ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สายฝนในลมหนาว

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่สอง... ว้าวุ่น

    • อัปเดตล่าสุด 10 ม.ค. 50


    ตอนที่สอง... ว้าวุ่น

                ห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านปทุมวัน วันนี้เป็นวันหยุดผู้คนจอแจมากมายตั้งแต่เช้าจรดเย็น ผู้คนพากันมาเดินเล่นเพื่อหลบอากาศที่ร้อนอบอ้าว จนในห้างจึงเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย มีตั้งแต่เด็กเล็กตัวแดง ๆ จนถึงคนชราที่มีลูกหลานจูงไม้จูงมือมาเดินเที่ยว  เมย์นั่งรอตินในร้านฟาสฟูดส์ร้านหนึ่ง ตาก็จ้องมองออกไปว่าเมื่อไหร่ตินจะมาเสียที ในใจก็อยากรู้เรื่องที่ตินหนีออกจากบ้าน จะโทรไปถามที่บ้านตินก็ไม่กล้า เมย์นั่งกระสับกระส่ายไปมา ตาก็ชะเง้อมองออกไป ปากก็ดูดน้ำจากแก้วเป็นการฆ่าเวลาในการรอคอย สักพักเสียงมือถือก็ดังขึ้น

                ตินเหรอ  ถึงไหนแล้ว เมย์รีบรับสายแล้วก็กรอกเสียงตามไป

                ถึงแล้วกำลังข้ามสะพานลอย รอแป๊บหนึ่งนะ กำลังเดินไป เมย์สั่งอะไรหรือยัง ต้นสายถามกลับ

                ยังเลย ก็รอตินนั่นแหละ

                งั้นเมย์ ก็สั่งเลยแล้วกัน ตินหิวแล้ว เอาแฮมเบอร์เกอร์ให้ตินด้วยนะ ตินสั่งอาหารที่ตัวเองอยากกิน

                ได้จ๊ะ  เดี๋ยวจัดให้ รีบเดินมาล่ะ เมย์ก็หิวเหมือนกัน เมย์รับคำ แล้วลุกเดินไปสั่งอาหารตามที่ตินต้องการ

                โอเค ครับจะถึงแล้ว เดี๋ยวเจอกัน บ๊ายบาย ตินรีบก้าวขายาว ๆ เร็วขึ้น มุ่งหน้าตรงไปยังร้านฟาสฟูดส์ที่อยู่ตรงข้างหน้า

    .......................................

                มุมหนึ่งของร้านกาแฟติดกับสถานีรถไฟฟ้าศาลาแดง  กฤษนั่งมองดูถนนสีลมที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา มีทั้งคนทำงานออฟฟิศ คนที่งานกลางคืนที่กำลังทยอยออกจากรถไฟฟ้าเพื่อมาทำงาน รวมถึงชาวต่างชาติ ทั้งเอเชียและยุโรป เดินกันขวักไขว่ไปหมด  สายตาเขาก็กวาดมองไปทั่ว ชีวิตของชาวกรุงที่ดูยุ่งยาก สับสนวุ่นวายกันไปหมด เหมือนแต่ละคนไม่มีใครมีเวลาส่วนตัว หรือเวลาพักผ่อน ราวกับว่าทุกคนจะทำงานอยู่ตลอดเวลา  แต่สำหรับเขา เวลาทำงานก็คือทำงาน เวลาพักผ่อนก็คือเวลาพักผ่อนจริง ๆ  เขาแบ่งเวลาเป็นสัดเป็นส่วน เขาไม่ค่อย ซีเรียสมากมายกับการใช้ชีวิตในเมืองหลวงเช่นนี้  ถ้ามันเครียดมากๆ ก็หลบไปหาณพที่ต่างจังหวัดสักวัน สองวัน ชาร์ตแบตเต็มที่แล้วกลับมาต่อสู้กันใหม่อีกครั้ง เขาพยายามหาเวลาให้ณพอยู่เสมอ หาเวลาว่างกลับไปต่างจังหวัดบ่อย ๆ แต่ณพ ไม่เคยมาหาเขาที่กรุงเทพฯ นอกจากมาทำธุระ แต่ถ้าให้มาหาเขาด้วยความคิดถึงละก็ ไม่มีหรอก แต่ช่างเถอะเขาถือว่าเขาทำเพื่อคนที่เขารักก็แล้วกัน  กฤษนั่งคิดไปเรื่อย ๆ สายตาก็เหม่อมองออกไป ปล่อยให้ความคิดให้ลอยไปตามจินตนาการ มันช่างเป็นเวลาที่มีความสุขเหมือนกัน  เวลาที่ใจของตัวเองตกอยู่ในภวังค์เช่นนี้

