คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ▌MASK : chapter 01
the illusion of
MASK
Chapter 01
“อี้ชิงอา~ วันนี้ไปร้องเพลงกับฉันมั้ย” ร่างโปร่งท้าวแขนลงกับโต๊ะสีขาวที่เจ้าของชื่อกำลังเช็ดทำความสะอาดเพื่อปิดร้านแล้วก็เอ่ยถาม
“ไม่เหนื่อยบ้างรึไงลู่หาน” เพื่อนตัวขาวย้อนถาม ..ก็ร้านที่เขากำลังเก็บอยู่นี้ไม่ใช่ของใครที่ไหนไกลหรอก เป็นร้านอาหารเล็กๆ ที่เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของพวกเขาอย่างละครึ่ง ..แล้วเป็นถึงเจ้าของร้านแบบนี้แล้ว ลู่หานก็ยังไม่ยอมเลิกร้องเพลงที่ผับของเพื่อนอีกคนในเวลากลางคืนอีก
“อย่าเปลี่ยนเรื่องสิ นายไม่ได้ไปตั้งนานแล้วนะ”
“วันนี้ไม่ได้ นัดกับพี่คริสไว้แล้ว” จางอี้ชิงตอบก่อนจะก้มลงยิ้ม
“คริสอีกละ เดี๋ยวนี้ทิ้งฉันไปกับหมอนั่นตลอดเลย” ร่างโปร่งว่า ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้โดยหันหลังให้เพื่อนสนิทเป็นการบอกว่าตนไม่พอใจอยู่กรายๆ แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีทีท่าว่าจะง้อ เสี่ยวลู่หานจึงต้องเป็นฝ่ายหันกลับมาเอง
“นี่ ฉันว่าเขาไม่น่าไว้ใจจริงๆ นะ”
“อีกแล้วเหรอลู่หาน” อี้ชิงถาม นั่นเพราะเพื่อนตัวสูงของเขาพูดเรื่องนี้หลายรอบแล้ว เรียกว่าตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้าคริส และทุกครั้งที่คริสลับสายตาไป ลู่หานก็เปิดประเด็นนี้ขึ้นมาตลอด
“ฉันไม่ได้ใส่ร้ายนะอี้ชิง แต่ฉันว่าเขาดูมีลับลมคมในแปลกๆ”
“......”
“เอ้อ! เมื่อวันเสาร์ฉันบังเอิญเจอเขา ออกมาจากซอยมืดๆ ตรงทางลัดไปบ้านฉันอะ น่ากลัว” ลู่หานว่าพลางนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อน เพราะวันอาทิตย์เป็นวันหยุดของร้านจึงทำให้ภาพเหตุการณ์เลือนลางไปบ้าง
ตอนนั้นเขาออกมาตอนตีสองเพราะนึกได้ว่ามีสัญญาที่ต้องจัดการให้เสร็จเพื่อให้ถูกเซ็นในเช้าวันอาทิตย์ ลู่หานไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากออกมาเอาเอกสารที่ลืมไว้ที่ร้าน โชคร้ายนิดหน่อยที่เส้นทางหลักที่ใช้ประจำถูกปิดในยามวิกาลเพื่อบำรุงถนน
เช่นนั้นแล้วเขาจึงต้องใช้ทางลัดที่หลีกเลี่ยงอยู่เป็นประจำเพราะมันมืดและเปลี่ยวจนอดกลัวไม่ได้ ..ขณะที่เขากำลังจะกลับบ้านก็เกือบตีสามเห็นจะได้ ไอ้เงาตะคุ่มๆ ที่เขากลัวก็ปรากฏให้เห็น เสี่ยวลู่หานจึงตัดสินใจดับเครื่องยนต์และซ่อนตัวอยู่ในความมืด
ใครจะคิด..ว่าคนที่เดินออกมาจากซอยมืดเปลี่ยวนั้นเป็นคนที่เขาเพิ่งรู้จักได้ไม่นาน..คนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักของเพื่อนรักเขา ‘คริส’
มันคงไม่ตะขิดตะขวงใจสักเท่าไหร่ ถ้าหากว่าคริสเดินออกมาคนเดียว ไม่ได้มีผู้ชายตัวสูงสวมเสื้อผ้าสีดำตามออกมาอีกสองสามคน..
