีบปฏิเสธพลันวัน กลัวว่าตินจะน้อยใจ และเข้าใจผิด
“แล้วแฟนพี่มาค้างกี่วันละ” ตินหยิบช้อนขึ้นมาตักกับข้าวทานต่ออย่างคนอารมณ์ดี
“คืนสองคืนมั๊ง เห็นว่าจะมาสัมภาษณ์งาน” กฤษบอกตินไปอย่างไม่แน่ใจ
“งั้นเดี๋ยวผมไปค้างบ้านเพื่อนก่อนก็ได้ ไม่อยากมาเป็นกอ ขอ คอ” ตินพูดออกมาพร้อมหัวเราะเบาๆ ตินรู้ถึงความรู้สึกของกฤษว่ากฤษแคร์ตัวเขามากแค่ไหน และเขาก็รู้สึกหวง ๆ กฤษอย่างบอกไม่ถูกเช่นกันเมื่อรู้ว่า ณพกำลังจะมาที่นี่
บนถนนยามค่ำคืนที่ค่อนข้างดึกสงัด บริเวณถนนเลียบคลองชลประทานใกล้สนามกีฬาของจังหวัด ณพจอดรถอยู่ข้างทางเขานั่งทบทวนกับเรื่องที่เพิ่งผ่านมาเมื่อกี้ เขาไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นความจริง คำพูดของพัฒน์มันทำให้โลกมันหมุนคว้าง แทบทำให้เขายืนไม่อยู่
“ณพมาเจอผมวันนี้ก็ดีเหมือนกัน ที่จริงผมตั้งใจจะคุยเรื่องนี้กับณพหลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่ค่อยมีโอกาสสักที” พัฒน์เกริ่นเรื่องทันที เมื่อณพนั่งลงม้าหินอ่อนหน้าบ้านของพัฒน์
“เรื่องอะไรครับ” ณพมองหน้าพัฒน์พร้อมยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
“เรื่องของเราครับ” คำพูดนี้ของพัฒน์ยิ่งทำให้ณพ หัวใจพองโตมากขึ้น
พัฒน์มองหน้าณพ เห็นว่าณพไม่พูดอะไรต่อ พัฒน์จึงรีบพูดเข้าเรื่องทันที
“เรื่องระหว่างเรา ตอนนี้พัฒน์คิดว่าความรู้สึกมันจะเกินเพื่อนไปแล้ว ผมขอโทษณพด้วย ที่คำพูดบางอย่าง การกระทำบางอย่างของผมมันดูจะเกินเลยไป จนทำให้ความรู้สึกของเรามันเลยเถิด ผมขอยืนยันนะว่าผมมีความเป็นเพื่อนให้กับเท่านั้น เพราะณพก็ไม่ใช่สเป็กของผม และอีกอย่างตอนนี้ผมก็มีแฟนแล้ว” คำพูดของพัฒน์มันเหมือนมีดกรีดหัวใจณพ ทุกคำทุกประโยคมันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน
“ครับ” คำตอบรับ ที่หลุดปากออกมาช่างยากเย็นเหลือเกิน
“ผมยังเป็นเพื่อนกับณพเสมอ เออ..แล้วณพมีอะไรจะบอกผมหรือครับ” พัฒน์พูดออกมาอย่างเป็นมิตรเช่นเคย
“แล้วแฟนของพัฒน์เป็นใครหรือครับ” ณพกลับถามกลับโดยที่ไม่สนใจคำถามที่พัฒน์ถามมาก่อนหน้านี้
“ก็ชื่อบอมม์ครับ ยังเรียนอยู่เลย เราเจอกันที่โรงหนัง ก็คบกันมาได้2-3แล้วครับ” พัฒน์ตอบไปเท่าที่จะตอบได้
“จู่ ๆ มาเป็นแฟนกันได้อย่างไรครับ” ณพอดใจไม่ไหวที่อยากจะรู้เรื่องราวของบุคคลที่มาแย่งของอันเป็นที่รักของเขา
