ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO's fiction] the illusion of MASK ,, { krislay }

    ลำดับตอนที่ #5 : ▌MASK : chapter 04

    • อัปเดตล่าสุด 23 เม.ย. 56


    the illusion of

    MASK

    Chapter 04

     

     

    “สวัสดีครับ” ร่างสูงค้อมตัวลงเพื่อกล่าวทักทายผู้อาวุโส ก่อนจะยิ้มอย่างสุภาพให้เจ้าบ้านทั้งสอง

     

    “ปะป๊า หม่าม้า นี่พี่คริสที่ผมเคยเล่าให้ฟังครับ” อี้ชิงแนะนำคนข้างกายให้สมาชิกในบ้านได้รู้จัก ซึ่งแน่นอนว่าทั้งพ่อและแม่ของเขานั้นพร้อมจะต้อนรับคริสอย่างดี เพราะที่ผ่านมาเวลาที่ได้คุยกับท่านเรื่องพี่คริส อี้ชิงก็มีแต่จะชื่นชม และบอกอยู่เสมอว่าเขาชอบคริสอู๋มากขนาดไหน

     

    แต่ที่ท่านไม่รู้..คือวันนี้ทุกสิ่งมันต่างกันออกไป ความรู้สึกของอี้ชิงไม่เหมือนเดิม..เช่นกัน คริสคนนี้ก็ไม่ใช่คนเดียวกับที่เขาเคยพูดถึง

     

     

    มื้ออาหารวันนี้มีเมนูพิเศษอยู่ลานตา เนื่องด้วยมีผู้ร่วมโต๊ะที่แปลกหน้ากว่าทุกที ทว่าคนแปลกหน้าที่ว่าก็ไม่ได้ทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารต้องอึดอัด คนตัวสูงตัวมีรอยยิ้มที่เป็นมิตร และบทสนทนาที่สนุกสนาน

     

    คริสบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ของตัวเองบ้าง เรื่องระหว่างตนกับลูกชายเจ้าของบ้านบ้าง แต่ครั้นถูกคนเป็นแม่ถามว่ารักลูกชายของม้าตรงไหน ร่างสูงก็นิ่งอยู่สักพัก ใช้ความคิดอยู่นานหลายนาทีแล้วก็ยิ้มตอบ

     

    “เลือกไม่ได้หรอกครับ ชอบไปหมดเลย”

     

    ไม่นานหลังจากนั้นเวลาของอาหารเย็นที่เริ่มทานตอนค่ำก็สิ้นสุดลงโดยที่คุณพ่อและคุณแม่ไม่ทันได้สังเกตเลยว่าวันนี้จางอี้ชิงใช้เวลาหมดไปกับการเขี่ยอาหารในจานมากกว่าการกินอย่างเอร็ดอร่อยเช่นทุกวัน

     

    “หม่าม้าเดี๋ยวผมล้างเอง” อี้ชิงบอกก่อนเดินเข้าไปแทนที่แม่หน้าอ่างล้างจาน มือขาวจัดไล้ไปตามจานกระเบื้องอย่างใจเย็น พอเสร็จจากการล้างด้วยน้ำยาก็ต่อด้วยการเอาไปผ่านน้ำเปล่า เสร็จแล้วก็เอื้อมมือไปหมายจะวางจานที่เปียกชื้นเพื่อตากให้แห้ง แต่จานเจ้ากรรมก็ดันลื่นหลุดจากมือไปได้

     

    “ระวังหน่อยสิครับ” แน่นอนว่าเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก..อู๋อี้ฟาน

     

    “พี่ช่วยนะ” คริสยิ้มพร้อมทั้งยื้อเอาจานมาไว้ในมือตัวเอง แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยินดียินร้ายในการกระทำนั้น ปล่อยให้คนอยากทำได้ทำอย่างที่ต้องการ ส่วนตัวเองก็หนีขึ้นห้องไป

     

    “ม้า?”

