ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจาะเวลาหาอดีต

    ลำดับตอนที่ #12 : ยอดเซียนพนัน (2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.31K
      35
      21 ม.ค. 56

         จงซุนเสวียนหัว ถามฟางเหวินหลงว่า

         "น้องเหวินหลงคุ้นกับการพนันแบบใด?"
     

         ฟางเหวินหลง กล่าวว่า

         "เมื่อข้าพเจ้าเยาว์วัย มักเห็นคนเล่นทอยลูกเต๋า และทายเลขคู่เลขคี่ แต่ก็เพียงแต่ดู"
     

         จงซุนเสวียนหัว ถามว่า

         "น้องเหวินหลงถนัดการเล่นลูกเต๋าแบบใด หมายถึงแทงตาใหญ่เล็กสองประตู แทงสิบหกประตู หรือนับแต้มลูกเต๋ากัน?"
     

         ฟางเหวินหลงตอบเรื่อยเปื่อยไปว่า

         "เป็นการเล่นผสมผสาน ทั้งแทงสองประตูกับแทงสิบหกประตู เหตุใดถามเช่นนี้?"
     

         จงซุนเสวียนหัวยักไหล่ กล่าวว่า

         "เพียงแต่ถามดู นักทอดลูกเต๋าที่แท้จริง จะเล่นคู่กับไพ่ฟ้าเก้า ใช้ลูกเต๋าสามลูกผสมกับไพ่ฟ้าเก้า
    นานาชนิด อาศัยกฎของฟ้าเก้าตัดสินผลแพ้ชนะ"
     

         ฟางเหวินหลงครุ่นคิดถึงภาพยนตร์เซียนไพ่หลายเรื่องที่เคยผ่านตา ก่อนจะกล่าวว่า

         "ข้าพเจ้าเคยพบเห็นนักพนันขึ้นชื่อหลายคน มีบางคนมักชมชอบคว้านลูกเต๋าในกลวงและถ่วงปรอทเข้าไปใช้ต้มตุ๋นผู้คน"
     

         จงซุนเสวียนหัว ส่ายศีรษะ กล่าวว่า

         "ไม่ว่าลูกเต๋าที่ถ่วงปรอท ดีบุกหรือผงงาช้าง ล้วนเรียกว่า "ลูกเต๋ายา" บุคคลที่เหนือชั้นกว่าจะยัดผงเหล็ก
    ลงไป จากนั้นใช้แม่เหล็กควบคุมที่ใต๊โต๊ะ บังคับให้ออกเลขคู่คี่ตามใจนึก แต่นี่ล้วนเป็นผีมือชั้นต่ำ ยอดฝีมือ
    ที่แท้จริงจะฝึกวิชาฟังเสียงลูกเต๋าอาศัยหางเสียงตอนที่ลูกเต๋าตกลงยังก้นถ้วย จำแนกออกว่าออกแต้มหนึ่ง
    ถึงหก ผู้ที่เป็นเซียนพนันที่แท้จริงจะสามารถคำนวณได้แปดส่วน"
     

         ฟางเหวินหลงได้แต่ฝืนยิ้ม ครุ่นคิดว่า ตนเองมิใช่เซียนพนันอันใด ความสามารถฟังเสียงลูกเต๋า
    ไม่ต้องกล่าวถึง สำนึกตัวว่าไม่สามารถฟังออกแม้แต่ส่วนเดียว
     

         จงซุนเสวียนหัว กล่าวว่า

         "บ่อนพนันอันดับหนึ่งของแคว้นฉีเรามีนามบ่อนมังกรพยัคฆ์ ตั้งอยู่ข้างหอนางโลมแห่งนี้ เจ้าของบ่อน
    "หยางเจิ้ง"ฉายายูไลพันมือ ฝีมือการเขย่าลูกเต๋าของมัน กล่าวได้ว่าดุจดั่งเทพยดา หลายปีมานี้ผู้ที่พ่ายแพ้
    ต่อมันมีจำนวนมากมาย กอบโกยเงินทองมหาศาล"
     

         ฟางเหวินหลง กล่าวอย่างสงสัยใจว่า

         "หยางเจิ้ง เป็นคนของเถียนเหวินซานหรือ?"
     

         จงซุนเสวียนหัว ผงกศีรษะเล็กน้อย กล่าวอย่างวิตกกังวลว่า

         "กล่าวเช่นนั้นก็ได้ เพราะบ่อนพนันที่สามารถเปิดกิจการได้ ต้องพึ่งพิงผู้มีอำนาจ ข้าพเจ้าเกรงว่าครั้งนี้คู่มือ
    ของพวกเรา อย่างไรน่าจะเป็นยูไลพันมือ หยางเจิ้ง เป็นแน่"
     

         ฟางเหวินหลง กล่าวว่า

         "หยางเจิ้ง ผู้นี้คงไม่ใช้วิธีหลอกต้มผู้คนกระมัง?"
     

