คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : ` c h a p t e r 1 2 ♡ { h a p p i n e s s }
เปิดจอง ! ฟิค circle :: คลิกที่นี่ เพื่ออ่านรายละเอียด ขอบคุณค่ะ ^^
C I R C L E
` c h a p t e r 1 2 ♡ { h a p p i n e s s }
ง่วงจังเลย
สืบเนื่องจากเมื่อคืนนี้ กว่าผมกับแบคฮยอนจะพูดคุยกันเรื่องที่ผมเป็นโรคไตเสร็จก็ปาไปเกือบๆ ตีสองแล้ว หลังจากแบคฮยอนได้รู้เรื่องของผม เขาก็ช็อคไปเกือบครึ่งชั่วโมง ผมผิดเองที่ไม่เคยบอกเรื่องนี้ให้แบคฮยอนรู้เลย
แต่ใช่ว่าผมจะไม่อยากบอกเสียเมื่อไหร่ ผมเพียงแต่ไม่มีโอกาสจะบอกก็เท่านั้น .. แล้วอีกอย่าง มันก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรขนาดนั้นด้วย
“คุณเคแต่งตัวเสร็จรึยังครับ”
เสียงเจื้อยแจ้วดังเข้ามาจากนอกห้องของผม ตอนนี้เป็นเวลาเกือบหกโมงเย็นแล้ว ผมมีนัดปลูกถ่ายไตตอนหนึ่งทุ่มที่โรงพยาบาลมยองดง และแน่นอนว่าแบคฮยอนต้องไปกับผมด้วย ดูท่าทางแล้วเจ้านั่นจะตื่นเต้นกว่าผมเสียอีกแน่ะ
“เสร็จแล้วครับผม” ผมเปิดประตูห้องออกไปหาแบคฮยอนที่กำลังนวดขาคุณยายผมอยู่ระหว่างรอ ภาพแบบนี้อาจจะเป็นภาพที่ชินตา แต่มันกลับไม่เคยน่าเบื่อเลยสักครั้งในสายตาผม
แบคฮยอนไม่ได้อ่อนโยนเฉพาะกับผม แต่อ่อนโยนกับทุกคนที่อยู่รอบตัวเลยต่างหาก
“งั้นเดี๋ยวผมไปก่อนนะครับคุณยาย” แบคฮยอนบอกลาคุณยายผมด้วยท่าทางและคำพูดที่อ่อนน้อมเหมือนเคย ถึงแม้จะสนิทสนมจนเกือบจะเป็นหลานแท้ๆ อีกคนไปแล้ว หมอนี่ก็ยังพูดจารู้กาลเทศะไม่เปลี่ยนไปเลย
หลังจากที่ผมกับแบคฮยอนลาคุณยายเสร็จ เราทั้งสองก็พากันเดินออกมาที่ป้ายรถเมล์หน้าปากซอยบ้าน จะว่าไปแล้วผมก็คิดถึงพี่จุนมยอนเหลือเกิน พี่ชายที่แสนดีคนนั้นมักจะขับรถมารับผมไปไหนต่อไหนเสมอ พอต้องมาเดินแบบนี้แล้วก็แอบโหวงนิดๆ เหมือนกัน
แต่ถ้าถามว่าผมชอบแบบไหนมากกว่า ผมก็ตอบได้อย่างไม่ลังเลเลยว่า .. ผมชอบแบบนี้
ไม่ใช่ว่าชอบเดินหรอกนะ แต่ผมชอบคนที่เดินด้วย และกุมมือด้วยอยู่ในตอนนี้ต่างหาก
“คุณบีหอมแก้มแต่คุณยายอ่ะ วันนี้คุณบียังไม่หอมแก้มเค้าเลยนะ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเป็นปกติ หากแต่เนื้อความในประโยคนั้นมันกลับดูออดอ้อนเสียจนแบคฮยอนต้องหันมายิ้ม กว้างให้ผมแล้วทำหน้าตาหมั่นไส้ใส่
“อยากให้เค้าหอมก็พูดให้มันอ้อนๆ กว่านี้หน่อยสิ”
“เค้าอ้อนเป็นที่ไหน”
“คุณเคก็อ้อนเค้าออกจะบ่อย ยกเว้นเมื่อคืนนั่นแหละยังไม่ได้อ้อนเลย”
“ไม่เอาอ่ะ งั้นไม่ต้องหอมแล้วก็ได้”
ฟอด ~
ไม่ต้องรอให้ผมเริ่มออดอ้อนอะไร แบคฮยอนรีบดึงตัวผมเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนแล้วฝังจมูกเรียวสวยลงมาที่แก้มของผม ทันทีโดยที่ผมเองก็ไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่รู้เพราะอยากหอมใจจะขาด หรือเพราะรู้ดีว่ายังไงๆ ผมก็ไม่อ้อนอยู่แล้วกันแน่
“คุณเคเปลี่ยนแป้งใหม่เหรอ”
“หืม? แป้ง?” ผมเลิกคิ้ว “อ้อ แป้งทาแก้มอ่ะนะ อื้อ เค้าเปลี่ยนยี่ห้อใหม่เพราะของเก่ามันหมดแล้วหาซื้อไม่ได้อ่ะ”
“เค้าชอบกลิ่นเก่ามากกว่า กลิ่นแป้งเด็กของคุณเคห๊อมหอม”
“โคโดโมะอ่ะเหรอ นี่เค้าโตแล้วนะ เค้าก็อยากใช้กลิ่นผู้ใหญ่บ้างดิ”
“แต่เค้าชอบโคโดโมะ เดี๋ยววันนี้ไปซื้อโคโดโมะกัน”
ผมหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ทั้งชอบใจในความขี้เอาแต่ใจของแบคฮยอน และชอบมากที่แบคฮยอนใส่ใจผมแบบนี้ ไม่ใช่เพิ่งจะมาเริ่มเป็นตอนที่เป็นแฟนกัน แต่แบคฮยอนเป็นคนเอาใจใส่แบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
นับวันแบคฮยอนยิ่งทำให้ผมตระหนักได้ว่า ผมเลือกคนไม่ผิดเลยจริงๆ
.
.
โรงพยาบาลมยองดง
18.45 น.
ตอนนี้เราทั้งสองคนนั่งรถประจำทางมาจนถึงโรงพยาบาลแล้ว ผมแยกเข้ามาในห้องผ่าตัดในขณะที่แบคฮยอนนั่งรอผมอยู่ข้างนอกห้อง กว่าเราสองคนจะแยกกันได้ก็นานอยู่พอตัว นี่ขนาดว่าอายคุณหมอที่รออยู่ด้วยแล้วนะ
แบคฮยอนเป็นห่วงผมมาก แม้ไม่เคยพูดออกมาตรงๆ แต่ผมก็รับรู้ได้ถึงความห่วงใยนั้น
ผมพูดคุยกับคุณหมอเกี่ยวกับข้อแนะนำและข้อควรปฏิบัติในการปลูกถ่ายอวัยวะประมาณ สิบนาทีก่อนจะไปเปลี่ยนเป็นชุดผ่าตัด ในใจลึกๆ ของผมเองก็หวาดกลัวอยู่ไม่น้อย เพราะนี่เป็นการผ่าตัดครั้งแรกของผม
การผ่าตัดจะใช้เวลาประมาณ 7-8 ชั่วโมง หากไม่มีอะไรผิดพลาด ผมเดินออกไปบอกแบคฮยอนว่าให้กลับบ้านไปนอนเล่น หรือไปเดินเล่นที่ไหนก่อนก็ได้ แต่เจ้านั่นดื้อมาก บอกว่าจะนั่งรอผมอยู่ตรงนี้ลูกเดียวเพราะกลัวจะเกิดอะไรผิดพลาดขึ้น
ได้ยินแบบนั้นผมก็จูบแก้มแบคฮยอนทั้งซ้ายทั้งขวา แถมจุ๊บปากไปทีหนึ่งด้วย
“เดี๋ยวเสร็จแล้วเจอกันนะ ขอบคุณที่อยู่ข้างเค้าตลอดไม่ไปไหนเลย”
“คุณเคอย่าพูดให้มันดูเศร้านักสิ อีก 8 ชั่วโมงเราก็ได้เจอกันแล้วน่า”
“โอเค งั้นไปนะ”
เราสองคนส่งยิ้มอ่อนโยนให้กันและกัน แบคฮยอนหอมแก้มผมอยู่หลายทีพลางลูบหัวเบาๆ เหมือนที่ชอบทำเป็นประจำ ก่อนที่ผมจะถูกคุณหมอเรียกตัวให้เข้าไป
การปลูกถ่ายไตกำลังจะเริ่มต้นขึ้น และจบลงด้วยดี ผมเชื่ออย่างนั้น…
.
.
.