     

    “ก็คริสเขาบอกว่าเขาจะนอนที่นี่ บ้านเราก็ไม่ได้มีห้องว่างแล้ว นอนด้วยกันก็แล้วกันนะลูก” หญิงสาวบอกพร้อมทั้งวางหมอนที่เพิ่งสวมปลอกให้เสร็จลงบนเตียง คู่กันกับอีกใบที่นอนนิ่งอยู่ก่อนแล้ว

     

    พอจัดการห้องหับให้เสร็จเรียบร้อย แม่ก็เดินออกไปพร้อมๆ กับที่อีกคนเดินสวนเข้ามา

     

    จางอี้ชิงไม่แม้แต่จะมองหน้าอีกฝ่าย เขาหยิบผ้าขนหนูที่ใช้ประจำพร้อมทั้งชุดนอนเดินตัวปลิวเข้าห้องน้ำไป ใช้เวลาไม่ช้าไม่นานนักก็กลับออกมาในสภาพที่พร้อมนอน จากนั้นร่างสูงก็เป็นฝ่ายเข้าไปชำระร่างกายบ้าง

     

    แม้จะไม่เต็มใจนัก แต่อี้ชิงก็ต้องเตรียมชุดนอนให้ผู้อาศัย แน่นอนว่าของอี้ชิงเองมันเล็กเกินไป ดังนั้นเขาจึงไปขอเสื้อผ้าชุดใหม่ของคุณพ่อมา

     

    พอกลับเข้ามาในห้อง ร่างสูงก็นั่งรออยู่ที่เตียงหลังเล็กแล้ว ท่อนล่างถูกพันไว้ด้วยผ้าขนหนูสีขาว เนื้อตัวยังชื้นๆ อยู่บ้าง เช่นนั้นแล้วอี้ชิงจึงส่งเสื้อผ้าให้อีกคนได้ผัดเปลี่ยน

     

    เมื่อเรียบร้อยดีแล้ว ร่างบางจึงเริ่มเปิดประเด็นในสิ่งที่สงสัย ตั้งแต่ที่อีกฝ่ายตามเขามาจนถึงหน้าบ้าน และดึงดันจะเข้าทำความรู้จักกับคนในครอบครัว อี้ชิงปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายจึงจบที่อี้ฟานเอ่ยคำขู่ว่าหากไม่ให้เข้ามาอย่างถูกต้อง ตนก็จะลักลอบเข้ามา

     

    “คุณต้องการอะไร”

     

    “พี่ก็แค่อยากรู้จักบ้านของอี้ชิง ครอบครัวของอี้ชิง”

     

    “เพื่ออะไร ยังไงซะหลังจากวันนี้ เราก็จะไม่ต้องเจอกันอีกแล้ว”

     

    “ใครบอกแบบนั้น”

     

    “ผมบอกเอง คุณนอนที่นี่ได้วันนี้ แต่พรุ่งนี้คุณต้องกลับบ้าน”

     

    “อี้ชิง ทำไมไม่ฟังพี่บ้าง”

     

    “ผมไม่อยากฟัง ไม่ว่าคุณจะอธิบายยังไง ทั้งหมดที่ผ่านมาก็คือคำโกหกอยู่ดี!” พูดจบมือขาวจัดก็คว้าเอาหมอนใบโตมาไว้ในอ้อมกอด ตั้งท่าจะหนีออกจากห้อง แต่ก็โดนคนตัวโตกว่าคว้าเอาไว้ได้ทัน

     

    “ทำไมชอบหนีพี่นัก?”

     

    “เพราะคุณไม่ใช่พี่คริสของผมอีกต่อไปแล้ว อ๊ะ!” ร่างบางถูกรวบมาไว้ในอ้อมกอด และแขนแกร่งนั้นก็รัดแน่นเกินกว่าที่เขาจะสามารถดิ้นหลุดไปได้

     

    “ปล่อยผม!

