คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ห้า...กลับบ้าน
กฤษเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า 2-3 ชุด ไม่ลืมที่จะหยิบเสื้อผ้าสีดำและสีขาวไปด้วย ตั๋วรถทัวร์เขาก็บริการจัดส่งมาที่ออฟฟิศทำงานตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว รถรอบ 3ทุ่ม เย็นวันพฤหัสบดีรถไม่ค่อยติดมากนักและอีกอย่างจากที่พักของไปหมอชิตก็ไม่ไกลกันเท่าใดมากนัก กฤษลาหยุดพรุ่งนี้หนึ่งวัน อย่างน้อยเขาจะได้มีเวลาไปช่วยงานศพได้เต็มที่ แล้ววันอาทิตย์ที่เหลือเขาจะได้ให้เวลากับณพคนรักของเขาได้อย่างเต็มที่เหมือนกัน พอเจ๊จ๊อดทราบข่าวว่ากฤษจะกลับต่างจังหวัดท่านพี่ก็รีบสั่งของฝากเสียกระบุงใหญ่ แล้วยังไม่วายสั่งเสียเรื่องไอ้หมูของกฤษ ก็คือณพนั่นเอง
“อย่าทำให้เขาได้ใจมาก เราต้องหัดเพิ่มคุณค่าให้กับตัวเองบ้าง ไม่ใช่มันอยากได้อะไรก็ถวายหัวให้อย่าไปยอมมัน” เป็นคำสั่งเสียที่ค่อนข้างตรงใจที่เดียว แต่ทำไงได้ความรักมันช่างมีอิทธิพลเหนือสิ่งใดทั้งปวง ความรักทำให้คนเข้มแข็งและอ่อนแอได้ในเวลาเดียวกัน ความรักทำให้ดวงตาเห็นโลกเป็นสีชมพู แต่ก็ทำให้คนตาบอดได้เช่นกัน ทุกอย่างไม่สามารถมีคำตอบได้ในชั่วขณะที่มีความรักเข้ามา มันขึ้นอยู่ที่ว่าความรักจะนำพาให้เราเป็นเช่นไร กฤษกับณพได้รูจักและรักกันมาเป็นเวลาเกือบ 5ปีแล้ว ทุกอย่างของณพ คือสิ่งที่ใช่สำหรับกฤษ กฤษพยายามทำทุกอย่างที่ดีและมีคุณค่ามาโดยตลอดไม่ว่าการวางตัว กระทำต่าง ๆ รวมไปถึงการดูเอาใจใส่ณพ ทุก ๆ ด้าน ตั้งแต่เรื่องการเรียน ในตอนสมัยที่คบกันแรก ๆ จนณพเรียนจบ การแต่งตัว เสื้อผ้า เครื่องสำอางประทินผิวต่าง ๆ กฤษพยายามสรรหาแต่สิ่งดีให้กับ ณพ แล้วยังเผื่อแผ่ไปยังถึง พ่อ แม่ และน้องสาวของณพอีกด้วย ความเสมอต้นเสมอปลาย การไปมาลาไหว้ ทุกครั้งของกฤษ แม้กระทั่งเวลาพักอยู่ที่บ้านของณพ กฤษจะช่วยแม่ทำกับข้าว กฤษต้องคุยกับแม่ในทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้าน เรื่องงานของณพ เรื่องงานของแม่ เรื่องเรียนของน้องสาวของณพ รวมไปถึงเรื่องสัพเพเหระต่าง ๆ บางครั้งกฤษก็กลายเป็นตัวประสานความสัมพันธ์ของครอบครัวโดยปริยาย ทั้งกฤษและณพต่างก็ไม่คิดมาก่อนว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจะลึกซึ้งได้มากขนาดนี้ ทุกวันนี้ครอบครัวของณพยอมรับกฤษเป็นลูกคนหนึ่งของบ้าน และทุกครั้งที่กฤษกลับบ้านต่างจังหวัด ณพจะมารับส่งที่สถานีขนส่งเสมอ ตลอดระยะเวลาที่คบกันมา และกฤษก็คิดว่าทางครอบครัวของเขาก็คงเข้าใจเขาด้วย เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมากฤษไม่ค่อยพูดถึงใครนอกจากณพคนเดียว และที่บ้านของกฤษก็เคยได้เจอตัวณพเช่นกัน แต่ก็ไม่มีใครเคยพูดถึงความสัมพันธ์ของเขาทั้งสอง
