ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { FIC } Circle. 「 BaekDo ft. KaiHun 」

    ลำดับตอนที่ #16 : ` c h a p t e r 1 3 ♡ { e n d l e s s } - e n d -

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.04K
      2
      5 ก.ค. 57






     

    เปิดจอง ! ฟิค circle :: คลิกที่นี่ เพื่ออ่านรายละเอียด ขอบคุณค่ะ ^^











    C I R C L E

    ` c h a p t e r 1 3 ♡ { e n d l e s s }





















     

     

     

    “โอ้ยๆ มาแล้วๆ ขอโทษทีเว้ยที่มาสาย”

     

    โน่นครับ ไอ้แบคฮยอนกับคยองซูเข็นกระเป๋าเดินทางมาโน่นแล้ว ผมกับเซฮุนที่มาถึงสนามบินก่อนพวกมันเกือบชั่วโมงได้ต่างพากันทำหน้าเซ็งใส่พวกมัน ปกติแล้วผมจะตื่นสายแล้วก็มาสายเป็นประจำเลยนะ แต่แฟนผมเนี่ยสิ ปลุกผมตั้งแต่ตีห้าแน่ะ ง่วงชะมัดเลย

     

    “พวกมึงสองคนทำอะไรกันห๊ะเมื่อคืน ถึงได้มาสายขนาดนี้” ผมแซวแบคฮยอนที่กำลังกุลีกุจอลากกระเป๋าของแฟนมัน เซฮุนได้ยินแบบนั้นก็ขำออกมาแล้วตีแขนผมทีหนึ่ง

     

    “ทำแบบที่พวกมึงคิดน่ะแหละ เมื่อคืนคยองซูมานอนที่บ้านกูเว้ย” ไอ้แบคฮยอนพูดไปยิ้มไป ถึงจะเหนื่อยแต่มันก็ยังจะพูดเรื่องพรรณนี้ออกมาได้เนอะ

     

    “กูว่าพวกมึงสองคนย้ายสำมะโนครัวไปอยู่บ้านเดียวกันเลยดีกว่า ง่ายดี เอายายคยองซูไปอยู่บ้านมึงเลยแบค”

    “ทุกวันนี้กูสองคนก็เหมือนอยู่บ้านเดียวกันอยู่แล้วเนี่ย”

     

    พวกเราทั้งสี่คนพากันหัวเราะชอบใจกับบทสนทนาเหล่านี้ พูดคุยหยอกล้อกันได้ไม่นานนัก พวกเราก็รีบลากกระเป๋าเข้าเกททันทีเพราะเหลือเวลาไม่มากแล้ว หลังจากเช็คอินอะไรเรียบร้อย เซฮุนแฟนผมก็บอกว่าอยากไปซื้อน้ำหอมขวดใหม่มาสักขวดเพราะขวดเก่าหมดแล้ว ผมเลยทิ้งให้ไอ้แบคฮยอนกับคยองซูจู๋จี๋กันตามลำพังแล้วเดินตามแฟนไปต้อยๆ

     

    เซฮุนไม่ได้ใช้ให้ผมไปด้วยหรอกครับ แต่ผมอยากไปด้วยเองต่างหาก

     

    “บี้ว่ากลิ่นนี้โอเคมั้ยอ่ะ เค้าอยากลองเปลี่ยนกลิ่นดูบ้าง”

    “บู้ใช้กลิ่นไหนก็หอมหมดแหละน่า ไม่ต้องเลือกเยอะหรอก”

     

    บทสนทนามุ้งมิ้งของเราสองคนทำให้พนักงานขายตรงนั้นอดยิ้มออกมาไม่ได้ เซฮุนไม่ได้สังเกตอะไรเพราะมัวแต่สนใจน้ำหอมกลิ่นใหม่อยู่ แต่ผมที่บังเอิญไปสบตาพนักงานคนนั้นโดยตรงเห็นเต็มๆ เลยล่ะ

     

    “สรุปว่าเอาขวดนี้แหละ” เซฮุนพูดจบก็เดินปรี่ไปยังเคาท์เตอร์จ่ายเงินทันทีเพราะเหลือเวลาอยู่เพียงน้อยนิดแล้ว ระหว่างที่ผมกำลังจะหยิบการ์ดออกมาจ่ายเงินให้เซฮุน หูผมก็พลันได้ยินเสียงพนักงานตรงเคาท์เตอร์กระซิบกระซาบกันว่า คนนี้หล่อจังเลยอ่ะ ขาวมากเลยเธอ

     

    แน่นอนครับ พวกเธอไม่ได้ชมผม

     

    “อ่ะเซฮุน” ผมยื่นเครดิตการ์ดให้เซฮุนแล้วชักสีหน้าใส่พนักงานคนดังกล่าว แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยอยากสนใจผมเท่าไหร่หรอกนะ แหงล่ะ ก็พวกเธอเล่นมองเซฮุนตาไม่กระพริบเลยนี่

     

    เห็นแบบนั้น สัญชาตญาณคนขี้หึงอย่างผมก็เริ่มทำงาน ผมยกมือขึ้นโอบไหล่เซฮุนหลวมๆ แล้วดึงเซฮุนเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนก่อนจะกระแอมไอเบาๆ พนักงานที่ตอนแรกมองเซฮุนตาเป็นมัน ตอนนี้เอาแต่ก้มหน้าก้มตาคิดเงินไปโดยปริยาย

     

    ให้มันรู้ซะบ้างครับว่าของใครเป็นของใคร

     

    “นี่ วันหลังเค้าจะล่ามโซ่บู้ไว้ที่บ้านแล้วนะ ไม่ต้องออกไปไหนแล้ว” ผมพูดหลังจากที่เราทั้งสองเดินโอบไหล่กันออกมาจากร้านน้ำหอมนั่น นี่ขนาดผมแสดงความเป็นเจ้าของขนาดนี้ พวกเธอยังมองตามไม่หยุดอีกแน่ะ

     

    “หือ ทำไมอ่ะ”

    “ก็พนักงานพวกนั้นอ่ะดิ เขาชมว่าบู้หล่อด้วย”

    “ก็คนมันหล่อจริงๆ นี่หว่า” เซฮุนหัวเราะร่วน “อ้อ ว่าแล้วเชียวทำไมอยู่ๆ ถึงได้โอบไหล่เค้า”