     

    “ไม่ปล่อย ถ้านายอยากให้พ่อแม่รู้ว่าเราทะเลาะกันตั้งแต่ตอนนี้ก็เสียงดังอีกสิ” คริสพูดตัดบท และนั่นทำให้คนในบังคับเงียบลง ..อี้ชิงไม่อยากให้รู้ ไม่อยากให้พ่อแม่รู้ว่าเรื่องมันหนักหนาจนต้องหนีกลับมาที่บ้าน เขาตั้งใจว่าจะค่อยๆ เล่าว่าระหองระแหงกับพี่คริสยังไงบ้าง จนสุดท้ายจึงเลิกกัน..

     

    “คุณจะเอายังไงกับผม”

     

    “พรุ่งนี้ เรากลับเกาหลีกัน”

     

    “ไม่!

     

    “พี่บอกพ่อกับแม่เราว่าที่ร้านไม่ค่อยดี เลยต้องกลับไปวันพรุ่งนี้”

     

    “ร้ายกาจ” ใช่..พี่คริสเป็นคนเจ้าเล่ห์ นั่นเป็นนิสัยที่ทำให้อี้ชิงต้องแพ้ทางอยู่ร่ำไป แต่แม้ว่าแต่ก่อนจะเจ้าเล่ห์ยังไง ก็ไม่เคยใช้ในทางบีบบังคับกันแบบนี้

     

    “ก็ได้ผมจะกลับไป แต่ไม่ใช่กลับไปอยู่กับพี่”

     

    “ถ้าคิดว่าหนีจากพี่ไปได้ก็ทำเลย” เสียงทุ้มนั้นพูดอยู่แทบแนบชิดกับใบหูจนคนตัวเล็กต้องย่นคอหลบลมหายใจร้อนผ่าวนั้น

     

    “ปล่อย!” อี้ชิงขืนตัวออกจากกอดนั้นได้สำเร็จ ก่อนจะลากผ้าห่มผืนใหญ่ลงมานอนกับพื้น เขาหลับตาลงหนีความวุ่นวายที่เกิดจากผู้ชายที่ชื่ออู๋อี้ฟานคนนั้น

     

    อี้ชิงรู้สึกได้ว่าไฟในห้องดับลงแล้ว ดังนั้นเขาจึงลืมตาขึ้นหลังจากที่เกร็งอยู่นาน..ก็ใครมันจะไปนอนหลับ ยอมรับว่าลึกๆ แล้วเขาก็กลัวผู้ร่วมห้องตอนนี้เหมือนกันอะ

     

    “...!!” เสียงหวานเกือบหลุดอุทานออกมาหากแต่ก็สามารถงับริมฝีปากไว้ได้ทัน นั่นเพราะพื้นที่แคบๆ ข้างเตียงที่เพียงเขานอนก็แทบไม่เหลือพื้นที่แล้ว กลับมีอีกคนที่เข้ามาร่วมครอบครองมันด้วย

     

    ร่างสูงใหญ่นอนซ้อนอยู่ที่ด้านหลัง เพียงเท่านั้นยังไม่พอ ท่อนแขนแกร่งก็พาดเอาไว้ที่เอวบาง กระชับให้คนตัวเล็กกว่าเข้ามาชิดอกมากขึ้น แนบแน่นจนจางอี้ชิงรับรู้จังหวะหัวใจที่สม่ำเสมอของอีกฝ่าย

     

    อี้ฟานเกยคางไว้บนเรือนผมนุ่มหอมของคนน่ารัก รอยยิ้มเล็กๆ ถูกจุดขึ้นบนใบหน้าที่ใครๆ ก็บอกว่ามักจะบึ้งตึงอยู่เสมอ และแล้วทั้งคู่ที่คิดว่าคืนนี้คงไม่สามารถหลับไปท่ามกลางความอึดอัดของเรื่องราวก่อนจะนอนได้ กลับนอนหลับฝันดีในอ้อมกอดของกันและกันอย่างนั้น

     

     

     

    เช้าตรู่ของวันถัดมา จางอี้ชิงเป็นฝ่ายรู้สึกตัวขึ้นมาก่อน เปลือกตาบางเปิดออกช้าๆ และปะทะเข้ากับแผงอกแกร่ง เช่นนั้นแล้วจึงรู้ตัวว่าตัวเองยังคงนอนอยู่ในอ้อมกอดของใครอีกคน

