ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจาะเวลาหาอดีต

    ลำดับตอนที่ #11 : ยอดเซียนพนัน (1)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.59K
      43
      21 ม.ค. 56

     พร้อมกับอรุโณทัยสิ้นแสง ดาวดาราเกลื่อนฟ้า  นครหลินจวือคึกคักครึกครื้นขึ้นมาทีละน้อย
     

    บรรดาคหบดีคุณชาย บัณฑิตนักศึกษาที่กรุ้งกริ่งกรุยกรายและพ่อค้าวาณิชย์ที่แต่งกายเลิศหรูพากัน
     

    เข้าออกสถานเริงรมย์แห่งนี้อย่างคับคั่ง
     

         ยามนั้น เหมยเหม่ยชักนำสตรีร่างสูงระหง ใบหน้างามหมดจด บุคลิกสุภาพอ่อนโยนนางหนึ่งเข้ามา
     

    นับว่าผิดแผกแตกต่างกับหญิงงามเมืองอื่นจริงๆ เเหมยเหม่ยกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า
     

         " เหมยกุย มารดาไม่ได้หลอกลวงเจ้ากระมัง? เจ้าเคยพบพานบุรุษที่น่าดูกว่าท่านฟางอีกหรือ?"
     

         สตรีนามเหมยกุยก้มศีรษะด้วยท่าทีน่าเวทนา ไม่ว่าอย่างไรไม่ยอมเงยหน้าขึ้น ฟางเหวินหลงขณะจะ
     

    เอ่ยปาก เหมยเหม่ยก็ผลักไสเหมยกุยนั่งลงบนต้นขาของเขา
     

         ฟางเหวินหลงเมื่อถูกการเสียดสีสัมผัสจากสะโพกกลมกลึงผ่านชุดแพรบาง ทำให้เกิดความรู้สึกวาบหวาม
     

    ยิ่งนัก หญิงงามก็ถูกความรู้สึกอันรัญจวน จนใบหน้าอันงดงามแดงกล่ำ เพิ่มความน่าลุ่มหลงจนฟางเหวินหลง
     

    อดยื่นมือโอบเอวอ้อนแอ้นของนางมิได้
     

         เหมยกุยยังก้มหน้านิ่งไม่กล่าววาจา ได้แต่เม้มปากเรียวบางแนบแน่น แม่เล้าเหมยเหม่่ยเดินมาถึงด้านหลัง
     

    ฟางเหวินหลง โน้มหน้ามากระซิบบอกว่า
     

         "ที่จริงเหมยกุยมีผู้คนจับจองไว้ หากมิใช่ท่านจงซุนออกหน้า ข้าพเจ้าคงไม่ยอมยกบุตรีบุญธรรม
     

    งดงามที่่ลงทุนซื้อตัวมากจากแคว้นเว่ยด้วยค่าตัวสูงลิบลิ่วนี้ออกมาเป็นแน่"
     

          กล่าวจบนางก็ล่าถอยออกไป
     

         ฟางเหวินหลงมองดูร่างอ้อนแอ้น นิ้วเรียวงามของเหมยกุย รับฟังคำกล่าวของแม่เล้าเหมยเหม่ย รู้สึกเห็นอก
     

    เห็นใจในชะตากรรมอันอาภัพของหญิงงามที่ล้มตัวอยู่ในอ้อมอกนี้ยิ่งนัก ความรู้สึกกำหนัดในตัวเบาบางลงไป
     

    อีกหลายส่วน ดังนั้นก้มหน้าลงไปใกล้ สบตากับดวงตากลมโตของนาง ยิ้มอย่างเฉิดฉัน กล่าวว่า
     

         "แม่นางน้อย วางใจเถอะ ข้าพเจ้าจะไม่ประพฤติตัวเหลวไหลไม่ให้เกียรติท่าน พวกเราเพียงดื่มสุราสนทนา
     

    ดีหรือไม่?"
     