         จงซุนเสวียนหัว กล่าวว่า

         "ตอนแรกเข้าวงการ หยางเจิ้งประพฤติต้มตุ๋นจริง เมื่อร่ำรวยเงินทอง หยางเจิ้งก็จัดสุกรและแพะทั้งตัว
    เซ่นไหว้เทพเจ้าตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน สาบานว่าจะไม่ต้มตุ๋นผู้คนอีก ทั้งรับประกันว่าจะไม่ปล่อยให้ผู้คนหลอก
    ต้มตุ๋นเล่นคดโกงในบ่อนของมัน ดังนั้นผู้ที่เข้าบ่อนมังกรพยัคฆ์ สามารถเล่นพนันได้อย่างวางใจ"
     

         ฟางเหวินหลง ฝืนยิ้มกล่าวว่า

         "ขอเพียงเป็นการพนันแบบตรงไปตรงมา ข้าพเจ้าย่อมมีวิธีรับมือเอง คราครั้งนี้ ข้าพเจ้าจะให้เซียนพนัน
    ยูไลพันมือพบกับศิษย์โคตรเซียนเกาจิ้งซักครา!"

         จงซุนเสวียนหัว งงงันวูบหนึ่งจึงกล่าวว่า

         "โคตรเซียนเกาจิ้ง คนผู้นี้เป็นผู้ใด ไฉนข้าพเจ้าถึงไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนาม?"
     

          ฟางเหวินหลง หัวร่อในใจก่อนจะกล่าวกลบเกลื่อน จากนั้นชวนคนทั้งสองออกจากห้องไปยังบ่อนพนัน 

          บ่อนพนันมังกรพยัคฆ์ตั้งอยู่ในย่านเจริญรุ่งเรืองที่สุดของนครหลินจวือติดกับหอจันทร์เมามาย สิ่งปลูกสร้าง
    หลักประกอบด้วยตึกไม้ห้าหลัง สร้างทางระเบียงเชื่อมถึงกัน สองฟากข้างทางระเบียงขุดสระน้ำก่อภูเขา
    จำลอง  เพาะปลูกต่นไม้ใบดอก หน้าประตูทางเข้ายังมีรูปปั้นมังกรพยัคฆ์ศิลาขนาดใหญ่อยู่สองข้าง
    เพิ่มความภูมิฐาน น่าเกรงขามให้กับบ่อนพนันแห่งนี้ยิ่งนัก
     

         ปากทางเข้าเต็มไปด้วยผู้คนแออัดยัดเยียด ฟางเหวินหลงมองดูสภาพอันครึกครื้นที่หน้าประตู อดตื่นตาตื่นใจมิได้
     

         เหมยกุยเห็นดังนั้นจึงฉุดแขนเสื้อชักชวนกันเข้าไปยังบ่อนพนัน
     

         พลันปรากฏคนผู้หนึ่งโถมมาขวางทาง กลับเป็นคนสวมชุดแพรงามหรู แต่เค้าหน้าแปลกตา ไม่เคยพบพานมาก่อน
     

         จงซุนเสวียนหัวขณะจะตวาดด่าทอ ฟางเหวินหลงดูออกว่าเป็น กัวเฮิ่นอี้ ปลอมตัวมา รีบกล่าวว่า

         "เป็นพวกเดียวกัน เขาคือพี่กัว"
     

         จากนั้นแนะนำ กัวเฮิ่นอี้ ต่ออีกฝ่าย
     

         คนทั้งสี่หลบเข้าตรอกขวางไปสนทนากัน ฟางเหวินหลงชิงกล่าวว่า

         "พี่กัว ไฉนปลอมเป็นรูปลักษณะนี้?"
     

          กัวเฮิ่นอี้ ยิ้มพลางกล่าวว่า

         "ที่ใดมีหญิงงามจะปราศจากเรา กัวเฮิ่นอี้ ได้อย่างไร คืนนี้เริ่มแรกเราคิดจะมาดื่มสุราเชยชิดหญิงงามที่
    หอจันทร์เมามาย คาดคิดไม่ถึงว่าจะพบเจอน้องเหวินหลงในที่นี้"
     

         ฟางเหวินหลงยิ้มพลางบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ กัวเฮิ่นอี้ ฟัง เมื่อบอกกล่าวจบ กัวเฮิ่นอี้ ก็ขอร่วม
    เข้าไปยังบ่อนพนันกับคนทั้งสามด้วย ฟางเหวินหลง เมื่อได้ยินดังนั้น ก็คิดว่าเมื่อได้ผู้ช่วยที่เข้มแข็งเช่นนี้
    ทำให้รู้สึกอุ่นใจในการรับศึกครั้งนี้มากขึ้น
     

