ปลาสองน้ำ (ทางหนึ่งซึ่งเห็น) - ปลาสองน้ำ (ทางหนึ่งซึ่งเห็น) นิยาย ปลาสองน้ำ (ทางหนึ่งซึ่งเห็น) : Dek-D.com - Writer

    ปลาสองน้ำ (ทางหนึ่งซึ่งเห็น)

    รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 โครงการ อักษรสื่อชีวิต สมาคมนิสิตเก่าอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2566

    ผู้เข้าชมรวม

    26

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    26

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  22 ส.ค. 67 / 08:04 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น


    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
                          

                ไม่รู้ว่าผมเลิกขีดเส้นนับวันเดือนจากที่มองไม่เห็นไปตั้งแต่เมื่อไหร่
      แฟนบ่นว่าบนผนังมีแต่รอยดินสอขีดเกลื่อนไปหมด
         หนึ่งขีดเท่ากับหนึ่งวัน เอาแต่ขีดขีดและขีดสะเปะสะปะมั่วซั่วไปเรื่อย รอยขีดทั้งหมดบนกำแพงนับรวมยังไม่ถึงสิบปีที่ถูกจองจำในโลกมืดด้วยซ้ำ
         มันคงเหมือนการบำบัดกระมัง ในเมื่อหยิบดินสอขึ้นมาวาดรูปไม่เป็นรูปได้อีก มือก็เอาแต่ขีด
      จนแฟนต้องเอาดินสอไปซ่อน
           ผนังกำแพงนี้ ผมเคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะวาดรูปลงสีตั้งแต่ตอนเพิ่งย้ายเข้าอยู่ใหม่
      แต่ดันมาโชคร้ายเสียก่อน ศิลปินนักวาดจอประสาทตาเสื่อม เกิดมาตาบอดสนิทอย่างปัจจุบันทันด่วน
         ผมเคยเชื่อว่าระบบกลไกชีวิตในร่างกายคนเรามันจะสามารถบำรุงรักษาอวัยวะที่ชำรุดได้เอง ทั้งที่อาจารย์หมอแผนกจักษุก็พูดชัดทุกถ้อยกระบวนความว่าหมดทางรักษาแล้ว
         แต่ใครล่ะจะเชื่อ ในเมื่อเรื่องปาฏิหาริย์มีให้ได้ยินอยู่บ่อยหนบนโลกใบนี้
      และแม้ว่าแฟนผมจะพูดขึ้นทั้งเสียงเครือสั่น “เอาดวงตาหนูใส่ให้เขาข้างหนึ่งก็ไม่ได้หรือคะคุณหมอ หนูยินดียกดวงตาหนูให้แก่เขา…”
         เสียงถอนหายใจดังของอาจารย์หมอ บอกให้เราทั้งคู่ทราบว่าแกเหนื่อยกับการพยายามอธิบายญาติผู้ป่วยเข้าใจต่อความจริงในสิ่งที่มันไม่มีทางเป็นไปได้
           ตอนนั้นผมยอมยกธงไปแล้ว
      แต่เรื่องความพยายามต้องยกให้ผู้หญิง ในเมื่อวิทยาศาสตร์ปิดประตูใส่ ก็เหลือแต่ไสยศาสตร์มดถ่อหมอผี กุมารน้ำแดง ตุ๊กตาลูกเทพ
         สุดท้ายเธอหันหน้าเข้าวัด นั่งปรับทุกข์กับพระประทานอยู่เป็นค่อนวัน เย็นกว่าจะกลับเข้าบ้าน พบผมยังนั่งระทมบนโซฟาในท่าเดิมกับเมื่อเช้า
         บทความชิ้นหนึ่งบอกว่าเจ็ดในสิบคนที่สายตาปกติแล้วเกิดมาตาบอดในวัยหนุ่มสาว มักจะมีแนวโน้มไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
         ส่วนใหญ่สารภาพว่าทนรับสภาพนี้ไม่ได้ ทั้งที่เกิดมาครบสามสิบสอง นักจิตบำบัดเปิดเผยว่าบางคนไม่ได้สูญเสียแค่การมองเห็น แต่ยังซ้ำซ้อนด้วยการสูญเสียครอบครัวหรือคนรักตามมาอีกเป็นระลอก
         แปดในสิบคู่ชีวิตมักลงเอยด้วยการเลิกรา สาเหตุส่วนใหญ่คือไม่อยากดูแลคนตาบอดไปตลอดชีวิต บางคนนิยามสิ่งนั้นว่าเป็น’ ภาระ’
         เย็นนั้นเธอมานั่งลงข้างๆ
      พยายามทำเสียงร่าเริงเล่าเรื่องไปวัด นอกจากขอพรหลวงพ่อโตในโบสถ์อย่างทุกวันแล้ว ก็เล่าว่ามีแม่เฒ่าหมอดูที่หน้าโบสถ์นางหนึ่งทักขึ้นว่ากำลังมีเคราะห์มหันต์
         แน่สิ คนหน้าหมอง นอนร้องไห้ตาบวมทุกคืน เดินเหมือนร่างกายไม่มีวิญญาณอยู่ในวัดวาอารามอย่างนั้น เป็นใครก็เดาถูก
         เธอเอาฤกษ์เกิดเวลาตกฟากของผมแบให้แม่หมอทำนาย นับนิ้วพยากรณ์ดูแล้วจึงถามร้อนใจว่าเจ้าของดวงจะมองเห็นไหม
         “สิบปี” แม่เฒ่าฟันธง” อีกสิบปีดวงตาเขาจะมองเห็นเป็นปกติ!”
