ครีไฟออล (จักรวาลเป็นหนึ่ง) - นิยาย ครีไฟออล (จักรวาลเป็นหนึ่ง) : Dek-D.com - Writer
×

    ครีไฟออล (จักรวาลเป็นหนึ่ง)

    เราจักประกาศให้ทุกหมู่ดาวได้รับรู้ ความคับแค้นที่เราถูกพวกเจ้ากระทำ ทั้งในปัจจุบันและอดีต เราจักนำคืนให้สาสม เรายังคงเป็นเรา จนกว่าจะมีใครมาหยุดยั้งเราได้ (วาทะของชามิน)

    ผู้เข้าชมรวม

    210

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    210

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  แฟนตาซี
    จำนวนตอน :  5 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  23 ธ.ค. 50 / 16:01 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

       เสียงร้องโหยหวนยังคนดังกึกก้องฟังให้ชวนน่าหดหู่ มิทราบว่า
    ใครผ่านมาในเวลานั้น เป็นเหตุให้ทุกคนต้องผินหน้าหนีไปจากที่แห่งนั้น 
    เสียงร่ำไห้และทรมานทำให้ผู้คนจมเข้าสู่ก้นเหวลงเรื่อยๆ เป็นอย่างนี้
    เรื่อยมาเนิ่นนานแล้ว
          เห็นหัวหน้าหน่วยอาบาละลากตัวผู้หนึ่งเข้ามา  'ครืด..ครืด'  ด้วยมิทราบว่าจักหักห้าม
    ใจไม่ให้เหลวไปมองได้อย่างไร บรรดาผู้คนในสถานที่แห่งนี้กลับจ้องมองโดยผิดสังเขป 
    โดยปกติแล้วที่แห่งนี้คือที่รวมตัวกันของผู้ถูกคุมขังในกรณีต่างๆ กล่าวคือ เป็นแหล่งรวม
    บรรดานักโทษผู้กระทำผิดน้อยใหญ่ แผนภูมิแห่งนี้ตั้งอยู่ใต้พื้นผิวของดาวเดนำ 
    แบ่งจำนวนชั้นคุมขังออกเป็นสิบชั้น แต่ละชั้นแบ่งเป็นพันกว่าห้องแต่ละห้องแบ่งแยก
    บรรดานักโทษตามระดับที่มีความผิดและไม่มี  และในแต่ละห้องและแต่ละชั้นจะแบ่งแยก
    การลงโทษโดยมีบรรดาหน่วยอาบาละดูแลสถานที่แห่งนี้
         สายตาเยือกเย็นของชายวัยกลางคนผู้นี้พลันมองสำรวจรอบๆบริเวณ เนื่องด้วย
    มิคุ้นเคยหรืออย่างไร เห็นตนเองหันไปสบตาบรรดานักโทษ ๆเหล่านั้นก็เป็นต้อง
    หลบตาอยู่เรื่อยไป แต่ก็อดไม่ได้ให้คนเหล่านั้นหันกลับมามองยามเดินเลยผ่านไป 
    ด้วยแปลกตากว่าที่เคยเป็น จึงสร้างฉนวนให้ทุกคนต้องส่งสายตาราวกับสงสัย 
         'พลังช่างรุนแรงยิ่งนัก' นักโทษผู้หนึ่งหลุบตาเมื่อตนพบว่ากำลังถูกจ้องมอง 
          ประกายไฟยังคงประทุอยู่ในร่างกาย ยามใดที่ย่างกายเดินแต่ละก้าวปรากฏพบเห็น
    ประกายไฟยังคงติดพื้นอยู่ มิทราบว่าโล่ห์พลังห้อมล้อมอยู่หรือไรจึงมิอาจสำแดง 