         คนทั้งสี่ก้าวขายาวๆเข้าไปยังบ่อนพนัน นับแต่สมัยโบราณกาล การพนันเป็นต้นเหตุแห่งความหายนะ ผู้คน
    มากมายสิ้นเนื้อประดาตัว กระทบถึงความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคม ภายหลังจากนี้เมื่อจิ๋นซีฮ่องเต้
    รวมประเทศเป็นปึกเเผ่นได้ มหาเสนาบดีหลี่ซือก็ออกกฏหมายห้ามเล่นการพนัน ผู้ใดฝ่าฝืนต้องถูกสักใบหน้า
    จนกระทั่งใช้แส้หวายโบยก้นแต่เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นภายหลังจากนี้อีกสิบปี
     

         บ่อนมังกรพยัคฆ์สมกับเป็นบ่อนพนันที่มีชื่อเสียงที่สุดของแคว้นฉี ตกแต่งสถานที่อย่างเลิศหรู สร้างทาง
    ระเบียงเชื่อมต่อห้องโถงหลังแล้วหลังเล่า มีการพนันทุกประเภท ทั้งยังจัดห้องพิเศษ สำหรับให้บุคคลพิเศษ
    โดยเฉพาะ
     

         ยามนี้ห้องโถงใหญ่แต่ละหลังมีนักพนันหลังละสามสี่ร้อยคน แต่ยังไม่รู้สึกแออัดยัดเยียด ภายใต้แสงโคม
    เรืองรองสาดส่อง ผู้คนส่วนใหญ่เป็นบุรุษ มาตรว่าส่วนน้อยที่เป็นสตรี แต่ทุกนางหน้าตางดงาม คล้ายเป็น
    หญิงงามเมืองที่มาจากหอจันทร์เมามาย บางคนเล่นหนักกว่าบุรุษอีก
     

         โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หญิงรับใช้ที่เดินไปมาระหว่างห้องโถงล้วนเป็นหญิงสาวเยาวว์วัยที่หน้าตาหมดจด
    ทั้งยังเปลือยท่อนแขนเปิดเผยเนินอก เพิ่มบรรยากาศชวนวาบหวาม
     

         ชั่วครู่มีชายกลางคนแต่งกายคล้ายเป็นพนักงานของบ่อนพนัน น้อมกายคารวะคนทั้งสี่ จากนั้นกล่าวว่า

         "นายท่านมาแล้วจริงๆ ตอนนี้ใต้เท้าเถียน รอคอยอยู่ด้านในแล้ว ท่านทั้งสี่ขอเชิญตามข้าพเจ้ามา"

         ยามนั้นชายกลางคนผู้นี้ชักนำคนทั้งสี่ขึ้นบนชั้นสอง ฟางเหวินหลงบอกกล่าวให้คนทั้งสามรอคอยชั่วครู่
    จากนั้นบอกกล่าวว่า จะขอไปปลดทุกข์เบา คนผู้นั้นก็ชักนำฟางเหวินหลงไปยังสุขาที่ด้านนอก
     

         เมื่อฟางเหวินหลงปิดประตูสุขา ก็ล้วงเอาวัตถุอย่างหนึ่งออกมาจากกระเป๋าวิเศษของตน ใช้เวลาชั่วครู่
    ก็ออกมาจากห้องสุขาไปสมทบกับคนทั้งสาม จากนั้นกล่าวว่า

         "ข้าพเจ้าพร้อมแล้ว เราไปทักทายกับคนทั้งสองได้แล้ว"
     

         ชายกลางคนผู้นั้นนำคนทั้งสี่มาที่หน้าห้องๆหนึ่ง กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า

         "เถ้าแก่ทั้งหลายเชิญ"
     

         ฟางเหวินหลงผนึกพลังกับสองหู สรรพเสียงในห้องหับล้วนเข้าสู่รูหู ในจำนวนนี้เพียงจดจำเสียงหัวร่ออัน
    ชั่วช้าลามกของเผิงกุ้ยถิงออก
     

         คนทั้งสี่ ยังไม่ทันเปิดประตู ภานในห้องก็บังเกิดซุ่มเสียงอ่อนโยนนุ่มนวลของบุรุษเสียงหนึ่งดังว่า

         "พี่เสวียนหัวมาแล้ว?"
     