“น่ากลัวจริงๆ นะ” ลู่หานย้ำความรู้สึกของตัวเองออกมาเป็นคำพูด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหน้าเพื่อนชัดๆ แล้วบอกในสิ่งที่คิดออกมากอีก “เหมือนพวก..มาเฟียเลย..” จบประโยคดีแล้วแต่ร่างโปร่งยังไม่ทันได้สูดลมหายใจเข้าปอด เสียงกระดิ่งที่หน้าประตูร้านซึ่งอยู่ด้านหลังของลู่หานก็ดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงทุ้มน่าฟังที่กลับทำให้ลู่หานขนลุกเกรียว
“สวัสดีครับ”
“พี่คริส” อี้ชิงเรียกชื่อผู้มาใหม่พร้อมทั้งรอยยิ้มเต็มแก้ม
“ผมมาขัดจังหวะรึเปล่า?” ร่างสูงถาม ..แน่นอนว่าลู่หานรู้ว่ามันเป็นการถามตามมารยาทที่ไร้สาระ ถ้าขัดแล้วยังไง ก็มันขัดไปแล้วทำอะไรได้?
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ทำไมวันนี้พี่คริสมาเร็วจัง” ร่างบางถามหลังจากลอบมองนาฬิกาแล้ว
“ทำธุระเสร็จเร็วน่ะครับ อี้ชิงไม่ต้องรีบหรอก พี่รอได้” คริสตอบก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่ ร่างเล็กยิ้มตอบรับแล้วก็เอาผ้าในมือเข้าไปจัดการที่หลังร้านโดยมีลู่หานตามไปติดๆ
“พี่คริสเขาเป็นคนอ่อนโยนมากๆ จริงๆ นะลู่หาน เลิกว่าพี่เขาเป็นคนน่ากลัวเถอะ จำวันแรกที่เราเจอเขาไม่ได้เหรอ?” จางอี้ชิงถาม ชวนให้นึกย้อนไปในอดีต เมื่อสักประมาณ 8 เดือนก่อน
วันนั้นที่ลู่หานไม่สามารถมาทำงานที่ร้านตัวเองได้ อี้ชิงอยู่เฝ้าร้านคนเดียวไม่นับรวมพนักงานที่จ้างไว้ วันนั้นคริสเปิดประตูเข้ามาในร้านพร้อมกับจูงมือเด็กน้อยคนหนึ่งเข้ามา เด็กคนนั้นร้องไห้จ้าไม่ยอมหยุด จนร่างสูงต้องอุ้มขึ้นปลอบ
เจ้าของร่างสูงสง่าเดินตรงเข้ามายังเคาท์เตอร์ที่จางอี้ชิงยึดเป็นที่ประจำการ เสียงทุ้มก็เอ่ยบอกเหตุผลที่มาเยือนร้านอาหารแห่งนี้
‘เด็กคนนี้คงหลงกับพ่อ เห็นถือถุงของร้านนี้ ผมเลยพามาที่นี่ เผื่อว่าจะติดต่อกันได้’
แต่หลังจากอี้ชิงพยายามติดต่อตามเบอร์ที่ให้ไว้สำหรับการสมัครสมาชิกแล้วก็ไม่ได้ผล สุดท้ายเขาก็ต้องพาเด็กน้อยคนนั้นไปแจ้งตำรวจให้ดำเนินการ
แต่ระหว่างการรอคอย เด็กน้อยก็ยังเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด คริสทำสารพัดทั้งปลอบทั้งโอ๋ กว่าจะเงียบลงได้ก็ตอนที่หยิบเอาตุ๊กตาซึ่งเป็นของตกแต่งร้านมาใส่ชีวิตให้คุยกับหนูน้อยคนนั้นนั่นแหละ..