           อาจคิดว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการที่ผมเอาดินสอไม้มาขีดหนึ่งเส้นบนผนังทุกวันใช่ไหม
      แต่เปล่า ไม่ใช่เพราะเชื่อตามคำทำนายแม่หมอว่าจะกลับมามองเห็นได้อีกครั้งหนึ่งหรอก แต่มันเป็นการย้ำเตือนว่าผมยังมีชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งวันต่างหาก
         ทั้งที่เกือบจะตายมาแล้วหนหนึ่ง แต่สิ่งที่มาเปลี่ยนความคิดผมทั้งหมดในยามนั้นกลับเป็นความตายของผู้อื่น
         รุ่นพี่ที่มาเยี่ยมผม จับมือให้กำลังใจบอกให้ผมสู้ ทั้งที่เขาหนุ่มแน่นแข็งแรงและกำลังมีลูกสาวน่ารักตัวน้อย ทุกอย่างในชีวิตของเขากำลังไปได้สวย
         แต่แล้วเหมือนถูกฟ้าผ่าลงกลางศีรษะอย่างจัง
      โชคร้าย กลับตรวจพบมะเร็งสมองระยะสุดท้าย และเสียชีวิตอย่างรวดเร็วในเวลาต่อมา
         เป็นผมที่ต้องมาเคารพศพเขา
      แทนที่จะเป็นคนลงไปนอนอยู่ในโลงนั้นแทนรุ่นพี่
         “โลกไม่เคยยุติธรรมกับคนดีๆ”
      ผมได้ยินเสียงก่นโทษฟ้าดินมาจากแถวหลังของแขกในคืนสวดอภิธรรม เสียงพึมรับต่อเป็นทอดว่าโลกนี้ช่างอนิจจังนัก    เรื่องนี้ทำให้ผมเริ่มเข้าใจกลไกชีวิตที่เรามิอาจขัดขวางหรือควบคุมอะไรมันได้ แม้แต่การอยู่หรือตาย
      ถ้ารุ่นพี่สามารถตื่นลุกขึ้นมาเลือกระหว่างเป็นมะเร็งตายหรือยอมตาบอดแต่มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เขาก็คงเลือกที่จะมีชีวิตอยู่โดยปราศจากการได้เห็นสิ่งสวยงามผ่านดวงตา แต่ใช้หัวใจเฝ้ามองลูกสาวที่จะเติบโตขึ้นมาแทน
      และเรียกเขาว่า “พ่อจ๋า” อย่างเป็นสุขที่สุด
            โอกาสของคนเรามีไม่เท่ากัน
      จากเรื่องนี้ผมเริ่มเปิดใจยอมปรับตัวเข้าหาโลกแห่งความมืดที่ซ้อนอยู่ในโลกสว่างของคนอื่นอีกชั้น
         นับเป็นปีมาแล้วที่ผมไม่กล้าย่างเท้าออกพ้นรอบรั้วเขตบ้าน กลัวสายตา กลัวคำถาม กลัวการต้องเผชิญอันตรายที่โผล่เข้ามาทุกรูปแบบ
         จนแฟนบอกว่าผมชอบกลัวไปก่อนทุกเรื่อง
      เรื่องนี้ไม่อยากต่อความยาว ผมก็เหมือนเม่น รีบพองขนใส่ไว้ก่อนยามรู้ตัวว่ากำลังมีภัย
         หนึ่งในสิบของคนตาบอดจะถูกรถชนพิการซ้ำไม่ก็ตายอยู่กลางถนน สี่ในสิบมักเจอประสบการณ์แย่ๆ ถูกโจรในคราบคนประสงค์ดี จูงเข้าที่เปลี่ยวแล้วใช้มีดจี้แย่งโทรศัพท์กับกระเป๋าสตางค์
         รายงานพวกนี้คงไม่ได้ปั่นประสาททำให้ผมกลัวเกินกว่าเหตุใช่ไหม
           ก่อนหน้าที่เอาแต่เก็บตัวอยู่ภายในบ้าน
      ผมเริ่มหัดเรียนรู้เรื่องเวลา โดยฝึกเงี่ยหูจับเสียงจากทั่วสารทิศ ถ้าใกล้สว่างหรือเช้าจะได้ยินเสียงนกเสียงอีการ้องระงม เสียงพลุกพล่านจอแจในหมู่บ้านนั่นแปลว่าสาย รถตู้รับส่งนักเรียนจะเข้ามาตอนเจ็ดโมงเช้ากับสี่โมงเย็นเศษๆ
         จำเสียงมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างส่งน้ำแข็งของพี่สมศรี (ชาวพม่า) ห้อเข้ามาร้านชำท้ายซอยตอนเก้าโมงเช้ากับสี่โมงเย็นทุกวันได้แม่น และทุกวันศุกร์กระบะบุโรทั่งส่งน้ำดื่มจะวิ่งตะบึงเข้ามาพร้อมควันท่อไอเสียตอนแปดโมงครึ่ง รถขนขยะเข้ามาไล่เก็บขยะอังคารกับศุกร์ ลุงหลังบ้านชอบเปิดวิทยุฟังรายการคุยการเมืองตอนบ่ายสอง เสียงมอเตอร์ไซค์บุรุษไปรษณีย์มาส่งจดหมายในหมู่บ้านทุกสิบเอ็ดโมงเช้า พร้อมตะโกนเสียงดังลั่นว่า “มีพัสดุมาส่ง รับจดหมายด้วยครับ”
         ลุงขายนมถุงปั่นเข้ามาช่วงเที่ยงเศษ แกชอบสูบบุหรี่กลิ่นฟุ้งเข้ามาในบ้าน นอกนั้นก็เป็นเสียงจิปาถะรายย่อยที่จำแนกเวลาได้ไม่แน่นอน
         จากเสียงยวดยานผมหันไปตั้งใจฟังเสียงเห่า
      แรกๆ ก็ถามแฟนว่าเป็นสุนัขบ้านไหน เธอลุกออกไปดูให้ หลังๆ ก็พอจำเสียงได้ว่าเป็นสุนัขบ้านไหน แม้แต่รถขายต้นไม้ที่วิ่งยังไม่เข้ามาในหมู่บ้านก็รีบบอกแฟน
         เธอบอกไม่เห็นได้ยินอะไรเลย
      ไม่เกินสองนาทีเราก็ได้ยินโฆษณาจากเครื่องขยายเสียง เธอรีบวิ่งออกไปหน้าบ้านซื้อปุ๋ยลงต้นไม้
         ไม่ใช่แค่เรื่องเสียงที่ถูกทดแทนเข้ามาแทนดวงตาเท่านั้น
      กลิ่นก็กลายเป็นเรื่องสนุกที่ทำให้หลายคนต้องฉงน ไม่ใช่การทายเมนูกลิ่นอาหารในกล่องถูก แต่ทายถูกแม้กระทั่งซื้อมาจากร้านไหน
         น้าอี๊ดร้านตามสั่งหน้าปากซอยนึกสนุกให้ยาย (แม่ของแกเป็นคนผัดกะเพรา) “เอาไปให้เขาทายนะ ดูว่าจะทายถูกไหมว่าร้านไหน ใครเป็นคนผัด”
         เมื่อก่อนตอนยังมองเห็น ผมเป็นคนเลือกกิน