         จงซุนเสวียนหัว หันไปสบตากับฟางเหวินหลงคราหนึ่ง จากนั้นก็ผลักประตูเข้าไป เมื่อฟางเหวินหลง
    มองเข้าไปปรากฎสายตาอันชั่วร้ายคู่หนึ่งจับจ้องมองออกมา
     

         ภายในห้องมีบุรุษสองคนนั่งโอบกอดสตรีซ้ายขวา นั่งอยู่ภายในห้อง คนหนึ่งคือเผิงกุ้ยถิง ส่วนบุรุษอีก
    ผู้หนึ่ง สวมชุดแพรหรูหรา ใบหน้าซูบเซียวขาวเกลี้ยงเกลาประดับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
     

         ผู้คนที่ไม่ทราบความจริง คงยึดถืออีกฝ่ายเป็นคุณชายสูงศักดิ์ที่สุภาพเรียบร้อย แต่ขอเพียงสังเกตุดูจะ
    พบว่าใต้ขนคิ้วดกหนาของเขามีดวงตาที่ทอประกายเกรี้ยวกราดดุร้าย ทั้งชั่วร้ายอำมหิตคู่หนึ่ง
     

         จงซุนเสวียนหัวเสแสร้งปั้นรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า กล่าวว่า

         "น้องเหวินซานสบายดีหรือ? เราผู้พี่มารบกวนอารมณ์สนุกสนานของท่าน ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง"
     

         เถียนเหวินซานทำท่าคล้ายเพิ่งทราบว่ามีแขกเหรื่อเข้ามา กวาดสายตามองดูคนทั้งสี่ สุดท้ายสายตา
    คมกล้าหยุดอยู่ที่แม่นางเหมยกุย ดวงตาถึงกับเป็นประกาย
     

         เหมยกุยน้อย ถูกดวงตาของเถียนเหวินซานจับจ้องจนรู้สึกตะครั่นตะครอ รีบแอบกายหลบเข้าข้างหลัง
    ฟางเหวินหลงด้วยความหวาดกลัว
     

         เผิงกุ้ยถิงเงยหน้าจากหญิงคณิกาข้างกาย เมื่อมองเห็นคนทั้งสามก็แบะปาก แค่นเสียงคราหนึ่ง จากนั้น
    ยกสุราขึ้นดื่ม ไม่กล่าวว่ากระไร
     

         เถียนเหวินซาน หัวร่อฮาฮากล่าวว่า

         "ข้าพเจ้ารับประทานอาหารกับกุ้ยถิงเพียงลำพัง ท่านพี่รีบมาดื่มกินเป็นเพื่อนเรา เนื้อแพะย่างของที่นี้
    ไม่เลวจริงๆ ยังมีสุราหงเหมาช่วยกระตุ้นเลือดลมบำรุงส่วนต่างๆของร่างกาย สรรพคุณบรรยายไม่หมดสิ้น"
     

         ฟางเหวินหลงรับฟังเถียนหวินซาน กล่าววาจา ครุ่นคิดว่าคนผู้นี้ ช่างเจรจาพาที ซ่อนดาบในรอยยิ้ม
    ไม่แสดงอารมณ์ออกทางสีหน้า บุคคลเช่นนี้ยากรับมือยิ่งนัก
     

         คนทั้งสี่ทรุดนั่งลงที่โต๊ะของเถียนเหวินซาน เถียนเหวินซานรินสุราให้คนทั้งสี่ด้วยตัวเอง สายตาสำรวจ
    มองดูฟางเหวินหลงกับกัวเฮิ่นอี้ ปากกล่าวว่า

         "ยังไม่ได้ถามนามสูงส่งของท่านทั้งสอง"
     

         ฟางเหวินหลง กล่าวว่า

         "ข้าพเจ้าเรียกว่า ฟางเหวินหลง ส่วนพี่ท่านนี้เรียกว่า 'หลิวเซิ่ง'  เป็นพี่น้องร่วมปู่เดียวกัน"
     

         'กัวเฮิ่นอี้' ที่ถูกฟางเหวินหลงเรียกหาว่า 'หลิวเซิ่ง' สีหน้าเรียบเฉย ผงกศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงคารวะ
     

         เถียนเหวินซาน หัวร่อออกมา กล่าวว่า

         "ค่ำคืนนี้ ข้าพเจ้าได้พบท่านทั้งสอง พี่ท่านนี้เป็นยอดคนงำประกาย น้องเหวินหลงก็เป็นผู้งมงายในรัก
    อาศัยไข่มุกล้ำค่าควรเมืองแลกกับสตรีนางเดียว ข้าพเจ้าสำนึกตัวว่าไม่สามารถกระทำได้ นับถือ
    นับถือยิ่งนัก"
     

         กัวเฮ่นอี้ ยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า

         "ข้าพเจ้าเพียงฝึกวิชาแมวสามขา  ชนชั้นมือดีคือมือกระบี่อันดับหนึ่งแคว้นฉีอย่างน้องเสวียนหัว"
     

         พลันบังเกิดสุ้มเสียงหนึ่งดังว่า

         "ท่านพูดปด"
     

         ฟางเหวินหลงและพวกงงงันวูบใหญ่ กวาดตามองไปยังหน้าประตู เห็นมือกระบี่ผอมสูงผู้หนึ่งก้าวเท้า
    เดินเข้ามาเพ่งตาวาววับสำรวจดู กัวเฮิ่นอี้ โดยไม่เกรงอกเกรงใจแต่อย่างไร
     