กฤษนั่งแท็กซี่ มาที่หมอชิต ปล่อยให้ตินอยู่ที่ห้องคนเดียว เขาถามว่าตินอยู่ได้หรือเปล่าในสภาวะจิตใจเช่นนี้ ตินบอกเขาว่าอยู่ได้ และไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว ตอนนี้สบายใจขึ้น บางทีตินอาจจะไปเดินเล่นกับเพื่อนช่วงวันหยุด เพื่อนที่ว่าก็คงจะเป็น เมย์สาวน้อยที่คอยโทรหาตินทุกเช้าสายบ่ายเย็น จนกระทั่งก่อนนอน ความรักของวัยรุ่นมันช่างหอมหวาน และสดใสเสียยิ่งกระไร ทุกอย่างมันดูเป็นสีชมพูไปทั้งหมด มันช่างต่างจากความรักของกฤษกับณพใน ณ เวลาขณะนี้ เหมือนทุกอย่างการเป็นความเคยชินและผูกพันมากกว่าความรัก คำหวานๆ ไม่ค่อยจะมีให้กัน มีคำพูดเดิม ๆ ที่ถามกันไปตามสคริปที่เขียนไว้ และยิ่งเวลานี้ณพมีเพื่อนใหม่ในวงสังคมเดียวกันมากขึ้น หมู่คนเหล่านี้ล้วนมาจากทางอินเตอร์เนตบ้าง และเพื่อนของเพื่อนบ้าง กลายเป็นว่าเพื่อน ๆ รอบตัวณพ มีแต่คนประเภทเดียวกันทั้งหมด ไม่ค่อยมีเพื่อน ที่เป็นชายจริง หญิงแท้ ซึ่งแตกต่างจากกฤษที่เขาสามารถคบกับคนได้ทุกประเภท และการที่ณพมีเพื่อนในวงสังคมเดียวกันมากขึ้น ยิ่งเป็นการสร้างความระแวงให้กับกฤษมากขึ้น เพราะกฤษรู้ดีว่าความสัมพันธ์ของคนในอินเตอร์เนตบางคนเริ่มต้นจากเรื่องเซ็กส์เป็นเครื่องนำทาง และณพเป็นคนไม่ค่อยปฏิเสธใครไม่ค่อยเป็นด้วย กฤษกลัวว่าถ้าหากมีเรื่องเกิดขึ้น มันจะถลำลึกลงไป สุดท้ายก็มีแต่เรื่องที่ชอกช้ำตามมา แต่ถ้าจะมานั่งห้ามว่าใครควรคบหรือไม่ควรคบก็ดูเหมือนจะเป็นการก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวมากเกินไป เพราะทุกอย่างนั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของณพ มันช่างเป็นเรื่องที่อึดอัดใจสำหรับกฤษเหลือเกิน
รถทัวร์วิ่งมุ่งหน้าไปยังทางภาคเหนือของประเทศไทย โทรทัศน์ก็เปิดละครซิทคอมของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งในเมืองไทยให้ผู้โดยสารดูเป็นการฆ่าเวลาก่อนนอนส่วนกฤษไม่ค่อยสนใจกับเรื่องราวในทีวีเท่าไหร่ เพราะในใจมัวแต่คิดถึงเรื่องข้อความที่ได้รับเมื่อสักครู่นี้