                คุณน้อง มานานหรือยัง มีเสียงชายหนุ่มมาทักอยู่ข้างหลัง มันทำให้กฤษตกใจหลุดออกจากภวังค์ทันที

                เจ๊ ก็ มาเงียบตกใจหมดเลย กฤษยิ้มเจื่อน ๆ เมื่อ เพื่อนรุ่นพี่ที่เขานัดไว้เดินมาทักแบบเงียบ ๆ

                แหม เจ๊ก็เห็น เธอมองดูหนุ่ม ๆ ที่เดินขวักไขว่ไปมา ตางี้เยิ้มเชียว หิวล่ะซิ   จ๊อดเพื่อนรุ่นพี่ยังคงแซวต่อ

                ก็มอง ๆ ไปอย่างนั้นแหละ  ว่าเจ๊เถอะ ทำไมมาช้าจัง ปล่อยให้รอตั้งนาน กฤษกลับลำมาต่อว่าเพื่อนรุ่นพี่

                ก็ลูกค้าที่โรงพยาบาลน่ะสิ เดี๋ยวโทรมานัด เดี๋ยวโทรมาเลื่อนอยู่นั่นแหละ จนจะทำให้ฉันประสาทเสียอยู่แล้ว แล้วยังทำให้ฉันเสียเวลาอีก แล้วคุณน้องมีธุระอะไรหรือค่ะถึงนัดคุณพี่มาเจอ จ๊อดพูดถึงเรื่องงานที่ตัวเองอย่างแสนเบื่อหน่าย อยากจะย้ายออกแต่ก็ไม่รู้จะไปทำอะไรที่ไหน ก็เลยต้องทน ๆ อยู่ไปก่อน

    ก็มีเรื่องที่อยากจะปรึกษา  คือว่าเมื่อคืนเจอเด็ก..... กฤษกำลังอ้าปากจะเล่าถึงเรื่องที่เขาเจอมาเมื่อคืน จ๊อดก็รีบแทรกขึ้นมาทันที

    อะไรนะ เมื่อคืนเธอได้กินเด็กเหรอ เด็กขนาดไหนล่ะ

    เจ๊ ฟังก่อนสิ  ไม่ได้กิน เมื่อคืนเจอเด็กคนหนึ่งเขามีปัญหากับที่บ้าน ก็เลยพามาค้างที่ห้อง กฤษเล่าต่อ

    เจมส์ก็พูดแทรกมาอีก มาค้างที่ห้อง อย่ามาโกหกฉันนะว่าไม่ได้ทำอะไรกัน

    จริง ไม่ได้ทำอะไรจริง   ไม่อยากติดคุก เด็กยังไม่ถึง 18 เลย  กฤษพยายามเล่าเรื่องความจริงให้เพื่อนรุ่นพี่เขาฟัง

    แล้วมีอะไรถึงมาขอให้ช่วยล่ะ

    ก็คือว่า น้องเขาไม่ยอมกลับไปบ้าน  ผมกล่อมแล้วกล่อมอีก  กล่อมยังไงก็ไม่ยอมกลับ ผมโทรไปบอกที่บ้านเขาดีไหมว่าลูกเขาอยู่กับเรา  เจ๊ว่าอย่างไรกฤษขอความคิดเห็นจากเพื่อนรุ่นพี่ที่มากด้วยประสบการณ์ของชีวิต

    ฉันว่าก็ดีเหมือนกัน จู่ ๆ ถ้าหากทางบ้านเขาเกิดแจ้งความขึ้นมา  เราจะไม่ต้องมาซวยด้วยความหวังดี จ๊อดออกความเห็นไปด้วยสายตาที่มองการณ์ไกล