         เหมยกุยงงงันวูบ มองดูบุรุษแปลกประหลาดซึ่งใกล้ชิดสนิทสนมกับนาง
     

         เมื่อนางพิศมองดู เห็นรอยยิ้มที่แฝงความจริงใจ ดวงตาเที่ยงธรรมที่คิดไม่ถึงว่าจะได้พบพานในสถานเริงรมย์
     

    เช่นนี้ ถึงกับสร้างความวาบหวาม เอียงอายแก่นางจนหน้าแดงระเรื่อ ก้มศีรษะลงใหม่
     

         ชั่วครู่เหมยกุยขบริมฝีปาก เงยหน้าสบตากับฟางเหวินหลง ฝีนยิ้ม กล่าวอย่างหดหู่เศร้าสร้อยว่า
     

         "น้ำใจของคุณชาย เหมยกุยขอน้อมรับไว้ เหมยกุยถึงคราวอับจนมายังที่นี้ คุณชายมิต้องมีใจสมเพชเวทนา
     

    อย่าว่าแต่นี่ไม่มีประโยชน์อันใด ถึงอย่างไรความบริสุทธิ์ของเหมยกุยคงไม่อาจเก็บรักษาไว้ได้ หากแม้นบุรุษ
     

    คนแรกของเหมยกุยเป็นคุณชาย อย่างน้อยก็จะเป็นความทรงจำอันเพริศแพร้ว ต่อไปชะตากรรมจะเป็นอย่างไร
     

    เหมยกุยล้วนรับได้ทั้งสิ้น"
     

         กล่าวจบนางก้มหน้าลงซุกกับอ้อมอกผึ่งผายของฟางเหวินหลง ร่างบอบบางสั่นเทาอย่างสุดจะควบคุมได้
     

    ฟางเหวินหลงถึงแม้นจะไม่อาจเห็นใบหน้าของนางที่ก้มหน้าแอบอิงกับแผ่นอกของตนได้ แต่ก็รู้สึกได้ว่า
     

    นางกำลังร้องไห้อยู่อย่างเงียบงัน........
     

         ฟางเหวินหลงบังเกิดความเศร้าใจ ทอดถอนใจคำหนึ่ง เหมยกุยเงยหน้าขึ้นอย่างสงสัยใจ ใบหน้ายังมีหยาด
     

    น้ำตาเกลือกกลิ้ง กล่าวว่า
     

         "คุณชายมีความในใจอันใด เหมยกุยสร้างความไม่พอใจให้กับคุณชาย?"

    ฟางเหวินหลงครุ่นคิดว่าชะตากรรมของสตรีในอดีตกาล ช่างรันทด ยากลำบากถูกเอารัดเอาเปรียบจากเหล่า

     

    บุรุษ ต้องตกเป็นที่ระบายอารมณ์ รองรับความใคร่ สิ่งเหล่านี้อย่างไรต้องดำเนินไปอีกสองพันปี สถานะของหญิง
     

    ชายจึงจะปรับจนเท่าเทียมเสมอภาคกัน แต่สิ่งเหล่านี้ตนจะกล่าวออกมาได้อย่างไร?
     

         คิดดังนี้แล้ว ต้องฝืนยิ้ม กล่าวว่า
     

         "ตอนนี้ข้าพเจ้าเพียงคิดว่าจะนำท่านออกจากที่แห่งนี้ไปได้อย่างไร?"
     

         เหมยกุยระงับความตื่นตกใจระคนความปลาบปลื้มใจ ยิ้มอย่างเศร้าสร้อย กล่าวว่า
     

         "น้ำใจของคุณชาย เหมยกุยซาบซึ้งยิ่งนัก เราเหล่าสตรีเมื่อก้าวเดินมาทางนี้แล้ว ไหนเลยจะสามารถเดินย้อน

    กลับ
    ไปได้โดยง่าย ยิ่งกว่านั้นคือค่าไถ่ตัวของเหมยกุยสูงยิ่งนัก เกรงว่าชาตินี้คงไม่อาจออกไปจากที่แห่งนี้ไปได้"

    ฟางเหวินหลงยิ้มเล็กน้อย เอามือเชิดปลายคางวงหน้าเหมยกุยขึ้นมา สบตากับดวงตาดำขลับ กล่าวว่า


         "เหมยกุยน้อย เชื่อมั่นในข้าพเจ้าเถอะ ข้าพเจ้าสัญญาว่าอย่างไรจะต้องนำท่านออกไปจากที่แห่งนี้ให้จงได้!"