“ญาติคนไข้คยองซู ขอเชิญพบหมอด้วยครับ”
ผมสะดุ้งตื่นทันทีที่ได้ยินเสียงเปิดประตูพร้อมเสียงเรียกของคุณหมอเจ้าของไข้ คยองซู ถึงจะรีบร้อนดีดตัวขึ้นมาจากที่นั่งแบบนั้น แต่ผมก็ยังไม่ลืมยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมงแล้ว
ตีสี่สี่สิบห้าแล้ว การผ่าตัดเสร็จช้ากว่าที่บอกเอาไว้ประมาณสองชั่วโมง
“หมอได้ปลูกถ่ายไตของคุณจุนมยอนให้คุณคยองซูสำเร็จแล้วนะครับ” คุณหมอพูดกับผมด้วยรอยยิ้ม จากที่ง่วงๆ อยู่ พอได้ยินแบบนั้นผมก็ตาสว่างทันที ผมฉีกยิ้มกว้างทันที อยากเจอคยองซูใจจะขาดแล้ว
“ตอนนี้คนไข้ต้องการการพักผ่อน อีกสักประมาณ 4-5 ชั่วโมงนะครับ ญาติจะกลับไปก่อนมั้ย”
“ผมจะอยู่เฝ้าคยองซูครับหมอ ขอบคุณมากนะครับ”
“ถ้างั้นรบกวนเชิญที่ห้อง 4312 เลยนะครับ คุณคยองซูกำลังนอนพักฟื้นอยู่ที่นั่น คนไข้ควรนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลประมาณ 3-4 วันแล้วค่อยกลับบ้านนะครับ ส่วนการพักฟื้นที่บ้าน หมอแนะนำว่าให้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องออกแรงทำอะไรมากสัก 2-3 อาทิตย์จะดีมากเลย”
“ขอบคุณมากนะครับ ขอบคุณมากจริงๆ ทุกอย่างปกติดีใช่มั้ยครับ”
“ปกติดีครับ ไตของคุณจุนมยอนสภาพดีมาก ท่าทางจะเป็นคนชอบดูแลตัวเองนะครับ”
คุณหมอตอบไปหัวเราะไป ผมเองก็ยิ้มออกมาเช่นเดียวกัน พอพูดถึงพี่จุนมยอนแบบนี้แล้ว ผมก็รู้สึกอยากจะขอบคุณพี่เขาสักล้านครั้งเลยจริงๆ ให้ตายสิ ผมกับพี่เขาเคยไม่ถูกกันจริงๆ เหรอเนี่ย ทำไมผมถึงได้เคยเป็นศัตรูกับคนดีๆ แบบพี่เขาได้นะ
หลังจากคยองซูพักฟื้นจนหายดีแล้ว ผมควรพาคยองซูไปเยี่ยมพี่จุนมยอนสักหน่อยแล้วล่ะ
“หมอต้องขอตัวก่อนนะครับ ยังไงเชิญญาติที่ห้องที่บอกเลยนะ”
“ขอบคุณครับหมอ แต่…” ผมวรรคแล้วยิ้มกวนๆ
“ผมไม่ใช่ญาติกับคยองซูหรอกนะครับ ผมเป็นแฟน”
ได้ยินแบบนั้น คุณหมอที่ดูท่าทางเป็นคนอารมณ์ดีอยู่แล้วก็รีบโพล่งหัวเราะออกมาทันที คุณหมอตบบ่าผมเบาๆ แล้วส่ายหน้าราวกับผมเป็นเด็กเพ้อเจ้อไร้สาระคนหนึ่ง แต่แฟนผมน่ารักนี่ครับ ผมเองก็อยากอวดบ้างอ่ะ ผมผิดตรงไหนล่ะ
.
.
.
“แบ… ค… แบคฮยอน…”
“หืม ตื่นแล้วเหรอคุณเค เจ็บตรงไหนมั้ย”
ผมรีบเด้งตัวจากโซฟาทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกของคยองซู ที่จริงผมเองก็เพิ่งตื่นจากนิทราเหมือนกันหลังจากที่นอนเฝ้าคยองซูมากว่าสี่ ชั่วโมง หลับไปนานขนาดนี้คยองซูต้องคอแห้งมากแน่ๆ คิดได้ดังนั้นผมก็รีบเดินไปรินน้ำมาให้แฟนสุดที่รักทันที
“ดื่มก่อนนะ”
“อยู่นี่ตลอดเลยเหรอ”
“อื้อ จะให้ไปไหนได้ล่ะ”
“ก็บอกให้กลับบ้านไปนอนก่อนไง”
“ไม่เอาอ่ะ เค้านอนเฝ้าคยองซูแบบนี้สบายใจกว่าตั้งเยอะ”
คยองซูยิ้มแล้วยกมือขึ้นลูบแก้มผมแผ่วเบา นี่คือการแสดงออกแทนคำขอบคุณแบบที่คยองซูชอบทำ ผมรู้ว่าแฟนผมปากหนักและชอบบ่น แต่ผมรู้ว่าลึกๆ ในใจแล้วคยองซูก็เป็นห่วงและนึกขอบคุณผมอยู่ตลอดเวลา
“คุณเคต้องพักฟื้นที่นี่อีกสามสี่วันนะครับ”
“น่าเบื่อจังเลย”
“โรงพยาบาลน่าเบื่อ แต่ถ้ามีเค้าอยู่ด้วยมันก็ไม่น่าเบื่อแล้ว”
“ทำอะไรให้หายเบื่อให้ดูหน่อย”
“งั้นเค้าจะเต้นให้ดูทุกเช้าทุกเย็นเลยดีมั้ย”
คยองซูหัวเราะร่วนกับการตั้งท่าจะเต้นของผม มีแต่คนบอกว่าผมน่ะเป็นคนที่ร้องเพลงดีมากระดับประเทศเลยก็ว่าได้ แต่เรื่องการเต้นเนี่ย ถ้าไม่จำเป็นก็ควรอยู่เฉยๆ เสียดีกว่า… นั่นคงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคยองซูถึงได้หัวเราะออกมาสินะครับ
“คุณบีแค่อยู่เฉยๆ เค้าก็หายเบื่อแล้วแหละ”
“ที่พูดแบบนี้เพราะเค้าเต้นห่วยใช่มั้ย”
“ก็ส่วนหนึ่ง”
“นึง ส่อง ซั่ม! เค้างอนแล้ว”
“โอ๋ ไม่งอนนะ มานี่มาใกล้ๆ เค้าหน่อยเร็ว”
ผมเดินเข้าไปใกล้เตียงคนป่วยแล้วนั่งลงข้างๆ ร่างเล็กที่นอนอยู่อย่างว่าง่าย คยองซูค่อยๆ ยันตัวขึ้นมานั่งให้ดีโดยที่ผมคอยช่วยด้วยอีกแรง ก่อนเขยิบเข้ามาหาผมแล้วกอดซุกเข้าที่แผ่นอกของผมเบาๆ
ไหนบอกเป็นคนอ้อนไม่เป็นไงล่ะ คยองซู
“ขอบคุณนะ”
“เลิกขอบคุณได้แล้วน่า เราเป็นแฟนกันนะ”
“ขอบคุณนะ”
“คยองซูอ่ะ”
“ขอบคุณที่… รักเค้า”
เสียงพูดอู้อี้ที่ถ้าไม่ตั้งใจฟังก็คงไม่รู้เรื่องทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาอย่างประหลาด ถามว่าผมเหนื่อยไหมที่ต้องคอยมาเฝ้าคยองซูแบบนี้ มันไม่เหนื่อยเลย ใช่ มันอาจจะเพลีย หรือล้าไปบ้าง แต่มันไม่เคยมีคำว่าเหนื่อยผุดขึ้นมาในความคิดของผมเลยแม้สักครั้ง
เพราะการได้ดูแลคยองซู ได้เห็นคยองซูมีความสุขแบบนี้ ผมเองก็สุขตามไปด้วย
“เรื่องคุณยายไม่ต้องห่วงนะคุณเค เดี๋ยวเค้าจะคอยซื้อข้าวให้คุณยายกินทุกเช้าทุกเย็นเอง”
“ลำบากรึเปล่า”
“จะลำบากอะไรเล่า คิดเล็กคิดน้อยทำไมล่ะหืม”
“เค้าเหมือนเป็นภาระคุณบีเลยนี่”
“มีภาระน่ารักขนาดนี้ ยอมให้เป็นภาระไปตลอดชีวิตเลยครับ”
ผมยกมือขึ้นยีหัวอีกคนจนยุ่งด้วยความรัก ยิ้มอ่อนโยนให้คนที่เอาแต่จ้องผมไม่วางตา ผมรู้ว่าคยองซูคิดว่าตัวเองเป็นภาระของผม แต่สำหรับผมคยองซูไม่ใช่ภาระหรือตัวถ่วงอะไรเลย
“นี่คุณเค เดี๋ยวพอคุณเคพักฟื้นจนหายดีแล้ว เดือนหน้าเราไปเยี่ยมพี่จุนกันเนอะ”
“คุณบีจะพาเค้าไปจริงๆ เหรอ”
“จริงสิ”
“เย้ แฟนใครเนี่ยหล่อแล้วยังใจดีอีก”
คยองซูยิ้มแล้วเขย่าแขนผมเป็นเด็กๆ ผมเองก็เผลอยิ้มออกมาด้วยเช่นกัน อันที่จริงที่ทำแบบนี้ไม่ใช่เพราะแค่อยากเอาใจคยองซูหรอกนะ เพราะผมเองก็อยากไปหาพี่จุนมยอนด้วยเหมือนกัน
ไปขอบคุณพี่เขาที่อุตส่าห์เสียสละเพื่อคนที่ผมรักขนาดนี้
“หืม ใครหล่อนะ”
“คุณบีหล่อ”
“บีไหนนะ”
“แบคฮยอนหล่อ”
“หล่อแค่ไหนนะ”
“ถามมากจะเริ่มไม่หล่อแล้วแหละ”
คยองซูดันหัวผมที่เอาแต่ยิ้มไม่หุบ คยองซูเองก็ยิ้มกว้างมากเช่นกัน เป็นรอยยิ้มที่ต่างคนต่างมีความสุขแม้อยู่ในสถานที่ที่น่าเบื่อแบบนี้ มันทำให้ผมรู้ได้ว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน กว้างใหญ่หรือไม่ เราก็สามารถมีความสุขมากขนาดนี้ได้ ถ้าเราสองคนอยู่ด้วยกัน
.
