ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจาะเวลาหาอดีต

    ลำดับตอนที่ #7 : ถ่ายทอดยอดกระบี่

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.24K
      50
      16 ก.ย. 55

         จากนั้นสองวัน ฟางเหวินหลงผ่านพิธีกราบปราชญ์กระบี่เป็นอาจารย์ หลังจากโขกศีรษะอย่าง

    นอบน้อมสามคราต่อหน้าชายชราเเล้ว เฉาชิงเต้าเอ่ยปากอย่างปลาบปลื้มประโลมใจว่า

         "ลุกขึ้นได้ เหวินหลงจากนี้เจ้าถือว่าเป็นศิษย์สำนักจี้เสียโดยสมบูรณ์แล้ว"

         ฟางเหวินหลงลุกขึ้นยืนห่างจากเฉาชิวเต้าเล็กน้อย ชายชรามองดูฟางเหวินหลงที่เกล้าผมเผ้า

    ผลัดเปลี่ยนเป็นสวมเสื้อผ้าใหม่ คล้ายกลับเป็นคนละคน ดวงตาอดทอแววชื่นชมมิได้ กล่าวว่า

         "เจ้าทราบหรือไม่ว่าทำไมเราจึงรับเจ้าเป็นศิษย์?"

          ฟางเหวินหลง งงงันวูบ จากนั้นสั่นศีรษะเป็นความหมายว่าไม่เข้าใจ

          ปราชญ์กระบี่กล่าวว่า

         "เหตุผลนั้นง่ายดายยิ่ง เพราะเราต้องการให้เจ้าเป็นยอดขุนพลแคว้นฉี"

          ฟางเหวินหลงกล่าวอย่างงุนงงว่า

         "ข้าพเจ้า?"

          ปราชญ์กระบี่เหม่อมองไปเบื้องหน้า กล่าวว่า

         "ขณะนี้แคว้นฉินเป็นรัฐเข้มแข็ง รุกรานหกแคว้น ไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้านได้ แคว้นหานอ่อนแอถูกบุกยึด

    เป็นแคว้นแรก ต่อมาก็คือแคว้นจ้าวซึ่งเมื่อสิ้นยอดขุนพลเช่นหลี่มู่ แคว้นจ้าวไม่มีผู้ใดรับมือกองทัพฉินซึ่งนำทัพ

    โดยหวังเจี่ยนได้ ทัพฉินอันเข้มแข็งล้มล้างแคว้นจ้าวเป็นผลสำเร็จ  ตอนนี้แผ่นดินเหลือเพียงห้าแคว้น ถ้าเรา

    ไม่กระทำการใด ไม่ช้าแคว้นฉีของเราคงถึงคราวล่มสลายเป็นแน่"   

         ฟางเหวินหลง ครุ่นคิดว่า

         ตามประวัติศาสตร์แคว้นฉินสามารถรวมแผ่นดินได้สำเร็จ หากให้เราเป็นแม่ทัพนำทัพต่อต้านทัพฉิน คงต้อง

    ไปรายงานตัวต่อยมบาลก่อนเฉาชิวเต้าอีก จึงกล่าวว่า

         "ข้าพเจ้าเยาว์วัย ประสบการณ์อ่อนด้อย เกรงว่าจะทำให้อาจารย์ต้องผิดหวัง"

         ปราชญ์กระบี่ หัวร่อฮาฮา กล่าวว่า

         "เรื่องนี้เป็นเพียงสิ่งที่เราคาดหวัง เจ้ายังไม่ต้องนำมาขบคิดให้กลัดกลุ้ม ตอนนี้เจ้ามีเวลาฝึกปรือสามเดือน

    จากนั้นเราจะส่งเจ้าไปประลองกระบี่ในนามสำนักจี้เสีย เพื่อชิงตำแหน่งมือกระบี่หน้าบัลลังค์"

         ดังนั้นฟางเหวินหลงพักอยู่ที่สำนักจี้เสียแห่งนี้ ทุกวันก่อนไก่ขันบอกอรุณ จะตื่นขึ้นมาฝึกเพลงกระบี่