         คนผู้นี้เค้าใบหน้าแคบยาว สองแก้มตอบลง จมูกยาว ริมฝีปากเบาบาง ระหว่างคิ้วกับดวงตาอยู่ห่างกว่า
    ผู้คนทั่วไป สีหน้ายะเยียบเย็นชา คล้ายกับนับแต่ออกจากครรภ์มารดา ไม่เคยแย้มยิ้มมาก่อน กลายเป็นบุคลิก
    ที่โดดเดี่ยวทะนงตนชนิดหนึ่ง มีอายุประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี แต่ให้ความรู้สึกว่าผ่านโลกมาอย่างช่ำชอง
     

         ฟางเหวินหลง จงซุนเสวียนหัวและกัวเฮ่นอี้ มีความรู้สึกว่าคนผู้นี้ให้ความรู้สึกว่าเป็นมือกระบี่ที่ฝีมือสูงเยี่ยม
    ผู้หนึ่ง
     

         เถียนเหวินซาน ปรามว่า

         "ฉ๊เฟย อย่าเสียมารยาท"
     

         จงซุนเสวียนหัว แค่นเสียงกล่าวว่า

         "ท่านกล่าววาจาเช่นนี้หมายความว่ากระไร?"
     

         มือกระบี่ผอมสูงนามฉีเฟยกล่าวเสียงเย็นชาว่า

         "เราบอกว่ามันพูดปด มันมิใช่ 'หลิวเซิ่ง' "
     

         กัวเฮิ่นอี้ ส่ายศีรษะกล่าวว่า

         "คาดคิดไม่ถึงว่า จะมาพานพบสหายเก่า ณ ที่นี้ ถูกต้องข้าพเจ้ามิใช่ หลิวเซิ่ง ผู้คนผาดโผนในยุทธภพ
    ไม่เป็นตัวของตัวเอง ขออภัยท่านเถียนที่ข้าพเจ้าต้องผิดบังตนเอง ข้าพเจ้า กัวเฮิ่นอี้ ขอคารวะ"
     

         เถียนเหวินซาน เงียบงันชั่วขณะ จึงผงกศีรษะกล่าวว่า

         "คาดคิดไม่ถึงว่า วันนี้ข้าพเจ้าจะพานพบ จอมโจรเด็ดบุปผา ที่โด่งดัง เมื่อยี่สิบปีก่อนได้ยินว่าท่านต่อสู้
    กับท่านปราชญ์กระบี่ เฉาชิวเต้า และเป็นเพียงหนึ่งในสามมือกระบี่ที่รอดชีวิตจากการต่อสู้กับท่านปรมจารย์
    ช่างน่านับถือยิ่งนัก"
     

         กัวเฮิ่นอี้ กล่าวว่า

         "ขุนพลพ่ายแพ้ ไม่มีอันใดอวดอ้าง ท่านเถียนชื่นชมเกินไปแล้ว"
     

         ระหว่างที่คนทั้งสองกล่าววาจากัน เมื่อหันกลับมาพบว่า ฉีเฟย หันกายเดินออกไปแล้ว
     

         เถียนเหวินซาน กล่าวสืบต่อว่า

         "ขออภัยท่านทั้งหลายที่ ฉีเฟย เสียมารยาท ตัวมันเป็นยอดฝีมือเชิงกระบี่ มีนิสัยโดดเดี่ยวพิกล ข้าพเจ้า
    ก็มิอาจควบคุมมันได้"
     

         ฟางเหวินหลง จ้องมองเถียนเหวินซาน เห็นว่าคนผู้นี้กล่าววาจาแฝงความจริงใจ จนบัดนี้ยังไม่มีอะไร
    น่าเคลือบแคลง  โบราณว่าไว้พยัคฆ์ย่อมไม่มีบุตรเป็นสุนัข เป็นคำกล่าวที่ถูกต้องทีเดียว
     

         เผิงกุ้ยถิง ที่นั่งเงียบอยู่ด้านข้าง กล่าวาจาเสียงกร้าวขึ้นว่า

         "พี่เถียนซาน กับคนพวกนี้ จะเสียเวลาสนทนากับพวกมันทำไม เมื่อไหร่จะเริ่มการเดิมพันซะที ข้าพเจ้า
    เริ่มจะหมดความอดทนกับพวกสวะเหล่านี้เต็มทีแล้ว!"
     