     

    เราทั้งสองเดินโอบไหล่พูดคุยกันตลอดทางเดินจนมาถึงที่ๆ แบคฮยอนกับคยองซูนั่งรออยู่ เห็นคู่นี้แล้วก็อดหมั่นไส้ไม่ได้เลยนะครับ ตอนนี้พวกมันกำลังหวีผมให้กันและกันอยู่ คู่รักข้าวใหม่ปลามันจริงๆ

     

    “มึงไปซื้อน้ำหอมกันถึงยุโรปรึไงเนี่ย” แบคฮยอนแซว

    “นี่กูซื้อเร็วสุดแล้วนะ แถมแฟนกูยังโดนพนักงานเต๊าะอีก”

    “พนักงานผู้หญิงล่ะสิ จะแปลกอะไรวะ ก็หน้าแฟนมึงเป๊ะขนาดนั้น”

     

    ผมกับแบคฮยอนโพล่งหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนที่พวกเราทั้งสี่คนจะลากกระเป๋าขึ้นเครื่องกันเสียที ตอนนี้เป็นเวลาสิบเอ็ดโมงแล้ว เครื่องจะออกประมาณ 11.30 . แต่ตอนนี้พวกเราคงต้องขึ้นเครื่องแล้วล่ะครับ

     

    ถึงผมจะเคยไปต่างประเทศมาหลายประเทศแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมจะได้ไปญี่ปุ่น บอกตามตรงว่าตื่นเต้นมากครับ ไม่ได้ตื่นเต้นเพราะประเทศหรอกนะครับ แต่ตื่นเต้นเพราะคนที่ไปด้วยต่างหาก

     

    แบบนี้ผมขอเรียกว่าไปฮันนีมูนกับเซฮุนก็คงไม่ผิดหรอกใช่ไหมครับ

     

    .

    .

    .

     

     










     

    2 ชั่วโมงต่อมา

     

    ถึงญี่ปุ่นแล้วครับ !

     

    ตอนนี้เป็นเวลาประมาณบ่ายโมงสี่สิบห้า ผม คยองซู จงอิน และเซฮุน ตอนนี้เรามาถึงสนามบินนาริตะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คู่ของผมกับคู่ของจงอินจะแยกกันตรงนี้เพราะเราอยากไปคนละเมืองกัน ผมกับคยองซู(จริงๆ แล้วก็คยองซูคนเดียวนั่นแหละ)อยากไปโตเกียว ส่วนไอ้จงอินกับเซฮุนอยากไปซัปโปโร

     

    หลังจากที่เราบอกลากันเรียบร้อยแล้ว ผมกับคยองซูก็ลากกระเป๋าเดินทางที่หนักเหมือนจะอยู่เป็นเดือนมายังซับเวย์ เราสองคนไม่มีใครชำนาญทางกันเลยเพราะไม่เคยมาด้วยกันทั้งคู่ แต่คยองซูบอกว่าโทรถามเรื่องเส้นทางต่างๆ กับชานยอลมาหมดแล้ว ผมเลยไว้ใจให้แฟนผมเป็นคนนำทางตลอดทริปนี้

     

    ถึงจะทุลักทุเลพอสมควรเพราะมีเจ้ากระเป๋าเดินทางใบโตเป็นภาระ แต่เราทั้งสองก็มาถึงที่เกสท์เฮ้าส์ที่ชานยอลแนะนำมาจนได้ อาจจะใช้เวลานานไปหน่อย แต่สำหรับคนไม่เคยมาอย่างเราสองคนก็นับว่าเก่งแล้วล่ะ

     

    เกสท์เฮ้าส์นี้มีเจ้าของชื่อว่า คริส แต่รู้สึกว่าเจ้าของคนนั้นจะไม่อยู่ในตอนนี้ เพราะวันนี้กลายเป็นผู้หญิงวัยกลางคนมาเป็นคนต้อนรับพวกเราแทน ที่พักสะอาดเอี่ยมสมกับที่ชานยอลบอกเอาไว้จริงๆ แถมยังราคาไม่แพงอีกด้วย

     

    “ฮ๊า เหนื่อยจังเลย”

     

    คยองซูทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เราสองคนต่างเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางหลายชั่วโมง นี่ดีหน่อยว่าอากาศเย็นสบาย ไม่อย่างนั้นคงได้ปวดหัวกันแน่ๆ

     

    “คุณเค เค้าปวดคออ่ะ”

    “นั่งลงเร็ว เดี๋ยวเค้านวดให้”

     

    พอผมพูดแบบนั้น คยองซูก็รีบเด้งตัวขึ้นมาจากเตียงนอนทันที ผมรู้ว่าคยองซูก็เหนื่อยและอยากพักผ่อนไม่ต่างจากผม แต่นี่แหละความน่ารักของแฟนผม ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนก็ยังอยากจะดูแลผมเสมอ

     

    “ใจดีจัง”

    “หน้าตาก็ดีด้วย”

    “สู้คนชื่อแบคฮยอนได้เหรอ”

    “สรุปจะให้นวดหรือให้ทุบ”

     

    เราพูดคุยหยอกล้อกันในระหว่างที่คยองซูนวดคอให้ผม ถึงแม้จะอ่อนเพลียแค่ไหน เราก็ยังมีเสียงหัวเราะให้กันและกันเสมอ ไม่ว่าที่ไหน เมื่อไหร่ก็ตามที่เราสองคนได้อยู่ด้วยกัน

     

    “คุณเค จูบ”

     

    ผมที่นั่งอยู่บนพื้นเงยหน้าขึ้นหาคยองซูที่นั่งอยู่บนเตียง คยองซูเลิกนวดแล้วใช้มือดีดหน้าผากผมเบาๆ ก่อนโน้มใบหน้าลงมาหาผม ริมฝีปากอวบอิ่มที่ผมคุ้นเคยค่อยๆ จรดลงที่ริมฝีปากของผมแผ่วเบา

     

    ถึงจะไม่ถนัดนัก แต่นี่ก็เป็นจูบที่ผมมีความสุขมากจูบหนึ่งเลยล่ะ

     

    “นอนพักสักหน่อยแล้วเดี๋ยวค่ำๆ ออกไปเที่ยวกันเนอะ” ผมกับคยองซูตัดสินใจนอนแล้วทิ้งกระเป๋าเดินทางไว้แบบนั้นก่อน ขอพักผ่อนเอาแรงที่เสียไปมากมายแล้วตื่นมาค่อยเคลียร์ข้าวของพวกนั้นก็แล้วกัน

     

     

    .