“ออกไปทานข้าวกับเพื่อนนะ” สามทุ่มออกไปทานข้าวกับเพื่อน แล้วเพื่อนนี้คือใครกันล่ะ ช่างมันเถอะ เดี๋ยวรอละครซิทคอมจบค่อยโทรไปถามก็ได้ กฤษนั่งมองออกไปข้างนอกรถ รถราวิ่งสวนกันไปมา ไฟฟ้าข้างทางก็มีตั้งเป็นจุดๆ เปิดบ้างปิดบ้าง ดูเหมือนทุกอย่างไม่ค่อยสมประกอบเท่าไหร่ กฤษปล่อยใจลอยไปกับความคิดอันเรื่อยเปื่อย ไฟในรถเริ่มปิดจนดับสนิท ผู้คนเริ่มห่มผ้าห่ม เอนเบาะเพื่อพักผ่อนและนอนหลับ สักพักเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นกฤษรีบรับสายทันที หากรับช้ากลัวเสียงโทรศัพท์จะดังเป็นการรบกวนคนในรถ
“สวัสดีครับ” กฤษพูดกระซิบเบา ๆ
“ตัวเอง เขาไปเที่ยวต่อนะ พอดีเพื่อนมันชวนเที่ยว ตัวเองจะมาถึงกี่โมงล่ะ” ณพแจ้งจุดประสงค์ที่โทรมาหา
“ประมาณ ตี 5 ครึ่ง พรุ่งนี้เขาก็จะถึงบ้านแล้ว ตัวเองจะไปเที่ยวอีก” กฤษถามกลับไป
“ก็พรุ่งนี้หนึ่งมันจะกลับกรุงเทพฯแล้ว หนึ่งมันก็เลยชวนเที่ยว” นี่คือเหตุผลที่ณพเอามาอ้างกับกฤษ
“หนึ่งไหนล่ะ” กฤษข้องใจกับเพื่อนที่ชื่อ หนึ่ง
“ก็หนึ่งที่เขาคุยทางเอม เอส เอนไง คุยกันมาเป็นปีแล้ว หนึ่งเขามาดูงานที่กับรุ่นน้องเขา พรุ่งนี้เขาจะกลับกรุงเทพฯแล้ว รุ่นน้องเขาอยากเที่ยวก่อนกับก็เลยชวนเขาไปเที่ยวด้วย” ณพสาธยายถึงความเป็นมาเป็นไปของเพื่อนคนนี้ให้ฟัง
“ตัวเองก็เพิ่งเที่ยว เมื่ออาทิตย์ที่แล้วไม่ใช่เหรอ” กฤษยังไม่ยอมอ่อนข้อให้
“นี่จะหาเรื่องอะไรอีก ทั้งชีวิตจะอยู่ด้วยกันแค่สองคนเท่านั้นเหรอ”
กฤษไม่อยากจะเชื่อว่าคำพูดนี้จะได้ยินจากปากคนที่เขารัก กฤษไม่อยากให้เขาไปเที่ยว เพราะเป็นห่วงสุขภาพ พรุ่งนี้เช้าต้องมารับเขาแต่เช้า แล้วต้องไปงานศพอีก ถ้าหากณพไปเที่ยวพรุ่งนี้ ณพนอนไม่พอก็จะหงุดหงิดแล้วกลายมาเป็นอารมณ์นำสู่การทะเลาะกันอีก แต่ห้ามไปก็จะมีประโยชน์อะไรขึ้นมา ชีวิตเขา เขากำหนดเองนี่หน่า
“ก็ตามใจแล้วกัน แล้วอย่ากับดึกล่ะ” มันเป็นคำพูดที่ช่างฝืนใจตัวเองเหลือเกิน
หลังจากนั้นทั้งสองก็พูดร่ำลา กันตามปกติแล้ววางสายไป กฤษมองออกไปข้างนอกถอนหายใจ รู้สึกสมเพชเวทนากับชะตาชีวิตของตัวเองเหลือเกิน ไม่รู้ว่าจะประคับประคองกันไปได้นานสักแค่ไหน กฤษไม่อยากเริ่มต้นใหม่กับใครอีกแล้ว และเป็นการยากมาก ๆ กับการที่จะได้เจอครอบครัวที่ดี ๆ และเข้าใจชีวิตเขาเช่นนี้ แต่ชีวิตคนเราเมื่อถึงจุดสุดท้ายมันก็ต้องจากกัน ถ้าไม่จากแบบเป็น ก็ต้องจากด้วยการตาย ก็เช่นเดียวกับครอบครัวของป้าที่กฤษกำลังจะไปร่วมงานศพ ลุงไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลแต่แล้วก็ต้องมาเสียชีวิตกระทันหันโดยไม่มีการกล่าวลาอะไรทั้งสิ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นกับใคร ก็ไม่มีใครสามารถทำใจได้หรอก ถ้าหากกฤษเลือกได้ กฤษก็จะเลือกการจากลาโดยเป็นผู้ที่จากไปเอง ไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตาย กฤษกลัวการสูญเสียของคนอันเป็นที่รักมากที่สุด นี่เป็นความกลัวที่ฝังอยู่ในใจเขาตลอดเวลา