     

    นัยน์ตาหวานไล่ระดับขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาที่หลับพริ้มอย่างเป็นสุขแล้วก็เผลอยิ้มโดยไม่รู้ตัว ..นี่เป็นหนึ่งในความฝันเกี่ยวกับชีวิตคู่ของอี้ชิง เขาเคยวาดฝันไว้ว่าเมื่อใดที่ตกลงจะใช้ชีวิตร่วมกัน ก็จะมีโอกาสได้เห็นหน้าคนรักยามเช้าเช่นนี้ คิดเอาไว้ว่าตนจะต้องเป็นคนที่ตื่นก่อน หลังจากที่ลอบมองคนหลับแล้วก็ลงไปเตรียมอาหารเช้า แล้วกินข้าวพร้อมกันก่อนจะออกไปทำงาน.. คิดไว้แบบนั้น แต่ทุกอย่างก็ยังเป็นได้แค่ความฝัน

     

    มือเรียวเผลอยกขึ้นแตะที่ข้างแก้มของคนหลับแผ่วเบา ทว่าความเย็นจากแหวนที่สวมอยู่ ก็ทำให้ร่างสูงขมวดคิ้วฉับทั้งที่ยังไม่ลืมตา

     

    “อี้ชิง” เสียงเข้มเอ่ยเรียกแผ่วเบาพร้อมด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าจางอี้ชิงจะชักมือกลับไปแล้ว ..สิ่งที่ทำให้อู๋อี้ฟานยิ้มได้ในเช้าวันนี้ ..นอกจากที่มีร่างบางในอ้อมกอดแล้ว แหวนเงินกลมเกลี้ยงที่ยังอยู่บนนิ้วของอีกฝ่ายก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน..

     

    ..

    50%

    ..

     

    จางอี้ชิงกระชับเป้บนหลังก่อนจะเดินออกจากด่านตรวจคนเข้าเมืองเพื่อเข้าสู่ดินแดนแห่งโสมอีกครั้ง เขากลับมาที่นี่พร้อมกับร่างสูงตามที่โดนบังคับมา แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปด้วยกันจนสุดทางอย่างที่อีกฝ่ายบอก อี้ชิงตั้งใจจะหนีไปตอนที่อีกฝ่ายเผลอ

     

    ร่างบางผ่อนจังหวะการเดินให้ช้าลงกระทั่งกลายเป็นเดินตามอู๋อี้ฟานในที่สุด และก็ชะลอให้ช้าที่สุดจนกลายเป็นหยุดฝีเท้า

     

    จางอี้ชิงมองคนที่เดินออกไปไกลจนเกือบสายตาแล้วก็ยกยิ้มก่อนหมุนตัวกลับเตรียมจะเดินไปในทิศทางตรงกันข้าม ..แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นดั่งใจนึก

     

    “อ๊ะ!” ร่างบางชนเข้ากับร่างกายแข็งแรงของคนที่ยืนทื่ออยู่ตรงนั้น พอเขาเงยหน้าขึ้นเพื่อจะขอโทษ คำพูดทั้งหมดก็เหมือนหายไปในลำคอเพราะดวงตาเรียวที่ดูดุร้ายนั่น

     

    “จื่อเทา..” เห็นอย่างนั้นก็คิดจะหนีไปอีกทางเสียดื้อๆ แต่ก็ทำได้แค่คิดเมื่อหันมาพบกับคนอีกคนทีอี้ชิงคุ้นหน้ายิ่งกว่า

     

    “จงอิน”

     

    “ตุ้ยจางเดินไปไกลแล้ว รีบตามไปเถอะครับ” ร่างสูงโปร่งเจ้าของนัยน์ตาเรียวกล่าวเสียงเรียบก่อนจะเดินนำออกไป อี้ชิงไม่ได้อยากเดินตาม ..แต่สุดท้ายก็ต้องยอมเดินตามเทาไป  แล้วยังมีคิมจงอินประกบหลังอย่างนั้น ทั้งหมดเหมือนเป็นการบังคับอยู่กรายๆ ให้อี้ชิงแตกแถวไม่ได้เลย