    .

     






     

     

    ย่านชิบูย่า
          19.00 .

     

    กว่าจะตื่น จะอาบน้ำ จะหาอะไรแถวนั้นกินก็ปาไปหนึ่งทุ่มแล้วครับ ตอนนี้เราสองคนมาอยู่ที่ชิบูย่า แหล่งท่องเที่ยวใจกลางเมือง ศูนย์รวมของวัยรุ่นญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยบรรดานักท่องเที่ยวจากหลายประเทศ จะว่าไปผมเองก็หน้าตากลมกลืนกับคนญี่ปุ่นอยู่เหมือนกันนะเนี่ย

     

    ไม่สิ ผมน่าจะหล่อกว่าเยอะเลยแหละ

     

    “คุณเคชอบอันนี้มั้ย” ผมหยิบพวงกุญแจจิ๋วที่เป็นผู้ชายกับผู้หญิงยืนจับมือกันให้คยองซูดูแล้วถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่คยองซูกลับส่ายหัวแล้วบอกว่าเขาไม่ใช่ผู้ชาย ไปหาอันที่เป็นผู้ชายมาให้เดี๋ยวนี้ โธ่ แล้วผมจะไปหาที่ไหนล่ะครับ

     

    เดินเล่นพร้อมกับกาแฟในมือคนละแก้วจนขาเริ่มล้า เพราะเป็นสถานที่ที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน เราสองคนเลยไม่มีเวลาให้โรแมนติคกันมากเท่าไหร่นัก ในค่ำคืนแรกของญี่ปุ่นแบบนี้เลยเป็นการเดินช็อปปิ้งเสียมากกว่า

     

    คยองซูได้กางเกงที่ถูกใจไปสองตัว ส่วนผมก็ได้เสื้อมาตัวหนึ่ง อันที่จริงงบของเราสองคนก็ไม่ได้มีเยอะมากถึงขนาดที่ว่าจะซื้ออะไรตามใจได้ ได้แค่นี้ก็ถือว่าเยอะมากแล้วล่ะครับ พูดแล้วก็พาลทำให้คิดถึงไอ้จงอินกับเซฮุนเลย ฐานะของเจ้าของสองคนนั้นทำให้ผมอดอิจฉาไม่ได้ พวกมันคงพกเงินมาแบบไม่อั้นเลยสินะ

     

    หลังจากที่ได้ของที่ถูกใจกันไปคนละอย่างสองอย่างแล้ว ผมกับคยองซูก็ตัดสินใจมาหาที่นั่งพักเหนื่อยกัน เราเลือกมุมที่ดูจะเงียบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะตอนนี้ผมอยากกอดคยองซูแล้ว

     

    “เหนื่อยจังเลย” ผมพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนทันทีที่เราทั้งสองหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้สาธารณะ พิงหัวที่ตอนนี้ดูจะหนักอึ้งลงที่ไหล่มนของคนตัวเล็กข้างๆ คยองซูดูดกาแฟจนหมดแก้วแล้วหันมามองผมด้วยรอยยิ้ม

     

    “อะไรกัน ยังไม่แก่ซะหน่อย เดินแค่นี้เหนื่อยแล้วเหรอ”

    “ใครจะไปแกร่งเหมือนคุณเคล่ะ เดินเอาๆ ไม่พักเลย”

    “ทีแบบนี้มาบ่นเหนื่อย ทำไมเวลาแบบนั้นทำเอาๆ ไม่เห็นจะบ่นเหนื่อยเลยล่ะ”

    “มันคนละเรื่องกันนะครับคุณแฟน”

     

    เป็นปกติที่คยองซูจะพูดเรื่องแบบนี้ออกมาในที่สาธารณะโดยไม่อาย จนบางทีผมก็แอบรู้สึกอายแทนเสียเอง แต่ผมก็ชอบที่คยองซูเป็นแบบนี้นะ ไม่รู้แหละ ขอแค่เป็นคยองซู จะยังไงผมก็ชอบทั้งนั้นแหละ

     

    เราทั้งคู่ปล่อยให้เวลาล่วงผ่านไปกับการทานอาหารง่ายๆ อย่างเซ็ตข้าวกล่องและน้ำเปล่าสองขวด จู่ๆ สายตาของคยองซูก็เหลือบไปเห็นโมเดลโคนันในร้านที่อยู่ไม่ไกลจากที่เรานั่งมากนัก แถมยังราคาไม่แพงจนเกินไปอีกด้วย จึงเป็นเรื่องไม่ยากเลยที่คยองซูจะตัดสินใจลุกไปซื้อ และในจังหวะเดียวกันกับที่คนตัวเล็กกำลังจะลุกขึ้นนั้น ผมก็แอบเห็นรูปในกระเป๋าสตางค์ของคยองซู

     

    แทนที่จะเป็นรูปครอบครัวเหมือนคนอื่นๆ แต่คยองซูกลับใส่รูปผมลงไปในช่องใสๆ ในกระเป๋าสตางค์ช่องนั้น

     

    ยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเหลือบไปเห็นโดยบังเอิญ ถึงแม้ว่าคยองซูจะไม่ค่อยได้พูดคำว่ารักออกมาบ่อยๆ แต่พอมาเห็นว่าคยองซูแอบพกรูปผมติดกระเป๋าสตางค์แบบนี้ ผมก็อดดีใจไม่ได้ มันยิ่งทำให้ผมมั่นใจเข้าไปอีกว่าคยองซูรักแค่ผมเพียงคนเดียว

     

    โชคดีที่คยองซูไม่ได้หันมาเห็น เพราะตอนนี้ผมก็เปรียบได้กับคนบ้าคนหนึ่ง

     

    ผมมองมือถือในมือสลับกับมองแฟนตัวเองที่ดูจะเพลิดเพลินอยู่กับโมเดลโคนันในร้านเสียเหลือเกิน ถึงจะไม่ได้แสดงออกอะไรมากมาย แต่ผมก็ดูออกไม่ยากเลยล่ะว่าคยองซูชอบเจ้าของเล่นเหล่านั้นมากจริงๆ