    ระดับความรุดหน้าของฝีมือของเขา แม้แต่ปราชญ์กระบี่ยังลอบประหลาดใจ

         หนึ่งเดือนให้หลัง ฟางเหวินหลงมีความสำเร็จถึงขั้นที่เฉาชิวเต้าต้องใช้พลังฝีมือสามส่วนจึงรับมือได้   

         ยามพลบค่ำวันหนึ่ง ขณะที่ฟางเหวินหลงฝึกซ้อมเพลงกระบี่อย่างใจจดใจจ่ออยู่นั้น    ปราชญ์กระบี่เรียก

    หาเขาเข้าสู่ห้องเรียนจี้เสีย ครุ่นคิดชั่วขณะ ค่อยกล่าวว่า

         "คืนนี้เจ้าไม่ต้องนอน เราจะถ่ายทอดเพลงกระบี่แก่เจ้าสามกระบวนท่า"

         ฟางเหวินหลงทวนคำ "สามกระบวนท่า" เห็นว่าเพลงกระบี่เพียงสามท่า ใยต้องร่ำเรียนตลอดทั้งคืน

         ปราชญ์กระบี่ กล่าวว่า

         "วันพรุ่งนี้จะมีศัตรูเก่าเราผู้หนึ่งมาเยือน เราจะให้เจ้ารับมือมัน"

          ฟางเหวินหลงอยู่ร่วมกับเฉาชิวเต้าชั่วระยะหนึ่ง ได้เพาะสร้างสัมพันธ์ฉันศิษย์อาจารย์กับอีกฝ่าย พอฟัง

    รีบถามว่า

         "เป็นผู้ใด?"

         ปราชญ์กระบี่ กล่าวว่า

         "คนผู้นี้ชื่อ "กัวเฮิ่นอี้"  เมื่อยี่สิบปีก่อน มันเป็นจอมโจรบุปผาย่ำยีสตรีดีงามเป็นจำนวนมาก เริ่มแรกเรา

    ไม่ใส่ใจเท่าใด แต่เมื่อมันเดินทางมาถึงแคว้นฉีเรา กลับข่มเหงสตรีชาวฉี เราจึงสั่งสอนมัน โดยตัดนิ้วก้อยมัน

    ไปข้างหนึ่ง มาวันนี้มันส่งสาส์นท้าสู้มาฉบับหนึ่ง ว่าขอท้าสู้เราวันพรุ่งนี้"

         ฟางเหวินหลง ครุ่นคิดว่า ปราชญ์กระบี่เป็นผู้ที่มีความรักในสายเลือดชาวฉีโดยแท้ เปรียบเทียบกับตน

    ถ้าปรากฎคนร้ายเช่นนี้ ไม่ว่ามันจะข่มเหงสตรีแคว้นใด ตนก็คงเข้าปกป้องโดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นชาวฉีหรือไม่

        "หากเจ้าชาญฉลาดจริงๆ คืนนี้อาจจะจดจำเพลงกระบี่ทั้งสามท่าได้"

         ฟางเหวินหลงได้ยินปราชญ์กระบี่กล่าวเช่นนี้ ทราบว่าเพลงกระบี่ทั้งสามยากฝึกปรือ ดังนั้นสะกิดความ

    คิดใคร่เอาชัยของตนขึ้น กล่าวว่า

         "อาจารย์ ศิษย์จะลองพยายามดู จะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง"

          ปราชญ์กระบี่ผงกศีรษะ ขบคิดชั่วขณะแล้วกล่าว

         "คิดเล่าเรียนสามกระบวนท่าในคืนเดียวออกจะเคี่ยวเข็ญบังคับผู้คนเกินไป ท่าที่สองกับสามไม่ต้องฝึก

    พวกเราเพียงฝึกท่าที่หนึ่ง  ดูว่าใช้ได้หรือไม่"

         ฟางเหวินหลงพอฟัง รู้สึกคันหัวใจยากจะเดา กระบวนท่ายิ่งยากลำบาก ย่อมมีอานุภาพกล้าแข็งกว่าเดิม

    ได้ยินเสียงปราชญ์กระบี่พึมพำว่า

         "ท่าที่หนึ่งมีเคล็ดความพลิกแพลงสามร้อยหกสิบห้าประการ  ให้เจ้าจดจำทั้งหมดอย่างนั้นนับว่าลำบาก