     

     

    วันนี้บรรยากาศในรถอึดอัดขึ้นเป็นเท่าตัวสำหรับอี้ชิง เพราะมีฮวางจื่อเทานั่งอยู่ที่เบาะด้านหน้าด้วยอีกหนึ่งคน

     

    “เดี๋ยวพี่ไปทำงานก่อน อี้ชิงอยู่ที่บ้านนะครับ” อี้ฟานบอกในตอนที่รถคันหรูผ่านประตูรั้วเข้ามา

     

    คนตัวเล็กกว่าไมได้ตอบโต้อะไร เขาทำเพียงมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ ..อู๋อี้ฟานต้องการอะไรจากเขา

     

    “เชิญครับ” อี้ชิงไม่รู้ว่าเทาลงจากรถไปเมื่อไหร่ แต่ตอนนี้คนนั้นกำลังเปิดประตูและผายมือเชื้อเชิญให้ตนเข้าไปในบ้าน แต่ด้วยน้ำเสียงและท่าทางอย่างนั้น กลับไม่ได้ทำให้อี้ชิงรู้สึกดีเท่าไหร่นัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีทางปฏิเสธ

     

    “สวัสดีครับคุณอี้ชิง” ร่างบางมองหาเจ้าของคำทักทายนั้นก่อนจะส่งยิ้มเจื่อนๆ กลับไปให้ แล้วยอมเดินเข้าบ้านไปแต่โดยดี

     

    “แผลหายรึยังครับ”

     

    “ดีขึ้นแล้วครับ ไม่ปวดแล้ว”

     

    “ดีเลยครับ แต่ผมว่าคุณอี้ชิงดูผอมลงนะ วันนี้ผมทำไก่ตุ๋นโสมให้ทานดีกว่า คุณอี้ชิงจะได้แข็งแรง” คุณหมอตัวเล็กบอกพร้อมทั้งเปิดประตูห้องให้ ครั้นเข้าไปแล้วพบว่าเป็นห้องนอนขนาดใหญ่ และเตียงขนาดคิงไซส์ อี้ชิงก็นึกเอะใจ

     

    “นี่ไม่ใช่ห้องของผม ใช่มั้ยครับ?”

     

    “เป็นห้องของคุณอี้ฟานครับ เขาให้คุณอี้ชิงพักที่นี่”

     

    “ผมไม่..”

     

    “ผมเปลี่ยนแปลงอะไรด้วยตัวเองไม่ได้หรอกนะครับ ถ้าคุณอยากเปลี่ยนห้อง คุณต้องบอกคุณอี้ฟานเอง ขอโทษด้วยนะครับ” จุนมยอนบอก ก่อนจะขอตัวไปจัดเตรียมอาหารอย่างที่ว่า และกลับขึ้นมาในเวลาไม่นาน

     

    “ผมแค่ลงไปอุ่นของน่ะครับ ตุ๋นไว้หลายวันแล้ว” คุณหมอบอกทันทีที่เห็นแววตาสงสัยของคนที่นั่งอยู่บนเตียง..ในท่าเดิมตั้งแต่ที่เขาลงไป

     

    “คุณอี้ชิงเก็บของก่อนก็ได้นะครับ ในห้องนั้นมีตู้เสื้อผ้าอยู่ ตู้ทางซ้ายว่างครับ แล้วก็ตรงโน้นเป็นห้องน้ำ” จุนมยอนอธิบายที่ทางต่างๆ ในห้องให้ร่างบางได้รับรู้ สักพักเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

     

    “เข้ามาเลย”

     

    “สวัสดีครับ” เด็กหนุ่มที่ถือถาดซึ่งรองรับชามอาหารไว้ ค้อมให้แขกคนสำคัญของบ้านอย่างมีมารยาท

     