.
1 เดือนต่อมา
ตามที่ผมเคยสัญญากับคยองซูเอาไว้ว่าจะพาไปหาพี่จุนมยอน จากวันนั้น วันที่คยองซูเข้ารับการปลูกถ่ายไต จวบจนถึงวันนี้ก็ครบ 1 เดือนแล้ว คยองซูพักฟื้นที่โรงพยาบาลอยู่สามสี่วัน ก่อนจะกลับมานอนพักฟื้นที่บ้านโดยมีผมและคุณยายคยองซูดูแลไม่ห่าง
หลังจากที่คยองซูแต่งตัวจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็พาคนตัวเล็กไปกินข้าวจนอิ่มและมุ่งหน้าไปยังสุสานแถวโซลทันที เราสองคนเดินหาหลุมฝังศพของพี่จุนมยอนอยู่นานกว่าจะเจอ และในที่สุดเราสองคนก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้ารูปของพี่เขา
“พี่ครับ… สบายดีมั้ยครับ”
แทนที่จะเป็นของคยองซู กลับกลายเป็นผมที่พูดขึ้นมาก่อนหลังจากที่คยองซูค่อยๆ วางดอกไม้ลงที่หน้าหลุม คนตัวเล็กจึงหันมามองผมด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
“อยู่ตรงนั้นมีความสุขดีใช่มั้ยครับพี่” ผมหยุดวรรคครู่หนึ่ง “ผมเองก็สบายดีครับ คยองซูเองก็สบายดี พ่อผมเองก็ด้วยนะ … ขอบคุณนะครับที่หางานให้พ่อผมก่อนที่จะจากไป พี่เป็นคนที่รอบคอบ สุขุมแบบนี้เสมอ ผมชื่นชมพี่มากเลย”
ผมพูดกับกรอบรูปหน้าหลุมศพด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน คยองซูคอยหันมามองผมสลับกับกรอบรูปนั้นเป็นระยะ เจ้าตัวเล็กแย้มรอยยิ้มบางออกมา คาดว่าคยองซูคงจะคิดไม่ถึงที่ผมเอาแต่ยืนพูดอะไรจ้อแบบนี้
“พี่ครับ… พี่เป็นคนดี และเสียสละมาก มากเสียจนผมคิดว่าชาตินี้ผมก็คงเสียสละแบบพี่ไม่ได้… ผมขอโทษนะครับสำหรับทุกสิ่ง แล้วก็ขอบคุณที่ในช่วงชีวิตหนึ่งเคยดูแลคยองซูของผมเป็นอย่างดี”
พอถึงประโยคนี้ ผมก็อ้อมแขนโอบไหล่คยองซูให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของผม นั่นยิ่งทำให้คยองซูยิ้มกว้างกว่าเดิม แถมเจ้านี่ยังเอามือโอบเอวและเอาหัวพิงไหล่ผมด้วย
“ผมไม่รู้ว่าผมจะดูแลคยองซูได้ดีเท่าที่พี่เคยทำรึเปล่า แต่ผมขอสัญญาว่าผมจะดูแลให้สุดความสามารถนะครับ”
คยองซูหัวเราะออกมาเล็กน้อย ผละออกจากอ้อมกอดผมเมื่อเห็นว่าผมพูดจบแล้ว คนตัวเล็กกว่าเดินเข้าไปใกล้กรอบรูปและคุกเข่าลงที่หน้าหลุมเบาๆ ผมได้แต่ถอยห่างออกมานิดหน่อยแล้วยืนมองอยู่อย่างนั้น
“คิดถึงจังเลยครับ” คยองซูเริ่มพูดขึ้นเบาๆ “พี่จะคิดถึงผมแบบที่ผมคิดถึงพี่รึเปล่า… อยู่บนนั้นคงหนาวน่าดูเลยใช่มั้ยล่ะ… พี่ครับ วันนี้ผมรับไตของพี่มาดูแลแล้วนะ มันอยู่ในร่างกายของผมเรียบร้อยแล้ว ผมเก่งใช่มั้ยล่ะ”
ผมยืนมองคยองซูอยู่ห่างๆ เมื่อเห็นว่าคนตัวบางเริ่มเงียบไปและก้มหน้าลง ผมก็นึกว่าคยองซูจะร้องไห้เสียแล้ว แต่กลับไม่ใช่แบบนั้น คยองซูไม่ได้ร้องไห้แต่อย่างใด
“ผมไม่ร้องไห้แล้ว ผมเก่งใช่มั้ยล่ะ… พี่ครับ ตอนนี้ผมมีความสุขมากเลย แบคฮยอนดูแลผมดีมาก ดีจนผมรู้สึกว่าผมเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกเลย”
ผมเดินเข้าไปกอดคยองซูจากด้านหลังเมื่อได้ยินแบบนั้น ผมโล่งใจมากจริงๆ ที่ตัวเองทำหน้าที่ได้ดีจนคยองซูชื่นชมออกมาแบบนี้ และผมสัญญาว่าในวันต่อๆ ไปมันจะยิ่งดีมากขึ้นไปอีก
ผมจะดูแลคยองซู ดูแลไปจนกว่าผมจะหมดแรง หมดลมหายใจนั่นแหละ
“ผมจะดูแลไตของพี่ให้ดีที่สุด ให้เหมือนกับที่พี่ดูแลมันอย่างดีมาตลอดชีวิต… หลับให้สบายนะครับ แล้วผมจะมาเยี่ยมพี่อีกบ่อยๆ”
Rrrrrrr~
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ของคยองซูก็ดังขึ้น ผมผละออกจากอ้อมกอดเล็กน้อยเพื่อให้คยองซูหยิบโทรศัพท์ออกมาสะดวกๆ ระหว่างนั้นผมก็แอบเห็นว่าเป็นชานยอลที่กำลังโทรเข้ามา
“ว่าไง” คยองซูกรอกเสียงลงไปอย่างหน่ายๆ ซึ่งผิดวิสัยมาก หรือสองคนนี้จะมีเรื่องอะไรกันนะ
(อย่าเพิ่งดุเรานะ คือเรามีเรื่องจะคุยด้วย … เอ่อ เรื่องดีน่ะ)
“เรื่องอะไร”
(จำเรื่องตั๋วไปญี่ปุ่นได้ใช่มั้ย ที่เราซื้อมาสองใบแล้วคยองซูปฏิเสธเราน่ะ)
“อืม จำได้”
(เรามาคิดๆ ดูแล้ว… เราว่าคยองซูควรจะรับมันไว้นะ)
“เราไปกับนายไม่ได้หรอกนะ”
(ไม่ใช่แบบนั้นสิ… เราหมายถึง… ให้คยองซูไปกับแบคฮยอนน่ะ)
“หืม ว่าไงนะ”
(ก็ว่างั้นแหละ เราอยากจะทำอะไรดีๆ เพื่อไถ่โทษบ้าง รับไว้เถอะนะ)
“เราคง…”
(รับไว้เถอะ ไม่งั้นเราจะไม่สบายใจไปตลอดชีวิตนะ)
“ก็…ได้มั้ง”
(ถ้างั้นตอนนี้สะดวกรึเปล่า อยู่ไหน เดี๋ยวเราไปหา)
“ชานยอลจะเอาตั๋วไปญี่ปุ่นมาให้เราสองคนน่ะ” ทันทีที่คยองซูคุยกับชานยอลเสร็จ ผมก็มองหน้าเจ้าตัวเล็กอย่างคาดคั้น คยองซูเองก็ไม่รอให้ผมถามอะไร เพียงแค่มองตาผมก็รีบพูดออกมาโดยเร็ว
“หืม ทำไมชานยอลต้องทำแบบนั้นด้วย”
“คือ…” คยองซูอึกอักเล็กน้อย “คือชานยอลไปเล่นเกมมาได้น่ะ แต่พอดีว่าติดธุระเลยไปไม่ได้ ก็เลยจะเอามาให้เราสองคนแทน”