    มากแล้ว"

         ฟางเหวินหลงฟังว่ากระบวนท่าแรกมีเคล็ดความพลิกแพลงสามร้อยหกสิบห้าประการ ต้องใจหายวาบ เห็น

    ปราชญ์กระบี่งอนิ้วนับ ท่องว่า

    "กระบี่อยู่ที่ใจก็เพราะว่าใจกุมกระบี่ ใจหวั่นกระบี่ไหว ใจกล้ากระบี่แกร่ง ใจมั่นกระบี่แม่น ใจแน่นกระบี่หนัก

    ใจอ่อนกระบี่ล้า ใจว่างกระบี่ไว......"

         ยิ่งท่องสีหน้ายิ่งหมกมุ่นกังวล ทอดถอนใจกล่าวว่า

         "เหวินหลง ครั้งกระโน้นเราบัญญัติ "กระบี่ไร้ลักษณ์"  ต้องใช้เวลาสามปีให้เจ้าเล่าเรียนกระบวนท่าแรกนี้

    ในคืนเดียว ออกจะล้อเล่นไปแล้ว.....เมื่อครู่เราท่องว่าอะไร?"

         ฟางเหวินหลงกล่าวว่า

         "เมื่อครู่อาจารย์ท่องว่ากระบี่อยู่ที่ใจก็เพราะว่าใจกุมกระบี่ ใจหวั่นกระบี่ไหว ใจกล้ากระบี่แกร่ง......"

         พลางท่องต่อไป ท่องได้กว่าเกินกว่าครึ่งค่อยจำไม่ได้

         ปราชญ์กระบี่ตบขาอ่อนดังฉาดใหญ่ กล่าวว่า

         "มีหนทางแล้ว ชั่วค่ำคืนเดียวเล่าเรียนไม่ได้ แต่สามารถท่องจำไว้ แล้วเจ้าลองพลิกแพลงไปใช้ดู

    ฟังให้ดี...."

         พลางท่องออกมาท่องติดต่อกันสามร้อยกว่าคำ ค่อยสั่งให้เขาลองท่องดู

         ฟางเหวินหลงผ่านการศึกษาเล่าเรียนในโลกอนาคตมา เคยร่ำเรียนสรรพวิชาจนแตกฉาน ส่วนหนึ่งก็เกิด

    จากการที่ได้รับการกระตุ้นยีนฮิปโปแคมปัสซึ่งเป็นโครงสร้างส่วนหนึ่งของสมองที่ทำหน้าที่เก็บความจำ ทำให้

    มีความทรงจำล้ำเลิศ สิ่งใดผ่านตาจะจดจำได้ไม่ลืมเลือน ดังนั้นจึงสามารถท่องตามได้โดยไม่ผิดพลาด

         ปราชญ์กระบี่ปลาบปลื้มยินดียิ่ง ถ่ายทอดเคล็ดวิชาอีกสามร้อยกว่าคำ รอจนฟางเหวินหลงจดจำได้

    ค่อยถ่าย
    ทอดอีกสามร้อยกว่าคำ มิหนำซ้ำใจความไม่ต่อเนื่องกัน ต่อให้ฟางเหวินหลงมีความจำเป็นเลิศก็ต้อง

    ใช้เวลา
    หนึ่งชั่วยาม ค่อยจำได้หมดสิ้น

          ปราชญ์กระบี่ให้ฟางเหวินหลงท่องตั้งแต่ต้นจนจบเที่ยวหนึ่ง แน่ใจว่าฟางเหวินหลงจำได้หมดสิ้น จึงกล่าว

         "เคล็ดวิชานี้เป็นใจความสำคัญของกระบี่ไร้ลักษณ์ ตอนนี้แม้จำได้ แต่ยังไม่เข้าใจสาเหตุความนัยวันหน้า

    ลืมได้ง่าย  นับแต่นี้ต้องท่องทั้งกลางวันกลางคืน"