“คนแบบนั้นจะฆ่าคนได้เหรอ”
“โอเคคค ฉันคิดมากไปเองแหละ นายไปเถอะที่เหลือเดี๋ยวเก็บเอง”
“ไม่เป็นไรหรอก อีกนิดเดียวช่วยๆ กัน”
“เอาตรงๆ นะ คือฉันไม่ชอบบรรยากาศเวลาที่มีหมอนั่นอยู่ด้วย สู้ให้ฉันทำคนเดียวดีกว่า นะ ไปเถอะ” ลู่หานบอก
คนตัวเล็กเคยบอกว่าอึดอัดอยู่บ้างที่เพื่อนสนิทไม่ปลื้มคนรักเท่าไหร่ แต่ลู่หานได้อธิบายให้ฟังแล้วว่า คนรักนั้นเป็นของอี้ชิงไม่ใช่ของเขา ถ้าอี้ชิงพอใจจะรัก ก็อย่าให้เขาเป็นอุปสรรค เขาไม่ได้รังเกียจอะไรคริส ก็แค่ไม่ถูกชะตานิดหน่อย
..
..
“วันนี้ไปไหนดี?”
“ตามใจพี่บ้างสิ ถามผมตลอดเลย”
“ก็พี่ไม่มีที่ที่อยากไปเป็นพิเศษนี่หน่า ที่ไหนก็ได้”
“งั้นก็แผนเดิมแล้วกัน ผมก็คิดไม่ออกแล้ว” อี้ชิงตอบ หลังจากนั้นรถคันหรูก็ออกตัวในทันที ถ้าพูดถึงแผนเดิมแล้วก็ไม่มีอะไรพิเศษ กินข้าว ดูหนัง เดินเล่นนิดหน่อย แล้วก็จบที่บ้านคนตัวเล็ก ..อ่า คริสก็แค่ไปส่งที่หน้าคอนโดเท่านั้นแหละ
“อ๊ะ! ขอโทษครับ” อี้ชิงโค้งให้คนที่เพิ่งเดินชนไปเพราะตัวเองมัวแต่เหม่อ นั่นทำให้คริสชะลอฝีเท้าลง ก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือเล็กๆ มากุมเอาไว้
“เหม่ออะไรครับ หืม?”
“คิดอะไรเพลินๆ น่ะครับ แหะๆ” อี้ชิงตอบแล้วหัวเราะแห้งๆ
“คิดถึงคนอื่นที่ไม่ใช่พี่รึเปล่าน้า~” ร่างสูงโน้มตัวลงกระเซ้าแหย่อีกฝ่ายใกล้ๆ อี้ชิงไม่ได้ตอบคำถามในทันที แต่ผลักให้คนตัวโตกว่าออกห่างเสียก่อน
“มีที่ไหนล่ะครับ”
“แน่นะ”
“พี่อ่า~ เรารีบๆ เดินดีกว่า เดี๋ยวก็ไม่ได้ดูหนังกันพอดี”
ระหว่างทางเดิน ทั้งคู่ก็พากันเดินดูโน่นดูนี่ไปเรื่อยตามประสา ..เรื่อยเปื่อยจนคริสรู้สึกตัวว่าเขาลืมสังเกตว่าวันนี้คนตัวเล็กของเขาน่ารักมากแค่ไหน.. เพียงแค่เสื้อยืดสีส้มสดใส กับกางเกงผ้าสีขาวนั้นก็มากพอจะขับให้ร่างบางดูเด่นกว่าใครในร้านตุ๊กตานั้น เครื่องประดับอื่นอย่างนาฬิกาที่ข้อมือก็เป็นของที่เขาซื้อให้เมื่อตอนครบรอบห้าเดือน กับสร้อยรูปหัวใจที่คอนั่นก็เป็นของวาเลนไทน์ที่ผ่านมา.. เขามองคนน่ารักที่ดูตุ๊กตาตัวโน่นทีตัวนี้ทีด้วยรอยยิ้ม ..ไม่แน่ใจนักว่าตุ๊กตาหมีตัวโต กับร่างบางชุดสีส้มนั้น ..อันไหนเหมาะจะเป็นตุ๊กตาขายดีมากกว่ากัน
“เบื่อแล้วเหรอครับ~” เพราะมัวแต่มองเพลิน ถึงไม่ทันได้รู้ตัวว่าจางอี้ชิงมาหยุดยืนตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่..