“โอ้โห แบบนี้ก็สวรรค์เลยสิ คยองซูชอบประเทศญี่ปุ่นนี่นา ทำไมไม่เห็นจะดีใจเลย” ผมถามเมื่อเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนใจของคยองซู ถึงจะแอบสงสัยว่าสองคนนี้ต้องมีเรื่องอะไรกันแน่ๆ แต่ผมก็เลือกที่จะไม่ถามอะไรออกไป
“ใครว่า ไม่ดีใจล่ะ ดีใจสิ ดีใจจะแย่อยู่แล้วเนี่ย” คยองซูฉีกยิ้มกว้าง อันที่จริงผมรู้อยู่ว่าคยองซูเป็นคนแสดงออกไม่เก่ง แต่อย่างน้อยคยองซูก็น่าจะตะโกนโหวกเหวกอะไรบ้างสิ นี่มันญี่ปุ่นนะ ญี่ปุ่นเชียวนะ
“แล้วเดี๋ยวชานยอลจะมาที่นี่เหรอ”
“อื้อ เห็นบอกว่าอีกสิบนาทีก็ถึงแล้ว”
“จริงสิ ก็หมอนั่นบ้านอยู่แถวนี้นี่นะ”
ไม่นานหลังจากที่เรานั่งพูดคุยเล่นกันอยู่พักหนึ่ง ชานยอลก็โทรเข้ามาหาคยองซูเพื่อถามทางเข้ามา ผมกับคยองซูเลยตัดสินใจเดินไปรับที่หน้าสุสานแทนที่จะให้ชานยอลเดินเข้ามา เพราะสภาพแวดล้อมมันก็ไม่ได้น่าอยู่นานเท่าไหร่ด้วย
“ดีใจที่ได้เจอนายสองคนอีกครั้งนะ” ทันทีที่เจอหน้าเราสองคน นี่คือคำพูดแรกที่ออกมาจากปากชานยอล รอยยิ้มกว้างนั่นดูเป็นรอยยิ้มที่จริงใจที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลย ผมสาบานได้ หรือผมคิดไปเองก็ไม่รู้แฮะ
“สบายดีเหรอชานยอล ที่ร้านเป็นยังไงบ้าง” ผมถามไถ่ ใจแอบคิดถึงงานบริการนั่นเหมือนกันนะ
“ก็เงียบๆ นะ ช่วงนี้ลูกค้าน้อยน่ะ นายเองก็สบายดีใช่มั้ย”
“ต้องสบายอยู่แล้วแหละ” คยองซูโพล่งแทรกขึ้นมาแล้วมองหน้าชานยอลด้วยสีหน้าแปลกๆ “ว่าแต่นายจะให้ตั๋วนั่นกับพวกเราจริงๆ เหรอ”
“เราจะโกหกคยองซูทำไมล่ะ” ว่าจบ ชานยอลก็รีบรูดซิปกระเป๋าเป้แล้วหยิบตั๋วเครื่องบินไป-กลับญี่ปุ่นอกมาให้พวกเราสองคน คยองซูเป็นคนรับมันไว้ ผมเลยเขยิบตัวไปดูรายละเอียดในตั๋วนั้นเล็กน้อย
“เดี๋ยวเราต้องไปที่อื่นต่ออีก คงต้องรีบกลับแล้วล่ะ” ชานยอลพูดขึ้นมาหลังจากที่เราสองคนเอาแต่ยืนดูรายละเอียดบนตั๋ว
“ขอบใจมากนะชานยอล” ผมเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย พร้อมกับยิ้มให้อย่างจริงใจ
“เรื่องเล็กน้อยน่ะ เที่ยวกันให้สนุกนะ”
“พวกเราจะเที่ยวกันให้สนุกเลย ขอบคุณมากนะ” คยองซูพูดขึ้นบ้าง
“เห็นพวกนายสองคนแล้วเราก็ดีใจจริงๆ ขอให้รักกันแบบนี้ไปนานๆ นะ”
ชานยอลมองหน้าพวกเราสองคนอยู่นานก่อนจะพูดแบบนั้นออกมา รอยยิ้มอ่อนโยนที่ชานยอลมอบให้คยองซู บวกกับสายตาที่เหมือนมีอะไรอยู่ในใจนั่นทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ แต่คงไม่มีอะไรร้ายแรงหรอกมั้ง
“เรากลับก่อนนะ โชคดี”
“โชคดีชานยอล ไว้เจอกันนะ”
เราสองคนเอ่ยปากลาชานยอลพร้อมๆ กัน คนตัวสูงยิ้มกว้างแล้วโบกมือหยอยๆ ก่อนเดินจากไป ผมยกมือขึ้นโอบเอวคยองซูแล้วเดินออกจากสุสานตามไปเช่นกัน นี่ก็บ่ายกว่าแล้ว เราสองคนควรจะหาอะไรกินกันได้แล้ว
.
.
ผมทำสิ่งที่เหมาะสมลงไปแล้วใช่ไหมครับ
จริงอยู่ แค่ยื่นตั๋วไปกลับญี่ปุ่นให้ทั้งสองคนนั้นอาจไม่สามารถลบล้างความผิดทั้งหมดที่ผมเคยทำกับคยองซูได้ แต่อย่างน้อยมันก็รู้สึกดีกว่าการไม่ทำอะไรเลย ถึงผมจะรู้สึกผิดเกินกว่าจะกลับไปเป็นเพื่อนคยองซูเหมือนเดิม อย่างไรก็ตาม ผมควรจะทำอะไรดีๆ ทิ้งท้ายเอาไว้บ้าง
แม่น้ำฮันตอนกลางวันอาจจะสวยไม่มากเท่าตอนกลางคืน คงจะดีหากมีใครสักคนมาอยู่ข้างๆ ผม คอยปลอบผมในเวลาที่ผมท้อแท้และเหมือนไม่เหลือใครแบบนี้
หากเป็นเมื่อก่อน ผมคงจะใช้สายตามองทอดออกไป แล้วใช้สมองคิดถึงแต่เรื่องคยองซู
แต่ตอนนี้ผมไม่เหลือใครแล้วสักคน
“วู้! ดูซิว่าพี่เจอใคร”
ยืนเงียบๆ นิ่งๆ อยู่เพียงลำพังได้ประมาณห้านาที เสียงทุ้มที่ผมรู้สึกคุ้นแปลกๆ ก็ดังขึ้นจากด้านขวามือของผม ผมหันไปตามเสียงนั้นเมื่อเห็นเงาของผู้ชายที่ตัวสูงกว่าอยู่ที่หางตา และคนที่ผมพบก็ทำให้ผมต้องเบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง
“พี่คริส!”
พี่คริส พี่ชายเจ้าของเกสท์เฮ้าท์ที่ญี่ปุ่นที่ผมเคยไปพักเมื่อช่วงเดือนก่อนหันมายิ้มให้ผม ผมทั้งแปลกใจและดีใจไปพร้อมๆ กันที่ได้เจอพี่เขาในเวลาแบบนี้ พี่คริสเป็นพี่ชายที่ดี คอยแนะนำอะไรดีๆ หลายอย่างให้ผมตอนอยู่ญี่ปุ่น ผมเองก็คิดถึงพี่เขาเหมือนกัน
“พี่เพิ่งมาถึงเกาหลีเมื่อชั่วโมงที่แล้ว เลยมาเดินเล่นแถวนี้ซะหน่อย ไม่คิดว่าจะเจอนาย”
“ผมก็ไม่คิดว่าพี่จะมาอยู่ตรงนี้เหมือนกันครับ”
ผมมองพี่คริสหัวจรดปลายเท้า คนตัวโตกว่าแบกเป้ใบใหญ่ที่ดูเหมือนข้างในนั้นจะบรรจุสิ่งของและเสื้อผ้าสำหรับดำรงชีวิตได้ประมาณ 1-2 เดือนเลยทีเดียว จะว่าไปพี่คริสในร่างแบ็คแพ็กเกอร์แบบนี้ก็หล่อใช่ย่อยเลยนะเนี่ย
“พี่พักที่ไหนครับ” ผมเอ่ยปากถาม แต่ในใจก็แอบคิดว่าพี่เขาคงมีบ้านอยู่ที่นี่อยู่แล้วแหละ
“พี่ก็ยังไม่รู้เลย อาจจะจองโรงแรมแถวนี้นี่แหละ”
“อ้าว ผมนึกว่าพี่จะอยู่เป็นเดือนซะอีก”
“ไม่หรอกชานยอล พี่ไม่ได้ว่างขนาดนั้นซะหน่อย แล้วนายสบายดีมั้ย”
“ผมเหรอครับ… เอ่อ…”
“อกหักหรือไง”
“ทำไมพี่ถึงรู้…ล่ะครับ”
“เพราะพี่เองก็เหมือนกัน”
.
.