    “สวัสดีครับ” อี้ชิงทักทายตอบ

     

    “นี่แบคฮยอนครับ” จุนมยอนแนะนำ

     

    “นี่คุณอี้ชิงใช่มั้ยครับ น่ารักจริงๆ ด้วย มิน่าเวลาที่พี่อี้ฟานพูดถึงพี่ทีไรก็ยิ้มตลอดเลย” แบคฮยอนเจื้อยแจ้วไปตามนิสัย แต่ก็ไม่บกพร่องหน้าที่ในการส่งอาหารให้ถึงมือแขก เขาจัดแจงอาหารไว้บนโต๊ะตัวเล็กในห้องนอนนั้น

     

    “เอาไว้เดี๋ยวผมมาคุยด้วยนะครับ คุณอี้ชิงคุยกับคุณหมอขี้บ่นไปก่อนนะ” แบคฮยอนบอกก่อนจะเอี้ยวตัวหลบแรงมือของจุนมยอนที่เตรียมจะฟาดลงบนต้นแขน

     

    “สนิทกันดีนะครับ” อี้ชิงเป็นฝ่ายเปิดประเด็นพูดบ้าง ..แม้ว่าตนจะสงสัยว่าทำไมเด็กคนนั้นถึงเรียกอู๋อี้ฟานว่าพี่ แต่ก็ไม่ได้ถามออกไปตรงๆ

     

    “ผมดูแลเขามาน่ะครับ ก็คงเห็นเป็นพี่ชาย” จุนมยอนยิ้มตอบ รอยยิ้มของคุณหมอนั้นดูอ่อนโยนและอบอุ่น เหมือนเป็นแสงสว่างที่ไม่น่าจะพบในบ้านหลังนี้

     

    “คุณหมอไม่น่าจะอยู่ในที่แบบนี้ได้เลยนะครับ”

     

    “หืม?”

     

    “คุณหมอดู..อ่อนโยนเกินไป” ก็ไม่ว่าใครๆ ในบ้านก็ดูน่ากลัวไปเสียหมด จะคริส จื่อเทา จงอิน หรือกระทั่งคนเดินไปเดินมารอบๆ บ้านก็ตาม

     

    “ที่แบบนี้? คือแบบไหนล่ะครับ”

     

    “ก็..มีแต่คนน่ากลัว ดุดัน ใจร้าย.. แบบนั้นมั้งครับ”

     

    “ผมอาจจะร้ายก็ได้นะ” คุณหมอบอกแล้วหัวเราะที่ท้ายประโยคเบาๆ นั่นทำให้อี้ชิงรู้สึกจุกนิดหน่อย..ก็ใช่ สิ่งที่เขาเห็นมันอาจจะเป็นแค่ภาพลวงตาก็ได้ ในเมื่อคริสยังทำให้เขาเชื่อได้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แต่..

     

    “หลังจากที่ผมโง่กับเรื่องของคุณอี้ฟานของพวกคุณมาแล้ว ผมเชื่อว่าตัวเองจะไม่ถูกหลอกอีกเป็นครั้งที่สองหรอกครับ” อี้ชิงกล่าว

     

    “อย่าพูดแบบนั้นสิครับ จริงๆ แล้วพวกเราก็ไม่ได้ร้ายตลอดเวลาอยู่แล้ว”

     

     

    “เราก็แค่ร้ายกับคนที่ควรต้องร้ายด้วย”

     

     

    คิมจุนมยอนยกยิ้มที่มุมปากเมื่อพูดประโยคนั้นออกมา

     

    “คนเราคงไม่ทำอะไรโดยไม่มีเหตุผลหรอกจริงมั้ยครับ ถ้าคุณลองเปิดใจฟังสิ่งที่คุณอี้ฟานอยากอธิบายบ้าง คุณก็อาจจะเข้าใจเขามากขึ้นก็ได้”

     

     

    ..

    ..

