ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สายฝนในลมหนาว

    ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่เจ็ด...ฝากฝัง

    • อัปเดตล่าสุด 10 ม.ค. 50


    รถราวิ่งเต็มท้องถนน ผู้คนต่างทยอยเดินทางกลับบ้านกลับที่พักตัวเอง  มันเป็นช่วงเวลาเลิกงาน และเป็นช่วงทรมานที่สุดของคนทำงาน 8โมงเช้า เลิก 5โมงเย็น ที่ต้องมาผจญกับปัญหาซ้ำ ๆซาก ๆ วันนี้ กฤษไม่ได้ขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้าน เขานั่งรถเมล์มายังแถวป้อมปราบ  สิ่งที่เขาตั้งใจในวันนี้เขาจะต้องคุยกับพ่อของตินให้รู้เรื่อง  ถ้ายิ่งปล่อยให้เวลาผ่านไปเนิ่นนานมันจะประสานกันไม่ติด  แต่ไอ้ที่มันติดอยู่ตอนนี้ก็คือรถ   กฤษภาวนาให้ถึงบ้านตินไว ๆ เขากลัวว่า เดี๋ยวไปไม่ตรงกับเวลาที่นัดไว้  เพราะว่าเมื่อเช้าเขาโทรไปบ้านกฤษมีผู้หญิงรับสาย คงเป็นแก้ว  เธอบอกว่าพ่อของตินออกไปส่งข้าวสารยังไม่กลับ กฤษก็เลยฝากบอกแก้วไวว่า 6โมงเย็นเขาจะเข้าไปคุยด้วยเกี่ยวเรื่องของติน  แก้วรับปากไว้ว่าจะบอกพ่อของตินให้  แต่ในตอนนี้เหลือเวลา ไม่ถึง  10 นาทีจะ 6โมงแล้ว ตินยังไปไม่ถึงครึ่งทางเลย  ถ้าจะนั่งรถเมล์ไปต่อละก็ ถึงบ้านของตินก็คงเกือบจะทุ่ม  กฤษเลยตัดสินใจลงป้ายหน้า  หลังจากนั้นเขาก็โบกมอเตอร์ไซด์รับจ้าง วิ่งห้อไปส่งถึงบ้านของติน เกินเวลาไปเกือบ 10นาที  แก้วกำลังจัดเตรียมโต๊ะกินข้าว   โดยที่อิงอรกำลังป้อนข้าวน้องเติร์กอยู่   ส่วนพิเชษฐ์กำลังง่วนในการปิดประตูร้าน  เมื่อกฤษมาถึงเขารีบแสดงตัวต่อพิเชษฐ์ทันทีว่าเขาเป็นคนโทรบอกให้แก้วว่าเขาจะมาคุยเรื่องของติน  พิเชษฐ์จึงพาเขาเข้าไปคุยในบ้าน

    คุณอาครับ ผมต้องขอโทษด้วยที่มารบกวน และต้องขอโทษอีกครั้งเกี่ยวกับเรื่องที่พาตินมาหาที่โรงพยาบาล  กฤษเริ่มพูดตามสคริปที่ตัวเองเตรียมไว้ตั้งแต่อยู่ที่บริษัท

    ผมเป็นเพื่อนรุ่นพี่ของเขา  คือว่าตอนนี้เขาพักอยู่กับ  ผมเกรงว่าคุณอาจะเป็นห่วง  กฤษจำเป็นต้องโกหกไปเพื่อที่ว่าจะไม่ต้องต่อความยาวสาวความยืดว่าเขาเป็นใครมาจากไหน

    พิเชษฐ์พยักหน้าเบา ๆ เป็นการรับรู้

    คือว่าผมจะมาอธิบายสาเหตุของเรื่องอุบัติเหตุ กับเรื่องเรียนต่อของติน  คือว่า.... ขณะ

    ที่กฤษกำลังจะชักแม่น้ำทั้งห้ามาอธิบาย พิเชษฐ์ ยกมือโบกห้ามให้เป็นการหยุดพูด แล้วพิเชษฐ์ก็เริ่มพูดออกมา