“เล่าให้ผมฟังบ้างได้ไหมครับ”
ชานยอล เด็กผู้ชายผมสีแดงที่เคยมาพักที่เกทส์เฮ้าส์ของผมเมื่อเดือนก่อน เด็กผู้ชายตัวโตแต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนและอ่อนน้อม ไม่แข็งกระด้างอย่างที่คิด ตอนนี้เด็กคนนั้นกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าผมในร้านกาแฟเล็กๆ แถวแม่น้ำฮันแห่งนี้
“แต่ถ้าพี่ไม่ไว้ใจ…”
“ไม่ใช่แบบนั้นชานยอล”
หลังจากที่เห็นว่าผมเงียบไปอยู่พักหนึ่ง ชานยอลคงจะคิดว่าผมไม่ไว้ใจที่จะเล่าหรือระบายอะไรให้ฟังเลยพูดออกมาแบบนั้น อันที่จริงมันไม่ใช่เรื่องลับสุดยอดอะไรหรอก แต่ที่ผมไม่อยากจะพูดออกมาก็เพราะผมอยากลืมๆ มันไปเสียให้หมด
ผมอยากลืมผู้หญิงคนนั้น คนที่ทิ้งผมไว้ลำพังโดยไม่กล่าวลาอะไรเลย
“เรามาเจอกันทั้งที ทำไมจะต้องพูดเรื่องไม่ดีด้วยล่ะ จริงมั้ย”
“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ”
“เดี๋ยวพี่ว่าจะไปหาซื้อกีตาร์มาสักตัว ไปด้วยกันมั้ย”
“พี่เองก็ชอบเล่นกีตาร์เหมือนกันเหรอครับ”
“นายชอบเหมือนกันเหรอเนี่ย”
“ครับ ที่ห้องผมมีสามตัวแน่ะ ผมเก็บเงินซื้อเองทั้งนั้นเลยนะ พี่อยากมาเล่นที่ห้องผมมั้ยล่ะครับเย็นนี้”
“น่าสนใจเหมือนกันนะ”
ผมยิ้ม นานๆ จะเจอคนที่ชอบเหมือนผมแบบนี้ บางทีผมก็เหนื่อยเหมือนกันนะกับความรักที่ต้องวิ่งไล่ตามน่ะ โดยเฉพาะผู้หญิง เพศที่ผมคิดว่าผมไม่มีวันเข้าใจได้เลย บางทีผมควรจะอยู่คนเดียว นั่งเกากีตาร์ไปวันๆ ผมคงไม่เหมาะกับการมีแฟนกระมัง
เวลาเบื่อๆ เซ็งๆ แบบนี้ ผมไม่ต้องการอะไรนอกจากกาแฟสักแก้ว กีตาร์สักตัวก็พอ แต่การที่มีชานยอลอยู่ด้วยแบบนี้มันก็ไม่ได้แย่ หนำซ้ำ มันดีมากด้วยเสียอีก เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้ผมรู้สึกว่าผมจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป
ขอบคุณนะชานยอล ขอบคุณที่อย่างน้อยก็ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นบ้าง
.
.
RRRRRrrrrrr~
เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการฝังตัวอยู่กับสุสานนานจนผ่านไปเกือบชั่วโมง ได้เวลาแล้วที่ผมกับคยองซูจะออกไปหามื้อเที่ยงกินกัน แต่จู่ๆ มือถือของผมก็ดังขึ้นในขณะที่เราสองคนเดินหาร้านกินข้าวอยู่
ผมหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง เมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอก็ขมวดคิ้วทันที
‘คิม จงอิน’
(ไม่ต้องแปลกใจ กูไม่ได้อยากโทรหามึงนะเว้ย แต่เซฮุนบังคับกู) ทันทีที่ผมกดรับสาย ยังไม่ทันได้พูดทักทายอะไร ปลายสายก็รีบพูดขึ้นมาแบบนั้น ผมถึงกับหัวเราะออกมาเมื่อได้ยิน
“พวกมึงมีอะไร”
(ไปกินข้าวกันมั้ย … เราสี่คน)
“หืม?”
(มึงจะหืมเหี้ยอะไรไอ้แบค กูชวนมึงกับคยองซูไปกินข้าวเนี่ย)
“กูแค่แปลกใจ”
(มึงไม่ต้องแปลกใจ ความคิดนี้ก็ไม่ใช่ของกูอีกนั่นแหละ เซฮุนสั่งกูทั้งหมด ทำอย่างกับกูกูอยากกินกับมึงตายห่า โถ่)
“เออๆ จะกินที่ไหนล่ะ”
(ร้านหน้าปากซอยบ้านเราที่เดิม เดี๋ยวกูกับเซฮุนจะรออยู่โต๊ะในสุดนะ รีบมา แค่นี้แหละ)
.
.
.
“เหาะมาจากฟ้ากันรึไง ถึงได้ช้าขนาดนี้”
ผมเอ่ยปากแซวไอ้แบคฮยอนและคยองซูที่เพิ่งเดินจูงมือกันมาถึงร้านที่ผมกับเซฮุนนั่ง อยู่ก่อนนานมากแล้ว จริงๆ ผมก็ไม่ได้อยากจะกวนตีนอะไรพวกมันมากนักหรอก แต่เห็นมันรักกันดีแบบนี้มันก็น่าหมั่นไส้
ถึงผมจะมีเซฮุนอยู่แล้วก็เถอะนะ ไม่รู้แหละ ผมว่าเซฮุนของผมเนี่ยน่ารักที่สุดในโลกแล้ว
“ปากดีนักนะมึง” แบคฮยอนลากเก้าอี้ให้คยองซูนั่งแล้วพูดกับผมด้วยสีหน้ากวนประสาท ผมกับเซฮุนพากันหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ จะว่าไปนี่ก็เป็นครั้งแรกนะที่เจอหน้ากัน หลังจากที่โทรคุยกับแบคฮยอนในวันนั้น
เราไม่ได้ญาติดีกันมาหลายปีแล้วเหมือนกันนะเนี่ย ผมกับแบคฮยอนน่ะ
“สั่งมาเต็มโต๊ะขนาดนี้ มึงกินข้าวเที่ยงหรือเลี้ยงหลังรับปริญญาวะเนี่ย” แบคฮยอนเอ่ยปากแซวเมื่อเห็นโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารหรูหรามากมายหลายชนิด ผมสัญญากับเซฮุนเอาไว้ว่าจะเป็นเจ้ามือมื้อนี้เอง แต่เชื่อเถอะว่าแบคฮยอนมันไม่ยอมผมหรอก
“พอดีเลย พวกกูมีข่าวดีจะบอกอยู่เหมือนกัน” แบคฮยอนมองหน้าผมสลับกับคยองซูที่นั่งอยู่ข้างๆ มัน “พวกกูจะไปญี่ปุ่นกันอาทิตย์หน้า มีใครจะฝากซื้ออะไรมั้ยครับ”
“ญี่ปุ่นเหรอ!?” จู่ๆ เซฮุนที่เอาแต่นั่งยิ้มไม่พูดไม่จาอะไรอยู่นานก็โพล่งขึ้นมาเสียงดัง ทำให้ผมอดหันไปมองไม่ได้
“ทำไมตัวเองอยากไปเหรอ” ผมเอ่ยปากถาม
“จงอินเค้าอยากไปอ่ะ ไปกันเถอะนะ นะนะ” เซฮุนพยักหน้าหงึกหงักแล้วเขย่าแขนผมเบาๆ พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน แต่เป็นการออดอ้อนที่สงวนท่าทีเล็กน้อยเพราะอยู่ต่อหน้าคนอื่น จริงๆ แล้วตอนอยู่กับผมสองคนเซฮุนอ้อนผมกว่านี้อีก
“เฮ้ย นี่พวกมึงน่ารักกันขนาดนี้เลยเหรอวะ เรียกเค้าเรียกตัวเองด้วย โอ้ย ฮ่าๆๆๆ” แบคฮยอนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินและได้เห็นท่าทางน่ารักกุ๊ก กิ๊กของเราสองคน จะว่าไปผมก็อายเหมือนกันนะเนี่ย ก็ผมเป็นคนเย็นชา นิ่งๆ มาโดยตลอดเลยนี่นา
ไม่เคยคิดเหมือนกันครับว่าเซฮุนจะทำให้ผมกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้
“ทำเป็นแซวไปเถอะ คู่มึงก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ” ผมย้อนกลับบ้าง ไม่มีทางหรอกที่ไอ้สองคนนี้จะไม่เรียกเค้าเรียกตัวเองแบบผมอ่ะ เพราะขนาดคู่จืดชืดอย่างผมยังเรียก แล้วไอ้คู่นี้จะเหลืออะไร
คำแซวของผมทำให้แบคฮยอนและคยองซูเอาแต่มองหน้ากันแล้วขำออกมาทั้งคู่ ผมเองก็ยิ้มออกมาด้วยเหมือนกัน แต่มองดูอยู่ได้ไม่นานก็วกกลับไปคิดเรื่องไปญี่ปุ่นต่อ