“เปล่าหรอกครับ กำลังเพลินเลย” คริสตอบ
“ยืนเฉยๆ เนี่ยนะ พี่เพี้ยนไปแล้วรึเปล่า”
“ฮ่าๆ ..ดูเสร็จแล้วเหรอครับ งั้นเราขึ้นไปเลยมั้ย”
“อื้มไปสิครับ” พอได้รับคำตอบรับจากคนร่วมทางแล้ว ทั้งคู่ก็พากันเดินขึ้นไปที่ชั้นโรงหนัง เข้าไปนั่งรอในห้องกว้างที่มีเพียงแสงไฟตามทางเดินเท้าเท่านั้น ..ร่างบางเพ่งดูตั๋วหนังอีกรอบ ชื่อเรื่องที่บ่งบอกประเภทว่าเป็นหนังรักโรแมนติกสุดขีดนั้นทำเอาเจ้าตัวหายใจติดขัด ..ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยดูเสียเมื่อไหร่ เพียงแต่ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น คนข้างตัวที่ดูด้วยไม่ใช่คนรักเท่านั้นเอง..
หนังฉายได้ไม่นานเท่าไหร่ ความโรแมนติกและกลิ่นอายความรักก็ตลบอบอวลไปทั่วห้องกว้างใหญ่ คู่รักหนุ่มสาวต่างพากันเคลิบเคลิ้มไปกับบทบาทของพระเอกนางเอกที่เหมาะสมกันเสียจนน่าอิจฉา
ฝ่ายคริสที่ไม่ค่อยได้ดูหนังประเภทนี้มากนักก็เริ่มเข้าใจได้ว่า หนังรัก..ถ้าไม่ได้ดูกับคนที่รัก ความสำคัญของมันจะอยู่ที่ตรงไหน? เพราะหากคนข้างกายเขาไม่ใช่คนน่ารักตอนนี้ หนังก็คงคลายความน่าสนใจไปด้วย ..คิดแบบนั้นแล้วก็ลอบมองคนข้างกายที่ระบายยิ้มให้กับเนื้อหาของหนังอย่างเป็นสุข ก่อนจะเผลอยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว
หลังจากนั่งอยู่ในโรงหนังได้สองชั่วโมงกว่า เรื่องราวทั้งหมดก็จบลง พอดีกันกับที่รู้สึกหิว เช่นนั้นแล้วก็พากันจูงมือเดินหาร้านอาหาร หาอะไรแก้หิวไปเรื่อยเปื่อย เดินไปชั้นโน้นทีชั้นนี้ที ก็ยังมองหาร้านที่อยากจะนั่งไม่เจอ ..จนกระทั่งเดินมาเจอกับร้านเค้กเล็กๆ ที่มุมเงียบๆ ของห้างเข้า คนตัวเล็กก็ออดอ้อนอยากจะนั่งทานให้ได้ ต่อให้คริสพยายามจะค้านว่าควรจะกินอาหารมื้อหลักก่อนก็ตาม..
“อย่างนั้นขอเค้กสตรอเบอรี่ครีมสดแล้วก็ ..ลาเต้ครับ” ร่างบางบอกชื่อขนมที่ตัวเองต้องการทันทีที่พนังงานเข้ามารับออร์เดอร์ ต่างกับอีกคนที่เอาแต่นั่งจ้องเมนูอยู่อย่างจดจ่อ
“เค้กสตรอเบอร์รี่สองแล้วกันครับ ส่วนเครื่องดื่มก็แก้วเดียวพอ” ฉีกยิ้มให้หวานให้พนักงาน ก่อนจะดึงเมนูจากมือหนาคืนเขาไปพร้อมกับออร์เดอร์นั้นด้วย
ทิ้งเวลาไม่ช้าไม่นานนัก ทั้งเค้กและเครื่องดื่มก็วางลงพร้อมให้รับประทานอยู่ตรงหน้า
“กินสิครับ กินเร็วว” ว่าแล้วก็ตักเค้กคำโตเข้าปากโดยไม่ประมาณตัวเองว่าจะสามารถรับมันไว้ได้หมดทั้งคำรึเปล่า และก็ลงเอยด้วยเสียงหัวเราะจากคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม เมื่อรอบริมฝีปากบางเลอะเทอะไปด้วยครีมนมสดสีขาว
“อยากจะเอื้อมไปเช็ดแล้วเอามาชิมเหมือนในหนังนะ แต่พี่ว่าเลอะขนาดนี้ ..ฮ่าๆ อี้ชิงเช็ดเอาน่าจะดีกว่านะ” ว่าพลางยื่นทิชชู่ไปให้ทั้งกล่อง คนถูกแซวก็รับมาด้วยความเต็มใจ ..เพราะถ้าขืนพี่คริสจะมาทำเลียนแบบในหนังเมื่อกี้เข้าล่ะก็.. เขาต้องระเบิดตัวเองตายแน่ๆ เลย
ให้คบกันมานานเท่าไหร่ เขาก็ยังไม่ชินกับใบหน้าหล่อเหลาของคนตรงหน้าเสียที
..