         ฟางหวินหลงรับคำ ปราชญ์กระบี่กล่าวว่า

         "ท่าที่หนึ่งของกระบี่ไร้ลักษณ์ เรียกว่า กระบี่อัสนี ใช้ความหนักหน่วงดุจขุนเขา ฟาดฟันคู่ต่อสู้ในแง่มุมและ

    พลังที่แตกต่าง บัดเดี๋ยวหนักบัดเดี๋ยวเบา เน้นการฟาดฟันเป็นหลัก แต่ก็แฝงเคล็ดวิชาบิดพัวพัน แนบประกบ

    และถ่วงสลาย ทุกกระบี่เน้นการจู่โจมใส่ศัตรู ฟาดฟันจนศัตรูมิอาจรับมือ ไม่เห็นโลหิต กระบี่ไม่คืนฝัก"

         ฟางเหวินหลง ฟังว่าเพลงกระบี่นี้เน้นการฟาดฟัน ซึ่งเข้ากับวิชาเคนโด้และดาบของตน รู้สึกสบอารมณ์

    ยิ่งนัก กล่าวว่า

         "เมื่อกระบวนท่ากระบี่อัสนี เน้นการฟาดฟัน ไม่ทราบว่าศิษย์สามารถใช้ดาบแทนกระบี่หรือไม่?"

         ปราชญ์กระบี่ ยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า

         "เจ้ามีความคิดปราดเปรียวนัก เมื่อกระบวนท่านี้เน้นการฟาดฟัน ดาบที่เจ้าใช้ย่อมเหมาะสมยิ่ง ถึงวิชา

    กระบี่ไร้ลักษณ์ จะเรียกว่าวิชากระบี่ แต่กระบี่อยู่ที่ใจ เมื่อกระบี่กับจิตใจหลอมรวมเป็นหนึ่ง เจ้าใช้สิ่งใดก็ถือ

    เป็นกระบี่"

          จากนั้นอธิบายแยกแยะเคล็ดความพลิกแพลงในกระบี่อัสนีโดยละเอียด ฟางเหวินหลงรับฟังจนเคลิบเคลิ้ม

    ดื่มด่ำ เมื่อเทียบกับวิชามวยหย่งชุนและเคนโด้ของตน เปรียบเสมือนแสงหิ่งห้อยล่องลอยท่ามกลางแสงจันทร์

    ที่ได้ยินได้เห็นล้วนเป็นความแปลกใหม่

         กระบวนท่ากระบี่อัสนีนี้พลิกแพลงซับซ้อน ฟางเหวินหลงยามกระทันหันเรียนรู้ได้เพียงสองสามส่วน

    ที่เหลือ
    ได้แต่จดจำใส่ใจ คนหนึ่งเรียนอย่างขันแข็ง คนหนึ่งสอนอย่างตั้งใจ กลับไม่รับรู้เวลาที่พ้นผ่าน

    พลันได้ยินเสียง
    ร้องตะโกนจากเบื้องนอก

         "เฉาชิวเต้า เรา "กัวเฮิ่นอี้"  มาท้าสู้ท่าน ท่านออกมารับความตายได้แล้ว!" 

          "น่าเสียดายเวลาฉุกละหุกเกินไป แต่เพียงเท่านี้น่าจะรับมือมันได้แล้ว เจ้าออกไปสู้กับมันเถอะ"

         ฟางเหวินหลงรับคำ ถือดาบก้าวเท้ายาวๆออกมา แสร้งเป็นอ้าปากหาว บิดขี้เกียจคราหนึ่ง ขยี้ตางัวเงีย

    แต่ลอบหรี่ตาจ้องมองไปที่บุรุษเบื้องหน้า

         กัวเฮิ่นอี้ ผู้นี้มีอายุสี่สิบเศษ รูปร่างสูงผอม ใบหน้าขาวซีด มือเท้ายาวกว่าคนทั่วไปอยู่บ้าง 

    จากนั้นแสร้งถามว่า

         "ท่านเป็นใคร ถึงมารบกวนเวลาหลับนอนของข้าพเจ้า"

          กัวเฮิ่นอี้ เห็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งเดินออกมา แทนที่จะเป็นปราชญ์กระบี่ จึงกล่าวอย่างงุนงงว่า

         "เด็กน้อย เจ้าเป็นใครจึงมาอยู่ที่นี้ เฉาชิวเต้าอยู่ที่ใด ทำไมจึงไม่ออกมา?"