         จงซุนเสวียนหัว ซึ่งดื่มสุราอยู่ด้านตรงข้าม ดูเปลือกนอกเหมือนจะไม่ได้สนใจรับฟังคำสนทนาของคนทั้งสอง


    หลังจากดื่มสุราหมดจอกแล้ว วางถ้วยสุราลง จากนั้นหันมากล่าวอย่างเฉื่อยชาว่า


         "น้องเหวินหลงช่างมีน้ำใจลึกซึ้งนัก  ขออภัยที่เราผู้พี่ฟังคำสนทนาของพวกท่าน เรื่องที่ท่านคิดจะไถ่ตัวแม่นาง


    น้อย เราเห็นว่าอาจจะมีปัญหาอยู่บ้าง"


         เหมยกุย เมื่อรู้ว่าคำกล่าวของนางได้ยินถึงหูบุคคลที่สามก็หน้าแดงซ่าน ก้มหน้าลงอย่างอุธัจเอียงอาย ส่วน


    ฟางเหวินหลงกล่าวอย่างสงสัยใจขึ้นว่า


         "ปัญหาอยู่ตรงที่ใด?"


         จงซุนเสวียนหัว กล่าวสืบต่อว่า


         "บ้านมีกฎบ้าน เมืองมีกฎหมาย ซ่องนางโลมหอคณิกาก็มีการตรากฎเอาไว้เหมือนกัน การที่จะไถ่ตัวแม่นาง


    น้อยนี้ ต้องใช้เงินค่าไถ่มากกว่าค่าตัวของนางถึงสิบเท่าตัว!"


         เหมยกุย ฟังถึงตอนนี้ สีหน้าของนางก็ซีดเผือดลงจนไร้สีเลือด ก้มหน้าลงอย่างซึมเซา
     

         ฟางเหวินหลง ถามสืบต่อว่า


         "สิบเท่าตัว? มันเป็นจำนวนเงินเท่าใด?"


         จงซุนเสวียนหัว ครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นมองไปยังแม่นางเหมยกุย แล้วตอบกลับไปว่า
     

         "จากประสบการณ์ของข้าพเจ้า คาดเดาว่าค่าตัวของนางน่าจะอยู่ประมาณห้าร้อยตำลึงทอง ถ้าจะไถ่ตัวนาง
     

    จะต้องใช้ทองคำห้าพันตำลึงทอง!"
     

         สำหรับคนทั่วไป ทองคำร้อยตำลึงทองเพียงพอให้ผู้คนทั้งครอบครัวอยู่อย่างสุขสบายไปชั่วชีวิต ทองคำห้าพัน

    ตำลึง
    ทองยิ่งเป็นตัวเลขในฝัน ถึงแม้นตระกูลจงซุนจะเป็นตระกูลใหญ่ที่มีเงินทองมั่งคั่ง แต่หากต้องการช่วยเหลือ

    ฟางเหวินหลง
    เพื่อเป็นการผูกใจเขา เกรงว่ายังไม่อาจกระทำได้

         บรรยากาศภายในห้องเป็นไปอย่างเคร่งเครียดกดดัน  จงซุนเสวียนหัวทอดถอนลมหายใจ กล่าวสืบต่อว่า

     

         "ขออภัยที่เราผู้พี่ขอกล่าวตามตรง น้องเหวินหลงคลับคล้ายข้าพเจ้าเมื่อครั้งยังหนุ่มแน่นเลือดลมร้อนแรง
     

    การที่ท่านจะหาเงินจำนวนมหาศาลนี้มาไถ่ตัวนางเป็นเรื่องที่ยากลำบากยิ่งนัก ต่อให้มีผู้ที่มีเงินทองมากมาย
     

    ปานนั้นจริง ในแผ่นดินนี้จะมีผู้ใดยอมจับจ่ายเงินทองมากมายเพื่อสตรีเพียงคนเดียว?"
     

         มุมปากฟางเหวินหลงปราากฎรอยยิ้มอันเยือกเย็นขึ้น ก่อนจะกล่าวว่า
     

         "ถ้าข้าพเจ้าสามารถนำเงินจำนวนนี้มาได้ เหมยกุยน้อยก็สามารถออกจากที่นี่ได้?"
     

         จงซุนเสวียนหัวผงกศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า
     

         "ขอเพียงมีเงินทองจำนวนนี้ เราผู้พี่ก็พอจะมีช่องทางอยู่บ้าง"
     

         ฟางเหวินหลง หันไปมองหญิงงามที่นั่งชดช้อยอยู่ด้านข้าง ยื่นมือซ้ายออกไปจับที่มือขาวผ่อง ยิ้มเล็กน้อย
     

    เป็นเชิงให้กำลังใจ จากนั้นล้วงมือขวาเข้าไปในอกเสื้อ ชั่วครู่สองนิ้วก็คีบเอาไข่มุกกลมเกลี้ยง ภายนอกเป็นสีเขียว

    ตลอด
    ทั้งเม็ดออกมาเม็ดหนึ่ง จากนั้นกล่าววาจาว่า

     

         "ไม่ทราบว่าสิ่งนี้เพียงพอที่จะใช้ไถ่ตัวเหมยกุยน้อยหรือไม่?"
     

         จงซุนเสวียนหัวและเหมยกุยจ้องมองไปยังไข่มุกที่เปล่งประกายสีเขียวนวลในมือฟางเหวินหลงอย่างตะลึง

    ตะลาน

     

         ไข่มุกราตรีเม็ดนี้มาตรว่าส่องแสงไม่แรงกล้านัก แต่ก็ทำให้ภายในห้องปรากฎเป็นประกายสีเขียวรำไร
     

         จงซุนเสวียนหัว เรียกสติกลับมาได้ก่อน โห่ร้องขึ้นว่า
     

         "มารดาของเรา นี่ใช่เป็นไข่มุกประกายราตรีที่ร่ำลือกันหรือไม่?"
     

         ฟางเหวินหลงพยักหน้าเล็กน้อย จงซุนเสวียนหัวตบโต๊ะด้วยเสียงอันดัง ก่อนจะกล่าวว่า
     

         "เช่นนี้ก็มีหนทางแล้ว น้องเหวินหลงมอบไข่มุกนี้ให้กับเรา เราจะรีบไปดำเนินการในบัดดล!"
     

          กล่าวจบจงซุนเสวียนหัวรับไข่มุกราตรีในมือฟางเหวินหลง จากนั้นพลิ้วกายออกจากห้องไปราวสายลม

    หอบหนึ่ง

     

         เหมยกุยเมื่อเห็นจงซุนเสวียนหัวออกจากห้องไป ก็ยกมือทั้งสองโอบคอฟางเหวินหลงไว้ จากนั้นเสนอริมฝีปาก
     

    หอมกรุ่นจูบปากฟางเหวินหลงเนิ่นนาน เรือนร่างเรียบลื่นของเหมยกุยร้อนผ่าว จนฟางเหวินหลงเลือดลมพลุ่งพล่าน
     

    โอบกอดเรือนร่างเต็มสาวนั้นไว้อย่างแนบแน่น สองมือเคลื่อนไหวไม่หยุด
     

         ครู่ใหญ่ริมฝีปากของคนทั้งสองแยกจากกัน เหมยกุยกล่าววาจาเอียงอายด้วยใบหน้าแดงซ่านขึ้นว่า
     

         "เหมยกุย ไม่ทราบว่าจะตอบแทนท่านฟางอย่างไร เพียงเพื่อเหมยกุย ทำให้ท่านฟางต้องเสียไข่มุกที่ล้ำค่า

    ปานนั้นไป?


         เหมยกุยหยุดเล็กน้อย ขบริมผีปากกล่าวสืบต่อว่า

         "ชาตินี้เหมยกุยขอรับใช้ท่านฟาง ต่อไปแม้นถูกทิ้งขว้างก็ไม่สำนึกเสียใจ"

     

         ฟางเหวินหลงจ้องมองไปที่ดวงตาดำขลับ ปากกล่าวเสียงทุ้มหนักขึ้นว่า
     

         "สมบัตินอกกาย เหมยกุยไม่ต้องใส่ใจไป ขอเพียงทำให้ท่านผ่านวันเวลาที่มีความสุข ต่อให้ต้องเสียไข่มุกอีก