    เรื่องติน ผมเข้าใจแล้ว เติร์กตกบันไดเป็นอุบัติเหตุ  เพราะเติร์กเป็นคนบอกผมเอง ว่า ตินไม่ได้ทำอะไรเขาเลย  ส่วนเรื่องเรียนของเขาผมยังยืนยันคำเดิมอยู่ ว่าให้เขาเลิกเรียนแล้วมาช่วยงานผม กิจการขายข้าวสารผมสร้างมาจากน้ำพักน้ำแรงของผมกับแม่เขา ผมอยากให้เขาเป็นสืบทอดดูแล ตอนนี้ผมรู้ตัวเองดีว่าผมก็แก่ไปเยอะแล้ว   อีกอย่างถ้าหากผมให้เขาเรียนต่อในสิ่งที่เขาต้องการ ผมว่าเขาคงไม่มาสืบทอดกิจการผมแน่ ๆ ถึงเวลานั้น สิ่งที่ผมกับแม่เขาสร้างขึ้นมามันก็ไม่มีค่าอะไรเลย  ผมว่าคุณคงเข้าใจผมนะ  เหตุผลของผู้ใหญ่กับเด็กมันสวนทางกันอยู่เสมอ  เด็กมักจะมองดูอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ฝันถึงสิ่งที่ตัวเองหวังไว้  แต่สำหรับผู้ใหญ่เขามองดูว่าสิ่งที่เขาหยิบยื่นให้เด็กนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดและเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดในชีวิตเขา  เหตุผลของทั้งสองฝ่ายไม่ใครผิดหรือถูก เพราะว่าแต่ละคนย่อมจะต้องเดินไปตามที่ตัวเองคาดหวังไว้  และในตอนนี้ ความคาดหวังของพิเชษฐ์กับตินสวนทางกันอยู่  จะทำอย่างไรให้ทั้งสองเดินมาพบกันคนละครึ่งทางเป็นเรื่องยาก อารมณ์เด็กหนุ่มกับคนแก่ เข้าใจลำบาก ก่อนที่กฤษจะลากลับบ้าน พิเชษฐ์ชวนทานข้าวด้วย เขาปฏิเสธไปเพราะว่า ตินกำลังรอทานข้าวที่ห้อง   พิเชษฐ์หยิบเงินให้กฤษจำนวนหนึ่งฝากให้ติน แล้วฝากบอกว่าถ้าวันไหนสบายใจก็ค่อยกลับบ้าน พ่อดีใจที่ลูกปลอดภัย  กฤษลาพิเชษฐ์ ลาอิงอร  ก่อนจะก้าวออกจากบ้าน แก้ววิ่งมาพร้อมกับถุงกระดาษใบเขื่อง ๆ ซึ่งในถุงมีเสื้อผ้าของติน ขนมอีก 2-3 อย่าง

    ฝากให้น้องตินด้วยนะค่ะ บอกแกให้รีบกลับบ้านด้วยนะค่ะ แก้วเป็นห่วง   คำพูดดูเป็นห่วงเป็นใยจากใจของคนทำงานบ้าน ถ้าตินมาได้ยินกับหู เขาคงจะรู้สึกดีขึ้น

    ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เดี๋ยวผมค่อย ๆ กล่อมแกให้เองนะครับ  อารมณ์ของเด็กวัยหัวเลี้ยวหัวต่อก็เป็นแบบนี้แหละครับ ฉุนเฉียวง่าย ๆ เดี๋ยวสักพักให้แกได้คิดอะไรเองได้  แกก็คงจะดีขึ้นเอง ผมขอบคุณแทนตินด้วยนะครับ พี่แก้ว 

    ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ

    สวัสดีครับ กฤษกล่าวคำลา  แล้วเดินจากบ้านหลังนี้ออกมาทันที เขามุ่งหน้าไปยังป้ายรถเมล์เพื่อกลับบ้าน

    ....................................

                อากาศร้อนของเดือนเมษา  มันทำให้ผู้คนหงุดหงิดกันเป็นแถว ๆ ไม่ว่าคนรอบข้าง รอบตัวรอบกาย  แม้แต่กฤษก็ยังโดนความร้อนของอากาศทำพิษ  ณพโวยวายที่กฤษไม่ยอมกลับมาในช่วงสงกรานต์  ณพต่อว่าต่อขานกฤษสารพัด พูดถึงเรื่องผ่านมา สงกรานต์ทุก ๆ ปีที่ผ่านตั้งแต่คบกันต้องอยู่ด้วยกันเสมอ เพราะวันที่ทั้งสองคนเริ่มคบกันมันเป็นช่วงที่ใกล้เทศกาลสงกรานต์พอดี  สำหรับณพเขารู้ว่ามันเป็นเทศกาลที่มีความหมายสำหรับเขา  กฤษก็อยากกลับไปนะ แต่ว่าเขาไม่มีเงินพอที่จะกลับไปบ้านในครั้งนี้  ตอนที่กลับไปงานศพของลุง กฤษก็ใช้เงินไปจำนวนมากพอสมควร ถ้าหากกลับไปคราวนี้อีกก็คงต้องมานั่งใช้หนี้กันแบบหัวโตแน่นอน  กฤษอธิบายเหตุผลต่าง ๆ นานาให้ณพฟังแล้ว แต่ดูเหมือนณพจะไม่พยายามเข้าใจเสียเลย  จึงเกิดการทะเลาะกันขึ้นมาอีก

                จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไปจนถึงวันที่ 12 เมษา ณพก็ยังถามกฤษว่าจะกลับหรือไม่กลับ กฤษก็ยังยืนยันคำเดิมว่า

                กลับไม่ได้ครับ ไม่มีเงินครับ  อีกอย่างตอนนี้ตั๋วรถก็คงหมดแล้วด้วย เดี๋ยวรอวันไหนเขาว่างแล้วพอจะมีตังค์เก็บ เขาจะรีบกลับนะครับ

                ก็ได้เขาไปเที่ยวกับคนอื่นก็ได้  ไม่สนใจกันแล้วนี่ คำตัดพ้อต่อว่าก็มีมาอย่างไม่ขาดสาย แต่จะทำยังไงได้ล่ะ  ความจำเป็นของแต่ละคนมันช่างแตกต่างกันเหลือเกิน

                และแล้ววันสงกรานต์ก็มาถึงกฤษโทรบอกแม่ว่าปีนี้กลับไม่ได้ ไม่ค่อยมีเงิน แม่ก็ว่าไม่เป็นไรดอก มีเงินเมื่อไหร่ค่อยกลับมาเยี่ยมบ้านก็ได้ กฤษรู้สึกอุ่นใจที่ครอบครัวเขาเข้าใจในความจำเป็น  แต่อีกคนหนึ่งไม่ยอมที่จะเข้าใจอะไรเลย  นั่นแหละที่มันยังค้างคาใจให้เขามีความกังวลอยู่

                ตินออกไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ เขาเป็นน้องที่ดีสำหรับกฤษอยู่เสมอ แต่บางครั้งกฤษก็รู้สึกวูบวาบบ้าง แต่เขาก็พยายามข่มใจ   กฤษไม่รูว่าตินรู้สึกอย่างไรกับเขา เพราะบางครั้งการแสดงออกของตินมันก็ช่างน่าสงสัย อย่างเช่นช่วงที่ผ่านมาที่กฤษทะเลาะกับณพ ตินก็จะมาคอยปลอบ คอยแหย่ให้กฤษได้ยิ้ม ได้หัวเราะได้หายความกังวล  และบางครั้งสายตาที่ตินมองกฤษมันก็มีความนัยหลายอย่างเหลือเกิน   แต่บางครั้งก็ดูเหมือนไม่มีอะไรเลยในแววตาคู่นั้น  วันนี้ตินออกไปเที่ยวกับเพื่อน ที่ตรอกข้าวสารกัน  ส่วนกฤษก็นอนแอ้งแม้งอยู่กับห้องไม่รู้จะไปไหน   ร้อนก็ร้อนนอนผึ่งพัดลมที่ห้องสบายใจกว่า  ตอนบ่ายแก่ ๆ เจ๊จอดผู้ที่ไม่อยากกลับบ้านด้วยเหตุผลเดียวกัน ก็คือไม่มีเงิน  แกรู้ว่ากฤษไม่กลับบ้าน ท่านพี่ก็เลยโทรชวนไปเดินเล่นแถวตรอกข้าวสาร แล้วเลยไปสนามหลวง  ไปดูที่เขาจัดงานฉลองเทศกาล

                ทั้งสองคนไปถึงตรอกข้าวสารก็เกือบเย็น ไปเดินฝ่าฝูงคนเล่น ๆ  เนื้อตัวไม่ค่อยเปียกน้ำสักเท่าไหร่ ชื้น ๆ มากว่า แต่ที่โดนเต็ม ๆ ก็เหมือนกับตัวเองไปตกบ่อแป้งมา ขาวทั้งหัว ทั้งตัว ขาวไปหมด  ทั้งสองคนเดินฝ่าฝูงคนจนถึงหน้าสถานีตำรวจชนะสงคราม จึงจะหลุดจากสงครามแป้งมาได้  ด้วยสภาพที่ไม่อำนวยจะไปเดินเล่นไหนต่อ  กฤษกับจ๊อดจึงหาร้านเล็กแถวๆ นั้นนั่งพักผ่อนให้หายเหนื่อย แล้วก็สั่งเบียร์มานั่งดื่มกันเล่น ๆ