      พริกเน่า ใบกะเพราไหม้ เศษเปลือกกระเทียมหัวหอมเป็นอันเขี่ยกองเต็มข้างจานหมด แต่การไม่เห็นสิ่งเหล่านี้อยู่ในจานกลายมาเป็นข้อดี เป็นความน่าตื่นเต้นยิ่ง
         ทุกคำที่ใส่ปาก ทุกอย่างที่บดเคี้ยว ถูกพิจารณาไปด้วยเกิดเป็นรสชาติใหม่ นึกแปลกใจตัวเองเหมือนกัน เมื่อกลายเป็นคนกินข้าวหมดเกลี้ยงจาน
           คนตาบอดคนแรกที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผม
      เป็นกังวานเสียงของลุงขายลอตเตอรี่ แกป่าวร้องพรุ่งนี้รวย พลางใช้แท่งเหล็กกระแทกกวาดลงพื้นถนน
      ไม่ทันไรพวกสุนัขท้ายซอยก็วิ่งกรูกันมารุมเห่าแกอย่างเอ็ดอึง
         ตอนนั้นผมถึงเข้าใจว่าทำไมแกต้องใช้แท่งเหล็กแทนไม้เท้าอย่างที่เคยเห็นคนตาบอดเขาชอบใช้กันตามทางเท้า
         เป็นธรรมดาอยู่ที่คนเคยมองเห็นอย่างผมจะอยู่ห่างไกลจากดินแดนของคนตาบอดชนิดไม่เคยเหยียบย่างก้าวเข้าไปถึง ความเชื่อผิดๆ อีกประการหนึ่งที่คิดว่าพวกคนเหล่านี้อ่านเขียนด้วยอักษรเบรลล์เพียงเท่านั้น ไกลเกินที่ผมจะกลับไปตั้งต้นศึกษาเรียนรู้ใหม่
         ทั้งที่ผมเคยเขียนได้อ่านออกอย่างคนสายตาปกติทั่วไป ผมจึงเก็บตัวอยู่แต่ในโลกบ้านนานเกือบสิบปี
      ตลอดช่วงนั้นก็ได้ยินเสียงแท่งเหล็กและเสียงของลุงขายลอตเตอรี่ดังอยู่เป็นเพื่อนทุกต้นและกลางเดือน
         จนกระทั่งว่าผมได้มาเจอคนตาบอดคนที่สองในชีวิต
      หลังจากที่ผมครองตำแหน่งคนตาบอดเพียงคนเดียวในซอยละแวกบ้านมาหลายสมัย เป็นขวัญใจแม่ค้าร้านอาหาร พวกลุงป้าน้าอาที่ขายของอยู่ปากซอยบ้านก็รักเอ็นดูเหมือนลูกหลาน
         ยิ่งเห็นผมกับแฟนจูงเดินเข้าออกรักกันไม่จืดอยู่หลายปี
      ป้าร้านกล้วยทอดแกถึงแก่ตะโกนแซวว่าจะเขียนจดหมายให้เราไปออกรายการคุณวิทวัส
         คนที่ผมเอ่ยถึง
      เธอเป็นถึงนักศึกษาสาว ตาบอดมาแต่กำเนิด สู้ชีวิตมาจนย่างเข้าวัยยี่สิบอย่างน่านับถือ
         ผมปล่อยไก่เล่าความเข้าใจผิดๆ อย่างที่เกริ่นไว้แต่ต้นให้เธอฟัง
      เธอกลั้นขำแล้วจึงอธิบายการใช้คอมพิวเตอร์พิมพ์รายงานได้อย่างไร
         ระหว่างที่เปิดโลกใบใหม่ ผมก็อดไม่ได้ที่จะหวนนึกกลับไปหาเวลาสิบปีที่โยนทิ้งไปกับการนั่งนอนเดินหาทางออกให้กับชีวิตที่เหลือของตัวเองว่าจะทำอะไรต่อไปดี
      ถ้าไม่ใช่ทั้งการขายลอตเตอรี่ นวดจับเส้น หรือเล่นดนตรีกลางถนน
           เธอแนะนำให้ผมไปพบคนตาบอดที่ลงโปรแกรมเสียงใส่โน้ตบุ๊กได้
      คนตาบอดคนที่สามและสี่มานั่งรอผมอยู่ในร้านกาแฟก่อนหน้า
         นั่งคุยแนะนำตัวจบ แฟนผมก็เปิดโน้ตบุ๊กที่นำมา เขาเอาแผ่นซีดีใส่และทำการติดตั้ง
      ครั้งแรกที่ได้ยินเสียงดังออกมาจากโน้ตบุ๊กเครื่องที่ต้องขอแรงแฟนให้ช่วยทำนั่นทำนี่ให้อยู่เป็นประจำ ต่อไปนี้ผมก็จะสามารถกลับมาใช้คอมพิวเตอร์ได้เกือบเหมือนคนปกติแล้ว
      ผมแทบกลั้นความตื่นเต้นนั้นเอาไว้ไม่อยู่ คล้ายเจอประตูทางกลับสู่โลกใบเก่า
         หนึ่งในสองคนนั้นออกปากขอค่าบริการ
      ตอนนั้นผมถึงได้สติกลับมาสู่โลกความจริง เขาขอห้าร้อยบาท อ้างว่าลงยาก ซับซ้อนกว่าจะเรียนรู้ทำได้
      ต้องมาถึงตอนนั้นนั่นแหละที่ผมเพิ่งจะมาสังเกตน้ำเสียงคนทั้งคู่ และอนุมานเอาว่ากำลังเจอเข้ากับเล่ห์เหลี่ยมมิจฉาชีพในแบบที่ไม่ควรต้องมาเจอ
         “ได้ค่ะ”
      แฟนผมบอก เธอต้องออกไปกดเงินสด พลางขยับตัวลุกขึ้น ผมทำท่าจะลุกตาม แต่โดนเธอกดบ่าเอาไว้ เหมือนจะบอกให้นั่งรออยู่นี่แหละ แล้วเธอก็เดินออกไป ทิ้งผมไว้กับพวกเขา
            เพลงในร้าน เสียงพูดคุยจากโต๊ะตัวอื่นและความอึมครึมในบรรยากาศที่ดูอึดอัดพิกล
         “ไปรึยังวะ”
      คนทางซ้ายมือพูดขึ้นก่อน ผมมองพวกเขา คนขวาที่นั่งกดนั่นกดนี่โน้ตบุ๊กหยุดมือแล้วตอบ
         “ออกประตูร้านไปแล้ว ทั้งคู่แหละ ใช่ไหม”
      เหมือนเขาจะเอี้ยวตัวหรือเอื้อมมือชะโงกข้ามโต๊ะมาทางที่นั่งของผมกับแฟน
         ผมแทบกลั้นหายใจตอนที่คนทางขวาถามว่า
      “มึงเรียกมันห้าร้อย ไม่แพงไปเหรอวะ”
      เสียงฮึดฮัดสวนกลับทันที “มึงกับกูแบ่งกันจะเหลือสักเท่าไหร่วะ มึงคิดว่ากูเป็นมูลนิธิชอบช่วยเหลือคนเปล่าๆ ปลี้ๆ ไม่ต้องกินต้องใช้อะไรเหรอวะ มานี่ก็เสียเวลาฉิบหาย เดี๋ยวมึงอย่าลืมบอกพวกมันให้ช่วยจ่ายค่ากาแฟมึงกับกูด้วยละ”
      ออกมาจากร้าน ผมก็เล่าที่ได้ยินให้แฟนฟัง
      เธอว่าช่างมันเถอะ แต่เรื่องนี้กลับติดในใจผมมาตลอดทางกลับบ้าน