    อ่าว แล้วเด็กตอนนี้อยู่ที่ไหนล่ะ หรืออยู่ที่ห้อง จ๊อดถามต่อ

    ไปหาเพื่อนเขามั้ง กฤษตอบอย่างไม่รู้ไม่ชี้

    เพื่อนหรือแฟนค่ะ จ๊อดแซวต่อ

    ไม่รู้สิ รู้แต่ว่าเป็นผู้หญิง กฤษบอกถึงบุคคลที่ตินไปหาให้จ๊อดฟัง

    แล้ว ไอ้หมูล่ะ เธอเล่าให้มันฟังหรือเปล่าเรื่องเด็กน่ะ  จ๊อดพูดถึงณพ คนรักของกฤษ

    ไม่ได้เล่า เมื่อคืนมันก็ไปเที่ยวอีกแล้ว เดือนนี้มันเที่ยว 3-4 ครั้งแล้ว เจ๊มันบอกว่าคนที่ชวนไปเลี้ยงตลอด กฤษระบายเรื่องคนรักตัวเองให้จ๊อดฟัง เพราะยังไงเรื่องความรักของเขา เพื่อนรุ่นพี่คนนี้ก็รับรู้มาตลอด โดยเฉพาะเรื่องของปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับณพ

    แหม...ไอ้พวกที่พามันไปเลี้ยง คิดหรือว่าพวกนั้นมันจะเลี้ยงฟรี ๆ มันก็ต้องหวังอยู่แล้วแหละ พวกนี้มันคงหวังอยากได้ไอ้หมูละสิ  ไอ้หมู มันก็คงจะเต็มใจด้วยละสิ ไม่งั้นมันจะยอมให้เขาเลี้ยงเหรอ คนมันเคยได้ตลอดไม่เคยเสียอะไรเลยนี่  พอมันเห็นว่าเธอให้มันไม่ได้เหมือนแต่ก่อน มันก็ต้องหาคนอื่นมาทดแทน จ๊อดพูดน้ำไหลไฟดับ ตามประสาคนที่คิดว่าตัวเองรู้จริง ถึงจริงหรือไม่จริงยังไง กฤษก็ไม่สามารถทำอะไรได้  ความรักมันฝังลึก กลายเป็นความผูกพันที่มันแน่นแฟ้นเกินที่จะยากตัดขาดให้ออกจากกัน  ครอบครัวของณพ ไม่ว่า พ่อ แม่ น้องสาว รวมไปถึงญาติคนอื่น ๆ ดีกับเขาตลอดเวลา นับตั้งแต่ที่เขารู้จักณพมาหลายปี

    ก็เคยถามเขาแล้ว แต่เขาบอกว่าไม่มีอะไรจริง ๆ เขาถามว่าไม่เคยเชื่อใจเขาเหรอ กฤษพูดเหมือนจะแก้ตัวแทนคนรักของตัวเอง

    แล้วเธอเชื่อใจ มันไหมล่ะ  จ๊อดตอกย้ำความเชื่อใจเข้าไปอีกที

    ไม่รู้สิ  จริงไม่จริงใครจะไปตรัสรู้ได้ นอกจากตัวมันเอง  กฤษพูดออกมาด้วยความไม่มั่นใจสักเท่าไหร่ เพราะที่ผ่านมาเขาเคยเจ็บช้ำกับเรื่องนี้มาแล้ว ทุกวันนี้กว่าจะประคับประคองความรักให้ผ่านพ้นวิกฤติต่าง ๆ นานา มาได้ หัวใจเขาก็ถูกกรีดไว้หลายแผล   เขามานั่งคิดดูว่า คนเราสามารถแบ่งหัวใจรักคนหลาย ๆ ได้หรือ แต่แล้วทำไมตัวเขาถึงทำไม่ได้ บางทีเจอคนถูกใจอยากจะลองแอบรักดูสักทีแต่แล้วก็ทำไม่ได้  หรือด้วยว่าคำที่เคยสาบานไว้กับตัวเองว่า ชั่วชีวิตนี้จะยอมเสียเวลาให้คนนี้เพียงคนเดียว โดยที่จะไม่เหลียวแลใครอื่นอีกต่อไป  ก็ช่างมันเถอะอายุ      อานามก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว

    ก็แล้วแต่เธอนะ  ทนได้ก็ทนต่อไป แหม ๆ แต่ก็ใช่ว่าเธอจะไม่มีเด็กมากิ๊กนี่ เออ..แล้วน้องอาร์มหายไปไหน  จ๊อดก็อดที่จะเหน็บเพื่อนรุ่นน้องคนนี้ไม่ได้ แล้วยังไม่วายถามถึงเด็ก ๆของกฤษอีก

    ไปไหนแล้วไม่รู้ ไม่ติดต่อมา ผมก็ไม่ติดต่อไป ส่วนรายอื่น ๆ ยังไม่มีมา แล้วเจ๊ล่ะไม่มีกับเขาบ้างเหรอช่วงนี้ กฤษปฏิเสธพร้อมกับย้อนถามกลับไป

    ฉันไม่สนหรอกย่ะ  ไม่มีพวกนี้ฉันก็ไม่ตาย จ๊อดพูดถึงเรื่องนี้เหมือนเป็นเรื่องสัจจะธรรมของชีวิต ว่าตัวเธอเองก็ปลงตกไม่ไขว่คว้าอีกแล้ว

    จ้า..เจ๊ทำได้  แต่ผมทำไม่ได้นิ  กฤษพูดออกมาอย่างคนปลงไม่ตกในเรื่องของตัณหาราคะ  ก็เขาเป็นปุถุชนคนธรรมดา ที่มีความต้องการอยู่เหมือนกัน

    แล้วน้องเขาเป็นยังไงบ้าง หน้าตาดีเปล่า น่ารักไหม จ๊อดรุกถามต่อด้วยความอยากรู้

    ก็น่ารักดี  เด็ก ๆ น่ะเจ๊  กฤษพูดไปตามที่เห็น

    ระวังล่ะ  จะอดใจไม่ได้  ปลาย่างอยู่กับแมว มีเหรอ แมวจะไม่แอบกิน จ๊อดพูดเหมือนจะรู้ทันกฤษพร้อมกับเผยอยิ้มที่มุมปากออกมา

    ไม่หรอกเจ๊  น้องเขาเป็นผู้ชายไม่ใช่เหมือนเรา กฤษปฏิเสธไป แต่ในใจก็อดสงสัยตามที่เพื่อนรุ่นพี่คนนี้พูด

    เธอก็รีบไปจัดการกับเรื่องที่บ้านเด็กคนนี้ให้เรียบร้อยล่ะ อย่ามามีเรื่องให้ฉันต้องวิ่งโร่ขึ้นโรงขึ้นศาลมาช่วยเป็นพยานให้เธอ ถ้ากล่อมให้กลับบ้านได้ก็ยิ่งดีไปใหญ่  หรือว่าเธอจะไล่มันออกจากห้องก็ดีนะ เจ๊จ๊อดยังเสนอความคิดเห็นอย่างไม่หยุดปาก

    ทำไมเหรอ เจ๊ จะให้ไล่เด็กไปอยู่กับเจ๊  แล้วเจ๊จะกินเองล่ะซิกฤษย้อนศรเอาบ้าง

    ต๊ายแล้วคุณน้องพูดอย่างนี้ได้ไง แต่ถ้ามาก็ดีนะ เจ๊ก็หิวเหมือนกัน จ๊อดพูดออกมาทีเล่นทีจริง แล้วทั้งสองก็หัวเราะกันอย่างขำขำ

    เจ๊จะหาอะไรกินก่อนหรือจะกลับเลยล่ะ กฤษถามจ๊อดในเรื่องที่จะทำต่อไป

    กลับค่า  เจ๊เหนื่อยเหลือเกินวันนี้ อยากจะพักผ่อนมาก ๆ  จ๊อดพูดด้วยสีหน้าที่เบื่อหน่ายกับชีวิตซึ่งหมดแล้วด้วยพละกำลังที่มีอยู่

    งั้นก็กลับกันเถอะ  เดี๋ยวผมจะได้ขึ้นรถไฟฟ้ากลับห้องเลย

    ทั้งสองคนพากันเดินไปยังทางขึ้นสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งที่พักของทั้งสองคนอยู่คนละทาง กฤษอยู่ทางต้นๆ ของสถานีรถไฟฟ้า ส่วนจ๊อดอยู่ปลายทางสถานีรถไฟฟ้า   และทั้งสองคนต้องอาศัยรถไฟฟ้ามาทำงานอยู่เสมอ

    .....................................................