                นี่คุณน้อง เด็กคุณน้องเป็นอย่างไรบ้าง เจ๊จ๊อดเริ่มอาการอยากรู้ถึงความเป็นไป

                ไอ้หมูเหรอเจ๊  กฤษย้ำชื่อออกไป เป็นการตอบคำถาม

                เปล่า  น้องตินนะ เป็นอย่างไรบ้าง  จ๊อดเฉลยชื่อของผู้ที่เธออยากจะรู้ความเป็นไป

                ก็น่ารักดี  อยู่ที่ห้องก็คอยดูแลห้องให้  ไม่ค่อยเป็นภาระเท่าไหร่ วันนั้นผมไปหาพ่อเขา พ่อเขาก็เข้าใจในเรื่องที่เกิดขึ้น เขาก็ยังฝากเงินมาให้ลูกชายเขาอยู่เลย  ทุกวันนี้เขาก็รอว่าเมื่อไหร่ลูกเขาจะลดทิฐิกลับมาอยู่ที่บ้านเหมือนเดิม  กฤษเล่าถึงเรื่องที่ไปคุยกับพิเชษฐ์พ่อของตินมา

                มันก็เป็นธรรมดา ของวัยรุ่น สมัยก่อนเจ๊ทะเลาะกับที่บ้านเจ๊ก็หนีไปอยู่บ้านเพื่อนเหมือนกัน  พอหายโกรธก็กลับบ้าน  ทุกอย่างก็เป็นปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้น  จ๊อดออกความเห็นในฐานะที่ตัวเองเคยผ่านชีวิตของวัยรุ่นที่ วุ่นๆ มาตลอด

                แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเขาหายโกรธพ่อเขาหรือยัง ตอนเอาเงินยื่นให้เขา  เขาก็เฉยไม่เห็นถามอะไรต่อ กฤษพูดไปพลางก็มองดูเด็ก ๆ วัยรุ่นที่มาเล่นสาดบริเวณนั้นบางคนก็ถอดเสื้อโชว์หุ่น ผอม ๆเพรียว ๆ มีกล้ามเล็กน้อย ดูแล้วพอเป็นกระษัยของชีวิต ส่วนชาวต่างชาติบางคนก็ไม่ค่อยสนใจตัวเองเท่าไหร่ใส่เสื้อผ้าที่บางเฉียบเมื่อโดนน้ำสาดก็เห็นอวัยวะทุกสัดส่วน  แต่พวกเขาดูมีความสุขกับการเล่นสาดน้ำ เพราะเทศกาลแบบนี้หาที่ไหนไม่ได้นอกจากเมืองไทย สักพักก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น กฤษก็รับแกะถุงพลาสติกออก แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย

                สวัสดีครับ 

                ตัวเอง เขาจะออกไปเที่ยวกับเพื่อนนะ ณพโทรแจ้งเขา

                ไปเที่ยวไหนล่ะ  แล้วไปกับใคร  กฤษถามกลับไป

                ยังไม่รู้อ่ะ ดูก่อนว่าจะไปเที่ยว  เขาจะไปกับพวกพี่เอก ณพบอกถึงคนที่จะไปเที่ยวด้วย

                แล้วตัวเองอยู่ไหน ณพถามกฤษอีกครั้ง

                อยู่ตรอกข้าวสารกับเจ๊ เดี๋ยวจะกลับแล้ว  ตัวเองก็อย่ากลับดึกล่ะ  กฤษบอกณพด้วยความเป็นห่วง

                ครับ  งั้นเขาออกไปก่อนแล้วกัน

                ครับ ดูแลตัวเองด้วยล่ะ  ตินย้ำถึงความเป็นห่วงอีกครั้งให้ณพได้รับรู้ 

    ................................