     

     

    ตลอดเวลาที่ถูกทิ้งไว้ในห้องคนเดียว อี้ชิงเอาแต่คิดหาเหตุผลของเรื่องทั้งหมด ..อี้ชิงไม่เชื่อว่าสาเหตุที่อีกฝ่ายต้องโกหกเสียเป็นเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้จะมาจากความรักเพียงอย่างเดียว

     

    แต่คิดให้ตายก็คงไม่ได้คำตอบ สิ่งเหล่านั้นคงมีเพียงอู๋อี้ฟานเท่านั้นที่รู้ เช่นนั้นแล้วอี้ชิงจึงตัดสินใจจะลองฟังเรื่องราวที่อีกฝ่ายต้องการจะบอกดูสักครั้ง หลังจากนั้นค่อยหาทางจัดการกับเรื่องราวทั้งหมด

     

    อีกสักพักใหญ่กว่าอี้ชิงจะตัดสินใจออกมาจากห้องที่อุดอู้ เขาเดินไปที่สวนเล็กๆ ที่เชื่อมกับประตูในบ้านใหญ่ ที่ตรงนั้นมีดอกไม้หลายพันธุ์ และหญ้าสีเขียวก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายลงได้บ้าง

     

    ร่างบางทิ้งตัวลงนั่งที่ศาลาไม้ในสวน สักพักก็ได้ยินเสียงรถแว่วผ่านมา อี้ชิงเดาว่าเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากเจ้าของบ้าน ดังนั้นจึงเดินออกไปเพื่อจะขอคุยให้รู้เรื่องเสียเดี๋ยวนั้น ทว่าคนที่ก้าวเข้ามากลับไม่ใช่เจ้าของร่างกายสูงใหญ่อย่างที่ควรจะเป็น

     

    หญิงสาวร่างอรชรในชุดเดรสสั้นสีแดงสดก้าวเข้ามาในบ้านด้วยรองเท้าส้นเข็มสีดำ นิ้วเรียวที่ถูกแต่งแต้มสีสันยกขึ้นเพื่อถอดแว่นสีดำออกจากใบหน้าเรียวเล็ก ดวงตากลมโตที่ผ่านการแต่งอย่างสวยงามกวาดมองไปรอบๆ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปคุยกับฮวางจื่อเทาที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากประตูนัก

     

    “อี้ฟานล่ะ?”

     

    “ตุ้ยจางไปทำงานครับ เขาไม่ได้ว่างตลอดเวลา”

     

    “แล้วเมื่อไหร่จะกลับ”

     

    “ผมไม่รู้ แต่คุณอี้ชิงอาจจะรู้ก็ได้” จื่อเทาตอบก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ค้างจางอี้ชิง ส่วนหญิงสาวคนนั้นก็มองตามก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าร่างบาง พร้อมทั้งใช้สายตาสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า

     

    “นายเป็นใคร?”

     

    “คุณเป็นใครล่ะครับ” อี้ชิงย้อนถาม เขาไม่ใช่คนชอบหาเรื่อง แต่ก็ไม่ชอบโดนหาเรื่องเช่นกัน และสายตากับน้ำเสียงของผู้หญิงตรงหน้าก็บ่งบอกว่าต้องการสักเรื่อง..

     

    “ฉันซงเฉียน” หล่อนตอบแล้วเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย

     

    “เป็นคู่หมั้นของอี้ฟาน”

     

     

    To be cont.

     

    ..

     

     

     

    # talk corner *

                    รับไปครึ่งนึง(มั้ง)ก่อนนะคะ ที่เหลือเดี๋ยวตามมาอย่างรวดเร็ว ขอตบตีกับตัวเองก่อน 555555  

                    ปล. ทำไมมีแต่คนบอกให้พี่ตุ้ยฉุดอี้ชิงกลับเลยล่ะคะ รีดเดอร์ชอบความรุนแรงหนิ XXD

     

    ส่งอีกครึ่งที่เหลือแบบไม่มีพี่อู๋ พระเอกจริงๆ รึเปล่าทำไมอยู่ๆ หายไป แล้ว....ยัยนี่ใครอะ! XD

     

     

    THE★ FARRY
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×