     

    ไม่นานเกินรอ หลังจากซื้อเสร็จเรียบร้อย คนตัวเล็กก็กลับมานั่งข้างๆ ผมเหมือนเดิม

     

    “มาถ่ายเซลฟ์ก้ากันดีกว่า” นั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยจนผ่านไปสักพัก คยองซูก็หยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาแล้วเปิดกล้องหน้า ผมที่เอาแต่พิงไหล่คยองซูรีบยกหัวขึ้นแล้วชูสองนิ้วให้กล้องทันที และในระหว่างที่กำลังจะกดแชะ คยองซูก็หันมาหอมแก้มผมหนึ่งฟอด

     

    “เดี๋ยวนี้ชอบลวนลามเค้านะ” ผมแซวแล้วขำ ปากก็ว่าไปแบบนั้น ในใจผมนี่โคตรจะชอบเลย

     

    “หวงตัวนักเหรอ นี่แหน่ะ” คยองซูว่าแล้วหอมแก้มผมซ้ายขวาโดยไม่ทันให้ผมตั้งตัว แก้มที่ผมคิดว่าน่าจะเหม็นเหงื่อ แต่คยองซูก็หอมมันไม่หยุด แถมไม่มีท่าทีรังเกียจเลยด้วย

     

    ผมหัวเราะออกมาในความน่ารักของแฟนตัวเอง บีบจมูกเล็กของคยองซูไปหนึ่งทีแล้วหอมแก้มอีกฝ่ายกลับ ผมไม่ได้จะยอหรอกนะ แต่แก้มคยองซูเนี่ยมันหอมเหมือนเดิมทั้งวันเลยจริงๆ ทั้งหอมแล้วก็นิ่มด้วย

     

    นี่ผมไม่ได้จะยอจริงๆ นะ

     

    “กลับกันเลยมั้ยคุณบี คุณบีจะได้ไปนอนพักด้วย”

    “อื้อ กลับเลยก็ได้”

     

    โชคดีที่ชิบูย่าอยู่ไม่ไกลจากเกสท์เฮ้าส์ของพวกเรา ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเราก็ถึงที่พักเรียบร้อยแล้ว คยองซูขออาบน้ำก่อนเพราะทนกลิ่นเหงื่อตัวเองไม่ไหว หลังจากคยองซูอาบเสร็จ ผมก็อาบตาม และเราสองคนก็เข้าสู่นิทรากันด้วยความเหนื่อยอ่อน

     

    วันนี้ถึงจะเหนื่อยและไม่ค่อยได้สวีทอะไรกันมาก แต่ผมก็รู้สึกมีความสุขมากเหลือเกิน

     

    ที่นี่คือญี่ปุ่น สถานที่ที่คยองซูอยากมามาทั้งชีวิต ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มาเรียนแบบที่หวังเอาไว้ แต่คยองซูก็ได้มาเที่ยวสมใจอยาก คิดได้แบบนี้ก็นึกอยากขอบคุณชานยอลมันเหมือนกันที่อุตส่าห์สงเคราะห์ตั๋วเครื่องบินให้

     

    แค่วันแรกยังมีความสุขมากขนาดนี้ ผมไม่อยากจะคิดเลยว่าอีก 1 อาทิตย์ที่เหลือจะสนุกมากขนาดไหน

     

    .

    .

     

     










     

    2 วันผ่านไป

     

    วันนี้เป็นวันที่สามแล้วที่เราสองคนอยู่ที่ญี่ปุ่นด้วยกัน ถ้าจะให้ไล่เรียงว่าพวกเราไปไหนมาบ้างล่ะก็ คงจะเกินหน้ากระดาษเอสี่แน่ๆ เอาเป็นว่าผมจะเล่าให้ฟังคร่าวๆ แล้วกันนะ

     

    เมื่อวันที่สอง ผมกับแบคฮยอนไปนมัสการเจ้าแม่กวนอิมที่ศาลเจ้าอะสะกุสะมา แอบรู้มาว่าแบคฮยอนขอพรให้เราสองคนรักกันไปจนวันตายด้วยแหละ ผมหัวเราะก๊ากเลยพอได้ยินแบบนั้น ไม่คิดว่าแฟนผมจะยังอวยพรเป็นเด็กๆ แบบนี้อยู่ด้วยเหมือนกัน

     

    เพราะอากาศค่อนข้างเย็นมาก เราสองคนเลยซื้อซาลาเปาทอดมานั่งกินกัน จะว่าไปแล้วเราเหมือนเด็กมัธยมที่มาเที่ยวต่างแดนเลยนะ เพราะการกินการอยู่ของเรามันช่างเด็กน้อยเสียเหลือเกิน แถมคนที่มากับผมก็ยังทำตัวเด็กน้อยอีกด้วย

     

    อ้อนจะเอาโน่น อ้อนจะเอานี่เป็นเด็กๆ หนักหน่อยก็อ้อนจะเอาผมนี่แหละ

     

    พอไหว้เจ้าแม่กวนอิมเสร็จ ตกเย็นหน่อยเราก็ไปเดินเล่นกันที่สวน Meiji Gingu ซึ่งเป็นสวนที่สวยงามขึ้นชื่อของโตเกียวเลยก็ว่าได้ ที่นั่นร่มรื่นมากเพราะเต็มไปด้วยต้นไม้นานาชนิดแบบที่เกาหลีบ้านเราไม่เคยมี เราสองคนเลยใช้เวลาทั้งเย็นนั้นอยู่ที่นั่นจนค่ำเลย

     

    ที่พิเศษสำหรับผม ก็คือแบคฮยอนแกล้งคุกเข่าบอกรักผม แล้วก็ขอแต่งงานผมด้วยแหวนไข่นี่แหละ

     

    ผมว่ามันไร้สาระมากเลยนะ ผมหลุดขำออกมาทั้งๆ ที่แบคฮยอนจะทำโรแมนติค ก็มันน่าขำจริงๆ นี่นา แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ผมตอบตกลงไปเรียบร้อยแล้วล่ะ

     

     