         ไม่ว่าในโลกคนสายตาปกติหรือพิการย่อมมีคนที่น่ารักและไม่น่ารักปะปนกันอยู่เป็นนิจ
      แต่การได้ยินกับหู เหมือนหลบซุ่มแอบฟังความจริงอย่างที่เจอมา แล้วต้องทนเห็นสองคนนั้นเล่นละครตบตา ทำให้รู้สึกโกรธและผิดหวังอยู่มาก
         เมื่อกลับมานั่งไตร่ตรองทบทวนอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้งหนึ่ง ผมรู้สึกอยากจะกระชากหน้ากากพวกเขาออกมาตอนที่นั่งอยู่ในร้านหรือไม่ก็พูดให้ได้สะดุ้งกันบ้างว่าบอดตาแล้วยังใจบอดซ้ำอีก
         คนประเภทนี้ผมขอเจอแค่ครั้งเดียวเป็นพอ
      ผมไม่ทราบว่าสองคนนั้นพบเจอเรื่องเลวร้ายสาหัสสากรรจ์มาขนาดไหน ชีวิตผ่านอะไรมาบ้าง พื้นนิสัยถูกบ่มเลี้ยงมาด้วยความรักแบบไหน
         ความยากจนข้นแค้นกระมังที่คอยกดขี่ชีวิตบังคับให้เขาต้องร้ายตอบกับคนที่ต้องการความช่วยเหลือจากเขา ถึงแม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นคนสายตาพิการเหมือนๆ กับพวกเขาก็ไม่มีข้อยกเว้น
         บางคนที่ผมอ่านเจอในเฟซบุ๊กถึงขนาดเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง
      ก่นโทษเอาว่าความพิการของเขาสังคมต้องรับผิดชอบ มองทุกอย่างออกมาในมุมที่เพี้ยนผิด ร้ายกว่านั้นก็คือมีคนพิการที่พลอยเห็นดีเห็นงามไปกับการกระทำเหล่านั้นด้วย
         ทั้งเขียนหยาบคายต่อว่าคนในสังคม ทั้งคนในสังคมเองก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกช่วยหรือไม่ช่วยก็ไม่ผิด เพราะไม่ใช่หน้าที่ ยิ่งกับความกักขฬะพฤติการณ์ที่แสดงออกอย่างไม่สุภาพต่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบนสถานีรถไฟฟ้า ที่ทิ้งให้เขาหรือเธอต้องยืนรอจนเงก ดุด่าว่ากล่าวทำราวกับเขาไม่ใช่คน ไม่มีเลือดเนื้อไม่มีจิตใจ
      หรือการมายืนร้องเพลงยึดครองทางสัญจรในจุดที่ไม่มีการผ่อนผัน คอยหาเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับผู้คนที่เดินสวนไปมา   
           เธอบอกผมว่าคนที่ตาบอดมาแต่กำเนิดนั้นโกหกทางสีหน้าไม่เป็น
      เมื่อโกรธเขาก็จะบึ้งตึงโดยไม่รู้ตัวออกมา ยิ้มก็จะยิ้มทั้งหน้า เมื่อโกหกใบหน้านั้นก็จะปิดไม่มิด ดูออกง่าย คนบางคนผ่านมาเพื่อจะมาเอาเปรียบเราได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นแหละ
      เมื่อได้คิดดังนั้นแล้วความขุ่นข้องในใจจึงค่อยเบาบางลง
         วันหนึ่งผมตัดสินใจบอกแฟนว่าค้นพบสิ่งที่อยากจะทำแล้ว
      เธอไม่ได้มีอากัปแปลกใจตอนที่บอกจุดประสงค์ออกไป
      อาจจะเห็นผมขลุกอยู่กับคอมพิวเตอร์ทั้งวัน แล้วดูกระตือรือร้นพูดจามีชีวิตชีวามากกว่าก่อนหน้านี้ ประสาสิบปีที่เหมือนติดอยู่ในห้องเล็กๆ มืดสนิท ผนังสี่ด้านผิวสัมผัสหยาบและเย็นเยียบ แถมบานประตูยังถูกล็อกจากด้านนอก
         คนสายตาปกติเคยสารภาพหลังลองหลับตาใช้ชีวิตเป็นคนตาบอดอยู่ไม่กี่ชั่วโมง ว่ามันอึดอัดที่สุดที่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ ฉะนั้นเมื่อประตูบานที่เชื่อมออกไปสู่อาณาเขตที่กว้างขวางมากขึ้นถูกเปิดออก
         ในโลกอินเทอร์เน็ตผมพบคนที่เป็นเหมือนผมมากขึ้น พบโอกาสและช่องทางนำออกไปสู่โลกที่ซ้อนอยู่ในโลกที่อุดมไปด้วยข้อมูลข่าวสารทุกชนิด
         เมื่อเห็นผมเงียบไป เธอจึงทำเป็นสนใจถามขึ้นมาว่าแล้วอยากทำอะไร
      พอผมบอก น้ำเสียงอีกฝ่ายดูตกใจอยู่นิดหน่อย เธอถามย้ำเหมือนไม่เชื่อว่าคนมองอะไรไม่เห็นจะอยากเป็นนักเขียนไปทำไม
         การเขียนหนังสือมันคือการมองเห็นภาพแล้วอาศัยทักษะถ่ายทอดกลับออกมาเป็นตัวหนังสือไม่ใช่หรือ เหมือนกระจกเงาที่ตกต้องสะท้อนภาพกลับเข้าไปในผิวกระจกอีกครั้งหนึ่ง
         เธอว่าเข้าใจสิ่งที่ผมกำลังพยายามทำ แต่ในเมื่อมองไม่เห็นแล้วจะเขียนอะไร
           ในช่วงเวลาที่พยายามค้นหาคำตอบนั้น ผมได้มีโอกาสพบอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งสอนเกี่ยวกับปรัชญาชีวิตอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
         เผอิญเป็นเหตุมีอันต้องมานั่งร่วมโต๊ะกับท่านที่ร้านตามสั่งริมถนนราชดำเนิน ระหว่างที่นั่งรอข้าวผัดพริกใบกะเพราอยู่นั้น ประเด็นเรื่องการเขียนหนังสือก็ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงอีกครั้งหนึ่ง
         โดยไม่ทราบว่าชายชราที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยนั้นเป็นใคร
      ผมถูกเธอต้อนจนมุมด้วยคำถามชุดเดิม