         เผิงกุ้ยถิง กล่าวจบ ใช้สายตาชั่วช้าลามกจ้องมองไปยัง เหมยกุยน้อย จากนั้นแลบลิ้นเลียริมฝีปาก
    ด้วยความหื่นกระหาย เหมยกุยน้อยเห็นสายตาของมัน ร่างอ้อนแอ้นก็สั่นเทาจนไม่อาจควบคุมได้
     

         ฟางเวินหลงและพวกทั้งสอง กวาดสายตามองไปยังเผิงกุ้ยถิงเป็นตาเดียว ดวงตาทอประกายอำมหิต
    เปี่ยมล้น
     

         เถียนเหวินซานหันไปมองเผิงกุ้ยถิง ดวงตาเถียนเหวินซานทอประกายวูบหนึ่ง จากนั้นหันกลับมากล่าว
    อย่างเฉื่อยชากับคนทั้งสามว่า

         "ข้าพเจ้าขออภัยแทนน้องชายที่ไม่รู้ความ เรื่องนี้ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเลยเถิดมาจนถึงบัดนี้ได้อย่างไร
    ข้าพเจ้าเกลี้ยกล่อมกุ้ยถิงหลายครั้ง แต่มันยืนยันว่าถ้าจะให้มันปล่อยตัวแม่นางน้อยนี้ อย่างไรต้องเอาชนะ
    บนโต๊ะพนันเท่านั้น ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร ขอท่านทั้งสามอย่าได้ตำหนิ"
     

         คนทั้งสามได้แต่กล่าวคำว่า 'ร้ายกาจ' ในใจ เถียนเหวินซานกล่าวคำพูดเพียงประโยคเดียว ก็ผลักไส
    เรื่องราวให้กับเผิงกุ้ยถิงทั้งหมด จริงๆด้วยศักดิ์ฐานะของเถียนเหวินซาน ถ้าจะเข้ายุุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้
    เพียงกล่าววาจาคำเดียว เผิงกุ้ยถิงก็ไม่อาจจะปฎิเสธได้
     

         ฟางเหวินหลง ลอบกุมมือนุ่มนิ่มของเหมยกุยน้อย จากนั้นยักไหล่กล่าวอย่างปลอดโปร่งขึ้นว่า

         "พี่เหวินซานอย่าได้ตำหนิตนเอง ท่านใช้ความพยามยามมากน้อยเพียงใด ข้าพเจ้าล้วนทราบดีแก่ใจ
    เรื่องนี้ดำเนินมาถึงขั้นนี้ การเดิมพันนี้คงไม่อาจหลีกเลี่ยง เรารีบจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จเถอะ ข้าพเจ้าจะ
    ได้นำเหมยกุยน้อยกลับไปยังเรือนพักของข้าพเจ้า"
     

         คำพูดนี้แฝงคำเหน็บแนมจน จงซุนเสวียนหัวกับกัวเฮิ่นอี้ ลอบหัวร่อในใจ เถียนเหวินซานสีหน้ายัง
    เป็นปรกติ มีแต่เผิงกุ้ยถิงทำหน้าประหลาดใจ ไม่ทราบว่าฟางเหวินหลงเพราะเหตุใดจึงมีความมั่นใจ
    ถึงเพียงนี้
     

         เถียนเหวินซาน ผุดลุกขึ้น ยิ้มเล็กน้อย จากนั้นกล่าวว่า

         "เช่นนั้น ข้าพเจ้าจะไม่รบกวนอันมีค่าของท่านทั้งหลายแล้ว ขอเชิญตามข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าจะนำ
    ไปยังห้องพนันมังกรพยัคฆ์หมอบ"

          เถียนเหวินซานชักนำคนทั้งหมดเดินผ่านทางเดินยาวมาจนถึงห้องโถงใหญ่ห้องสุดท้ายที่สุดทางเดิน
    จากนั้นกล่าวหยั่งเชิงว่า
         " คิดไม่ถึงว่าน้องเหวินหลงยังเยาว์วัยจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในเชิงพนัน ข้าพเจ้าคงได้เปิดหูเปิดตาซักครั้ง
     ไม่ทราบว่าท่านถนัดการเล่นชนิดใด" 
      

         ฟางเหวินหลงแย้มยิ้มไม่กล่าวคำใด จงซุนเสวียนหัวกล่าวตอบแทนว่า
         "ก่อนที่จะเดินทางมายังที่นี้ น้องเหวินหลงกล่าวกับข้าพเจ้าแล้วว่าตัวมันไม่ถนัดอันใด มันเพียงรักชอบ
    การเล่นลูกเต๋าเพียงอย่างเดียว"
     

         เถียนเหวินซานกล่าวสืบต่อว่า
         "ท่านคิดพนันใหญ่เล็กหรือนับจำนวนแต้ม?"
     

         จงซุนเสวียนหัว ตอบว่า
         "ย่อมต้องนับจำนวนแต้มจากลูกเต๋าทั้งสามลูก"
     

         เถียนเหวินซานกับเผิงกุ้ยถิง งงงันวูบใหญ่ เห็นว่าไหนเลยมีคนโง่งมเพียงนี้
    "หยางเจิ้ง"ฉายายูไลพันมือ ฝีมือการเขย่าลูกเต๋าดุจดั่งเทพยดา ฟางเหวินหลงคิดจะเล่นพนันลูกเต๋า มิใช่
    เท่ากับพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มเล่นหรอกหรือ?"
     