    สิบเม็ดก็ถือ
    ว่าคู่ควร"

     

         ฟางเหวินหลงนึกถึงว่าโชคดีที่บิดาของตนเองมองการณ์ไกล เตรียมการในการเดินทางมาในอดีตอย่าง

    พรั่งพร้อม 
    ถึงแม้นว่าสิ่งของส่วนใหญ่จะไม่สามารถนำมาในอดีตได้ แต่เพียงสมบัติส่วนตัวของแต่ละคน

    ก็เพียงพอกับการดำเนิน
    ชีวิต

     

         หากนับเฉพาะสมบัติในกระเป๋าวิเศษของตน แค่เพียงไข่มุกประกายราตรีที่จะส่องแสงจากสีเขียวจนกระทั่ง

    เปลี่ยนเป็น
    สีขาวส่องสว่างราวกับดวงจันทร์ทั้งเก้าเม็ด ก็เพียงพอให้ตนจับจ่ายใช่สอยไปชั่วชีวิตแล้ว

     

         เหมยกุยฟังถ้อยคำหวานหูจนเคลิบเคลิ้มดื่มด่ำ สองตาทอประกายความรัก จนเสนอริมฝีปากประกบกับริมฝีปาก
     

    ของฟางเหวินหลงอีกครา........

         ยามนั้นฟางเหวินหลงได้ยินเสียงฝีเท้าจากภายนอกแว่วมากระทบโสตประสาท จึงแยกจากเหมยกุยที่เคลิบเคลิ้ม

     

    กับการสัมผัสเสียดสีกันอย่างงงวย จากนั้นแม่เล้านามเหมยเม่ยเปิดประตูเดินเข้ามากล่าวเสียงระห้อยว่า
     

         "นายท่าน ข้าพเจ้ารู้สึกลำบากใจยิ่ง"
     

         ฟางเหวินหลงถามไถ่รายละเอียด เเม่เล้าเหมยเหม่ยมองดูเหมยกุยแล้วกล่าวว่า
     

         "ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดปล่อยข่าว ท่านเถียนเหวินซานกับพวกสิบกว่าคนมายังสถานเริงรมย์ ระบุต้องการตัว

    เหมยกุย"

     

         ฟางเหวินหลงเห็นเหมยกุยหน้าซีดขาว จึงกล่าววาจาขึ้นว่า
     

         "แม่นางเหมยกุย ข้าพเจ้าได้ให้พี่เสวียนหัวไปไถ่ตัวแล้ว จากนี้ไปเป็นคนของข้าพเจ้า ต่อไปจะไม่รับแขกอื่นอีก"
     

         แม่เล้าเหมยเหม่ยทอดถอนใจ กล่าวว่า
     

         "ตอนนี้ผู้คนทั่วนครหลินจวือล้วนไม่กล้าขัดใจ ท่านเถียนเหวินซาน นี่ได้แต่โทษว่าเหมยกุยมีชื่อเสียงเกินไป
     

    เหมยกุยติดตามมารดาไปเถอะ"
     

         เหมยกุยโอบคอฟางเหวินหลงไว้ ส่งเสียงร่ำไห้ออกมา เป็นที่น่าเวทนานัก
     

         แม่เล้าเหมยเหม่ยอธิบายต่อฟางเหวินหลงว่า
     

         "ท่านเถียนเหวินซานเป็นบุตรชายของท่ามหาเสนาบดีเถียนตาน อีกทั้งผู้ร่วมขบวนยังมีนายน้อยเผิงกุ้ยถิง
     

    ผู้เป็นบุตรชายท่านเผิงหยางผิง ข้าพเจ้ามิอาจไม่กระทำตาม ท่านเถียนเหวินซานเพียงต้องการความบริสุทธิ์ของ
     

    เหมยกุย ข้าพเจ้าขอเวลาเพียงชั่วครู่ หลังจากนี้ข้าพเจ้าจะรีบนำเหมยกุยมาคืนท่านฟางก็เป็นเช่นเดียวกัน"


    ฟางเหวินหลงทราบว่า ในยุคเลียดก๊กเถียนตานถือว่าเรืองอำนาจในแคว้นฉีแทบจะเรียกได้ว่าเทียบเท่ากับ
     