    อานุภาพได้ ด้วยมิอาจต่อต้านได้จึงได้แต่ลอบสำรวจทิศทางในที่เหล่านี้ 
    'เป็นที่อันใดนะ' ความฉงนสนเท่ห์ยังคงเป็นเหตุให้กังวลใจ
        "เอาละถึงแล้ว" หัวหน้าหน่วยที่เงียบมาตลอดทางพูดขึ้น ชายผู้นั้นจึงเพียงพยักหน้า 
    'สิ่งที่รอคอยคงมาถึงแล้วกระมัง' มิมีเสียงอันใดเอ่ยขึ้นอีก มีเพียงเสียงโอดครวญเบาๆ
    ดังอยู่เนืองๆ
        เมื่อหัวหน้าหน่วยอาบาละเดินทางมาถึงใจกลางเมือง หรือที่เรียกกันว่าลานเวหาร 
    ด้วยที่แห่งนี้มีผู้คนอาศัยอยุ่เป็นจำนวนมาก เนื่องด้วยเพราะ เป็นทั้งตลาดทั้งทำเล
    ในการตั้งถิ่นฐาน เห็นผู้คนยังคนเดินเวียนไปมามิขาดสาย ทั้งเช้าและค่ำ 
    หัวหน้าหน่วยอาบาละจึงใช้ผนึกกำลังของตนเร่งหายตัวไปยังด้านบนของลาน 
    เห็นเหล่าบรรดาอาบาละมากหน้าเข้ามารออยุ่เนิ่นนานแล้ว 
    ผู้คนเหล่านั้นสวมใส่หน้ากากประเภทต่าง ๆ ถือเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านของที่นี้อย่างหนึ่ง
        บริเวณลานด้านบนสามารถมองเห็นภูมิทัศน์ของลานเวหารได้อย่างชัดเจน 
    และด้านล่างก็สามารถมองเห็นด้านบนได้ชัดเจนเช่นเดียวกัน แต่เนื่องด้วยอาบาละ
    กังวลว่าเหล่าผู้คนที่เห็นจะพากันสงสัยจึงได้มีการล้อมกรอบพลังไว้เพียงบริเวณ
    ลานแห่งนี้
        "มากันครบแล้ว" หน่วยย่อยตนหนึ่งกล่าวขึ้นเมื่อเห็นหัวหน้าหน่วยของตนมาถึง 
    เห็นเขายืนอยู่กึ่งกลางลานพลางเร่งสนทนา
        "ตามคำสั่งของหัวหน้าจักรพรรดิ์ เชื่อว่าชายผู้นี้คือต้นเหตุของเรื่องราวต่าง ๆ 
    ทำให้เหล่าประชาชนที่อาศัยอยู่เดือดร้อนกันทั่ว เนื่องด้วยเราคงประจักษ์กันแล้ว
    ว่าอานุภาพที่รุนแรงปานนี้คงไม่มีผู้ใดสามารถกระทำให้ดาว'เดนำ' 
    เป็นหลุมเป็นบ่อได้เยี่ยงนี้ ทั้งนี้เขายังเป็นผู้มีพลังแฝงเล้น ทั้งยังนำพาเหล่าทรรราช
    ที่หายสาบสูญไปมาปรากฏให้เห็น แต่อีกไม่นานคงมีคำสั่งให้เร่งการสืบหาตัว 
    และเบาะแสเพียงอย่างเดียวของทางเราก็มีเพียงชายคนนี้...ฉะนั้น'' เห็นบรรดาเหล่า
    หน่วยย่อยตนหนึ่งแทรกว่าจา 
         "เราไม่เห็นว่าเค้ามีการกระทำอย่างที่ท่านกล่าว" หน่วยย่อยตนหนึ่งกล่าวด้วยวาจา
    เรียบง่าย
         "ว่าไม่เห็นได้อย่างไร การกระทำเปิดเผยเช่นนี้มิได้อยู่ในสายตาเจ้าหรอกหรือ" 
    หัวหน้าหน่วยรู้สึกเดือดพล่านขึ้นด้วยมิคิดว่าจะได้ยินวาจาเหล่านี้