                ณพว่างสายจากกฤษแล้ว เขาก็รีบแต่งตัวในชุดที่ตัวเองคิดว่าดูดีที่สุด  พร้อมกับจัดแต่งทรงผมให้เข้าทรงและดูเนี๊ยบที่สุด  ณพรีบโทรไปบอกพัฒน์ว่าอีก  20 นาทีเขาจะถึงหน้าบ้านให้พัฒน์ออกมารอเขาด้วย  จากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องไปหยิบกุญแจรถ 

                ณพขับรถไม่ถึง20 นาทีก็ถึงหน้าบ้านของพัฒน์   สักพักหนึ่งพัฒน์ก็ออกมาด้วยชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ แบบสบาย ๆ และดูดี  ทรงผมก็เซ็ทให้ได้ทรงตามที่ตัวเองชอบ  ณพเห็นพัฒน์เดินออกมา เขารู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ทุกครั้งที่เขาเห็นหน้าพัฒน์ เรื่องเศร้า ๆ เหงา ๆ เซ็ง ๆ มันหายไปทันทีเลย แค่พัฒน์ยิ้มให้เขา โลกดูสดใสขึ้นมาทันตา

                พัฒน์อยากไปเที่ยวไหนครับ  ณพรีบถามอย่างเอาใจ

                พัฒน์อยากไปแดนซ์  ณพว่าไปที่ไหนดีล่ะ  พัฒน์ขอความคิดเห็นของคนชวนเที่ยว

                ไปดิสไหมครับ วันนี้คนคงเยอะ ท่าทางจะสนุก  ณพชวนไปเที่ยวผับที่เคยไปเที่ยวเป็นประจำ

                อืม...ก็ได้ แล้วแต่คนขับรถแล้วกัน  พัฒน์ยิ้มให้อย่างกันเอง 

                รอยยิ้มของพัฒน์ทำให้ณพหัวใจพองโต  เขาตัดสินใจแล้วคนนี้แหละ  คือคนที่เขาอยากอยู่ใกล้ตลอดไปในชีวิตนี้  เพราะแค่เห็นหน้าสารเอนโดรฟินก็หลั่งออกมาทำให้เขารู้สึกกะปรี้กะเปร่าขึ้นมาได้ทันที 

                ทั้งสองคนพากันไปเที่ยวอย่างสนกุสนาน  หลังจากที่ผับปิดพัฒน์เอ่ยปากชวนณพไปชมวิว ณ จุดชมวิวบนเขา  มันช่างเป็นสถานที่โรแมนติกเสียยิ่งกระไร  ณพรู้สึกว่าพัฒน์ก็ดูมีใจให้กับเขาเช่นกัน

    ...................................

                หลังจากที่คุยกับณพเสร็จแล้วว่าจะกลับ  แต่แล้วอารมณ์หงุดหงิดมันก็พลุ่นพล่านออกมาทันที  กฤษก็เลยชวนเจ๊จ๊อดนั่งกินเบียร์ต่อไปเรื่อยจนรู้สึกว่าเองไม่ค่อยไหวแล้ว  ทั้งคู่จึงพากันกลับในสภาพที่ดูไม่ค่อยได้เลย

                กฤษกลับมาถึงห้องเขาก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที  อาการมึน ๆ ก็ยังมีอยู่บ้าง  แต่รู้สึกเพลียมากกว่า กฤษจึงรีบเข้านอนทันที เขาหลับไปสักพัก  โลกมันรู้สึกโหวงเหวงอย่างบอกไม่ถูก เขาเห็นณพกำลังเดินจากเขาไป  ไม่พูดไม่จาอะไรสักอย่างถามอะไรก็ไม่ตอบ กฤษตะโกนถามแล้วณพก็ยังเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนกฤษทนไม่ไหว วิ่งไปคว้ามือณพไว้ แต่สิ่งคว้าได้คือความว่างเปล่า ณพก็ยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ 

                เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา กฤษตกใจตื่นมารู้สึกหนักหัวอย่างบอกไม่ถูก  กฤษรีบรับสายทันที