          ฟางเหวินหลง แสร้งทำเป็นสั่นศีรษะ ทอดถอนใจ กล่าวว่า

         "ท่านมาท้าสู้ท่านอาจารย์กระมัง ช่างน่าเบื่อหน่ายจริงๆ"

          กัวเฮิ่นอี้   เห็นว่าฟางเหวินหลงเป็นเพียงเด็กน้อยไม่รู้ความ รู้สึกขุ่นเคืองใจยิ่ง ตวาดคำว่า

         "เด็กน้อย เจ้าอย่ามัวพิรี้พิไร ไปเรียกอาจารย์เจ้าออกมาพบเราเดี๋ยวนี้"

         ฟางเหวินหลง กล่าวตอบไปว่า

         "ท่านมาช้าไปก้าวหนึ่ง ท่านอาจารย์ออกจากสำนักไปตั้งแต่เมื่อยามสามแล้ว ท่านเมื่ออ่านสาส์นท้าสู้แล้ว

     ท่านอาจารย์บอกกับข้าพเจ้าว่า กัวเฮิ่นอี้ ผู้นี้เป็นเพียงเด็กน้อยไม่รู้ความ ไม่ต้องถึงมือท่านอาจารย์หรอก

    เพียงแค่เด็กน้อยเช่นข้าพเจ้า ท่านก็ไม่อาจรับมือได้ถึงห้าสิบกระบวนท่าแล้ว"

          กัวเฮิ่นอี้ เดือดดาลเป็นการใหญ่ ดวงตาแทบมีเปลวไฟพวยพุ่งออกมา ร้องดังๆขึ้นว่า

         "อาจารย์เจ้ากล่าวเหลวไหล เราไม่เชื่อว่าจะรับมือเจ้าไม่ได้ ต่อให้หนึ่งร้อยกระบวนท่า เจ้าก็ไม่อาจ

    ทำอย่างไรเราได้ หากเจ้าไม่เกรงกลัวความตายก็ลองบุกเข้ามาทดลองดู!"

           ฟางเหวินหลงกล่าวว่า "เช่นนั้นภายในหนึ่งร้อยกระบวนท่า หากข้าพเจ้าไม่อาจทำอย่างไรท่านได้

    ถือว่าข้าพเจ้าเป็นฝ่ายแพ้"

          กัวเฮิ่นอี้ แค่นเสียงกล่าวว่า "ตกลงตามนี้"

         ฟางเหวินหลง กล่าวอย่างยิ้มแย้ม

         "ข้าพเจ้าเพียงรุกใส่โดยไม่ตั้งรับ เกรงว่าจะเป็นการเอาเปรียบท่าน"

          กัวเฮิ่นอี้ กล่าวว่า "นี่เป็นความยินยอมพร้อมใจของเราเอง ไม่อาจบอกว่าเจ้าเอาเปรียบเรา"

          ฟางเหวินหลง กล่าวว่า "หากข้าพเจ้าพ่ายแพ้ จะยินดีเป็นบ่าวไพร่ติดตามท่าน แม้ตายก็ไม่ปริปากตัดพ้อ"

          กัวเฮิ่นอี้ กล่าวว่า "หากเราพ่ายแพ้ ก็จะปฏิบัติเช่นเดียวกับเจ้า"

          กัวเฮิ่นอี้ชักกระบี่ในมือออกมา เสียง "เช้ง" ดังระคายหู จากนั้นมันกล่าวว่า

          "เด็กน้อย กระบี่ในมือเรา เรียกว่า กระบี่สะบั้นวารี เป็นศัตราวุธที่ฟันเหล็กดั่งฟันหยวก หากอาวุธของเจ้า

    ไม่คมกล้าพอ อย่าโทษว่าเราเอาเปรียบเจ้า"

         ฟางเหวินหลง ลอบหัวร่อในใจ ดาบของตนนั้น ตีจากสสารที่แข็งที่สุดในโลกเจ็ดชนิด เพียงแต่ถ้ามองจาก