          "ที่เราว่าไม่เห็นคือ ไม่เห็นว่าเป็นฝีมือเค้า ใยท่านจึงใส่ไคล้คนอื่นเยี่ยงนี้"
          "เรามิได้ใส่ไคล้ เนื่องด้วยเป็นคำสั่งขององค์จักรพรรดิ์ หรือเจ้าคิดขัดขวาง"
          "มิได้ เราเพียงแต่ คิดว่า.." มิทันได้พูดจบหัวหน้าหน่วยจึงเร่งกล่าววาจารัดกุม 
    และแทรกคำอย่างรวดเร็ว
          "ไม่มีสิ่งใดให้ต้องรีรอ คำสั่งประการเดียวที่เราได้รับมาคือ ให้สังหารชายคนนี้
    หลังจากที่ได้ทรมานมันเพื่อให้มันคลายความลับเรื่องเบาะแสต่างๆ ออกมา 
    มีวาจาใดจะกล่าวเพิ่มเติมหรือไม่" เห็นหน่วยย่อยอาบาละตนเดิมมิยอมแพ้ 
    มันจึงรีบสวนคำ
          "การกระทำเยี่ยงนี้ มิเท่ากับดูหมื่นหน่วยอาบาละหรอกหรือ เนื่องด้วยมิเคยปรากฏ
    ว่ามีการจับกุมโดยมิได้สืบทราบเบาะแส" เห็นเหล่าอาบาละตนอื่นๆ ซุบซิบกันเสียงดัง
    ราวกับเห็นพ้อง ทำให้หัวหน้าหน่วยอาบาละบรรดาลโทสะ ด้วยมันเป็นถึงหัวหน้าหน่วย
    กลับถูกหน่วยย่อยแสดงทีท่าไม่เห็นพ้อง ซ้ำยังทำให้บรรดาอาบาละตนอื่นๆ 
    เริ่มมีทีท่าแสดงความแข็งกร้าว มันจึงพูดวาจาตัดรอน
          "หรือว่าเจ้าเป็นพวกเดียวกับมัน ซ้ำเจ้ายังสงสัยในตัวองค์จักรพรรดิ์หรอกหรือ"
          "มิใช่เช่นนั้น" หน่วยย่อยเริ่มตระหนก และแสดงที่ท่าโอนอ่อน
          "การสืบเบาะแสเราจักเร่งดำเนินการเอง แต่การให้อภัยคงทำไม่ได้ คงไม่มีวาจาใด
    กล่าวเพิ่มเติมอีกกระมัง" เห็นหลายคนเงียบขรึมมิปรากฏซุ่มเสียง  
          "กระจายกำลังได้" เหล่าหน่วยย่อยอาบาละทั้งหลายได้หายตัวไปอย่างรวดเร็ว
          ตามตำนานเล่าว่า มีดวงดาวอยู่ 6ดวง บริเวณเส้นขอบจักรวาล สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง
    พุ่งมากระทบจากที่ไกลโพ้น พลันเมื่อกระทบเกิดเป็นหลุมบ่อขนาดใหญ่ 
    เศษไฟยังคงกระจายไปบริเวณโดยรอบ ก่อความเสียหายให้ผู้อยุ่บริเวณละแวกนั้น 
    ชาวบ้านจึงได้ย้ายถิ่นของตนไปยัง
    ดวงดาวแห่งใหม่ องค์จักรพรรดิ์เห็นดังนี้จึงไม่พอใจ จึงได้มีการสืบหาตัวว่า 
    ใครเป็นผู้กระทำแต่ไม่มีใครทราบได้ ฉะนั้นองค์จักรพรรดิ์จึงได้ไปตรวจสอบด้วยตนเอง 
    เมื่อได้พบเห็นก็เข้าใจในทันทีว่า เป็นชีวิตของผู้มีพลังแฝงเล้นมาบังเกิด  
    จึงมีคำสั่งให้สั่งหารผู้มีพลังแฝงเล้นทั้งหมด เหตุเพราะมีคำทำนายจากจอมปราชญ์ว่า 