    กฤษรีบกลับมาที่ห้องกลัวว่าตินมาถึงที่ห้องก่อน แล้วเข้าห้องไม่ได้ เพราะลูกกุญแจห้องมีเพียงชุดเดียวซึ่งอยู่กับเขา   แต่เมื่อมาถึงที่พักกลับพบว่าไม่มีร่องรอยของการกลับมาถึงห้องของติน สงสัยตินจะค้างกับเพื่อนของเขากระมัง เพราะนี่มันจะ 5ทุ่มอยู่แล้ว กฤษคิดอยู่ในใจ เขาค่อย ๆ ไขกุญแจเข้าไปในห้องเดินเอาถุงก๋วยเตี๋ยวไปวางบนโต๊ะทานข้าว  เมื่อกี้เขาแวะทานก๋วยเตี๋ยวที่หน้าปากซอยก่อนเข้าที่พัก  ก็เลยสั่งใส่ถุงมาให้กับเจ้าตินเพื่อว่ามันกลับมาถึงห้องแล้วหิวข้าว กฤษผลัดเสื้อผ้า หยิบผ้าเช็ดตัวกำลังเดินเข้าไปอาบน้ำ เสียงเคาะประตู สองสามครั้งดังอยู่ที่หน้าห้อง เขาจึงรีบเดินไปที่ประตูมองลอดออกไปที่ตาแมว เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนทำหน้าเอ๋อ ๆ อยู่หน้าห้อง เขาจึงรีบเปิดประตูให้

    ผมคิดว่าเคาะห้องผิดเสียอีก  ตินพูดออกมาเมื่อกฤษโผล่หน้าออกจากประตู

    อ่าว  แล้วไปเคาะมากี่ห้องล่ะ  กฤษพูดปนขำ

    ก็ก่อนหน้านี้ เคาะไปห้องนี้แต่เป็นชั้นบน แต่ไม่มีใครเปิดประตูให้ คิดว่าน่าจะผิดห้อง ก็เลยลองเสี่ยงเปลี่ยนเคาะห้องใหม่ ตินตอบด้วยอาการเขิน ๆ

    เออนะ  ยังดีที่เคาะคราวนี้ถูกห้อง ห้องชั้นบนไม่มีคนอยู่หรอก คนเก่าเขาย้ายไปนานแล้ว  ถ้ามีคนเปิดให้ก็หนาวนะสิ  กฤษอำตินเล่นแบบสนุกๆ

    พี่ก็พูดเล่นอยู่ได้ ผมเป็นคนกลัวผีนะ บอกให้ไว้ก่อน 

    เข้ามาสิ พี่คิดว่าเราคงค้างที่บ้านเพื่อนเสียอีก   กฤษไม่เสียเวร่ำเวลาคุยหน้าห้องจึงบอกให้ตินเข้ามาให้ห้อง ก่อนที่พวกยุง ทั้งหลายจะบินเข้าไปนั่งรอ ถือเข็มเจาะเลือดอยู่ข้างใน

    พี่ครับ เขาเป็นผู้หญิงนะ ไปค้างบ้านเขาได้ยังไง ตินอ้างเหตุผลที่ถูกต้อง

    อ่าว ก็เห็นมันดึกแล้วนี่  พี่คิดว่าเราคงไม่กลับ  ดีนะที่มาเคาะตอนนี้ไม่งั้นพี่เข้าอาบน้ำ อาจจะไม่ได้ยิน

    พอดีผมกับเมย์ไปกินข้าวแล้วก็ไปดูหนังกันมา ก็เลยกลับดึกนิดหนึ่ง ตินเล่าเรื่องที่เขาไปกินข้าวไปดูหนังกับเพื่อนผู้หญิงมา

    แล้วหิวอยู่หรือเปล่า  ถ้าหิวก็กินก๋วยเตี๋ยวได้นะ พี่ซื้อมาให้วางอยู่บนโต๊ะ เดี๋ยวพี่ขอตัวอาบน้ำก่อน  กฤษบอกชี้ไปยังถุงก๋วยเตี๋ยวที่วางอยู่บนโต๊ะพร้อมกับก้าวเท้าเข้าไปในห้องน้ำ