    ภายนอก เพื่อไม่ให้สะดุดตาผู้คน ด้ามจับกับฝักดาบ จงใจทำให้ดูเก่าคร่ำคร่า

         จากนั้นเขาแกล้งชักดาบอย่างยากลำบาก ทำอย่างไรก็ชักดาบไม่ออก กัวเฮิ่นอี้ มองดูจนส่ายศีรษะแล้ว

    กล่าวว่า

         "เจ้าไปเปลี่ยนอาวุธมาก่อนก็ได้ เราจะรอคอยเจ้า"  

         ฟางเหวินหลง ทำเป็นเงอะๆงะๆ สุดท้ายจึงชักดาบออกมา กล่าวว่า

         "ชัก...ชักออกมาได้แล้ว นี่เป็นดาบประจำตระกูลข้าพเจ้า จะเปลี่ยนได้อย่างไร ถ้าดาบของข้าพเจ้าหัก

    ท่านต้องชดใช้ให้ข้าพเจ้า"

          กัวเฮิ่นอี้ หัวร่อฮาฮา กล่าวว่า "เศษเหล็กเช่นนี้ หนึ่งตำลึงยังถือว่ามากเกินไป"

          ฟางเหวินหลงพลันร้องว่า "ท่าที่หนึ่ง"  จากนั้นตวัดดาบฟันอย่างออกอย่างเร่งร้อน ดาบนี้ดูไปไม่มีความ

    พิศดาร หากว่าสภาวะดาบเกรี้ยวกราดดุร้ายจนผู้คนบังเกิดความรู้สึกไม่กล้าลูบคมด้วย

          กัวเฮิ่นอี้ถึงแม้จะตั้งรับอย่างเข้มแข็ง ยังรู้สึกกินแรงยิ่ง ขณะจะกล่าวชมเชย ฟางเหวินหลงชิงสะบัดดาบ

    ขวับ ขวับ ฟาดฟันออกสองดาบ ภายใต้ประกายเย็นเยียบแปลบปลาบ กัวเฮิ่นอี้ต้องถอยกายไปหนึ่งก้าว

    ค่อยรับสองดาบนี้ได้

         'เด็กน้อยนี้มีกำลังแขนกล้าแข็งนัก แต่มันฟาดฟันอย่างเร่งร้อนเช่นนี้ ไม่ช้าไม่นานพละกำลังต้องหมดสิ้น

    เป็นแน่'

         ฟางเหวินหลงไม่ละเว้นโอกาสอันดี ทุกดาบชิงจู่โจม พริบตานั้นประกายดาบสาดกระจาย ทุกกระบวนท่า

    แฝงท่าตามติดมากหลาย กัวเฮิ่นอี้ถึงมีฝีมือเข้มแข็ง รับมือสิบกว่ากระบวนท่าค่อยถอยกายไปอีกสองก้าว

         ขณะที่กัวเฮิ่นอี้ตั้งรับอย่างรัดกุมอยู่นั้น แม้เห็นช่องโหว่มากมาย แต่จนใจที่เอ่ยปากบอกว่าจะเพียงตั้งรับ

    ไม่จู่โจมกลับ เปรียบเสมือนผู้คนหลงทาง เห็นหยาดน้ำกลางทะเลทราย แต่ไม่อาจดื่มลงไปได้ รู้สึกอัดอั้นยิ่ง

         ฟางเหวินหลงรู้สึกสมใจยิ่งนัก เมื่อมีเป้าซ้อมมือที่เพียงตั้งรับเช่นนี้ ตนเองสามารถฟาดฟันได้อย่าง

    ปราศจากข้อกริ่งเกรงใดๆ

    ปากก็ร้องว่า "ท่าที่ยี่สิบเอ็ด ยี่สิบสอง ยี่สิบสาม ยี่สิบสี่"

         เสียงตังตังดังต่อเนื่อง กัวเฮิ่นอี้ทุ่มเทเรี่ยวแรงต้านทานรับ แต่ไม่อาจทนทานรับการบุกจู่โจมจากดาบ