         "เมื่อใดที่ผู้มีพลังแฝงเล้นก่อกำเนิด  ยามนั้นองค์จักรพรรดิ์จะสูญสิ้นอำนาจ" 
    คำทำนายมีเพียงเท่านี้
         ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เห็นปรากฏเด็กน้อยคนหนั้งมีแสงบริสุทธิ์ห้อมล้อม 
    ตกอยู่บนหลุมขนาดใหญ่ ชาวบ้านละแวกนั้นได้ยินเสียงจึงออกมาดู 
    เห็นแสงสีสดใสมองไปดูให้เคลิบเคลิ้มยิ่งนัก ใครพบเห็นเป็นต้องเวทนา 
    ด้วยหน้าตาเด็กผู้นั้นมิเหมือนผู้คนในละแวกนั้น เด็กน้อยคนนั้นดูน่ารักสดใสยิ่งนัก 
         เห็นชาวเดนำคนหนึ่งมองดูอยู่นานอดไม่ได้ให้โอบอุ้ม เมื่อเห็นหลายคน 
    เริ่มออกมาดู จึงได้มีการหารือกันกับผู้นำหมู่บ้าน เมื่อได้ตรวจสอบจึงได้เข้าใจกันว่า 
    เด็กน้อยผู้นี้มีพลังแฝงเล้น ผู้นำหมู่บ้านลอบกังวลด้วยว่าหากเด็กน้อยผู้นี้เติบโตขึ้นที่นี้
    คงมิพ้นต้องตายตก 
        'น่าเวทนาโดยแท้' เพื่อไม่ให้เด็กคนนี้ได้เผยพลังแฝงออกมาผู้นำหมู่บ้านจึงได้
    ใช้ภูมิปัญญาของตน ถ่ายถอดลงบนเด็กคนนี้
         อักขระบริเวณแขนข้างซ้ายพิศจากลักษณะมองไปมิสามารถมองเห็นได้ยาม
    อาทิตย์อัสดง หากยามใดจันทราคล้อยจักปรากฏให้เห็น ถึงแม้สามารถกักพลังได้ 
    เก้าในสิบส่วนก็ยังคงปรากฏเปลวอัคคีลุกเพลิงบนฝ่ามือ แต่เป็นที่น่าแปลกใจ
    เมื่อเด็กผู้นี้หยุดร้องไห้ก็ ไม่พบเห็นเปลวอัคคีอีก ชาวบ้านจึงเลิกกังวลใจ 
    เห็นผู้นำหมู่บ้านตีหน้าเคร่งขรึมอีกครั้ง 
        'หากปล่อยไว้เช่นนี้คงต้องได้พบเจอสักครา เช่นนี้เราสมควรส่งเด็กผู้นี้ไปยัง 
    ดาวเคราะห์อื่น อืม..แต่จะส่งไปที่ใดดี' เห็นชาวเดนำ รู้สึกจะเข้าใจความคิดผู้นำหมู่บ้าน 
    ในเวลานี้มากที่สุด จึงเอ่ยปากขึ้น
        "เรามีความเห็นว่าสมควรพาเด็กน้อยไปยังดาวโลก หากอยู่ที่แห่งนี้ไม่นานคงถูกพบ" 
    เห็นหลายคนพยักหน้า ผู้นำจึงจัดสินใจกระไรบางอย่าง
         "เราจักส่งเขาไปดาวโลก" เห็นผนึกกำลังอยู่หลายครามิทราบเป็นพลังอันใด 
    ทันใดนั้นรอบๆบริเวณก็เกิดเรื่องประหลาดอีกครา มีแสงสีแดงห้อมล้อมกายบริสุทธิ์
    ของเด็กผู้นี้ก่อนพุ่งทะยานตรงไปยังดาวโลกอย่างรวดเร็ว เห็นหลายคน 
    ลอบกังวลใจไม่น้อย คนเหล่านั้นจึงได้แต่ภาวนา
         'จงไปโดยปลอดภัยเถิด' ผู้นำจ้องมองพลังที่ตนได้ผนึกไว้ก่อนหายวับไปลับตา

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น