ถ้าเซฮุนอยากไปขนาดนี้ แล้วผมจะขัดอะไรได้ล่ะ
“พวกมึงจะไปกันเมื่อไหร่นะ”
“อาทิตย์หน้า วันจันทร์ที่จะถึงเนี่ยแหละ”
“น่าอิจฉาเนอะ เราอยากไปบ้างจัง”
เสียงสุดท้ายนี่เป็นเสียงบ่นหงอยๆ ของเซฮุนที่นั่งข้างผม เซฮุนพูดกับตัวเองเบามากเหมือนอยากให้ผมได้ยินเพียงคนเดียว ใบหน้าหงอยเหมือนเด็กที่ผู้ใหญ่ไม่ยอมให้ขนมแบบนั้นทำให้ผมยิ้มออกมาอย่าง ช่วยไม่ได้
“งั้นกูไปด้วยนะ”
“ว่าไงนะ”
“กูกับเซฮุนไปด้วย ไม่ได้รึไง”
“แต่จงอินไม่ชอบญี่ปุ่นนี่นา”
เซฮุนหันหน้ามาจ้องผมอย่างงงๆ เลิกคิ้วขึ้นสูงพร้อมตะโกนเหว คงไม่คิดว่าผมจะอยากไปญี่ปุ่นล่ะสิ … ใช่ ผมก็ไม่ได้อยากไปหรอก อย่างที่เคยบอกไปหลายหนแล้วว่าผมไม่ชอบประเทศนี้เลย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ผิดกับคยองซูและเซฮุนที่คลั่งไคล้ประเทศนี้ใจจะขาด
“ก็ไม่ได้ชอบ…”
“……………”
“แต่คนที่ชอบ…เค้าชอบนี่”
เซฮุนหัวเราะร่วนออกมาทันทีที่ได้ยินประโยคนี้หลุดออกมาจากปากผม อันที่จริงผมก็ไม่ได้อยากจะโชว์เสี่ยวให้ไอ้คู่ที่นั่งตรงข้ามดูหรอกนะ แต่ผมคิดอะไรผมก็อยากพูดออกไปแบบนั้น ถึงมันจะเป็นคำพูดน่าอายจะตายชักก็เถอะ
สำหรับผม ผมแค่อยากให้เซฮุนมีความสุข เพราะถ้าเซฮุนมีความสุข ผมเองก็มีความสุขเช่นกัน
“คุณบีดูคู่นี้สิ เค้าน่ารักกันจังเนอะ” คยองซูหัวเราะคิกคัก พลางสะกิดให้แบคฮยอนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาตักอาหารเงยหน้ามามองพวกผม
“ไม่จริงอ่ะคุณเค คู่เราน่ารักกว่าตั้งเยอะ” แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมาจากของกินแล้วยกมือขึ้นบีบจมูกคยองซูเบาๆ พร้อมยิ้มกว้าง พอผมได้ยินสรรพนามที่ทั้งสองคนใช้เรียกกันและกันเท่านั้น ผมก็หัวเราะออกมาลั่นร้านทันที
“เฮ้ย นี่พวกมึงเรียกแทนตัวเองกันแบบนี้ด้วยเรอะ โอ้ย มุ้งมิ้งชิบหาย คุณบีคุณเคไรเนี่ย”
“ทำเป็นไปขำคนอื่นเค้า ทีตัวเองล่ะ…”
หัวเราะร่าอยู่ได้ไม่นาน เซฮุนก็พูดขัดขึ้นมาเบาๆ ทำให้ผมค่อยๆ หุบปากลงช้าๆ คำพูดชวนคิดของเซฮุนทำให้ทั้งคยองซูและแบคฮยอนรีบคะยั้นคะยอคำตอบทันที
“ไม่เอา อย่าบอกเค้านะเซฮุน” ผมรีบยกมือขึ้นปิดปากเซฮุนทันที
“ทำไมหรอเซฮุน จงอินมันเรียกเซฮุนว่ายังไงอ่ะ” คยองซูยิ้มกว้างแถมยังทำตาโตใส่เซฮุน แบคฮยอนเองก็รีบวางช้อนส้อมลงแล้วรอคอยคำตอบจากเซฮุนเหมือนกับคยองซู ผมปิดปากแฟนตัวเองอยู่นานกว่าจะยอมแพ้
“จงอินเรียกเราว่าบูบู้ ส่วนเราก็เรียกจงอินว่าบีบี้”
“โธ่ เค้าบอกว่าอย่าบอกไงบู้”
“ไม่เห็นต้องอายเลย น่ารักออกเนอะคยองซู”
ทั้งเซฮุน คยองซู และแบคฮยอนพากันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนพนักงานแถวโต๊ะเราหันมามอง ฉายาของคู่ผมมันน่าอายเสียจนผมต้องฟุบหน้าลงกับโต๊ะอาหาร ที่น่าอายไปกว่านั้นคือผมเป็นคนคิดเองเสียด้วยสิ
“กูถามจริง!” แบคฮยอนหัวเราะก๊ากจนข้าวพุ่งออกมาจากปาก ส่วนคยองซูเองก็หัวเราะหนักจนน้ำตาไหลออกมาเช่นกัน ผมอายจนไม่อยากจะสู้หน้าพวกมันแล้วครับเนี่ย
“เซฮุนคิดแบ๊วไปมั้ยเนี่ย แล้วทำไมไอ้จงอินมันถึงได้ยอมให้เรียกอ่ะ” แบคฮยอนเอ่ยปากถามเซฮุน
“ใครบอกว่าเราคิด…”
“นี่อย่าบอกนะว่าไอ้จงอินมันเป็นคนคิดอ่ะ”
คราวนี้คยองซูถามบ้าง และพอเซฮุนพยักหน้าแทนคำตอบเท่านั้นแหละ ไอ้สองตัวนั่นก็รีบโพล่งเสียงหัวเราะออกมาอีกระลอกใหญ่ คราวนี้ดังกว่าเดิมอีก ผมทนไม่ไหวเลยบอกให้พวกมันหยุดหัวเราะได้แล้ว
ทำไมล่ะครับ คนเราจะมีมุมมุ้งมิ้งบ้างไม่ได้เหรอ… โดยเฉพาะคนหล่อๆ อย่างผมเนี่ย
“พวกมึงหยุดหัวเราะกันได้แล้วนะ กูอายจนจะดำดินอยู่แล้วไอ้ห่า”
“ทุกวันนี้มึงก็ดำอยู่นี่”
“เชี่ยแบค”
“ถึงพี่บีบี้จะดำยังไงน้องบูบู้ก็ร๊ากน๊า”
แบคฮยอนลากเสียงยาวล้อเลียนผมแบบที่มันชอบทำ จะว่าไปผมก็แอบคิดถึงเสียงเลวๆ แบบนี้ของมันเหมือนกันนะ ได้ยินครั้งล่าสุดเมื่อสามปีที่แล้วเห็นจะได้ ผมเอาขาถีบขามันที่อยู่ใต้โต๊ะไปแรงๆ หนึ่งทีจนมันต้องร้องโอยออกมา
“เฮ้ยๆ นี่กูคิดเกมหนุกๆ ขึ้นมาได้ มาเล่นกันเหอะ” จู่ๆ ผมก็นึกอะไรดีๆ ออก นานๆ ทีพวกเราทั้งสี่คนจะอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้ มันต้องหาอะไรเล่นกันหน่อยว่าไหมล่ะครับ
“อะไรของมึงวะ” แบคฮยอนหยุดหัวเราะพลางยกมือเช็ดน้ำตาตัวเอง แม่งจะขำอะไรหนักขนาดนั้นเนี่ย
“เกมส์นี้คือเกมส์ A B C กติกามีอยู่ว่า มึงต้องเดาใจแฟนมึงให้ถูกว่าเขาเลือก A หรือ B หรือ C โดยที่แต่ละรอบแฟนของแต่ละคนจะกระซิบที่หูอีกฝ่ายว่าจะเลือกอะไร งงใช่มั้ย กันกูจะยกตัวอย่างให้”
ทั้งแบคฮยอน คยองซู รวมถึงเซฮุนต่างพากันตั้งใจฟังเกมส์ที่ผมกำลังจะอธิบาย เซฮุนเองก็ไม่เคยเล่นเกมส์นี้มาก่อน แหงล่ะ เพราะผมเพิ่งจะคิดได้เมื่อกี้นี้เอง
“คืองี้นะ สมมุติว่ารอบนี้มึงเป็นคนเล่น คยองซูก็จะต้องมากระซิบบอกกูว่าจะเลือก A B หรือ C พอเลือกเสร็จมึงก็ทาย”
“อ่ะ แล้วไงต่อ” คยองซูพูดขึ้น
“พอแบคฮยอนทายปุ๊บ ถ้าถูกคยองซูต้องหอมแก้มมันโชว์พวกเรา” สิ้นประโยคนี้ ทั้งสามคนก็หัวเราะชอบใจทันที หนักสุดคือไอ้แบคกับเซฮุนที่พากันปรบมือรัวๆ
“แต่!!! ถ้ามึงทายผิด คยองซูจะต้อง… หอมแก้มกู”
ค่อยๆ คิดภาพตามผมนะครับ คนแรก ไอ้แบค หลังจากได้ยินที่ผมพูดไปเมื่อครู่ มันรีบลุกพรวดแล้วชี้หน้าโวยวายผมเลยครับ ส่วนคนที่สอง เซฮุนอาของผม คนนี้นั่งข้างๆ ผม นั่งเงียบไม่พูดอะไร เอาแต่ส่งสายตานิ่งหาผมจนผมคิดว่า ผมควรยุติเกมส์นี้ดีไหม…
ส่วนคนสุดท้าย คยองซู นั่งนิ่งไม่ต่างจากเซฮุน แต่กลับเอาแต่ยิ้มเจ้าเล่ห์จนผมรู้สึกว่าผมมีเพื่อนร่วมอุดมการณ์แล้ว
“เชี่ยจงอิน!”