         ท่านอาจารย์ที่นั่งฟังมาตลอดอยู่ก่อนก็ออกตัวขอโทษ จับต้นชนปลายเรื่องทั้งหมดยังไม่ถูก แนะนำตัวว่าท่านเป็นอาจารย์สอนหนังสือ สนใจสิ่งที่หนุ่มสาวสองคนกำลังพูดถึงอยู่
      หลังฟังเรื่องของผมจบ ท่านก็เปรยขึ้นว่าชีวิตผมเหมือนปลาสองน้ำ
         “เข้าใจไหมหนุ่ม”
      ท่านถามหนุ่มตาบอดผู้กำลังสับสนเส้นทางซึ่งจะเดินไป ผมเอียงคอนึก ก่อนจะสั่นหน้าสารภาพว่าไม่เข้าใจ
      ท่านจึงจำแนกรายละเอียดให้ฟังต่อว่า
         “ฟังครูให้ดีนะหนุ่ม มนุษย์จำนวนมากไม่มีโอกาสได้เป็นอย่างหนุ่ม ลองคิดดูเอาเถอะ คนตาดี ยิ่งพวกเป็นนักเขียนด้วยแล้ว ปรารถนาที่จะอยากนึกเข้าใจ มองเห็นว่าโลกแบบที่มันมองไม่เห็นความสว่างอย่าง… ขอโทษเถอะนะ ครูขอใช้คำง่ายๆ คนตาบอดน่ะ มันเป็นอย่างไร มืด แต่ก็ไม่ใช่มืดอย่างที่คุ้นเคยใช่ไหมล่ะหนุ่ม” ท่านเว้นวรรค หยุดจิบน้ำแล้วจึงอรรถาธิบายต่อ “คนตาบอดที่พิการมาแต่กำเนิดเองก็อยากจะมองเห็นว่า ไอ้ที่เขาว่าท้องฟ้าน่ะ สีฟ้า ฟ้ามันเป็นอย่างไร มันสวย มันมีรูปร่างอย่างไร เมฆเป็นแบบไหน ได้แต่อ่านเจอหรือฟังคนตาดีเล่าอธิบายไปต่างๆ นานา จินตนาการก็ดี สร้างภาพขึ้นมาก็ดี แต่ให้คนเหล่านั้นนึกเท่าไหร่ เขาเธอก็คงนึกไม่ออกใช่ไหมล่ะ”
         ท่านวรรคอีกครั้ง เหมือนกำลังหยุดพิจารณาเพ่งจ้องผมกับแฟนว่าตามเรื่องที่ท่านกำลังเล่าอยู่ทันไหม จนกระทั่งว่าเสียงแม่ค้าที่ยืนผัดกะเพราจามลั่นอยู่ห้าหกครั้งสงบลง
         “ส่วนหนุ่มน่ะ เห็นก็เคยเห็นมาแล้ว แล้วทุกวันนี้ยังมีโอกาสได้มองเห็นโลกอีกด้าน ที่คนตาดีอย่างครูยังไม่มีโอกาสได้เห็นเลย ปลาที่อยู่ได้ทั้งน้ำจืดน้ำเค็มน่ะ มันจะสร้างความต้านทานขึ้นมาเป็นพิเศษ ทนอะไรหนักๆ ได้ยิ่งกว่าปลาน้ำจืดหรือปลาน้ำเค็มตัวอื่น ยิ่งหนุ่มบอกอยากเป็นนักเขียน ก็เขียนสิ เขียนทั้งสิ่งที่เคยเห็นและที่มองเห็นจากภายใน ในตอนนี้ขณะนี้และเดี๋ยวนี้ออกมาด้วยความรู้สึกของหนุ่มเอง มันจะวิเศษมากขนาดไหน ถ้าเพียงหนุ่มหัดจับสังเกตเห็นรายละเอียดจุดเล็กๆ น้อยๆ ที่ทั้งคนตาดีก็ยังไม่เห็น คนตาบอดก็ไม่เห็น ลองหยิบยกเอาออกมาบรรยายเป็นเรื่องเล่าของหนุ่มเอง ครูเชื่อนะว่าหนุ่มสามารถเป็นนักเขียนได้ ด้วยความตั้งมั่นเท่าที่ครูเห็นหนุ่มอยู่ในขณะนี้”
           เหมือนประตูอีกบานถูกปลดล็อก
      เพื่อนที่พอรู้ว่าผมกำลังอยากเป็นนักเขียนก็ส่งนั่นส่งนี่มาให้อ่าน เพื่อนสมัยทำงานบอกว่าอาจารย์ของเขาเป็นคอลัมนิสต์อยู่นิตยสารคู่สร้างคู่สม กำลังอยากได้คนไปช่วยเขียน
         พอได้คุยกันทางโทรศัพท์ อาจารย์บอกว่าสนใจอยากจะสัมภาษณ์ชีวิตคู่ของผมแทน
      ผมปฏิเสธความหวังดีนั้น ผมแค่อยากเขียนหนังสือ ท่านตอบกลับเพียงว่าคู่สร้างคู่สมนั้นลงแต่เรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องแต่งอย่างที่ผมเขียน
           หนุ่มสาวตาบอดสองคนที่เป็นแฟนกัน กลายเป็นเหยื่อคู่แรกของผม
      ประเด็นที่สนใจคือคนตาบอดจีบกันอย่างไร
         “เสียงค่ะ” ฝ่ายหญิงบอกยิ้มๆ ไม่มีอากัปขวยเขิน “ถ้าเราฟังแล้วชอบ นั่นก็แปลว่าหล่อแล้วค่ะ” แล้วชอบกันเลย “เปล่าค่ะ ก็คุยกันเรื่อยๆ ปกติเหมือนคนธรรมดาจีบกัน”
         จากนั้นฝ่ายผู้ชายก็เสริมต่อ เล่าถึงอุปสรรคที่ทั้งคู่ต้องฟันฝ่า ทั้งทางญาติผู้ใหญ่ที่ไม่เห็นด้วย ทั้งทางด้านหน้าตาฐานะ และฝ่ายหญิงเคยมีครอบครัวมีลูกติดมาก่อน
         “ก็ต้องพิสูจน์ให้พวกเขาเห็น” ฝ่ายชายว่า “นานครับกว่าจะได้อยู่ด้วยกัน”
         เหยื่อรายต่อมา เป็นชายตาบอดผู้อาภัพรัก
      มีความสุขอยู่กับหนังสือเสียงเป็นจำนวนมาก จนเกิดตกหลุมรักสาวคนที่เป็นเจ้าของเสียงอ่าน
         “ทีแรก ผมก็โทร.ไปบอกเขาว่าชอบฟังเสียงเขาอ่าน…”
      เดี๋ยวนะ ได้เบอร์เขามายังไง ชายอาภัพเงียบนิ่งอยู่ชั่วขณะ
         “ขอบรรณารักษ์ห้องสมุดครับ”
      อ่อ เชิญเล่าต่อ “ทีแรกเขาก็คุยกับผมดี” เกิดอะไรขึ้นต่อ “พอผมสารภาพว่าชอบเขาเท่านั้นแหละครับ” เสียงเขาเริ่มเครือสั่น “เขาบอกเขามีแฟนแล้ว จากนั้นเขาก็ไม่รับสายผมอีกเลย” โทร.ไปบ่อยไหม “บ่อยครับ ตรงนี้พี่อย่าเอาไปออกอากาศนะครับ ผมอาย” โอเค สัมภาษณ์เฉยๆ ไม่เอาไปเขียนหรอก “สัญญานะครับพี่…”
         เหยื่อรายต่อมาเป็นคู่หนุ่มสาวตาบอดขายลอตเตอรี่ที่ผมนำชีวิตเขาไปเขียนเป็นเรื่องสั้น
      เพราะพอติดต่อไป พอได้คุยกันนอกรอบก่อน ประโยคแรกที่เขาพูดขึ้นทำเอาผมตกตะลึง
         “ผมกับแฟนติดเอดส์”
      หมายถึงเอชไอวีเหรอ!