“ก็ไม่รู้สิ พอมองหน้ากัน ต่างคนก็รู้สึกว่าใช่ ” พัฒน์พยายามเลี่ยงที่จะคุยเรื่องแฟนของเขาให้ณพฟัง เขาขี้เกียจมาตอบคำถามโน่นคำถามนี้ มันช่วงกวนใจเขาเหลือเกิน ณพได้ยินพัฒน์เช่นนั้นเขาก็พูดอะไรไม่ออกแล้ว ตอนนี้ เวลานี้เขาขอหายตัวไปจากที่นี้เสียดีกว่า ดีกว่าที่เขาต้องมารับรู้เรื่องที่เลวร้ายที่สุดสำหรับจิตใจเขา
“อ้าว..แล้วณพบอกว่ามีเรื่องอะไรจะคุยกับผมล่ะ” ผมย้อนถามคำถามอีกครั้ง
ณพหันมามองพัฒน์อย่าง ๆ ช้า
“ไม่อะไรครับ ลืมไปแล้วค่อยคุยวันหลังแล้วกัน เดี๋ยวณพกลับก่อนนะ ดึกแล้ว” ณพขอตัวกลับทันทีก่อนที่สายตาแห่งความเสียใจมันจะฟ้องออกมาชัดเจนมากกว่านี้
“ขับรถดี ๆ นะครับ เทคแคร์ครับ”
มันเป็นคำพูดคล้ายกับเสียงกระซิบที่บางเบาแล้วค่อยๆ หายไป หายไป กับสายลม ณพขับรถมาถึงตรงนี้เมื่อไหร่ไม่รู้ตัว ทำไมการดูแล เทคแคร์เอาใจใส่ โทรหาทุกวันกับคำหวาน ๆ พร้อมกับข้อความดี ๆ ก่อนนอนทุกวัน สิ่งเหล่านี้มันไม่แสดงถึงความจริงใจที่เขามีให้ต่อพัฒน์เช่นนั้นหรือ หน้าตาของเขาใคร ๆ เห็นก็เป็นที่สะดุดตา ใครก็อยากจะเข้ามารู้จัก แล้วสิ่งที่พัฒน์แสดงออกมาต่อเขานั้นมันหมายถึงอะไร ณพ รู้สึกสับสนวุ่นวายไปหมด เขายกนาฬิกาขึ้นมาดู นี้มันเที่ยงคืนกว่าเกือบจะตีหนึ่งแล้ว ณพนึกได้ว่าเขายังไม่ได้โทรบอกถึงเวลาที่เขาขึ้นรถไปยังกรุงเทพฯ แต่ถ้าหากโทรไปตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ค่อยจะปกติด้วย อาจจะเกิดการทะเลาะกันอีก ณพจึงส่งข้อความบอกถึงเวลาที่รถออกพร้อมกับข้อความดี ๆ ให้ฝันดีก่อนนอน ซึ่งนาน ๆ ครั้งที่เขาจะส่งให้กฤษ เพราะว่าเขามัวแต่ส่งข้อความเหล่านั้นถึงพัฒน์เสียมากกว่า
ณพขับรถกลับบ้าน ฝนเริ่มตกลงมาปรอย ๆ อีกครั้ง เขาเปิดเพลงฟัง เพื่ออารมณ์เขาจะดีขึ้น พร้อมกับคิดถึงเรื่องงานที่ต้องไปสัมภาษณ์วันพรุ่งนี้ เลยไปถึงเรื่องของกฤษ ณพคิดถึงสิ่งที่กฤษทำเพื่อเขาต่าง ๆ นา ตั้งแต่เจอกันแรก จนถึงทุกวันนี้ กฤษเอาใจเขา ทำเพื่อเขาทุกอย่าง ถึงแม้บางครั้งกฤษอาจจะไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยบ้าง บางครั้งก็ชอบหาเรื่องทะเลาะเรื่องไม่เป็นเรื่อง งอนแบบไร้สาเหตุ แต่เขารู้เสมอว่าสิ่งที่กฤษทำลงไปนั้นก็เพราะว่า “กฤษรักเขานั่นเอง”
ทำไมเขามีของดี ๆ อยู่ข้างกายแล้วทำไมเขาไม่เคยคิดถึง หรือเพราะว่า เขาไขว่คว้ามากเกินไปหรือเปล่าจึงมองข้ามบ้างอย่างมากเกินไป ไม่เป็นไรหรอกพรุ่งนี้เขาก็จะเดินทางไปหาคนที่ดีต่อเขา และรักเขามาตลอด พอคิดได้เช่นนี้ณพก็เริ่มยิ้มออกมาได้ เขาขับรถอย่างสบายใจท่ามกลางสายฝนที่ดูท่าทางจะตกมากขึ้นเรื่อย ๆ
ความคิดเห็น