รถทัวร์วิ่งต่อไปตามจุดหมายปลายทาง กฤษหลับไปโดยไม่รู้สึกตัว เขาหลับไปนานจนกระทั่งในรถเปิดไฟ และเริ่มแจกผ้าเย็น ใกล้จะถึงบ้านแล้ว คนที่ลงระหว่างทางเริ่มทยอยลงทีละคนสองคน กฤษโทรศัพท์ไปบอกให้ณพรู้ว่าเขาจะถึงสถานีขนส่งแล้ว แต่ดูเหมือนว่ามือถือจะถูกปิด กฤษจะโทรเข้าบ้านก็กลัวว่ายังไม่มีใครตื่นนอนเป็นการรบกวนเปล่าๆ กฤษก็รออีกสักพักจนรถถึงสถานีขนส่ง กฤษลองกดโทรศัพท์ไปยังเครื่องณพอีกครั้งคราวนี้มีสัญญาณตอบรับแต่ไม่มีใครรับสาย กฤษฟังเสียงสัญญาณจนกระทั่งมันตัดไป กฤษลองดูอีกครั้งก็ยังเหมือนเดิม สุดท้ายกฤษอดทนรอไม่ไหวจึงโทรเข้าไปที่เบอร์บ้าน พ่อของณพรับสาย สิ่งที่ทราบจากพ่อก็คือ ณพเพิ่งกลับมาถึงประมาณ ตีสี่เกือบตีห้า อารมณ์ฉุนและโมโหพุ่งขึ้นมาอย่างระงับไม่อยู่ แต่เขาไม่รู้จะทำอย่างไร พ่ออาสาจะออกไปรับที่สถานีขนส่ง แต่กฤษไม่ยอมเพราะมันเป็นหน้าที่ของณพที่เขาต้องรับผิดชอบ พ่อจึงเข้าไปปลุกณพให้ กฤษยืนรอที่สถานีขนส่งร่วมครึ่งชั่วโมง กว่าณพจะโผล่หน้ามาถึงทั้ง ๆ ที่บ้านกับสถานีขนส่งใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที กฤษไม่พอใจกับการกระทำของณพสักเท่าไหร่ แต่จะมาหาเรื่องกันตอนนี้ก็ใช่เหตุ สภาพของณพช่างดูไม่ได้เสียจริง ๆ เมื่อทังสองมาถึงบ้านณพไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร เดินเข้าที่เตียงนอนแล้วล้มตัวนอนโดยไม่สนใจอะไรสักอย่าง กฤษเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับมาล้มตัวลงนอนข้าง ๆ สักพักหนึ่งณพถึงได้หันกลับมากอดกฤษไว้ และแล้วกฤษก็งีบหลับไป
เสียงเคาะประตูดัง ก๊อก ก๊อก พร้อมกับเสียงเรียกของพ่อ ให้ตื่นได้แล้ว กฤษตกใจตื่นขึ้นมาดูนาฬิกา เกือบจะเที่ยง กฤษรีบวิ่งไปอาบน้ำ แต่งตัว เพราะนัดนาครเอาไว้ตอนบ่ายโมงว่าจะเข้าไปที่บ้านของป้าและตอนเย็นจะได้ไปงานศพที่วัดพร้อมกัน ณพมีทีท่าว่าจะไม่ยอมไปด้วยตามที่สัญญาเพราะมีข้ออ้างสารพัด แต่ท้ายสุดณพก็ยอมไปส่งกฤษที่บ้านป้าแล้วตัวเองขอตัวกลับมานอนต่อ แล้วพรุ่งนี้ตอนเย็นจะไปรับหลังจากที่เผาศพเสร็จ
...........................................