         “ครับ”
      ทำไมถึงกล้าบอกผม คนที่คุณแทบไม่รู้จัก
         “ก็พี่เป็นนักเขียน” ผมเงียบ “คิดว่า มันคงพอมีประโยชน์กับงานเขียนของพี่ ไม่มากก็น้อย”
         ความพิการเป็นความซวยชั้นแรก ติดเอชไอวีโดยไม่รู้ตัวเป็นความซวยชั้นที่สอง แล้วเอาไปติดคนรักกลายเป็นชั้นที่สาม ผมหายใจแรงตอนที่ฟังเรื่องราวพวกนี้
         เขาเล่าให้ญาติพี่น้องฟังหวังจะได้กำลังใจจากครอบครัว ลุกขึ้นมาสู้ชีวิตอีกครั้ง แต่กลับฝันร้ายซ้ำราวไม่มีวันจบ ทุกคนกลัวพากันเตลิดหนีหาย ทุกวันนี้อยู่กันด้วยกำลังใจเพียงสองดวงที่ปลอบประโลมกัน
         ตลอดเวลาที่ถ่ายทอดเรื่องราว ฝ่ายหญิงเอาแต่นั่งสะอื้น เกือบชั่วโมงที่นั่งให้สัมภาษณ์ในร้านก๊วยเตี๋ยวเรือแถวอนุสาวรีย์ชัยฯ ผมบอกให้พวกเขาสั่ง ไม่ต้องเกรงใจ กินให้อิ่ม กินไปเล่าไป โดยไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะได้ฟังเรื่องโหดร้ายในสังคมแบบไม่เคยได้ยินมาก่อน
         เหงื่อชุ่มฝ่ามือ ปากคอแห้งผาก ทุกครั้งที่เขาเล่าลงไปยังจุดต่ำสุดในชีวิต ราวกับมันจะดำดิ่งลงไปในจุดมืดมิดที่สุดใต้สะดือทะเลแห่งความโหดเหี้ยมของความเป็นมนุษย์อย่างไม่มีสิ้นมีสุด โดยที่ผู้คนเหล่านั้นมิใช่ใครอื่น ล้วนแต่สาแหรกตระกูลเดียวกันแท้ๆ จนมาตอนที่ชายขายลอตเตอรี่เล่าเรื่องของพวกเขาจบ ฝ่ายหญิงก็เปิดปากพูดขึ้นเป็นครั้งแรกด้วยน้ำเสียงที่อัดอั้นมาตลอด
         “แฟนหนูเขาพูดไม่จริงค่ะ! เขาโกหกพี่ ไอ้ที่แฟนหนูเล่าว่าเขาเอาโรคมาติดหนู จริงๆ แล้วเป็นหนูต่างหากที่เอามาติดเขา…”
         “ไม่จริงครับ!” เสียงเขาตะเบ็งลั่น
         “จริงค่ะ ฟังหนูนะคะ เรื่องมันเป็นอย่างนี้…”
         “เธอเงียบเถอะ!”
      ตอนนั้นไม่มีใครฟังใคร ต่างคนต่างพูดในสิ่งที่ตัวเองอยากจะพูดออกมา
         “เขากลัวพี่จะมองหนูเป็นคนไม่ดี” ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ “อย่างเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐที่เราไปขอความช่วยเหลือ หรือตอนเราไปตรวจที่โรงบาล คนชอบพูดไม่ดีใส่หนู แฟนหนูต้องคอยออกหน้ารับทุกครั้งที่พวกเจ้าหน้าที่ถามซักประวัติ ติดมายังไง ติดจากไหน ใครติดใคร… ถึงเราทั้งคู่จะตาบอด มองไม่เห็น แต่ก็ไม่ควรถูกเลือกปฏิบัติอย่างนั้น จะนึกรังเกียจ นึกสมน้ำหน้า สมเพชคนอย่างหนูกับแฟนก็อย่ามาทำต่อหน้าให้รู้สึกเจ็บด้วยคำพูดเชือดเฉือน มีสักกี่คนคะ จะเข้าใจสภาพที่เราสองคนเจอมา” เสียงเธอสะอึกสะอื้นนึกน้อยใจชะตากรรมตัวเอง “เวลาถูกถามเรื่องแบบนี้ทีไร เขาเลยออกรับแทนหนู พอรู้ว่าพี่จะเอาเรื่องของเราไปเขียนลงหนังสือ เขาก็เกิดกังวลขึ้นมาอีก”
      บรรยากาศตอนนั้น ชายขายลอตเตอรี่จึงตกเป็นฝ่ายเงียบบ้าง ปล่อยให้เมียเล่า
           ตอนที่เรื่องนี้ถูกคัดเลือกนำไปตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์
      ซึ่งกว่ามันจะดำเนินไปถึงขั้นตอนนั้นก็กินเวลาเข้าไปเกือบปีล่วง
         จากต้นฉบับบทสัมภาษณ์ที่ถูกปฏิเสธจากนิตยสารฉบับหนึ่งกลายมาเป็นเรื่องสั้น ขัดเกลาจนเรี่ยม
      ผมโทร.กลับไปหาเขาทันทีที่วางสายจากบรรณาธิการ ทักถามปลายสายว่าสบายดีไหม ยังขายลอตเตอรี่อยู่ที่เดิมที่ผมเคยเจอพวกเขาหรือเปล่า
         น้ำเสียงร่าเริงของเขาฟังดูยังสู้ “ย้ายไปแล้วครับพี่ โดนนักเลงเจ้าถิ่นไล่ที่”
      เขากับเมียอพยพย้ายไกลไปอีกฟากหนึ่งของกรุงเทพฯ ผมจึงขอเลขบัญชีธนาคารของเขา
      เขาถามอย่างงุนงงว่าเอาไปทำไม
      ตอนที่ขอสัมภาษณ์ ผมเลี้ยงแค่ก๊วยเตี๋ยวพวกเขาชามละไม่กี่สิบบาท
         “ค่าเรื่องสั้นหรือครับ ให้ผมทำไม”
      ผมอยากช่วย แม้เงินจะไม่มาก
      ผมเล่าเรื่องที่ผมเคยถูกคนตาบอดสองคนไถเงิน ตั้งใจเอาไว้ว่าเจอคนตาบอดนิสัยน่ารักที่ไหน ผมจะช่วยเต็มที่ เป็นค่าเช่าห้อง ค่ากินค่าเดินทางคงพอประทังแบ่งเบาพวกเขาสองคนเดือนนี้ไปบ้าง สุดท้ายทนผมทู่ซี้ไม่ไหว เขาจึงยอมบอกหมายเลขอย่างเกรงใจ