    วันที่สาม นั่นก็คือวันนี้ พวกเราตัดสินใจออกเดินทางไปยังภูเขาไฟฟูจิ เราต่างตื่นเต้นกันเป็นพิเศษเพราะนี่คือสิ่งที่พวกเรารอคอยกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ผมอยากมาดูภูเขาไฟเลื่องชื่อนี้ตั้งแต่ยังจำความได้ ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าวันนี้จะมีโอกาสมาดูด้วยตาตัวเองจริงๆ

     

    โชคดีที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ทำให้เราทั้งสองเห็นภูเขาไฟฟูจิเต็มสองตา มันสวยงามมากเสียจนผมพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง และจู่ๆ แบคฮยอนก็ขอผมแต่งงานอีกครั้ง

     

    ผมขำ ผมตลกในท่าทางของแฟนตัวเอง และผม ก็ตอบตกลงไปอีกครั้ง

     

    เราใช้เวลาอยู่ด้วยกันที่บริเวณภูเขาไฟฟูจิจนกระทั่งตะวันตกดิน ผมกับแบคฮยอนตัดสินใจกลับห้องเพราะไม่รู้ว่าจะไปไหนต่อดี และตอนนี้เราทั้งสองก็อยู่ในห้องพักเรียบร้อยแล้ว

     

    ไม่รู้เหมือนกันว่าผมเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่รู้สึกตัวตื่นอีกที ตอนนี้ก็ปาไปตีสามเสียแล้ว ที่น่าแปลกใจไปกว่านั้นก็คือ ข้างๆ ผมไม่มีแบคฮยอนนอนอยู่ ผมเลยลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ห้องน้ำ เพราะคิดว่าแบคฮยอนคงจะลุกมาเข้าห้องน้ำกระมัง

     

    แบคฮยอนอยู่ในห้องน้ำจริงๆ แต่สิ่งที่แบคฮยอนกำลังทำอยู่ทำให้ผมต้องยิ้มออกมาในทันใด

     

    “คุณบีมาซักผ้าอะไรดึกๆ ดื่นๆ ป่านนี้เนี่ย โอ๊ะ! แล้วนั่นมันเสื้อผ้าของเค้านี่”

    “อุตส่าห์แอบมาซักตอนดึกๆ เพราะไม่อยากให้คุณเคเห็นแล้วนะ แล้วนี่ตื่นมาเห็นทำไม”

    “นั่นๆๆ ! นั่นมันกางเกงใน ของเค้านี่”

    “ก็ใช่น่ะสิ คุณเคไปนอนก่อนเถอะ เค้าซักให้ได้น่า”

     

    ผมยืนนิ่งไปพักหนึ่ง จากที่ตอนแรกยิ้มกว้างจนปากจะถึงหู ตอนนี้กลับกลายเป็นความรู้สึกหลากหลายเข้ามาแทนที่ ทั้งซาบซึ้ง ทั้งรู้สึกขอบคุณ ทั้งรักคนที่กำลังทำเพื่อผมมากเหลือเกิน

     

    แขนทั้งสองข้างโอบกอดแบคฮยอนเอาไว้จากด้านหลัง ทำให้คนที่ตอนแรกง่วนอยู่กับการซักผ้าต้องหยุดชะงักแล้วยิ้มออกมา ผมค่อยๆ กระชับอ้อมกอดให้แน่นกว่าเดิม เอาคางเกยไหล่อุ่น ไหล่ที่ผมรู้สึกสบายใจที่สุดเพื่อได้พักพิง

     

    “ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย” ผมกระซิบข้างหูแบคฮยอน

    “ทำเพื่อแฟน มันไม่มีอะไรหนักหนาเกินไปหรอกน่า”

    “ขอบคุณนะ”

    “ขอบคุณอีกแล้ว บอกว่าไม่ต้องขอบคุณแล้วไง”

    “รัก”

    “มากมั้ย”

    “ที่สุด”

    “เค้าก็เหมือนกัน”

     

    สิ้นประโยคของแบคฮยอน ผมก็ใช้ริมฝีปากฝังเข้าที่แก้มนิ่มของอีกฝ่ายทันที ผมจูบแก้มแบคฮยอนเนิ่นนานราวกับไม่อยากละไปไหน หากเป็นไปได้ ผมก็อยากจะอยู่กับแบคฮยอนแบบนี้ไปนานๆ

     

    พระเจ้าครับ ได้โปรดอย่าพรากเราสองคนไปจากกันเลยได้ไหม

     

    “คุณเคไปนอนก่อนนะครับ เดี๋ยวตื่นมาจะได้ใส่เสื้อผ้าหอมๆ นะ”

    “เค้าจะช่วยคุณบีซักด้วย”

    “ไม่ต้องหรอกน่า นี่เหลืออีกสามตัวเองเห็นมั้ย”

    “งั้นเค้าจะนอนเล่นรอคุณบี เสร็จแล้วมานอนกอดกันนะ”

    “อื้อ โอเค งั้นรอเค้าแป๊ปนึงนะ”

     

    ผมจุ๊บแก้มแบคฮยอนทิ้งท้ายไปหนึ่งที ก่อนย้ายตัวเองกลับไปที่เตียงนอนเหมือนเดิม ผมนอนอ่านหนังสือการ์ตูนรอแบคฮยอน เวลาผ่านไปไม่ถึงยี่สิบนาที แบคฮยอนก็กลับมานอนข้างๆ ผม

     

    เรานอนกอดกันแน่นราวกับกลัวอีกฝ่ายจะหายไปไหน

     

    ซึ่งผมก็กลัวจริงๆ ผมกลัวว่าวันข้างหน้าแบคฮยอนจะจากผมไป ผมกลัวว่าจะมีอะไรมาทำให้แบคฮยอนเปลี่ยนใจไปจากผม แล้วก็เลิกรักผมในที่สุด ผมกลัวกับสิ่งที่ยังไม่เกิดเหลือเกิน

     

    แต่แบคฮยอนก็ทำให้ความกลัวทั้งหลายนั้นหมดไป ด้วยการกล่าวคำว่า รัก เพียงคำเดียว

     

    .

    .

    .