    ซึ่งแฝงหลักการฟาดฟันในกระบวนท่ากระบี่อัสนี ถูกฟาดฟันจนทั้งคนทั้งกระบี่เซถอยไปอีกสองก้าว ฝีเท้า

    สับสนรวนเรขึ้นมา   

            ปากนับกระบวนท่าหนึ่งก็ฟาดฟันออกดาบหนึ่ง ทุกกระบวนท่าล้วนฟันใส่ศีรษะอย่างหักโหม ฟันติดต่อกัน

    ห้าดาบ

         หลายดาบนี้ยิ่งมายิ่งหนักหน่วง เมื่อฟันถึงดาบที่หก กัวเฮิ่นอี้ถูกพลังดาบคุกคามจนหอบหายใจไม่ออก

    รวบรวมเรี่ยวแรงยกกระบี่ต้านปะทะ เสียงตังคราหนึ่งข้อแขนปวดชา กระบี่ร่วงหล่นสู่พื้น ฟางเหวินหลงฟันดาบ

    ลงอีก กัวเฮิ่นอี้พานหลับตาลง

         ฟางเหวินหลงหัวร่อฮาฮา กล่าวว่า

         "ทั้งสิ้นกี่กระบวนท่า?"

         กัวเฮิ่นอี้ลืมตาขึ้น กล่าวว่า

         "เจ้าชนะแล้ว ฆ่าเราซะเถอะ"

         ฟางเหวินหลง สอดดาบเข้าฝัก กล่าวว่า

         "พี่ท่าน ข้าพเจ้าเคารพท่านเป็นลูกผู้ชายรักษาสัจจะ ท่านเมื่อเอ่ยปากเพียงตั้งรับ ถึงเห็นช่องโหว่

    กลับไม่จู่โจมเข้ามา ข้าพเจ้ารู้สึกนับถือท่านยิ่งนัก เราทั้งสองถือว่าสัญญาเมื่อครู่เป็นโมฆะ จากนี้เราทั้งสอง

    ถือเป็น
    สหายกัน ท่านเห็นเป็นอย่างไร?"

          กัวเฮิ่นอี้ คิดไม่ถึงมันต่อสู้ได้ชัยกลับยอมยกเลิกข้อตกลง หวนนึกถึงคนผู้นี้เคารพยกย่องตนปานนี้ รู้สึก

    ซาบซึ้ง
    ยิ่งนัก ประสานมือ เอ่ยปากกล่าวว่า

         "ตกลง เรานับถือท่าน จากนี้ท่าน.....ท่านชื่อว่าอะไร?"

         "ข้าพเจ้าฟางเหวินหลง"

          กัวเฮิ่นอี้ผงกศีรษะเล็กน้อย กล่าาวว่า

          "น้องเหวินหลง จากนี้เราทั้งสองถือเป็นสหายกัน ถึงบุกน้ำลุยไฟ ขอเพียงเอ่ยปากมา ข้าพเจ้าจะร่วมต่อสู้

    เคียงบ่าเคียงไหล่ท่าน แม้ตกตายก็ไม่ปริปากตัดพ้อ"

         จากนั้นคนทั้งสองประสานมือกันอย่างแนบแน่นคราหนึ่ง หลังจากสนทนากันชั่วครู่ กัวเฮิ่นอี้ กล่าวว่า

         "น้องเหวินหลง วันนี้เราผู้พี่ขออำลาก่อน วันหน้าหากพบกัน ขอร่วมดื่มกันพันจอกไม่เมาไม่เลิกรา"

         พลางประสานมือแล้วหันกายไป ฟางเหวินหลงหวนนึกถึง คนผู้นี้ถึงมีชื่อเสียงอื้อฉาว แต่นับว่ามีน้ำใจ

    อุ่นระอุยิ่งนัก
    เทียบกับโลกอนาคตที่ตนเคยอาศัยอยู่ ผู้คนที่คบหา ปากเรียกพี่เรียกน้อง บางครั้งเพื่อ

    ผลประโยชน์เล็กน้อยกลับทรยศ
    หักหลังลอบทำร้ายกัน

         โลกในอดีตอาจจะเป็นสถานที่ที่เหมาะสมกับตนเองก็เป็นได้

     

                                                                  (จบตอน)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×