    เจ้าแห่งรัฐเลยทีเดียว เถียนเหวินซานถือว่าเป็นบุตรชายผู้เรืองอำนาจจึงถืออำนาจบาตรใหญ่ถึงเพียงนี้
     

         ฟางเหวินหลง รู้สึกมีเลือดลมพลุ่งพล่าน แค่นเสียงเย็นชาขึ้นว่า
     

         "ผู้ใดต้องการตัวเหมยกุย ขอให้มาทวงถามกับข้าพเจ้าด้วยตัวเอง ท่านถือว่าไม่รับรู้เรื่องราวใดทั้งสิ้น"
     

         เเม่เล้าเหมยเหม่ย ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา ก่อนจะกล่าวว่า
     

         "เหมยเหม่ย พานพบผู้คนมาเป็นจำนวนไม่น้อย แต่ผู้ที่เคารพนับถือมีจำนวนน้อยกว่าน้อย ท่านฟางถือ
     

    ว่าเป็นหนึ่งในน้อยคนนั้น  หากท่านฟางสามารถรอดพ้นคราวเคราะห์ในครั้งนี้ ต่อไปท่านมีเรื่องใดให้ข้าน้อย
     

    รับใช้ขอให้บอกกล่าวได้โดยไม่ต้องเกรงใจ" หลังจากกล่าวจบ นางค่อยๆ ล่าเดินถอยออกไป
     

         เหมยกุย เมื่อเห็นแม่เล้าเหมยเหม่ยจากไปแล้ว พลันจูบริมฝีปากฟางเหวินหลงอย่างหนักหน่วง จากนั้นกล่าว
     

    วาจาอย่างเด็ดเดี่ยวขึ้นว่า  "ท่านฟางปล่อยให้ข้าพเจ้าออกไปเถอะ เหมยกุยไม่ต้องการมให้ตัวเองต้องเป็นต้นเหตุ
     

    ให้ท่านต้องประสบเภทภัย"
     

         ฟางเหวินหลงโอบกอดร่างนุ่มนิ่มเข้าไว้แนบอก จากนั้นกล่าวว่า
     

         "เหมยกุยน้อยมิต้องกล่าวคำพูดใดอีก อย่างไรวันนี้ถ้าข้าพเจ้าไม่สามารถนำท่านออกจากที่นี้อย่างไม่บุปสลาย
     

     ก็ขอยอมกลบร่างฝังสังขารลง ณ ที่แห่งนี้!"
     

         เหมยกุย ฟังคำกล่าวของฟางเหวินหลง รู้สึกมีก้อนสะอึกจุกที่ลำคอ รู้สึกซาบซึ้งในบุรุษที่แรกพบจนไม่สามารถ
     

    กล่าวคำพูดใด ได้แต่ปล่อยให้น้ำตาสองสายไหลอาบแก้มงาม จากนั้นกอดรัดฟางเหวินหลงอย่างแนบแน่น
     

         เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง จงซุนเสวียนหัว ก้าวเท้าเข้ามาภายในห้อง กระแทกนั่งลงยังเก้าอี้ กล่าววาจาอย่าง

    เคร่งขรึม
    จริงจังขึ้นว่า

     

         "ขออภัยน้องฟาง เราผู้พี่มิเพียงทำงานไม่สำเร็จ ยังเสียไข่มุกล้ำค่าไปอีก"
     

         ฟางเหวินหลง งงงันวูบ จงซุนเสวียนหัวยกถ้วยสุราเบื้องหน้าขึ้นดื่ม จากนั้นกล่าวสืบต่ออย่างโกรธแค้นขึ้นว่า
     

         "เราเข้าไปเจรจากับเถ้าแก่ซุนกวนหลง ผู้เป็นเจ้าของหอจันทร์เมามาย ว่าจะขอไถ่ตัวแม่นางเหมยกุย เริ่มแรก
     

    อย่างไรมันก็ยืนยันไม่ยินยอม แต่หลังจากเรานำไข่มุกราตรีออกมา พอมันเห็นไข่มุกล้ำค่า มันก็เกิดความละโมบ
     