         การทอดลูกเต๋ามีวิธีเล่นหลายชนิด ที่ได้รับความนิยมที่สุดคือการแทงแต้มใหญ่เล็ก รองลงมาคือการแทง
    สิบหกประตูหรือแทงตามแต้มลูกเต๋า โดยที่เจ้ามือจ่ายหนึ่งต่อหนึ่งและเพิ่มขึ้นตลอดเวลา ซึ่งหากแทงแต้มถูก
    จากลูกเต๋าทั้งสามลูก จะได้รับค่าตอบแทนมากที่สุด คือจ่ายหนึ่งต่อสิบหก
     

         อัตราการจ่ายนี้สูงยิ่ง แต่การที่จะทายแต้มจากลูกเต๋าทั้งสามลูก นับว่าเลือนรางยิ่งกว่า
     

         เถียนเหวินซานเปิดประตูห้องโถงใหญ่เข้าไป เมื่อฟางเหวินหลงกวาดตามองปราดแรกพบว่าห้องพนันนี้
    ตกแต่งอย่างหรูหรา รอบห้องประดับไว้ด้วยมังกร พยัคฆ์หยกคาบแก้วขนาดใหญ่ไว้ทั้งสี่มุม กึ่งกลางเป็น
    โต๊ะพนันขนาดใหญ่
     

         ภายในห้องมีบุรุษรูปร่างอวบใหญ่ โอ่อ่าภูมิฐาน ไว้เครายาวจรดอก สวมชุดหลวมกว้างขาวสะอาด
    มีใบหน้าเอิบอิ่ม มุมปากประดับด้วยรอยยิ้ม อายุราวห้าสิบปีนั่งอยู่เพียงผู้เดียว
     

         ฟางเหวินหลงเคยศึกษาวิชาโหราศาสตร์ พินิจพิเคราะห์นรลักษณ์ รูปร่างลักษณะของผู้คน เพียงมองดูก็
    ทราบว่าคนผู้นี้เปี่ยมด้วยลักษณะของเถ้าแก่ใหญ่ มากด้วยทรัพย์สินเงินทอง
     

         ชายแก่ภูมิฐานคนนั้นคารวะทักทายต่อคนทั้งหมดว่า
         "หยางเจิ้งแห่งบ่อนมังกรพยัคฆ์คำนับท่านทั้งหลาย"
     

         เถียนเหวินซาน แนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน จากนั้นกล่าวกับหยางเจิ้งว่าฟางเหวินหลงต้องการเล่นพนัน
    ลูกเต๋า โดยนับจำนวนแต้มจากลูกเต๋าทั้งสามลูก หยางเจิ้งรับคำ ดูจากสีหน้าของมัน แสดงว่ามั่นใจว่าสามารถ
    เอาชนะได้เป็นแน่
     

         หยางเจิ้งแสดงถ้วยและฝาครอบต่อคนทั้งหมด จากนั้นหยิบลูกเต๋าสิบกว่าชุดให้ฟางเหวินหลงเลือกใช้ เพื่อ
    ยืนยันความบริสุทธิ์์ใจ
     

         จงซุนเสวียนหัวตรวจโต๊ะพนันอย่างละเอียดว่าไม่ได้ติดตั้งกลไก จากนั้นพยักหน้ากับฟางเหวินหลงครั้งหนึ่ง
    มั่นใจว่า หยางเจิ้งคิดจะเอาชนะด้วยฝีมือ ไม่ใช้กลโกงอันใด
     

         จงซุนเสวียนหัว ยื่นส่งเบี้ยให้กับฟางเหวินหลงตระกร้าหนึ่ง กล่าวว่า
         "นี่เป็นเบี้ยพนันห้าร้อยตำลึงทอง ขอให้น้องเหวินหลงโชคดี"
     

         ฟางเหวินหลงยิ้มรับคำคราหนึ่ง พลางเลือกลุกเต๋าชุดหนึ่งยื่นส่งให้หยางเจิ้ง หยางเจิ้งรับลูกเต๋ามายก
    ชูขึ้นสูงให้ทุกคนเห็นถนัดชัดตา จากนั้นโยนลงในถ้วย ปิดฝาครอบแล้วพลิกกลับ วางบนโต๊ะ
     

         บรรยากาศพลันเขม็งตึงเครียดขึ้นมา

         ฟางเหวินหลงทราบว่าหยางเจิ้งกำลังจะเขย่าลูกเต๋า แต่ตัวมันก็ไม่ได้มีทีท่าเคร่งเครียดอันใด ยังปล่อยตัว
    ตามสบาย สร้างความประหลาดใจแก่หยางเจิ้ง จนตัวมันอดกล่าวไม่ได้ว่า
         "ข้าพเจ้าพานพบนักพนันมามากมาย เมื่อการเล่นเริ่มต้นขึ้น อย่างไรต่างก็ต้องรีบสงบใจทำสมาธิ ไม่เคย
    พบเจอผู้ใดปล่อยตัวตามสบายได้เท่ากับท่านฟางมาก่อน ท่านฟางคงเป็นยอดฝีมือในการฟังเสียงลูกเต๋า"