เปลวควันค่อย ๆ ลอยขึ้นจากปล่องเมรุ กฤษยืนมองดูพร้อมกับญาติหลาย ๆ คนที่ยังไม่กลับ ทุกอย่างเกิดจากธรรมชาติสุดท้ายก็ต้องคืนให้กับธรรมชาติเหลือไว้เพียงจิตวิญญาณที่ล่องลอยไปอยู่ตามภพภูมิที่ตัวเองควรอยู่ หรือไปตามกรรมที่ได้สร้างไว้ตอนเมื่อยังมีชีวิตอยู่ เหลือแต่คนข้างหลังที่ยังอาวรณ์โศกเศร้าเสียใจ ป้าทำใจไม่ได้ที่ต้องมองร่างไร้วิญญาณของลุงที่ถูกนำขึ้นไปเมรุ น้ำตาแห่งความผูกพันและโศกาอาดูรไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย คนที่เคยอยู่ร่วมด้วยกันมาเกือบจะ 40 ปี วันนี้คือวันสุดท้ายที่จะได้เห็นกัน ถึงแม้ว่าอีกคนหนึ่งจะเป็นร่างที่ไร้ซึ่งวิญญาณแล้วก็ตาม
“แม่จะกลับบ้านเย็นนี้เลยหรือเปล่า” กฤษถามแม่ตัวเองที่มาร่วมงานศพด้วย
“กลับไปสิ ลูก งานที่บ้านเยอะแยะ อีกทั้งคนที่เขามากับเราด้วยก็ต้องกลับไปทำมาหากิน แล้วลูกล่ะ จะกลับกรุงเทพฯ เย็นนี้หรือเปล่า” แม่ของกฤษพูดถึงภาระที่มีมากมายหลายอย่าง ที่ยังรออยู่ที่บ้าน เตรียมการสะสาง
“กลับพรุ่งนี้ตอนเย็นครับ” กฤษพูดพร้อมพยุงแขนแม่เดินไปที่รถ
“กลับถึงกรุงเทพแล้ว โทรหาแม่ด้วยล่ะ” แม่บอกกฤษแบบนี้ทุกครั้งเมื่อกฤษจะกลับกรุงเทพ
“ครับ” กฤษรับคำ
“แล้วนี้จะค้างบ้านป้าต่อหรือเปล่า”
“เดี๋ยว ณพมารับ” กฤษบอกถึงที่พักในคืนนี้
แม่พยักหน้ารับรู้ และพอจะเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง กฤษเดินไปส่งแม่จนถึงบริเวณที่จอดรถ พ่อยังมาไม่ถึงคงคุยอยู่กับป้าและญาติ ชาวบ้านที่เขามาร่วมงานศพด้วย ขึ้นอยู่บนรถรอเกือบครบ
“เดี๋ยวแม่จะกลับแล้วนะลูก รักษาตัวด้วยล่ะ” แม่ให้พรก่อนจะเปิดประตูรถ แล้วขึ้นไปนั่งรอ กฤษปิดประตูรถเบา ๆ หลังจากนั้นก็หยิบโทรศัพท์โทรถามคนที่มารับว่าอยู่ไหน เขาจับใจความได้ว่าใกล้จะถึงแล้ว รอสักครู่ กฤษวางสายไป เขานึกได้ว่าตั้งแต่มาถึงบ้านป้ายังไม่ได้โทรหาตินเลย เขาจึงกดเบอร์ไปหาติน แต่ไม่มีคนรับสาย กฤษจึงวางหูไปเพราะคิดว่าเมื่อตินเห็นเบอร์ที่โชว์อยู่คงโทรกลับมาหาเอง