                ตัวเองเหรอ เขาถึงบ้านแล้วนะ ต้นสายแจ้งให้ทราบถึงการกลับมา

                ครับ  กฤษตอบรับเบา ๆ

                งั้นตัวเองก็นอนต่อเถอะ  เขาก็จะนอนเหมือนกัน  มึนมากเลย  แล้วค่อยคุยกันนะครับ

                บายครับ กฤษกล่าวคำลา แล้วกดวางสายไปพลันมองดูข้าง ๆ เห็นร่าง ๆ หนึ่งนอนหลับอย่างสบายในชุดกางเกงขาสั้นตัวเดียว  กฤษมองสำรวจร่างของหนุ่มน้อยตั้งแต่หัวไล่ลงมาที่ใบหน้า จมูก คิ้ว ปากคาง ช่างพอเหมาะกับใบหน้า ลำคอที่ดูกลมสมส่วนกับไหล่ทั้งสองข้าง  ลำตัวไม่หนาไม่บางเกินไป  หน้าทองมีกล้ามพอประมาณ มีไรขนอ่อน ๆ ไล่จากหน้าอกจนถึงสะดือเริ่มหนาขึ้นแล้วหายลับไปกับขอบกางเกง สายตาของกฤษปะทะกับบางสิ่งบางอย่างที่นูนขึ้นมาจากเป้ากางเกงอย่างผิดปกติ  หัวใจของเขาเต้นรัวอย่างไม่เป็นจังหวะมันเต้นเร็วมากขึ้น มากขึ้นเรื่อย ๆ  มือทั้งสองข้างเย็นเฉียบ แต่กลับมีเหงื่อผุดมาจนชื้นไปหมด  อวัยวะบางของเขาเริ่มตื่นตัวเช่นกัน  อาการมึนๆ จากการดื่มเบียร์ทำให้เขาใจกล้ามากขึ้น กฤษค่อย ๆ เอื้อมมือไปยังตรงของสงวนของติน  แล้วค่อย ๆวางฝ่ามือไปยังตรงนั้นอย่างเบา ๆ จากนั้นค่อยๆ ลูบขึ้นลงไปมา อวัยวะพิเศษของ ตินขยับตามการลูบไล้เหมือนเป็นการตอบรับการสัมผัส กฤษทนกับอารมณ์ของตัวเองไม่ไหว เขาค่อยๆเลื่อนมือมาที่ขอบกางเกงแล้วสอดนิ้วมือเข้าไป นิ้วมือของเขาสัมผัสบางส่วนของอวัยวะพิเศษของติน  ในเวลานั้นอารมณ์ของกฤษพุ่งพล่านดั่งพายุที่ถาถมเข้าใส่ หัวใจเขาเต้นแรง เร็ว และถี่ จนแทบหลุดออกมาจากอก ทันใดนั้นตินก็พลิกตัวเปลี่ยนท่าเป็นนอนตะแคงจึงทำให้มือของกฤษหลุดจากบริเวณของสงวนของติน  การพลิกตัวของตินทำให้กฤษได้สติขึ้นมา นี่เขากำลังล่วงเกินเด็กหนุ่มที่ไว้วางใจเขาให้เป็นพี่ชาย  เขาได้ล้ำเส้นไปแล้วด้วยอารมณ์ของความ

    ปรารถนา   ไฟราคะของเขายังครุกรุ่น บางสิ่งบางอย่างของเขายังไม่สงบ  กฤษจึงลุกจากเตียงเดินเขาไปในห้องน้ำเพื่อไปจัดการดับไฟราคะของตัวเองให้มันหมดไป เพื่อที่ว่ามันจะไม่ได้ลุกมาก่อเรื่องอีก   ตินหันกลับมาทันทีหลังจากที่ได้ยินเสียงปิดประตูห้องน้ำ เขาลืมตาโพลงในความมืด ในใจเขาเต้นไม่เป็นจังหวะเหมือนกัน เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงปล่อยให้กฤษล้ำเส้นมาได้ ทำไมเขาไม่ปฏิเสธไปตั้งแต่แรกเมื่อโดนสัมผัสจากภายนอกกางกง หรือว่าใจเขาปรารถนาเช่นนั้นเหมือนกัน ตินพยายามบังคับลมหายใจให้มันสม่ำเสมอ เพื่อที่ว่าเป็นการบังคับให้บางสิ่งบางอย่างของเขาสงบลง สักพักใหญ่กฤษก็เดินออกมาจากห้องน้ำ แล้วค่อยคลานขึ้นไปบนเตียง ทั้งสองคนนอนหันหลังชนกัน แต่ดวงตาของคนทั้งคู่ยังไม่ปิดสนิท ทั้งคู่ต่างก็คิดเรื่องที่เกิดขึ้น ว่ามันเกิดขึ้นด้วยสาเหตุของอะไร

               

    เพราะว่า....ความไม่สติจากการดื่มเบียร์

                เพราะว่า....ความต้องการของทางกาย

                เพราะว่า....อารมณ์พาไป

                หรือ  เพราะว่าหัวใจมันเพรียกหา
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×