         หยางเจิ้งหยุดเล็กน้อย แล้วกล่าวสืบต่อว่า 

         "ครั้งนี้ตัวเราขอแสดงความทุเรศแล้ว"
     

         ทุกคนภายในห้องเมื่อได้ฟังหยางเจิ้งกล่าวคำพูดเช่นนี้ ล้วนมีความรู้สึกแตกต่างกันในใจ จงซุนเสวียนหัว
    และพวก เริ่มแรกอย่างไรก็ไม่มั่นใจในตัวฟางเหวินหลงซักเท่าไร แต่ในเมื่อเซียนพนันอย่างหยางเจิ้งยกย่อง
    ฟางเหวินหลงถึงเพียงนี้ ภานในใจก็เริ่มแช่มชื้นขึ้น ผิดกับเถียนเหวินซานและเผิงกุ้ยถิงที่จิตใจเขม็งตึงเครียด
     

         ฟางเหวินหลงเมื่อฟังหยางเจิ้งกล่าวจบ เพียงแย้มยิ้มไม่ได้ตอบคำใด แต่ในใจขบคิดว่าเมื่อฟังเสียงลูกเต๋า
    ไม่ออกจะสงบใจฟังเสียงลูกเต๋าไปใย?
     

         หยางเจิ้งยกมือขาวสะอาด นิ้วเรียวยาวผิดกับรูปกายที่อวบใหญ่ เขย่าลูกเต๋าบังเกิดเสียงดังติงๆเป็นจังหวะ
    จะโคนช้าเร็วไม่แน่นอน จากนั้นวางถ้วยลูกเต๋าลงบนโต๊ะ กล่าวกับฟางเหวินหลงว่า
         "ท่านฟางเชิญแทงได้"
     

         ฟางเหวินหลง ไม่กล่าวคำใด วางเบี้ยในตระกร้าที่จัดแบ่งเป็นห้าส่วน ส่วนละหนึ่งร้อยตำลึงทองออกมา
    ส่วนหนึ่งวางลงบนโต๊ะ กล่าวว่า
         "แทงสองสามสี่ เก้าแต้ม หนึ่งร้อยตำลึง"
     

         ตามกติกาการแข่งขันที่เถียนเหวินซานและเผิงกุ้ยถิงตั้งขึ้น ขอเพียงฟางเหวินหลงสามารถชนะเดิมพันได้
    รับเงินห้าร้อยตำลึงทอง ก็จะสามารถนำเหมยกุยออกไปได้
     

         หยางเจิ้งร้องคำ 'เปิดถ้วย' จากนั้นใช้สองมือจับถ้วยที่คว่ำลง หงายถ้วยขึ้น ทุกผู้คนล้วนกลั้นลมหายใจ รอดู
    แต้มของลูกเต๋าทั้งสามลูก
     

         จนบัดนี้หยางเจิ้งค่อยล่วงรู้จำนวนแต้มของลูกเต๋า สีหน้าค่อยแช่มชื้นขึ้น
     

         ลูกเต๋าทั้งสามลูกออกแต้ม หนึ่งทั้งสามลูก หยางเจิ้ง กล่าวว่า
         "แต้มออกเอี่ยวสามดอก สามแต้ม"
     

         จงซุนเสวียนหัว กัวเฮิ่นอี้และเหมยกุย ล้วนมีสีหน้าผิดหวัง ผิดกับเผิงกุ้ยถิงที่มีสีหน้าลิงโลด ส่วน
    เถียนเหวินซานยังมีสีหน้าปกติไม่เปลี่ยนแปลง
     

         จงซุนเสวียนหัวเห็นฟางเหวินหลงยังแน่วนิ่ง จึงกล่าวปลอบใจขึ้นว่า
         "การพนันมีได้มีเสีย ตานี้เพิ่งเป็นตาแรก ครั้งนี้แทงไม่ถูก ไม่นับเป็นอย่างไรได้ น้องเหวินหลงอย่าได้ใส่ใจ
    รวบรวมสมาธิให้ดี"
     

         ฟางเหวินหลงรับคำคราหนึ่ง ไม่กล่าวว่าอะไร กล่าวกับหยางเจิ้งว่า
         "ท่านหยางเชิญเขย่าลูกเต๋า"
     

         การเล่นผ่านไปอีกสามครั้ง ฟางเหวินหลงทุ่มแทงครั้งละหนึ่งร้อยตำลึงทอง กลับไม่สามารถแทงถูกแม้แต่
    ครั้งเดียว!

     

     

     

     





                                                                  (จบตอนจริงๆแล้ว)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×