     










     

     

     

    เช้าวันต่อมา

     

    วันนี้เราสองคนแพลนเอาไว้ว่าจะไปนั่งรถไฟสายโรแมนติค หรือ Sagano Romantic Train กัน ผมกับแบคฮยอนเลยตื่นกันตั้งแต่หกโมงเช้าซึ่งเช้ากว่าปกติมาก เราสองคนใช้เวลาแต่งตัวประมาณชั่วโมงหนึ่งก่อนจะออกเดินทาง

     

    รถไฟนี้จะใช้เวลาเดินทางประมาณ 25 นาที สองข้างทางที่รถไฟสายโรแมนติควิ่งผ่านนั้นสร้างความประทับใจให้ผมกับแบคฮยอนอย่างมาก มีทั้งวิวทิวทัศน์แบบป่า ต้นไม้นานาชนิด รวมไปถึงลำธารน้อยใหญ่ที่แสนจะสวยงามอีกด้วย

     

    ก่อนออกมาที่นี่ ผมทำแซนวิชไส้แฮมกับไข่ให้ตัวเองกับแบคฮยอนด้วย เพราะแบคฮยอนบ่นอุบว่าอยากกินอาหารฝีมือผมบ้างเนื่องจากไม่ได้กินนาน ผมเลยจัดให้ แม้มันจะเป็นเมนูง่ายๆ ก็เถอะ

     

    “คุณเคดูโน่นสิ แม่น้ำสวยมากเลยอ่ะ” แบคฮยอนชี้ออกไปนอกหน้าต่าง ทำให้ผมต้องมองตามที่อีกฝ่ายว่าโดยอัตโนมัติ ผมตื่นตากับความงดงามข้างทางจนใจลอยไปไกล ทำให้แบคฮยอนฉวยโอกาสนี้หอมแก้มผมไปหนึ่งฟอด

     

    “อยากหอมก็บอกดีๆ สิ”

    “บอกดีๆ ก็ไม่แปลกใหม่สิ”

     

    ผมกับแบคฮยอนพูดคุยกันจนรถไฟแล่นมาได้ครึ่งทาง อากาศตอนนี้สดชื่นและเย็นสบายมาก ไม่มีแดดเลยแม้แต่นิด เราสองคนเลยพลอยอารมณ์ดีไปด้วย สังเกตได้จากแบคฮยอนที่ยิ้มตลอดทาง ผมเองก็เช่นกัน









     

    “เค้าร้องเพลงให้ฟังเอามั้ย”

    “เพลงอะไรอ่ะ”

    Today was a fairytale

    “หืม คุณเคเนี่ยนะเพลงสากล”

    “จะฟังไม่ฟัง”

    “ฟังครับฟัง อ่ะ ร้องมาเลย”

     

    Time slows down whenever you're around
    (เวลาเชื่องช้าลงเมื่อเธอยู่ใกล้ๆ)

    But can you feel this magic in the air?
    (แต่เธอรู้สึกถึงเวทมนตร์ในอาการไหม?)

    It must have been the way you kissed me
    (มันต้องเป็นเพราะที่เธอจูบฉันนั่นแหละ)

    Fell in love when I saw you standing there
    (ตกหลุมรักเมื่อเห็นเธอยืนอยู่ตรงนั้น)

    It must have been the way
    (มันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ)

    Today was a fairytale
    (วันนี้คือเทพนิยาย)

     

    I love you”

     

    ประโยคสุดท้ายไม่ใช่เนื้อเพลง แต่เป็นคำที่ผมอยากพูดให้อีกคนได้ฟัง ผมปรบมือให้ตัวเองเบาๆ หลังจากที่ร้องจบ ดวงตาของผมกับแบคฮยอนสอดประสานกันเนิ่นนาน ผมคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ทั้งเขินอายและสุขใจไปในเวลาเดียวกัน

     

    จู่ๆ น้ำตาของแบคฮยอนก็ไหลลงมาอาบแก้มจนผมต้องดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดปลอบ แบคฮยอนร้องไห้เบะปากเป็นเด็กสี่ขวบ ผมหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้

     

    “โอ๋ ไม่ร้องนะครับหนู ไม่เอาไม่ร้องนะครับลูก”

    “ก็คุณเคอ่ะ”

    “ที่ร้องไห้นี่เพราะฟังไม่ออกใช่มั้ย” ผมขำ

    “ไม่ใช่ซะหน่อย นี่เค้านะ เค้าเชียวนะ”

     

    ผมหัวเราะออกมาอย่างต่อเนื่อง มือยังคอยลูบหัวคนในอ้อมกอดไม่หยุด ผมเชื่อสุดหัวใจว่าแบคฮยอนรับรู้ถึงความรักของผม และผมก็ดีใจที่แบคฮยอนมีความสุขมากขนาดนี้

     

    อะไรที่พอจะทำให้แบคฮยอนมีความสุขได้ ผมก็อยากทำ

     

    ไม่นานนักหลังจากนั้น รถไฟสายโรแมนติคก็กลับมาจอดที่ต้นทางเหมือนเดิม เราสองคนลงจากรถไฟแล้วเดินมาหาอะไรแถวนั้นกินเพราะตอนนี้เป็นเวลาอาหารกลางวันแล้ว

     

    ผู้คนอาจไม่มากมายเท่าที่แหล่งช็อปปิ้งในย่านต่างๆ แต่ก็มากพอที่จะทำให้พวกผมสองคนกลายเป็นจุดสังเกตเล็กๆ ไปได้ มีคู่รักชายหญิงคู่หนึ่งหันมามองเราสองคนจนแทบเหลียวหลังเพียงเพราะเราจับมือกัน ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเด็กในชุดนักเรียนมาขอถ่ายรูปกับพวกเราอีกด้วย

     

    ผมจะไม่เคืองเลย ถ้าเด็กพวกนั้นไม่พูดว่าแบคฮยอนหล่อมาก

     

    “อะไร นี่คุณเคหึงเค้าเป็นด้วยเหรอ”

    “ใครบอกว่าหึง เค้าเรียกอิจฉาต่างหาก เค้าควรจะได้รับคำชมมากกว่าสิ”

    “โถ คุณเคก็น่ารักที่สุดสำหรับเค้าแล้วแหละ”

    “ก็จะหล่ออ่ะ”

    “อ่ะๆ หล่อก็หล่อครับ โดคยองซูหล่อกว่าบยอนแบคฮยอนพันเท่าเลยโอเคมั้ย”