         ตอนจำนวนเงินยอดวิ่งเข้าไปในโทรศัพท์มือถือของเมียเขา
      ผมได้ยินเสียงร้องลั่นเข้ามาขอบคุณไม่ขาดปาก ตอนนั้นถึงได้รู้สึกถึงการให้มันมีความสุขมากกว่าการเป็นผู้รับขนาดไหน
           ช่วงบ่ายก่อนหน้านั้น มีโทรศัพท์หมายเลขไม่คุ้นดังขึ้น
      แฟนไปนั่งคุยกับหลวงพ่อโตที่วัดยังไม่กลับ ปลายสายแนะนำตัวว่าเป็นบรรณาธิการจุดประกายวรรณกรรม หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
      โทรศัพท์แทบหลุดจากมือ
        หลุดปากถามย้ำ เรื่องจริงรึเปล่าครับ
      ชายน้ำเสียงใจดีปลายสายบอกว่าจริง
      มีเสียงผู้คนวุ่นวายรายรอบอยู่รอบตัวเขา มิจฉาชีพช่วงนี้ก็โทร.มาก่อกวนบ่อย มีเสียงพลิกหน้ากระดาษ ฟังดูเหมือนยุ่งอยู่ตลอดเวลา และพูดขึ้นว่า
         “คุณเขียนเรื่อง… ส่งมาจริงรึเปล่าล่ะ”
      แม้แต่ชื่อเรื่องสั้น ถ้าชายผู้นี้เป็นพวกหลอกลวงจะรู้ได้ยังไง
         “คืองี้นะ…” เขารีบตัดบท “เรื่องคุณผ่านพิมพ์ ทางเราจะตีพิมพ์เรื่องคุณอาทิตย์นี้” เสียงเขาขยับเก้าอี้ “ปัญหาคือ ผมพลิกต้นฉบับคุณทุกหน้า ไม่มีเลขบัญชีธนาคารระบุเอาไว้ ฝ่ายการเงินเขาทำเรื่องเบิกจ่ายค่าต้นฉบับให้นักเขียนไม่ได้ เขาโทร.มาทวงผมยิกๆ หลายทีแล้ว”
         เคยได้ยินเรื่องในวงการน้ำหมึกที่พวกนักเขียนเขาเล่าลือต่อๆ กันว่า
      ถ้าทำต้นฉบับไม่ดี สะกดผิดๆ ถูกๆ นี่เขาไม่อ่านเลย หงุดหงิดพวกมือใหม่จับโยนต้นฉบับทิ้งตะกร้าหมด
         แล้วนี่เอ็งดันทะลึ่งลืมใส่หมายเลขบัญชีไว้ท้ายหน้านี่ละนะ บ๊ะ! จนกระทั่งบรรณาธิการเขาถึงขั้นโทร.มาทวงด้วยตัวเอง เอ็งฟังน้ำเสียงเขาซี ขุ่นๆ เคืองๆ อยู่ท้ายประโยค ความเป็นนักเขียนของเอ็งจบเห่แน่งานนี้…
         ผมรีบกล่าวขอโทษ แก้ตัวว่าเป็นคนสายตาพิการ อาจตกหล่นอะไรในต้นฉบับไปบ้าง…
      ปลายสายชะงักเงียบ เสียงพลิกกระดาษอยู่เมื่อตะกี้ก็เงียบ
      ผมขยับมือถือฟังให้แน่
         “แล้วนี่เขียนส่งมายังไง”
      อย่างที่ผมได้เล่าไว้แต่ข้างต้น ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับคนตาบอดไม่ได้มีแค่ผมคนเดียว
         ผู้คนในสังคมอีกเกือบครึ่งประเทศ ยังจำภาพคนพิการทางสายตาใช้คอมพิวเตอร์ เล่นมือถือจีบกันผ่านโลกโซเชียลไม่ออก
         บรรณาธิการตั้งใจฟังเรื่องที่ผมเล่าอย่างสนใจใคร่ทราบ ถามแทรกขึ้นบ้างเป็นระยะ ตรงจุดที่ไม่เข้าใจ
      จากการที่แค่จะโทร.มาขอหมายเลขบัญชีแล้ววางสาย กินเวลาคงไม่เกินสามนาที กลายเป็นการซักถามที่กินเวลาเกินครึ่งชั่วโมง
         บรรณาธิการจะพูดเป็นการให้กำลังใจหรือเปล่าก็ไม่ทราบ
      เขาว่านี่เป็นเรื่องสั้นเรื่องแรกที่คนตาบอดส่งมาแล้วได้อ่าน ก่อนหน้านั้นอาจจะมี แต่เขาไม่ทราบ เดือนๆ หนึ่งมีต้นฉบับส่งเข้ามาเป็นร้อยๆ เรื่อง ได้คุยกันตัวเป็นๆ นี่ละถึงมารู้ว่ามีคนตาบอดส่งต้นฉบับเข้ามาด้วย
         ก่อนวางสาย เขาให้กำลังใจในเรื่องการเขียน บอกให้ส่งเรื่องใหม่มาให้อ่านอีก
           ลุงขายลอตเตอรี่ที่ใช้แท่งเหล็กเคาะพื้น แกหายไปจากชีวิตผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทันสังเกต
      พอนึกขึ้นมาได้ ก็พยายามเงี่ยหูอยู่ข้างหน้าต่างรอฟังเสียงตะโกนพรุ่งนี้รวยกับเสียงแท่งเหล็ก ในขณะนั่งเขียนเรื่องสั้น    เหมือนจุดสนใจผมหันไปจับอยู่กับแป้นพิมพ์และความคิดในหัว ไม่ได้อยู่นิ่งๆ เหมือนตอนตาบอดใหม่ๆ ลืมบ้าง เลิกสนใจเสียงนอกบ้านไปบ้าง
         ยิ่งมีเรื่องให้ขบคิดให้อ่านให้เขียนทุกวัน เหมือนพยายามทำงานชดเชยสิบปีที่ว่างเปล่า ยิ่งเรื่องสั้นได้ผ่านตีพิมพ์ออกมาเรื่อยๆ ก็เหมือนได้ติดปีกบินสูงออกไปไกลขึ้น
         มารู้ตัวอีกทีก็เหมือนกำลังละเลยสิ่งรอบกายสำคัญอย่างอื่นไปจนหมด
      ลุงขายลอตเตอรี่ที่เคยอยู่เป็นเพื่อนผมแกหายไปแล้วจริงๆ
         ผมละมือออกจากแป้นพิมพ์