    ผมอิ่มแล้ว ครับพี่ ตินปฏิเสธอย่างเสียมิได้

    งั้นก็นั่งดูทีวี ไปพลาง ๆ ก่อนแล้วกันเดี๋ยวค่อยมาอาบน้ำต่อจากพี่ กฤษพูดเสร็จพร้อมกับปิดประตูห้องน้ำ

    กฤษปล่อยให้สายน้ำไหลพุ่งจากฝักบัวกระทบตัวเขาอย่างเย็นสบาย  ในใจก็เริ่มคลายเป็นปกติ ความกังวลต่าง ๆ เริ่มไหลกับสายน้ำ จากที่เคยอยู่ตัวคนเดียวโดยตลอด จะทำอะไรในห้องก็ทำได้ตามใจ แต่ตอนนี้ก็มีคนมาอยู่ด้วยก็ต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น สักพักหนึ่งก็มีเสียงเคาะประตูห้อง

    พี่กฤษ  พี่กฤษ  โทรศัพท์ดังครับ เสียงแทรกเข้ามากับเสียงสายน้ำ

    ใครโทรมา ดูชื่อให้พี่หน่อยสิ  กฤษตะโกนออกไป

    ชื่อ ณพ ครับ พี่กฤษ ตินตอบกลับ

    เหรอ ๆ เดี๋ยวพี่ออกไป กฤษรีบปิดฝักบัว  เอาผ้าเช็ดตัวมาพันช่วงล่างแล้วเปิดประตูห้องน้ำเดินออกมารับโทรศัพท์ทั้ง ๆที่ตัวยังเปียกอยู่

    ฮัลโหล กฤษกรอกเสียง แล้วเดินไปคุยที่ระเบียง

    ทำไมรับสายช้าจัง มัวทำไรอยู่ทางต้นสายซักถามกลับมา

    กำลังอาบน้ำอยู่

    แล้วตัวเองล่ะ ทำอะไรอยู่ กฤษย้อนถาม

    จะนอนแล้ว ณพบอกด้วยเสียงของคนที่ง่วงนอนสุด ๆ

    อ้าวจะรีบนอนแล้วเหรอ  แล้วไม่เล่นเน็ต เล่นเกมส์เหรอ กฤษถามถึงกิจวัตรประจำวันของณพที่ทำก่อนนอนอยู่เสมอ เพราะส่วนมากเวลาที่ ณพเลิกงานมาแล้ว หากไม่ได้ออกไปไหน เขาก็ขลุกอยู่กับคอมพิวเตอร์ของเขาตลอดทั้งคืนจนถึง ตีหนึ่ง ตีสอง เขาก็จะเล่นเกมส์  เล่นเน็ตอยู่อย่างนี้ทุกวันทุกวัน แล้วทำไมวันนี้ถึงรีบนอนเชียว

    ก็ง่วงนอน เมื่อคืนไม่ได้นอน ณพบอกถึงเหตุผลที่รีบนอน

    แล้วใครบอกให้ออกไปเที่ยวกลับมาตี 3 ตี 4 ล่ะ  กฤษอดที่จะเหน็บไม่ได้

    งั้นเขาขอตัวนอนก่อนแล้วกันนะ  ง่วงมาก ๆ แล้ว ณพตัดบทพูดออกไปด้วยความง่วง หรืออารมณ์ไม่ดีกับคำพูดเหน็บแหนมของกฤษก็ไม่รู้

    ก็ฝันดีแล้วกัน  กฤษบอกคำลาก่อนนอน ซึ่งเป็นคำที่พูดติดปากมาโดยตลอด จนบางครั้งก็ขี้เกียจพูดเหมือนกัน

    ครับ สวัสดีครับ ณพวางสายไป

    ติน ไปอาบน้ำสิ กฤษหันไปบอกเด็กหนุ่มที่นั่งดูทีวีอยู่บนเตียง

    ครับ  ตินรับคำแล้วลุกมาหยิบผ้าเช็ดตัว เดินหายไปในห้องน้ำ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×