     

    แบคฮยอนพูดพร้อมหอมแก้มผมไปฟอดหนึ่ง ผมรีบผลักอีกฝ่ายออกเบาๆ เพราะมันยังไม่พ้นสายตาผู้คน แบคฮยอนนี่ก็จริงๆ เลยนะ ชอบทำอะไรแบบนี้ในที่สาธารณะอยู่เรื่อย ผมเลยติดมาด้วยเลยเนี่ย

     

    เราสองคนตัดสินใจเช่าเสื่อมานั่งปิกนิกกันในสวนสาธารณะแถวๆ นั้น แบคฮยอนอาสาไปซื้อข้าวกล่องมาให้ผมพร้อมน้ำอัดลมเย็นๆ สองสามขวด ส่วนผมก็นั่งรอสบายๆ มีแฟนดีก็แบบนี้แหละครับ แทบไม่ต้องออกแรงอะไรเลย

     

    “คุณเค เค้าถามหน่อยดิ ในบรรดาคนที่มาจีบคุณเคเนี่ย ไม่มีคนไหนเข้าตาเลยเหรอ” พูดคุยกันเรื่องสภาพแวดล้อมของญี่ปุ่นอยู่นาน จู่ๆ แบคฮยอนก็พูดเรื่องของผมขึ้นมา ผมหัวเราะก่อนตอบ

     

    “จะว่าไม่มีเข้าตาเลยมันก็ไม่ใช่นะ…” ว่าแล้วก็หยุดเคี้ยวพักหนึ่ง “จงอินน่ะ สเป็คเราเลย”

     

    ได้ยินแบบนั้น แบคฮยอนก็หน้านิ่วคิ้วขมวดทันที ทั้งๆ ที่แบคฮยอนก็รู้ดีนะว่าจงอินน่ะเป็นสเป็คของผม สเป็คของผมคือพูดน้อย มาดนิ่ง ไม่ต้องมากความก็รู้เรื่อง จงอินเป็นคนที่มีเสน่ห์มากคนหนึ่งเลยล่ะ ผิดกับแบคฮยอนที่พูดมากจนผมต้องบอกให้หยุดบางที

     

    “แล้วทำไมคุณเคถึงไม่ชอบจงอินล่ะ”

    “มันคงจะ เหมือนกับว่า คนที่ตรงสเป็คเราเกินไป ทำให้เราไม่กล้าคบด้วยล่ะมั้ง”

    “เพราะจงอินดีเกินไปสินะ”

    “ทำนองนั้นแหละ”

    “แล้วเค้ามันแย่นักหรือไง”

    “ก็ยังไม่ได้บอกว่าแย่สักหน่อย”

    “แล้วชานยอลล่ะ ทำไมคุณเคถึงไม่ชอบชานยอลบ้าง”

     

    คำถามนี้ของแบคฮยอนทำให้ภาพที่ชานยอลพยายามจะปลุกปล้ำผมแว้บเข้ามาในหัวโดยอัตโนมัติ ถึงแม้ว่าตอนนี้เราจะกลับไปคุยกันเหมือนเดิมแล้ว แต่ภาพร้ายๆ เหล่านั้นมันกลับติดอยู่ในหัวผม และคาดว่าคงไม่มีวันจางหายไปด้วย

     

    “ชานยอล นิสัยดีทุกอย่าง แต่เค้ารู้สึกว่าชานยอลก็เป็นแค่เพื่อนคนหนึ่งน่ะ”

    “ไม่มีหวั่นไหวเลยเหรอ”

    “คิดว่ามีนะ นี่ เค้าก็คนเหมือนกันนะ”

    “อ่ะ พอเข้าใจได้ แล้วพี่จุนมยอนล่ะ แสนดีขนาดนั้นไม่ชอบหรือไง”

    “พี่จุนมยอนดีกับเค้ามาก ยอมรับเลยนะว่าทั้งหมดเนี่ย เค้าหวั่นไหวกับพี่จุนที่สุด เพราะความเทคแคร์ด้วยมั้ง”

    “แล้วทำไมถึงไม่ตกลงปลงใจไปล่ะ”

    “ตอนแรกเค้าก็คิดว่าจะตกลงไปแล้ว แต่…”

    “………”

    ทุกครั้งที่พี่จุนพาเค้าไปไหนต่อไหน หน้าของคุณบีก็ลอยมาทุกครั้ง ความคิดของเค้าคืออยากให้คุณบีมาด้วย หรือไม่ก็ ไว้จะมาที่นี่กับแบคฮยอนบ้างดีกว่า อะไรทำนองนี้ เค้าเลยรู้สึกว่า เค้ารักใครไม่ได้เลยนอกจากคุณบี”

    “พูดดีแบบนี้จะให้อะไรเป็นรางวัลดีครับเนี่ย”

     

    คนตรงหน้าที่เอาแต่เคี้ยวตุ้ยฉีกยิ้มกว้าง เป็นรอยยิ้มที่สดใส และทำให้คนที่มองอย่างผมมีความสุขเหมือนเช่นทุกครั้ง รอยยิ้มของแบคฮยอนสามารถต่อชีวิตของผมไปได้อีกหลายวันเลยล่ะ

     

    ผมรักที่แบคฮยอนเป็นแบบนี้ และเพราะแบคฮยอนทำให้ผมมีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องออกแรงอะไรเลยนี่แหละ ถึงได้ทำให้ผมรู้ว่า ผมรักคนๆ นี้จริงๆ

     

    “แล้วถ้าเค้าเป็นแค่เพื่อนของคุณเค เป็นแค่เพื่อนที่ไม่ได้คิดอะไรกับคุณเคเลยล่ะ ไม่ได้จีบคุณเค คุณเคจะทำยังไง”

    “เค้าก็จะจีบคุณบีเองน่ะสิ”

    “โห่ รู้งี้น่าจะแกล้งทำเป็นไม่ชอบเนอะ”

     

    ผมใช้มือผลักหัวแบคฮยอนไปหนึ่งที เราทั้งคู่หัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน นานเท่าไหร่แล้วนะที่ความสุขแบบนี้ไม่ได้เข้ามาทักทายชีวิตผม ตอนนี้ชีวิตผมมีแต่เรื่องดีๆ ดีเสียจนผมเองก็นึกไม่ถึง