“แต่ถ้ากูแพ้ เซฮุนจะหอมแก้มมึงเลยนะเว้ยแบคฮยอน” ผมพูดไปหัวเราะไป ใช่ว่าผมไม่หวงแฟนผมนะ แต่ผมคิดว่านี่มันน่าสนุกออก
“เอาสิ เกมส์นี้ต้องสนุกแน่ๆ” เสียงเรียบ นิ่ง เย็นชาเสียงนี้เป็นของใครน่ะเหรอครับ คงเดาไม่ยากเลยใช่ไหมล่ะ ใช่แล้วครับ แบบที่ทุกคนคิดเป๊ะเลย เสียงของโอเซฮุนแฟนผมเองแหละครับ
“บูบู้ เค้าเล่นเอามันส์น่า” ผมหันไปจับมือเซฮุนที่เอาแต่ส่งยิ้มพิฆาตมาให้ผมแล้วเอามือของเซฮุนมาถูแก้ม ผมเบาๆ ทำให้เซฮุนหัวเราะออกมาได้ในที่สุด แฟนผมขี้หึงขนาดไหนผมไม่รู้มาก่อนเลยนะ แต่วันนี้ผมว่าผมน่าจะได้รู้แล้วแหละ
“เริ่มเลยเถอะ เชี่ยกูหงุดหงิด เกมส์เชี่ยไรเนี่ย” แบคฮยอนเอาแต่บ่นอุบ ถึงอย่างนั้นไอ้นี่มันก็ยังอยากเล่นอยู่ดี สำหรับผม แบคฮยอนไม่มีอะไรน่ากังวลเลยนะเพราะคยองซูดูไม่ขี้หึงเท่าไหร่ คนซวยคือผมนี่ คนคิดเกมส์อย่างผมนี่
“อ่ะ งั้นเริ่มเลย เริ่มจากคยองซูก่อนแล้วกัน มาๆ กระซิบดิ๊ว่าจะเอาอะไร”
“กูเคืองตรงเนี้ย ทำไมต้องกระซิบด้วยวะ กูหึง”
“มึงนี่งี่เง่าจริง”
ผมด่าไอ้แบคฮยอนไปทีหนึ่ง คยองซูขำแล้วค่อยๆ เขยิบตัวมากระซิบข้างหูผมว่าจะเอาตัวอะไร พอผมรู้แล้วก็ยิ้มออกมาทันที แบคฮยอนมองหน้าคยองซูสลับกับผมก่อนจะครุ่นคิดอย่างหนัก
“บี”
แบคฮยอนตอบออกมาอย่างไม่คิด แน่นอนล่ะว่ามันเมคเซ้นส์อยู่แล้วไอ้ตัวบีเนี่ย บีคือแบคฮยอน คยองซูต้องเลือกบีอยู่แล้ว จู่ๆ ผมก็หมั่นไส้ไอ้คนชื่อตัวบีนี่ขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ถูกต้อง” สิ้นเสียงผม คยองซูก็ยิ้มกว้างแล้วเขยิบใบหน้าไปหอมแก้มแบคฮยอนทันที ไอ้แบคฮยอนเองก็หน้าแป้น ยิ้มกว้างจนปากจะฉีกถึงหูอยู่แล้ว ให้ตายสิ ผมหมั่นไส้มากเลยนะเนี่ย
“ต่อไป ตาเซฮุนแล้ว มาๆ มากระซิบใกล้ๆ เลยครับ” แบคฮยอนที่อารมณ์ดีจนฉุดไม่อยู่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเริงร่า ประโยคหลังนี่ทำให้ผมมองมันตาเขียวเลยทีเดียว ผมขี้หึงมากนะ แต่ทำไงได้ล่ะ ผมคิดเกมส์ขึ้นมาเองนี่
“โอเครู้เรื่อง จงอินมึงทายมา”
“ยากว่ะ…” ผมมองหน้าเซฮุนที่ยิ้มกวนให้ผมแล้วหยุดคิดครู่หนึ่ง “กูขอตอบ… ซี”
“เก่งมาก ถูกครับ!”
“เยส!!!”
ผมตะโกนออกมาทันทีที่รู้ว่าถูก เซฮุนปรบมือชอบใจแล้วหอมแก้มผมแบบเก้ๆ กังๆ อันนี้ผมยอมรับเลยนะว่าผมมั่วมาก ไม่มีหลักการเดาใดๆ ทั้งสิ้น แต่ผมแอบอยากรู้แฮะว่าทำไมเซฮุนถึงเลือกซี
“ทำไมบู้ถึงเลือกซีอ่ะ”
“เวลาเขียนตัวซีมันสวยสุดอ่ะ”
“โห นี่เหรอหลักการ”
ผมกับเซฮุนหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี ตาแรกผ่านไปด้วยดี แต่ตาต่อๆ ไปล่ะจะเป็นยังไง ผมแอบกังวลเหมือนกันนะเนี่ย เพราะทั้งผมกับเซฮุนนี่ขี้หึงด้วยกันทั้งคู่เลย โธ่เอ๊ย ขุดหลุมฝังตัวเองแท้ๆ ไอ้จงอิน
“ต่อไป ตาคยองซู” คยองซูกระซิบผมเหมือนครั้งแรก “โอเค แบคฮยอนมึงทายมา”
“เริ่มยากแล้วเนี่ย คุณเคใบเค้าหน่อยไม่ได้เหรอ” ไอ้แบคทำเสียงอ้อนใส่คยองซู คนตัวเล็กกว่าส่ายหน้ายิ้มๆ
“ไม่ใบ้ก็ไม่ใบ้ งั้นตอบ บี เหมือนเดิม”
“เฮ้ย ถูกอ่ะ”
“เยเฮ้ท!!!!!!!!”
ได้ยินแบบนั้นแบคฮยอนก็รีบโผกอดคยองซูแล้วหอมแก้มซ้ายขวาทันที ผมแอบตกใจที่มันทายถูกอีกแล้ว ต่อไปก็เป็นตาผมแล้วสินะ มันยากมากจริงๆ กับการเดาใจแฟนเนี่ย
“อ่ะ เซฮุน มาครับ”
“กูขอตอบเอ”
“กูเสียใจด้วยนะจงอิน… แต่ผิดว่ะ”
“เชี่ย”
ผมทุบโต๊ะเบาๆ ทันทีที่ได้ยินว่าผิด เซฮุนหัวเราะชอบใจแถมยังปรบมือรัวอีกแน่ะ ก็แหงล่ะ เซฮุนต้องไปหอมแก้มแบคฮยอนน่ะสิ คนปวดใจคือผมไม่ใช่ใครที่ไหน
“เซฮุน จะหอมแก้มแบคฮยอนจริงๆ เหรอ” ผมหันไปพูดด้วยน้ำเสียงเว้าวอน เซฮุนมองหน้าผมแล้วยิ้มกวนก่อนจะเขยิบตัวไปทางแบคฮยอน ตอนนี้ผมกับคยองซูมีอาการเดียวกันคือนั่งเงียบ และจ้องสองคนนี้อย่างจดจ่อ
และแล้วเซฮุนก็ทำตามกติกาไม่มีผิด…
เซฮุนหอมแก้มแบคฮยอนหนึ่งฟอดแล้วรีบผละออกมานั่งที่ตัวเอง ผมมองเซฮุนตาไม่กระพริบแล้วยิ้มเจื่อนๆ ส่วนคยองซูเอาแต่มองหน้าแบคฮยอนด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มตลอดเวลา ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากเราทั้งสี่คนจนกระทั่ง…
“เล่นต่อกันเถอะ” เสียงของคยองซูทำให้พวกเราทั้งสามคนกลับมาพูดคุยกันเหมือนเดิม แบคฮยอนเอาหัวถูไหล่คยองซูเบาๆ เป็นการขอโทษ แต่คนตัวเล็กกลับไม่พูดไม่จาอะไรเลย
หรือว่าคยองซูจะหึงมากวะเนี่ย
“เห้ย เลิกเล่นดีกว่า” ผมพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ค่อยดี คยองซูจ้องหน้าผมนิ่ง เซฮุนก็เอาแต่ยิ้ม ส่วนแบคฮยอนนี่ไม่ต้องพูดถึง มันแทบจะก้มลงไปกราบเท้าคยองซูใต้โต๊ะอยู่แล้ว
“แก้มแบคฮยอนหอมมั้ยล่ะเซฮุน” คยองซูถามเซฮุนยิ้มๆ
“หอม…”
“บูบู้!” ผมหันไปตวาด
“แต่เราไม่ได้อยากหอม… เท่าแก้มจงอิน”
ผมยิ้มกว้าง หันไปจุ๊บแก้มแฟนสุดที่รักทันทีที่ได้ยินคำพูดน่ารักลื่นหูแบบนั้น เซฮุนเอาแต่หัวเราะแล้วผลักผมออกเพราะตอนนี้บรรยากาศมันค่อนข้างมาคุ ผมค่อยๆ ผละตัวออกแล้วหันไปสนใจไอ้คู่ตรงหน้าแทน
“คยองซูโกรธแบคมันป่ะเนี่ย”
“จะโกรธทำไม นี่มันเกมส์นะ”
“คุณเคไม่โกรธเค้าจริงเหรอ แต่คุณเคไม่ยอมมองหน้าเค้าเลยนะ”
“เค้าไม่ได้โกรธคุณบีจริงๆ ที่เค้าไม่มองหน้าเพราะเค้าก็หึงเป็นนะเว้ย แต่ตอนนี้หายแล้วแหละ”
คยองซูหันไปยิ้มกว้างให้แบคฮยอนแล้วบีบจมูกกับหยิกแก้มหมอนั่นแรงๆ จนมันต้องร้องโอดโอยออกมา ไม่พอเท่านั้น คยองซูยังล็อคคอแบคฮยอนแน่นอีกต่างหาก ดูจากสีหน้าแล้วน่าจะเจ็บพอตัวอยู่นะนั่น
ผมกับเซฮุนเอาแต่หัวเราะในการกระทำของคู่ตรงหน้า ดีใจที่สองคนนี้ไม่ใช้อารมณ์เหนือเหตุผล (ถึงแม้บางทีแบคฮยอนจะดูงี่เง่าไร้เหตุผลก็เถอะนะ) จะว่าไปผมก็ควรเอาตัวอย่างคู่นี้เหมือนกันนะเนี่ย ผมกับเซฮุนจะได้รักกันนานๆ
“เซฮุน แฉจงอินให้ฟังบ้างดิ เราอยากรู้ว่าเวลามันอยู่กับแฟนมันเป็นยังไง” แบคฮยอนโพล่งขึ้น ทำให้ผมรีบหันไปทำตาโตใส่เซฮุนทันที ผมรู้ว่าห้ามยังไงก็ไม่สำเร็จหรอก ยังไงเซฮุนก็ต้องแฉผมอยู่ดีแหละ
“พูดดีๆ นะบู้”
“จงอินน่ะเหรอ…” ไอ้ตัวแสบหันมามองหน้าผมแล้วยิ้มกวน “หื่น”
“เห้ย!”