      ยืนขึ้นจากโต๊ะทำงาน เบี่ยงตัวไปทางสิบนาฬิกา นับก้าวเท้าไปสี่ก้าว ตรงเข้าหากำแพงด้านขวามือ เอาฝ่ามือลูบผิวผนังที่เก่าลงตามเวลากาลอย่างแผ่วเบา
         เหมือนได้ยินเสียงมันป่าวร้องอุทธรณ์อะไรบางอย่างออกมา
      แน่ละ ผิวผนังยังเย็นเยียบเหมือนทุกครั้งที่ฝ่ามือนาบเข้าไปแตะ
         ต้องเงี่ยหูใกล้ๆ ถึงจะได้ยินเสียงผิวผนังเสียดสีกับปลายนิ้วชี้
      กลิ่นเชื้อราผสมฝุ่นที่เกาะจับอยู่ปลิวว่อนฉุนเข้าจมูก
         ข่าวร้ายเมื่อหลายเดือนก่อน
      ชายคนขายลอตเตอรี่ที่ผมเอาเรื่องของเขามาเขียน ถูกคนร้ายแทงตายนอนเป็นศพอยู่ในป่ารกร้างแห่งหนึ่ง
      ตำรวจตามตะคลุบตัวคนร้ายได้ในเวลาต่อมา สารภาพว่าเป็นคนรู้จักกัน พักห้องเช่าที่เดียวกัน
         วันเกิดเหตุเป็นช่วงเช้า ตนสะกดรอยตามชายตาบอดแล้วอาศัยที่ลับตาคน ใช้กำลังเอามีดทำครัวจี้ พยายามแย่งชิงเงินและลอตเตอรี่ทั้งแผง ผู้ตายขัดขืนสุดชีวิต ตนจึงต้องลงมือฆ่าอย่างเหี้ยมโหด
         คนร้ายได้เงินไปจากผู้ตาย 480 บาท ฉลากกินแบ่งอีก 43 ใบ
      ชีวิตของเขามีค่าเพียง 480 บาทเท่านั้น
         ผมยังจำเสียงดีใจของเขาตอนที่โอนเงินค่าเรื่องให้ รู้ว่ามันจะสำคัญกับชีวิตของเขาและเมียถึงขนาดไหน
      ตอนได้ยินข่าวของเขาในทีวี
         ผมนั่งช็อก พูดอะไรไม่ออก
      ข่าวแบบนี้มีให้ได้ยินทุกวัน แต่ไม่เคยนึกเลยว่าจะมาเกิดกับชายที่ถูกชะตากรรมเล่นงานครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างเขา
      ผมนั่งนึกเส้นหยักชีวิตของเขาจะเป็นแบบไหน ผมหาคำตอบนั้นไม่ได้ รู้สึกหดหู่สิ้นหวังอยู่หลายวัน ก่อนที่พยายามลืมเขา    หลังจากนั้นมีคนตาบอดเขียนถึงเขาในเฟซบุ๊ก ยกเป็นอุทาหรณ์ ช่วยกันให้ระวังเตือนภัยมืด
      บางคนเขียนเล่าเรื่องส่วนตัวของเขาเป็นไปในทางลบ แต่ไม่มีใครแม้สักคนเดียวที่รู้เรื่องจริงของเขาสักคน ความตายที่น่ากลัวที่สุดมันคือการเอาเขาขึ้นมาฆ่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าบนโลกโซเชียลอย่างเหี้ยมโหดอีกครั้งหนึ่ง
         ผมลากนิ้วขีดเป็นเส้นตรงหนึ่งเส้น
      หนึ่งเส้นเท่ากับหนึ่งวันที่ผมยังมีชีวิตอยู่
         เหมือนได้ยินแฟนบ่นวันก่อนว่าสีบนผนังล่อนหลุดออกมาเป็นแผ่นหมดแล้ว เธอคิดว่าจะให้ช่างมาขูดสีออกให้หมด แล้วทาสีใหม่ลงไปแทน บรรยากาศภายในบ้านจะได้ดูสดใส
         ตอนเธอพูดผมไม่ได้ขัด อยากทำอะไรก็พยักหน้าเออออไปด้วย เพิ่งมาฉุกนึกได้ว่า การมาหยุดยืนพร้อมด้วยดินสอในมือ เคยเป็นกิจวัตรที่ทำไม่ขาด
         เธอเคยถามมองไม่เห็นแล้วจะขีดทำไม มีความสุขอะไรกับการทำอย่างนั้นหรือ
      นั่นสิ มองไม่เห็น แล้วจะขีดให้มันได้อะไร
         ผมนึกถึงสมัยเด็กที่ชอบวาดเส้นทแยงจากมุมหน้ากระดาษหนึ่งขึ้นไปบนสุดขอบกระดาษสมุดอีกหน้า
      เส้นดินสอที่ลากพุ่งทแยงเฉียงขึ้นไป คงเปรียบเหมือนชีวิตคนเราที่ทะยานขึ้นไปให้ถึงจุดสูงสุดของชีวิต ซึ่งตอนที่ผมเคยมองเห็นได้ไปถึงมาแล้ว
         อดคิดไม่ได้ว่าตอนที่ดวงตาเกิดมาบอด ก็คงเป็นตอนที่เส้นถูกลาดเฉียงดิ่งลงไปเรื่อยๆ เช่นกัน จุดตกต่ำที่สุดของชีวิต และแม้กระทั่งว่าได้ค้นพบเส้นทางใหม่ในการได้มาเป็นนักเขียน เส้นที่วิ่งพุ่งขึ้นไปช้าๆ อยู่ในเวลานี้ ไม่รู้มันจะเอาผมลากไกลขึ้นไปสิ้นสุดที่ตรงไหน
         ผมแหงนหน้าเพ่งมองตามนิ้วชี้ที่ลากขึ้นไป สัมผัสได้ถึงสีบนผนังที่ล่อนหลุดติดนิ้วและร่วงหล่นลงพื้น คิดอีกทีมันก็ดูคล้ายเส้นกราฟชีวิตที่ดูยุ่งเหยิงบนจอเวลาวัดจังหวะการเต้นของหัวใจเหมือนกัน
         ผมหันหลังแล้วนั่งลงพิงเข้ากำแพง
      หลับตา แหงนหน้าเงี่ยหูรอฟังสรรพเสียงที่แว่วผ่านเข้ามาในหัว ภายในร่มเงาของบ้านหลังนี้ หัวใจที่เต้นอยู่ในโพรงอก มันกระทุ้งขึ้น มันกระซิบบอกให้รู้ว่าผมกำลังใช้ชีวิตที่เหลืออยู่• 

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×