    จนน้ำลายแทบหยาดหยด รีบตกลงรับปาก"
     

         จงซุนเสวียนหัว หยุดเล็กน้อย จากนั้นกล่าวสืบต่อว่า
     

         "จากนั้นมันให้เรารอคอย ส่วนตัวมันเข้าไปหยิบหนังสือสัญญาไถ่ตัว เริ่มแรกเราไม่ทราบว่าไฉนมันปล่อยให้เรา
     

    รอคอยเนิ่นนานปานนั้น แต่หลังจากเราได้รับหนังสือสัญญามาแล้ว ขณะที่เราจะนำกลับมา มันกลับบอกว่า
     

    เหมยกุยจะต้องรับแขกอีกหนึ่งครั้ง จึงจะเป็นอิสระ"
     

         ฟางเหวินหลงหน้าแปรเปลี่ยนจนปั้นยาก จากนั้นข่มเพลิงโทสะไว้ถามว่า
     

         "พี่เสวียนหัวบอกให้กระจ่างกว่านี้ได้หรือไม่?"
     

         จงซุนเสวียนหัว ทอดถอนใจ กล่าวว่า
     

         "คราครั้งนี้ ข้าพเจ้าหลงกลแผนชั่วร้ายของเถียนเหวินซานกับเผิงกุ้ยถิง คิดไม่ถึงว่าพวกมันจะรวมหัวกัน
     

    กลั่นแกล้งเรา แต่นั่นก็ต้องโทษตัวเราว่าอ่านสัญญาไม่ละเอียดรอบคอบด้วย"
     

         ฟางเหวินหลง ตัดบทว่า
     

         "ที่แท้เป็นโจรอุบาทว์เผิงกุ้ยถิง! พี่เสวียนหัวไม่ต้องโทษตัวเอง ครั้งนี้พวกมันวางแผนกันมุ่งเป้ามาที่ข้าพเจ้า
     

    ตอนนี้เราต้องหาทางแก้ไขปัญหานี้ก่อน"
     

         จงซุนเสวียนหัว กล่าวว่า
     

         "หลังจากที่ข้าพเจ้าเจรจากับจงซุนหลงแล้ว ตัวมันยืนยันว่า อย่างไรก็ตามเหมยกุยต้องขึ้นเตียงกับ

    เถียนเหวินซาน
    และเผิงกุ้ยถิงก่อน จึงจะสามารถก้าวเท้าออกจากหอจันทร์เมามายไปได้ ยกเว้นเพียงว่า......."

         เหมยกุย มิอาจความตื่นเต้นสงสัย ไต่ถามเบาๆว่า

     

         "ยกเว้นอันใด?"
     

         จงซุนเสวียนหัว กวาดตามองไปยังใบหน้าเรียวงาม ก่อนจะกล่าวสืบต่อว่า
     

         "ยกเว้นเพียงน้องเหวินหลง จะสามารถเอาชนะบนโต๊ะพนัน จึงจะสามารถนำเเม่นางเหมยกุยไปได้
     

    เพียงแต่ว่าการที่จะเล่นพนัน ผู้เข้าร่วมจะต้องมีทุนรอนห้าร้อยตำลึงทอง"
     

         จงซุนเสวียนหัว ทอดถอนใจ ก่อนจะกล่าวว่า
     

         "เรื่องเงินห้าร้อยตำลึงทอง ข้าพเจ้าสามารถจัดหามาได้ ปัญหาอยู่ที่เถียนเหวินซาน ชุมนุมเหล่าผู้เกาะกิน
     

    มากมาย ผู้มีฝีมือในการพนันขึ้นชื่อหลายคน ด้วยฝีมือการพนันของเราท่าน เกรงว่ามิอาจจะเปรียบเทียบได้"
     

         เมื่อฟังจงซุนเสวียนหัวกล่าวจบ ฟางเหวินหลง ยิ้มอย่างเชื่อมั่น พลางกล่าวว่า
     

         "ขอเพียงให้ข้าพเจ้าเป็นผู้เลือกวิธีการเล่นพนัน ข้าพเจ้ามั่นใจว่าสามารถรับมือได้"                       





                                                                                                           (จบตอน)




     

     


     

     

     

     

     

     




                                                                                                     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×