“หื่นยังไงไหนเล่าดิ๊”
“ก็มีคืนนึงอ่ะ…”
“บู้!!!”
“เจ็ดรอบ…”
“บู้ววววววววว!!!”
ผมรีบเด้งตัวไปเอามือปิดปากเซฮุนทันที ไม่ได้การแล้วล่ะ ขืนปล่อยให้เซฮุนพูดมากกว่านี้มีหวังผมได้มองหน้าเจ้าพวกนี้ไม่ติดแน่ๆ นี่มันเรื่องในครัวเรือนเลยนะ ทำไมไอ้แสบถึงเอามาพูดแบบนี้ได้เนี่ย
แต่จะว่าไป คืนนั้นมันก็หนักหนาจริงๆ นั่นแหละครับ
“ไอ้เชี่ย จงอินมึงไม่สงสารแฟนมึงเลยเหรอวะ”
“กู… เฮ้ย เปลี่ยนเรื่องเหอะ คยองซูแฉไอ้แบคมันบ้างดิ”
“หืม จะให้แฉอะไรล่ะ มีแต่เรานี่แหละที่หื่น”
คำพูดของคยองซูทำให้น้ำที่แบคฮยอนเพิ่งจะดูดเข้าไปเมื่อครู่พุ่งพรวดออกมาจาปาก ทันที แบคฮยอนหันไปมองหน้าคยองซูแล้วขำหนักกว่าตอนที่รู้เรื่องของผม ไอ้บ้านี่คงไม่คาดคิดว่าแฟนตัวเองจะพูดอะไรแบบนี้ออกมาสินะ
“คยองซูเนี่ยนะหื่น” เซฮุนหัวเราะ
“โหเซฮุน เราโดนคยองซูปล้ำเช้าปล้ำเย็นจนช้ำไปหมดแล้วเนี่ย”
“น้อยๆ หน่อยครับคุณ เดี๋ยวเหอะ ได้ทีแล้วเอาใหญ่เลยนะ”
ทั้งแบคฮยอนและเซฮุนขำออกมากับคำพูดของคยองซู คยองซูดึงหูแบคฮยอนจนหมอนั่นร้องโอดครวญอีกครั้ง คู่นี้เขารักกันด้วยลำแข้งจริงๆ สินะเนี่ย นึกภาพตอนหวานแทบไม่ออกเลย
“แบคฮยอนเป็นคนโรแมนติคนะ…” จู่ๆ คยองซูก็พูดขึ้นมาหลังจากที่เสียงหัวเราะของพวกเราเงียบลง “มีอยู่ครั้งหนึ่ง แบคฮยอนเกากีตาร์ร้องเพลงให้เราฟัง ตอนแรกนี่ใส่เสื้อมิดชิดเลยนะ แต่พอเพลงจบเท่านั้นแหละ เสื้อผ้าทุกอย่างหายไปแบบไม่รู้ตัวทั้งคู่เลยอ่ะ”
สิ้นประโยค พวกผมที่ตั้งใจฟังอย่างจดจ่อก็หัวเราะลั่นร้านโดยไม่ได้นัดหมาย โดยเฉพาะแบคฮยอนที่หัวเราะหนักสุด ไอ้นั่นมันรีบฟุบหน้าลงกับโต๊ะแล้วทุบโต๊ะรัวๆ แก้เขินทันทีเลย
โอเค สรุปแล้วคือเราทั้งสี่คนนี่หื่นกันหมดเลยสินะ
.
.
การสนทนาระหว่างเราทั้งสี่คนเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมามากพอสมควร ดีนะที่ตอนนี้เป็นตอนกลางวัน เพราะถ้าเป็นตอนกลางคืน ผมมั่นใจว่างานนี้มีเมายันเช้าแน่นอน โดยเฉพาะผมกับเซฮุน เรียกว่าเป็นขาดื่มเลยก็ว่าได้
จู่ๆ ความรู้สึกดีแบบล้นหลามก็แล่นเข้ามาในอกผม ผมโชคดีแค่ไหนที่วางมือจากการแย่งชิงคยองซูแล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแบ คฮยอน กว่าจะคิดได้จริงๆ ว่าผมไม่เหมาะสมที่จะดูแลคยองซูก็ตอนที่เห็นสองคนนี้อยู่ด้วยกันตรงหน้าผม แบบนี้นี่แหละ
รอยยิ้มของคยองซูเวลาพูดคุยกับแบคฮยอน มันดูมีความสุข ต่างจากตอนที่คุยกับผม มันคือยิ้มที่เพื่อนมอบให้เพื่อนธรรมดา แต่กับแบคฮยอนมันมากกว่านั้น มันลึกซึ้งจนผมเองก็อธิบายไม่ได้ว่ามันคืออะไร ผมรู้แต่ว่า พอได้มองสองคนนี้แล้ว ผมรู้สึกมีความสุขมากจากใจจริง
ผมอยากเก็บช่วงเวลาแห่งความสุขนี้เอาไว้ให้นานที่สุดจัง
ตอนนี้ ณ เวลานี้ ผมมีความสุขมาก ทั้งมีความสุขที่ได้อยู่กับเซฮุน แล้วก็มีความสุขที่เราทั้งสี่คนได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ มีความสุขเสียจนลืมความทุกข์แทบจะทุกอย่างไปจนหมดสิ้น ลืมแม้กระทั่งเรื่องแม่ของผม
หลังจากที่ผมไม่คุยกับแม่เป็นอาทิตย์ แม่ก็ยอมหยุดเรื่องชู้ทั้งหมด พ่อเองก็ลาพักร้อนมาอยู่บ้านทำให้ได้ปรับความเข้าใจกับแม่จนรักกันหวาน เหมือนก่อน แถมความสัมพันธ์ของผมกับพ่อก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วด้วย
พอทุกอย่างมันดีขึ้นแบบนี้ ผมก็คิดว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะบอกให้เซฮุนรู้เรื่องที่แม่ผมเป็นชู้ กับพ่อเซฮุน ผมคิดว่าเซฮุนมีเรื่องให้ทุกข์มามากพอแล้ว ผมไม่ควรจะเอาเรื่องแย่ๆ พวกนี้ไปเพิ่มอีก สิ่งที่ต้องทำคือ ให้มันเป็นแค่เรื่องในอดีต แล้วก็ลืมๆ มันไปเสียให้หมด
ต่อจากนี้คงมีเรื่องเดียวให้เครียดแล้วล่ะครับ
เรื่องที่ว่า พวกเราจะเอาชุดไปญี่ปุ่นสักกี่ชุดดีนะ!?
- TO BE CONTINUED -
ความคิดเห็น