..
แล้วช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกันเป็นครั้งสุดท้ายของวันก็มาถึง รถของคริสจอดสนิทอยู่หน้าคอนโดที่ต่อให้หลับตาขับเขาก็ยังมาถูก
“พรุ่งนี้ไม่เจอกันใช่มั้ยครับ?” อี้ชิงถาม
“อื้ม พรุ่งนี้พี่ออกไปนอกเมืองน่ะ อีกสองวันเจอกันนะครับ”
“ครับ เอ้อ! พี่คริส ถ้าพี่ไม่มา ไม่ต้องส่งคนไปรับผมกลับบ้านก็ได้นะครับ ผมกลับเองได้จริงๆ”
“ไม่เอาหน่า พี่เป็นห่วงเรานะ” ร่างสูงค้าน มือใหญ่วางบนลงเรือนผมนุ่มแล้วยีเบาๆ ด้วยความเอ็นดู
“ถึงที่โน่นแล้วบอกผมด้วยนะ ผมก็เป็นห่ววงพี่เหมือนกัน” อี้ชิงอ้อมแอ้มพูดประโยคนั้นออกมาโดยไม่สบตาคู่สนทนาแม้แต่น้อย
“เข้าไปได้แล้ว ดึกแล้วนะ” ร่างบางพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินผ่านประตูบานใหญ่เข้าไป และหยุดอยู่หน้าประตูเข้าคอนโดที่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว
อี้ชิงหยุดและหันมาโบกมือลาให้คนที่รออยู่ ..เขารู้ดีว่าพี่คริสจะไม่ยอมกลับไปจนกระทั่งไฟที่ห้องของเขาสว่าง
“พี่คริส..นอนหลับฝันดีนะครับ”
“อื้ม อี้ชิงก็ฝันถึงพี่ด้วยนะครับ”
ร่างสูงกลับเข้าไปนั่งในรถคันโปรดที่ใช้ขับอยู่เป็นประจำ แขนยาววาดโอบรอบพวงมาลัยไว้เป็นหลักยึดและใช้เป็นที่อิงเพื่อมองไฟที่ห้องของคนที่เขาเพิ่งส่งขึ้นนอนไป
ครั้นเห็นว่าไฟสว่างดีแล้ว คริสก็ยกยิ้มขึ้นด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะกดรับโทรศัพท์ที่โทรเข้าหลายสายในระหว่างการเดินทางมาที่นี่
“มีอะไร?” เสียงทุ้มกรอกไปตามสายอย่างหยาบกระด้าง แล้วอีกฝั่งของสายก็อธิบายถึงความจำเป็นที่ต้องโทรมารบกวนเวลาส่วนตัวเช่นนี้
คริสขมวดคิ้วฉับหลังจากที่ฟังเรื่องราวจนจบ และใช้เวลาคิดเพียงอึดใจ ก็สั่งการผ่านเครื่องมือสื่อสารนั้น
“ถ้างั้นจะเลี้ยงมันไว้ทำไม ..เก็บมันซะ”
To be cont.
..
# talk corner *
วรั้ยยยยยยย อิพี่คริสโฉด 55555 รู้สึกเหมือนกำลังแต่งฟิคตอนจบยังไงก็ไม่รู้อะค่ะ XD รักดีละเกินนนนนนนน
ชะแว๊บเอาตอน 1 มาลงให้ก่อน แล้วขอบอกว่าจะหายไปเข้าค่าย กว่าตอน 2 จะมา คงต้องรอสักพักนะคะ ดันเขียนฟิคควบสองเรื่องซะล่วย -3- ความสามารถต่ำแต่ความพยายามสูงงิ XD
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ♥
ความคิดเห็น