ณพขับรถมาถึงที่วัด เขาลงไปสวัสดีแม่ของกฤษในรถพร้อมกับแก้ตัวเรื่องที่ไม่มางานศพในวันนี้ ก็คือเขาต้องไปทำธุระกับพ่อและแม่ของเขา กฤษจึงขอตัวกลับก่อนแต่ใจจริงอยากรอส่งพ่อกับแม่ให้กลับก่อน แต่ดูท่าทางณพลุกลี้ลุกรนอย่างบอกไม่ถูก เขาจึงตัดสินใจรีบกลับ พร้อมกับล่ำราแม่อีกครั้ง
ทั้งสองคนนั่งรถมาด้วยกัน ณพเลี้ยวรถเข้าไปเติมน้ำมันที่ปั๊ม เขาบอกให้กฤษหยิบเงินในกระเป๋าจ่ายค่าน้ำมันส่วนเขาจะขอตัวเข้าห้องน้ำก่อน เมื่อณพกลับมาที่รถ คำถามหนึ่งก็หลุดออกจากปากกฤษทันที
“รูปติดบัตรของใครเหรอ ที่อยู่ในกระเป๋าตังค์”
“อ๋อ รูปเพื่อนของเพื่อนเจอกันที่งานสมาคมศิษย์เก่าของโรงเรียน เขามาช่วยเพื่อนจัดงานครบรอบ50 ปี ของโรงเรียน น่ารักหรือเปล่า” ณพเล่าถึงความเป็นมาของรูปติดบัตรที่อยู่ในกระเป๋า พลางสตาร์ทเครื่องและขับออกไปจากปั๊ม
“เฉย ๆ น่ะ” กฤษตอบไปตามรู้สึกที่เห็น หน้าตาก็ตี๋ ๆ จืดชืด
“ชื่ออะไรล่ะ” กฤษถามต่อ
“ชื่อ พัฒน์ อายุเท่าเขา ทำงานอยู่กับแม่ ลูกคุณหนูทำอะไรไม่ค่อยเป็นอยากไปสมัครงานยังให้เขาจัดทำเรซุเม่ให้เลย” ณพขยายความถึงเจ้าของรูปอีกครั้งโดยที่เขาไม่สังเกตเห็นว่ากฤษเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร
“คงไม่ใช่เพิ่งรู้จักกันแน่นอน ไม่อย่างนั้นไม่มานั่งลงทุนทำเรซูเม่ให้หรอก” ในใจของกฤษเริ่มไม่ค่อยพอใจในเรื่องที่ณพเล่าให้ฟัง
“แล้วพรุ่งนี้ตัวเองจะไปไหนบ้างล่ะ” กฤษถามในสิ่งที่ณพอยากจะทำให้วันว่างของเขาทั้งสองคน
“ยังไม่รู้สิ” ณพหันมาตอบแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาขับรถต่อไป
“อยากกินอะไรไหมล่ะ จะได้แวะตลาด” กฤษยังถามต่อ
“ไม่ต้องก็ได้ วันนี้แม่คงทำกับข้าวไว้รอแล้วแหละ” ณพพูดถึงแม่ของเขา ที่ป่านนี้คงเตรียมกับข้าวรอให้กับลูกชายอีกคนมาทานด้วย ก็หมายถึงกฤษนั่นแหละ
“ก็ตามใจ” กฤษพูดออกมาลอย ๆ ในใจก็ยังคิดถึงเรื่องของณพกับพัฒน์อยู่อย่างไม่หาย
ความคิดเห็น