     

    สวนสาธารณะในฤดูใบไม้ผลิที่มีผู้คนบางตา มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ รวมถึงวัยรุ่นเดินเล่นผ่านไปผ่านมา เราสองคนทอดสายตามองตามสิ่งแวดล้อมและทิวทัศน์ที่สวยงาม มองดูชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน บ้างก็มาเป็นคู่ บ้างก็มาเดินชิลล์ๆ คนเดียว บ้างก็มีสีหน้าเศร้าสร้อยราวกับคนเพิ่งจะอกหักมา

     

    ผมโชคดีแค่ไหนที่ผ่านเรื่องราวร้ายๆ มาได้ และในวันนี้ ผมคิดว่าผมคือคนที่มีความสุขที่สุดในโลก

     

    “คุณเคดูคุณตาคุณยายคู่นั้นสิ น่ารักกันจังเลย” แบคฮยอนชี้ไปที่คู่สามีภรรยาสูงวัยตรงหน้าที่กำลังพูดคุยหยอกล้อกันอยู่ คุณตาถ่ายรูปให้คุณยายที่ยิ้มอย่างมีความสุข มันยากแค่ไหนนะที่คนเราจะรักกันจนแก่แบบนี้ได้

     

    “คุณเค อยู่ด้วยกันไปอีกร้อยปีเลยนะ”

    “หูย ไม่เอาหรอก”

    “ทำไมล่ะ เบื่อเค้าแล้วเหรอ”

    “เค้าอยากอยู่กับคุณบีให้ถึงพันปีเลย”

     

    เสียงหัวเราะที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของเราสองคนดังขึ้น จะมีอะไรดีไปกว่าการอิ่มทั้งท้อง อิ่มทั้งใจแบบเช่นตอนนี้ ผมกล้าพูดเลยว่า แค่มีแบคฮยอนอยู่ข้างๆ แบบนี้ ชีวิตผมก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

     

    เพราะแบคฮยอนคือทุกอย่างในชีวิตของผม

     

    มือหนาของอีกฝ่ายดึงผมเข้าไปใกล้ ก่อนจรดริมฝีปากบางลงที่จมูกของผม และค่อยๆ เลื่อนขึ้นไปยังหน้าผาก แบคฮยอนจูบหน้าผากผมเนิ่นนาน ผมหลับตาลงรับสัมผัสอ่อนละมุนที่คิดถึงมานาน มือของผมยกขึ้นกอดเอวอีกคนอย่างไม่ลังเล

     

    สำหรับแบคฮยอน ถ้าจะให้พูดว่ารัก มันคงจะน้อยเกินไป

     

    หากมีคำที่มากกว่า รัก ผมก็อยากจะกล่าวให้อีกคนได้ฟังในทุกๆ วัน หากมีอะไรที่ผมพอจะทำให้แบคฮยอนหายเหนื่อยได้ ผมก็อยากจะทำทุกอย่าง เพื่อขอบคุณที่แบคฮยอนเหนื่อยเพื่อผมมาโดยตลอดแบบนี้

     

    เราสองคนจับมือกัน เป็นการจับมือที่ไม่แน่น หากแต่ไม่ได้หลวมจนเกินไป และผมก็มั่นใจว่า มืออุ่นๆ มือนี้จะไม่ปล่อยมือของผมไปไหน

     

    ขอบคุณทุกคน ทุกอุปสรรคที่พัดผ่านเข้ามาในชีวิต ที่ทำให้ผมได้รับรู้ว่าผมรักแบคฮยอนมากขนาดไหน ขอบคุณที่วันนั้นแบคฮยอนกล้าบอกรักผม กล้าขอผมเป็นแฟน ทำให้เราสองคนได้รักกัน และอยู่ด้วยกันเหมือนเช่นในวันนี้

     

    สำหรับเรื่องราวดีๆ ที่ทุกคนเคยทำกับผม โดยเฉพาะพี่จุนมยอน ชาตินี้ผมก็คงไม่มีวันลืมได้ลง

    ส่วนเรื่องราวร้ายๆ ที่ผ่านมา ผมจะพยายามลืมมันไปให้หมด และจะคิดเสียว่ามันก็เป็นแค่อดีตที่น่าขบขัน

     

    ต่อจากวันนี้ ผมจะใช้ชีวิตทุกนาทีกับแบคฮยอนให้คุ้มค่าที่สุด ให้สมกับที่เราทั้งสองรอคอยมานาน เราจะจับมือกันไว้ และจะไม่มีวันให้ใครมาง้างมือเราสองคนให้หลุดออกจากกันอีก

     

    ผมสัญญา




     



    - จบบริบูรณ์ -

     




    WRITER TALK :

    สวัสดีค่ารีดเดอร์ที่น่ารักและเคารพทุกคน ^^
    จบลงไปแล้วเนอะสำหรับฟิคยาวแบคโด้เรื่องแรกในชีวิตการเขียนของเค้า ฮ่าๆ
    ขอขอบคุณทุกคนที่รัก และคอยให้กำลังใจฟิคเรื่องนี้มาโดยตลอดเลยนะคะ
    ขอขอบคุณที่ติดตามและไม่ทิ้งกันไปไหน เราขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ
    TvT;

    สุดท้ายนี้ สำหรับตอนสเปเชี่ยล (ไคฮุนแบคโด้ไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยกัน) หากใครอยากอ่าน
    แนะนำว่าให้อุดหนุนรวมเล่มนะคะ ฮ่าๆๆ (ขายของตลอด)

    และสำหรับใครที่อยากจะแวะมาเม้าท์มอยกัน ขอเชิญที่ทวิตเตอร์
    @TOFUSHii เลยนะคะ
    เม้าท์มอยกันได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฟิคหรือเรื่องอื่นๆ ยกเว้นเรื่องเงินค่ะ ฮาา

    เราสัญญาว่าเราจะไม่หยุดเขียนแบคโด้แค่นี้แน่นอน จะต้องมีเรื่องต่อไปอีกแน่ๆ ค่ะ
    ^^
    ยังไงก็ติดตามกันด้วยเนอะ ขอบคุณมากๆ เลยค่า : D







    themy butter

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×